โพลาโต้ ปราสาทออโรร่า - โพลาโต้ ปราสาทออโรร่า นิยาย โพลาโต้ ปราสาทออโรร่า : Dek-D.com - Writer

    โพลาโต้ ปราสาทออโรร่า

    ปราสาทออโรร่า แบ่งปันเพลงบรรเลงและเพลงต่างๆค่ะ

    ผู้เข้าชมรวม

    722

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    722

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    2
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  16 เม.ย. 55 / 18:00 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
     รัฐโพลาโต้ ปราสาทออโรร่า "เมื่อวันที่สายลมบรรจบกับแสงแดดเสียงดนตรีผสานกับเสียงเพลงของสองเรา เมื่อนั้น ข้าก็จะได้พบท่าน เราทั้งสองจะอยู่คู่กัน"

    "ว่ากันว่า...ทุกวันที่ 7 เดือน 7 ที่รัฐโพลาโต้จะเป็นวันที่มีลมแรงมากที่สุดประจวบกับแป็นวันที่ท้องฟ้าจะเปิดมากที่สุด เมื่อสายลมพัดผ่านปราสาทออโรร่าก็จะทำให้เกิดเสียงเพลงที่เล่าขานสืบต่อกันมาว่าเป็น...บทเพลงแห่งคำสัญญา..."
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
       ชั้นวอร์เจสเทิร์น ตอน 4-ปริศนาที่ 2

      -เฟมีลเดินเข้าห้องดนตรี ห้องสว่างไสวเพราะแสงแดดที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างบานใหญ่ เฟมีลเดินไปตรงจุดที่ในแปลนเขียนว่าเป็นประตูแต่ก็ไม่เห็นมีประตูอย่างแปลนว่า หรือว่า...มันจะเป็นห้องลับ แต่ทำยังไงถึงจะเปิดได้ล่ะ เฟมีลเอามือไปลูบที่ผนัง ก็ไม่เห็นมีร่องหรือช่องอะไรให้เปิดได้เลย เฮ้อ คงยังไม่ถึงเวลาที่เราจะต้องรู้มั้ง ถึงเวลาคุณลุงคงเปิดให้เองแหละ เฟมีลม้วนแผนที่แล้ววางลงบนเปียโนสีขาวแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ หลับตาแล้วก็พรมนิ้วลงบนเปียโน เสียงเปียโนดังเป็นเพลงสนุกสนานแล้วเปลี่ยนเป็นหวานซึ้งจบลงด้วยเสียงที่เศร้าสร้อย


      Album : Final Fantasy VII Piano Collection
      Artist : Shiro Hamaguchi & Seiji Honda
      Title : Descendent of Shinobi

      -เฟมีลพลิกดู ตัวโน้ตพวกนี้คุ้นๆ แหะ เคยเห็นที่ไหนนะ วิธีการเรียงเสียงก็เหมือนกันแต่สัญลักษณ์แปลกไปเท่านั้นเอง แล้วในหนังสือนี้มีวิธีดีดเปียโนเวทย์หรือเปล่า อ้าวไม่มีนี่ สงสัยต้องหาหนังสืออีกเล่ม 

      มือเอื้อมไปแตะลูกแก้ว "เปียโนเวทย์" แสงสีเงินยวงเรืองแสงขึ้นเฟมีลเดินไปหยิบมาเปิดดู วิธีดีด วิธีดีด เจอแล้ว อือฮึ วิธีดีดยากกว่าเปียโนปกติอีก อ้อคีย์นี้นิ้วนี้ อือ โอเค วิธีดีดไม่มีปัญหา ปัญหาตอนนี้คือโน้ตเพลงที่ใช้เป็นกุญแจเปิด โน้ตเพลงอยู่ที่ไหนนะ คุณลุงคงไม่เก็บไว้ในหนังสือหรอก ต้องเป็นสิ่งที่เราได้มา ตอนนี้เราได้ ภาษา ไม่ใช่หรอก หนังสือ ก็ไม่มีนี่นาเหลือแต่แผนที่ แผนที่ ตัวอักษรแปลกๆ ตัวโน้ตคุ้นๆ มือไวเท่าคิดคลี่ม้วนแปลนบ้านออก มองเพ่งไปที่ห้องดนตรี Bingo!!! โน้ตเพลงจริงๆ ด้วย 

      เฟมีลกำแปลนบ้านเดินออกจากห้องสมุดไปที่ห้องดนตรี เมื่อเข้ามาก็ตรงไปที่เปียโนสีดำทันที ลงมือไล่เสียงตามวิธีดีดที่ได้อ่านมา เสียงที่ออกมาเป็นเสียงไพเราะเสนาะกว่าเปียโนปกติ ไล่เสียงอยู่สักพักจากช้าก็เร็วขึ้นจนเสียงพลิ้วได้ที่ โอเค ตอนนี้ไล่เสียงได้แล้ว มาดูโน้ตกันหน่อย เมื่อมือพรมลงบนเปียโน เสียงที่ออกมาทั้งอ่อนหวาน ทั้งหนักแน่น เหมือนมีมืออันอบอุ่นมาโอบกอดเฟมีลไว้ เฟมีลเล่นไปน้ำตาก็ไหลซึมออกมา คุณพ่อต้องเป็นคนแต่งเพลงนี่แน่ๆ ขอบคุณค่ะพ่อ ถึงหนูจะไม่เคยกอดพ่อ แต่แค่นี้ก็พอแล้วค่ะ

      Album : Piano Stories II
      Artist : Joe Hisaishi
      Title : Innocent


      - ตอนที่ 7 การสอบ

      “หมายเลข 7 เฟมีลล่า ไดเอนแพนไทร์”

      เฟมีลลุกขึ้นยืนอย่างสง่า ออกเดินอย่างมั่นใจแต่ใครจะรู้ว่าตอนนี้จิตใจเธอเป็นยังไง ตายแล้ว ถึงตาเราแล้ว มอรีลเขาก็ใช้เวทย์ได้ แล้วเราล่ะ เล่นเป็นแค่เปียโนได้แค่เนี๊ย แต่ก็เอาเถอะ ผ่านงานแสดงดนตรีมาก็มากจะมาตื่นเต้นอะไรกับแค่แสดงแค่เพลงเดียว เฟมีลหลอกตัวเอง !!! เธอตื่นเต้นมาก ที่เซเวนเธอคือเด็กอัจฉริยะแต่ที่นี่เธอไม่ใช่!!! เธอไม่อยากจะยอมรับเลยว่าสำหรับที่นี่เธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไม่มีแม้ความสามารถพิเศษอย่างที่เด็กคนอื่นเขามี 

      เฟมีลย่อกายทำความเคารพเหมือนคนอื่นๆ เมื่อเธอเงยขึ้นก็เห็นดวงตาเป็นร้อยคู่จ้องมาที่เธอ เหมือนมันบอกว่า จะทำอะไรก็รีบทำเข้าสิ เฟมีลล้วงลูกแก้วออกมาเอ่ยคำว่า “ loosen “ เบาๆ ลำแสงสีเงินก็ส่องมาที่พื้นเวทีเปียโนสีดำก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น เมื่อลำแสงจางลงบนเวทีก็ปรากฏเปียโนอยู่กลางเวที 

      เฟมีลนั่งลงที่เก้าอี้ บีบมือเล็กน้อยแล้วจึงเริ่มบรรเลง เสียงเพลงเริ่มต้นด้วยเสียงที่เอื่อยเฉื่อยเหมือนลาแก่ที่ขี้เกียจจะเดิน ต่อจากนั้นเสียงเพลงก็เร็วขึ้นเรื่อยๆ ๆ เฟมีลเล่นเปียโนจนลืมสนใจสิ่งรอบข้างเลยไม่เห็นว่า แก้วน้ำของคณะกรรมการเริ่มร้าว ร้าวมากขึ้น ร้าวมากขึ้นอีก แล้วมันก็......เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง! เสียงเพลงยังดำเนินต่อไปแต่ค่อยๆ แผ่วลงแผ่วลง เศษแก้วก็กลับมาหลอมเหมือนกับว่ามันไม่เคยแตกมาก่อน เสียงเพลงหายไปแล้ว ความเงียบเข้ามาแทนที่ เฟมีลเงยหน้าขึ้นจากเปียโน ลุกขึ้นยืน “famella” เปียโนก็หายไปกับแสงสีเงินอีกครั้ง 

      Album : Piano Stories III
      Artist : Joe Hisaishi
      Title : Nocturne 

      -ตอนที่ 11 ไฟอนธการ

      เฟมีลมองร่างของเด็กชายที่ถูกผ้าสีขาวพันอยู่รอบตัวยกเว้นที่จมูกและตาที่ตอนนี้ก็ปิดสนิท ตามผ้าที่พันมีคราบสีเขียวเข้มของยาสมุนไพรกับสีแดงช้ำของเลือดเปรอะไปหมด 

      “อย่างที่คุณเห็นนั่นแหละ เพื่อนของคุณโดนไฟอนธการลวก ตอนนี้เขาต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน มาสเตอร์ อมารานบอกผมว่า เราไม่สามารถรักษาเขาด้วยสมุนไพร เพราะเขาอาจทนพิษบาดแผลไม่ไหว จึงต้องมีการใช้มนตราออลอริน”
      “อะไรคือมนตราออลอรินคะ ศาสตราจารย์” เฟมีลถามขึ้นอย่างสงสัย มันเป็นอะไร แล้วเกี่ยวอะไรกับเรา

      “มนตราออลอรินเป็นมนตราที่ใช้ในการรักษาขั้นสูง เราจะนำมาใช้กับคนไข้ที่โดนไฟอนธการลวกแล้วอาการของเขาไม่สามารถรักษาด้วยสมุนไพรหรือพฤกษาเวทย์ธรรมดา มนตรานี้เกิดจากเวทย์ 4 สายคือวารีเวทย์ พฤกษาเวทย์ เวทย์แห่งแสงและเวทย์แห่งรัตติกาล คราวนี้มาเข้าเรื่องของเรา ที่ผมต้องเรียกคุณมาเพราะ
      มาสเตอร์ นีชา พึ่งเดินทางไปสัมมนาที่โพลาโต้เมื่อเช้านี้และจะกลับมาไม่ได้จนกว่าถึงวันจันทร์หน้า แล้วผมก็มองไม่เห็นใครที่มีความสามารถใช้เวทย์แห่งแสงได้เท่ากับพวกคุณ”

      “จะให้พวกเราทำอะไรบ้างล่ะคะ” 

      “ไม่ต้องทำอะไร แค่เล่นเปียโนในแบบที่คุณเคยเล่นเท่านั้น ส่วนคุณลีโอผมได้ข่าวมาว่าคุณเล่นไวโอลินได้ใช่ไหม เอามาไหม” ลีโอพยักหน้ารับคำ นายนี่เล่นดนตรีได้ด้วย เหลือเชื่อคนไร้อารมณ์ขนาดนี้เล่นดนตรี ไม่ใช่ว่าเป็นเพลงสวดศพหรอกนะ

      “แล้วจะให้เล่นเพลงอะไรคะศาสตราจารย์”

      “ไม่มีเพลงเฟมีล่า สิ่งที่คุณต้องสื่อถึงผู้ป่วยคือใจที่อยากให้เขาหายแค่นั้นพอ เริ่มกันเลยนะ”

      เฟมีลนั่งประจำที่เปียโน ลีโอก็เดินมาอยู่ใกล้เธอ มาสเตอร์ ลากียกมือขึ้นสายน้ำก็ไหลรินออกมาจากมือของเธอเข้าไปห่อหุ้มร่างของเด็กชาย พร้อมๆ กับมาสเตอร์ อมารานยกมือขึ้นกวาดไปที่เด็กชายทำให้คราบสีเขียวที่ติดอยู่ที่ผ้าพันแผลก็เปล่งประกายขึ้น 

      เฟมีลรู้สึกได้ว่าพลังทั้งสองมันเหมือนจะต้านกันเองจนกระทั่งเมื่อมาสเตอร์ ไซเอนอ้าวงแขนออกพลังทั้งสองดูสมดุลขึ้นแต่ยังไม่มาก ศาสตราจารย์ อเดเลยกมือขึ้นเป็นสัญญาณ ให้เฟมีลและลีโอเริ่มบรรเลง แสงสีขาวเข้าห่อหุ้มคนทั้ง 5 ศาสตารจารย์ อเดเลใช้นิ้วขีดเส้นวงมนตราเพื่อกันพลังเวทย์ไม่ให้เล็ดลอดออกมาจากพื้นที่ที่จะมันควรจะเป็น 

      เสียงจากเปียโนและไวโอลินประสานกันกลมกลืนอย่างน่าประหลาด ไวโอลินเศร้าสร้อยเสียดแทงอารมณ์และเปลี่ยวเหงา แต่เปียโนอ่อนหวาน นุ่มนวลแต่อบอุ่น เวลาผ่านไปเท่าไรเฟมีลไม่อาจรับรู้ จนกระทั่งเสียงของศาสตราจารย์ อเดเลดังขึ้น

      “พอแล้วเฟมีลล่า ลีโอ การรักษาเสร็จสิ้นแล้ว”

      เฟมีลหยุดเล่น เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าเด็กที่ได้รับบาดเจ็บตอนนี้ไม่มีผ้าพันแผลแล้ว ตามร่างกายก็ไม่มีรอยแผลเพียงแต่เขายังไม่ฟื้นเท่านั้น เฟมีลลุกขึ้นจากเก้าอี้จะเดินไปดูแต่พอจะก้าวขาออก ขามันหมดแรงเอาดื้อๆ เธอคงจะหัวคะมำไปข้างหน้า ถ้าไม่ได้มือของคนที่ยืนอยู่ข้างๆ คว้าไว้ก่อน

      Album : Final Fantasy IV Piano Collection
      Artist : Shiro Hamaguchi & Seiji Honda
      Title : Theme of Love 

      -ตอนที่ 18 ออโรร่า ตำนานปราสาทปริศนา

      “รักไม่จำเป็นกับ...สายเลือดแห่งความมืด หากเจ้าไม่นำชีวิตของออโรร่ามา เมื่อใดที่นางเล่นบทเพลงแห่งคำมั่นสัญญาจบชีวิตของเจ้าจะสูญสิ้น” 

      แสงสีแดงหายไปพร้อมกับร่างของดราฟที่ลุกขึ้นอย่างหมดแรงเดินหายไปในความมืดนั้น แสงสีเหลืองนวลดูอบอุ่นสว่างขึ้นทั้งเวที ที่ตรงกลางเวทีนั้นหญิงสาวผู้มีผมสีขาวดังหิมะนั่งบรรเลงเพลงแห่งการรอคอยอยู่อย่างเงียบเหงา เธอรอเพียงคนเพียงคนเดียวไม่เคยมาสาย แต่วันนี้กับต่างออกไป เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ทำให้เจ้าหญิงออโรร่า หันกลับมาอย่างดีใจ พร้อมกับลุกขึ้นยื่นมือส่งไปหาดราฟ ชายหนุ่มเกาะกุมมันเอาไว้ เจ้าหญิงทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วเปล่งเสียงที่มีเพียงคนคนๆ เดียวจะได้ฟัง

      “ในที่สุดท่านก็มา เรานึกว่าท่านจะลืมเราเสียแล้ว”

      “ไม่มีวันที่ข้าจะลืมหัวใจและบทเพลงแห่งคำสัญญาของเรา และการพบกันครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่ข้าจะขอท่าน เจ้าหญิงของข้า เต้นรำกับข้าสักเพลงได้ไหม”

      ดราฟโค้งให้เจ้าหญิงแล้วยื่นมือไปรับมือที่ยื่นส่งมาของเจ้าหญิงออโรร่า ทั้งสองเต้นรำกันจนกระทั่งเพลงจบลง เจ้าหญิงออโรร่าทรงย่อพระวรกายลงเป็นการขอบคุณสำหรับการเต้นรำที่อ่อนหวานที่สุด แล้วพาตัวเองมานั่งที่เก้าอี้และเริ่มบรรเลงเพลงอย่างสุขใจ แต่ดราฟกลับมองแผ่นหลังอันบอบบางนั้น อย่างอาดูร

      เสียงเพลงที่บรรเลงทั้งนุ่มนวลและอ่อนหวานเพลงบรรเลงเนิ่นนาน ดราฟค่อยๆ ทรุดตัวอย่างหมดแรงเขาหลับตาฟังเพลงของนางอันเป็นที่รักบรรเลงให้อย่างสุดหัวใจด้วยหัวใจ โดยไม่นำพากับเลือดที่ค่อยๆ ไหลออกมาจาปากและความเจ็บปวดที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาแบ่งแยกโสตของเขา เมื่อเจ้าหญิงออโรร่าหันกลับมามองชายผู้ที่วันนี้ดูเงียบผิดปกติก็พบเขานอนจมกองเลือด!!!! 

      ตึง !!! เสียงนิ้วเรียวกระแทกคีย์ปียาโน่ พระองค์รีบถลาพระวรกายไปที่ชายที่นอนแน่นิ่ง น้ำตาที่ไม่เคยหลั่งมาตลอดทั้งชีวิตก็หลั่งออกมา บัดนี้เจ้าหญิงผู้พบแต่ความสุขได้เผชิญกับความโศกเศร้าเป็นครั้งแรกของเธอแล้ว

      “ดราฟ ดราฟ” เสียงเรียกแหบแห้ง ทำให้ชายหนุ่มที่นอนแน่นิ่งอยู่พยายามลืมตาขึ้นอย่างยากลำบากเพื่อจะมองใบหน้าของหญิงอันเป็นที่รัก เอื้อมมือขึ้นโดยมีมือของเจ้าหญิงรีบจับมาแนบที่หน้า

      “ออโรร่า เจ้าหญิงแสนสวยของข้า จงรู้ไว้เถิดว่า ข้ายอมสละชีวิตนี้เพื่อท่านเพียงผู้เดียว มันคือโชคชะตาที่ถูกกำหนดไว้แล้ว กาลเวลาทั้ง 3650 ราตรี ที่ล่วงเลยมา เพลงที่ท่านเล่นเพื่อข้า มันเปรียบเหมือนโลหิตที่ล่อเลี้ยงในกายเพื่อให้ข้าได้มีชีวิตอยู่ หากบัดนี้ข้าจะลงมือเอาชีวิตท่านตามสัญญากับท่านพ่อ มันก็เหมือนข้าสูบโลหิต กัดกิน เนื้อของร่างกายตัวเอง” ยิ่งดราฟพูดมากเท่าไรเลือดก็ยิ่งออกมามากเท่านั้น

      “เจ้าหญิง....เจ้าหญิงของข้า โปรด...อย่าเสียใจไปเลยเพราะเมื่อใด..เมื่อใดที่สายลมบรรจบกับแสงแดด เสียงดนตรีผสานกับเสียงเพลงของสองเรา เมื่อนั้น...ข้าก็จะได้พบท่าน เราทั้งสองจะอยู่คู่กัน” ดราฟยิ้ม ยิ้มอย่างที่ยิ้มครั้งแรกที่ทั้งสองได้พบกัน เจ้าหญิงกระชับมือของดราฟเอาไว้ที่ตรงหัวใจ

      “ดราฟ ชายผู้เป็นหนึ่งในดวงใจข้า ข้าขอสัญญา...จะไม่มีวันใดที่ข้าไม่รอคอยท่าน จงโปรดระลึกไว้เถิดว่า ออโรร่า...เจ้าหญิงของท่านคนนี้ จะคงอยู่เพื่อรอคอยท่านเพียงผู้เดียว แม้นสิ้นลมหายใจ ข้าก็จะคงอยู่ เพื่อรอวันที่จะเล่นเพลงให้ท่านฟังตลอดกาล...”

      Artist : Yiruma
      Title : Kiss the Rain

      Album : Final Fantasy VII Piano Collection
      Artist : Shiro Hamaguchi & Seiji Honda
      Title : The Place I’ll Return to Someday 

      -ชั้นเจสเทิร์น ตอนที่ 41-แสดงฝีมือ

      “วันนี้ เรามีเมนูพิเศษเพื่อคนพิเศษอยู่เมนูหนึ่ง ใครก็ตามที่ได้กินสิ่งนี้เข้าไป คนคนนั้นจะเป็นคนที่จะได้ขึ้นมาโชว์” คราวนี้เสียงที่ฮือฮายิ่งดังขึ้นกว่าเก่า เพราะใครจะไปจำได้ว่าตังเองกินอะไรไปบ้าง

      “เมนูพิเศษนี้คือเค้กกราเป้ ที่มีกระดาษรองเค้กสีม่วง!!!!” ทั้งห้องโถงเงียบลงอย่างน่าประหลาดก่อนที่จะมีเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า

      “เฟมีล!” รีเนลนั่นเองที่เอ่ยชื่อเพื่อนอย่างตกใจ ส่วนเจ้าตัวก็ทำท่าเหรอหราว่าเพื่อนเรียกชื่อเธอทำไมก่อนที่จะเข้าใจอะไรๆ ขึ้นมาเมื่อก้มลงดูจานขนมของตัว เอ เมื่อกี้เรากินเค้กกราเป้ไป แล้ว… เมื่อเธอก้มหน้าลงมามองที่จานเค้กที่ยังวางอยู่ตรงหน้าตนก็พบว่า กระดาษลองเค้กมันเป็นสีม่วงนี่สิ นี่แหละปัญหา!!!!

      “อ้อ เราได้ผู้โชคดีแล้วล่ะ ว่าไง เฟมีล” เสียงห้าวเอ่ยถามหญิงสาวที่ตอนนี้หน้าซีดลงซีดลงอย่างไม่ต้องสงสัย เพื่อนก็ต่างมองมาอย่างสงสารปนโล่งใจที่คนพิเศษในค่ำคืนนี้ไม่ใช่ตน

      “เอาล่ะๆ มาๆ ขึ้นมาเลย คนนี้ต้องขอบอกหน่อยว่า เป็นคนที่พี่ดูแลเองด้วย แหม...ไม่นึกว่าจะได้มาเป็นผู้โชคดีในคืนนี้ เอ้า มาเร็ว” เฟมีลค่อยๆ พยุงตัวที่เกือบทรุดกับความโชคร้ายที่พึ่งหล่นทับเมื่อกี้นี้อย่างยอมจำนนต่อโชคชะตา ร่างสูงโปร่งในชุดกระโปรงยาวสีเหลืองอ่อนค่อยๆ เคลื่อนตัวผ่านโต๊ะต่างไปที่เวที โดยมีเสียงเชียร์เป็นระยะๆ ตามรายทางที่เดินผ่าน เมื่อเธอขึ้นมาบนเวทีก็พบใบหน้าที่ยิ้มอย่างสมใจอย่างที่เฟมีลคิดว่า เป็นหวยล็อกหรือเปล่าที่เธอได้รับเค้กประสงค์ร้ายก้อนนี้

      “คืนนี้น้องเฟมีล อยากจะโชว์อะไรเป็นของกำนัลต่อพวกพี่บ้างล่ะครับ” เฟมีลถอนหายใจเฮือกอย่างหมดอาลัย ก่อนที่จะทำใจว่า ไม่เป็นไรหรอกน่าก็แค่โชว์ เดี๋ยวแสดงเพลงซักเพลงสองเพลงก็พอ หนอย พี่ไคน์คอยดูนะ จะแก้เผ็ดให้เข็ด เมื่อคิดถึงเรื่องแก้แค้นจากหน้าซีดก็เปลี่ยนเป็นหมายมั่นอย่างน่าประหลาดก่อนที่จะหันไปยิ้มหวานเจี๊ยบว่า

      “อยากจะเล่นเปียโนเวทย์น่ะคะ พี่ไคน์ช่วยเป็นนักร้องให้คืนนี้ได้ไหมคะ” เสียงเฮลั่นเมื่อพวกรุ่นพี่ได้ยินสาวน้อยรุ่นน้องตอกกลับมาที่ชายหนุ่มผมทอง อย่างที่ดีกรีความแสบสันไม่ได้ต่างจากของรุ่นพี่ซักเท่าไร แต่ยังไงๆ ขิงแก่ก็ย่อมเผ็ดกว่าขิงอ่อน หนุ่มหน้าสวยเผยรอยยิ้มที่เรียกว่ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งตอบกลับไปว่า

      “ถ้าพี่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าน้องเฟมีลที่แม้แต่มาสเตอร์ นีชายังเอ่ยว่า จะเป็นว่าที่นักเปียโนเวทย์ที่เก่งที่สุดในเซวีน่าล่ะก็ พี่ก็คงอาจเอื้อมที่จะเป็นนักร้องคู่กับเปียโนของน้องล่ะครับ แต่ว่างานนี้เราต้องการความแปลกใหม่ครับน้อง คืนนี้เราจะไม่ให้น้องเล่นดนตรีอย่างเคย แต่จะให้ทำอย่างอื่นแทน” 

      คราวนี้ก็ถึงคราวเฟมีลที่จะต้องใจหล่นลงไปอยู่ตาตุ่มเพราะนอกจากเปียโนแล้วเธอจะเอาอะไรมาสู้กับเขาได้ มีดีอยู่อย่างเดียวนี่นา แต่ใบหน้าก็ยังคงรอยยิ้มอย่างมีฟอร์มเพราะรู้ว่าถ้าให้คนๆ นี้ต้อนได้ละก็ คืนนี้เธอได้กลายเป็นตัวตลกประจำงานแน่ๆ

      “แล้วเราจะแสดงอะไรให้ท่านผู้มีเกียรติ์ในคืนนี้ชมกันล่ะคะ” เฟมีลกัดฟันพูด ไคน์ยิ้มแล้วเอ่ยว่า

      “อันนี้ เราไม่ขอกำหนดหรอกครับ น้องอยากแสดงอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่การเล่นดนตรีเวทย์ เอาล่ะ พี่ขอยกเวทีนี้ให้น้องเลยแล้วกัน” พูดเสร็จคุณพี่ท่านก็เดินลงไปอย่างหน้าตาเฉย ปล่อยให้เฟมีลต้องหันมายิ้มแห้งๆ ก่อนที่จะยอบกายทำความเคารพคนดูอย่างเขินๆ ฉีกยิ้มหวานที่ต่างกับสภาพจิตใจที่กำลังร้อนรุ่มไปด้วยความแค้นเคืองที่อยู่ๆ พี่เชื้อมาทำอย่างนี้ คอยดู พี่ ไคน์ มีอะไรมาขอร้องล่ะก็จะไม่ช่วยเลย 

      “เอ่อ เดี๋ยวขอเวลาเตรียมตัวหน่อยนะคะ รู้สึกว่าตอนนี้จะกะทันหันไปหน่อยขอเวลาซัก 40 นาทีนะคะ” พูดเสร็จเด็กสาวก็เดินลงมาจากเวที เดินกลับไปที่โต๊ะ แล้วชักชวนพวกพ้องหายเข้าไปหลังเวที

      “ทำยังไงดี เซ” เมื่อลับตาผู้คน จากหญิงสาวผู้มากความสามารถก็แสดงความร้อนรนอย่างปิดไม่มิด ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างสบายอารมณ์เมื่อสักครู่ถูกระบายไปด้วยความตื่นเต้นและความกังวล

      “นั่นสิ เธอคิดๆ ไว้หรือเปล่าว่าจะแสดงอะไร” มอรีลเอ่ยถามอย่างเครียดๆ เหมือนกัน 

      “คิดบ้าอะไร ใครมันจะไปคิดออก ในชีวิตฉันมีแต่การเล่นดนตรีเท่านั้นแหละที่พอจะมีหน้ามีตากับเขาบ้าง พวกเธอก็รู้ว่าฉันมันพวกเอาตัวรอดไปวันๆ เท่านั้น”

      “ไม่หรอก เธอน่าจะทำได้ อย่าลืมสิ ยังมีอีกอย่างที่เธอทำได้ดี แล้วมันก็ติดตัวเธอมาตัวเธอแต่เกิด” 
      เซเลน่าเอ่ยขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกาย

      “อะไรล่ะ จะมีอะไรอีกที่ฉันทำได้ดีไปกว่าการเล่น เอ๊ะ หรือว่าเธอหมายถึง…” เฟมีลครางออกมาอย่างนึกได้ “ใช่ นั่นล่ะ เฟมีล ฉันว่าเมื่อการแสดงจบลง แม้แต่ ว่าที่จอมเวทย์อัคคีที่เก่งที่สุดในเซวีน่า ก็ต้องเป็นของเธออีกตำแหน่งแน่ๆ” รีเนลสนับสนุน

      “แต่ว่า มันมีปัญหาอยู่ข้อหนึ่ง คือฉันยังไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าฉันเป็น...อย่างนั้นนี่นา”

      “ก็อย่าแสดงพลังออกมาหมดสิ เอาแค่ให้ตะลึงเท่านั้น” รีเนลแนะต่อ เฟมีลก้มหน้าครุ่นคิดก่อนที่จะเงยหน้าเอ่ยอีกว่า

      “แต่สีผมกับตา…” คราวนี้เพื่อนๆ ก็เข้าใจแล้วว่าเพื่อนสาวกังวลเรื่องอะไรอยู่ ทั้งหมดนิ่งเงียบเพื่อช่วยกันระดมความคิด ก่อนที่จะสุมหัวรวมกันอย่างพร้อมเพียงเมื่อมอรีลนึกความคิดดีๆ ออกมาได้

      40 นาทีของการรอคอยสำหรับผู้ชมมันเหมือนนานแสนนานแต่สำหรับคนที่วิ่งเตรียมงานที่หลังเวทีแล้ว ก็เหมือนเวลานั้นผ่านไปไวอย่างกับมีคนแกล้งบิดเข็มนฬิกาให้หมุนเร็วกว่าปกติอย่างไงอย่างงั้น เมื่อไคน์เดินเข้ามาหลังเวทีเพื่อมาเตือนว่าจะถึงเวลาแล้ว

      “เฟมีล เสร็… โอ๊ะ!!!” เสียงอุทานอย่างประหลาดใจก่อนที่จะหันหลังเดินกลับออกมาอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง เมื่อนั่งลงเพื่อนต่างรุมถามว่าหลังเวทีเป็นอย่างไรบ้าง ชายหนุ่มก็ได้แต่อมยิ้มจนคนอื่นหมั้นไส้ แต่ยังไม่มีการลงมือลงไม้กัน แสงไฟทั้งห้องโถงก็หรี่ลง

      กลิ่นไม้หอมระเหยออกมาเป็นควันจากปลายไม้ที่วางตัวขนานกับพื้นระดับใหล่ของร่างที่คลุมด้วยผ้าขาวสะอาดตั้งแต่หัวจรดพื้น เหลือไว้แต่ดวงตาสีแดงดั่งโกเมนประกายทองที่ระยิบกับแสงคบเพลิงที่มีอยู่เลือนราง เมื่อทั้งห้องสงบลงเพื่อจดจ่อกับการแสดงมือซ้ายที่ถือก้านไม้หอมอยู่ก็หมุนไปรอบตัวของเฟมีล ผ้าคลุมสีขาวก็หายวับไป มือที่ถือไม้หอมวาดรอบตัวเป็นวงกลมเปลวไฟก็ติดพรึบขึ้น พร้อมๆ กับเสียงกลองที่ดังเป็นจังหวะจะโคนตามการขยับเท้า เหมือนกับผู้แสดงเป็นผู้กำหนดจังหวะกลองไม่ใช่กลองเป็นกำหนดจังหวะอย่างการแสดงทั่วไป

      เด็กสาวที่สวมชุดกระโปรงยาวเมื่อ 40 นาทีที่แล้วแทบไม่เหลือเค้าเดิม นับตั้งแต่ผมแดงเพลิงที่ครอบด้วยสังวาลย์สีทองที่ห้อยมากระทบหน้าผากขาวมน สายสังวาลสีทองยาวระลงมาพันผมที่ยาวสลวยที่พลิ้วไหวตามร่างของเด็กสาวที่เคลื่อนไหวอย่างงดงาม ดวงตาสีแดงแต่สีหม่นกว่าสีผมที่มีประกายความสนุกสนานปนตื่นเต้น ชุดที่สวมใส่เป็นผ้าพลิ้วไหวสีแดงตัดกับสีผิว ท่อนบนเป็นเสื้อแขนกุดที่ยาวแค่เอวทั้งตัวปักด้วยเลื่อมระยิบ กางเกงรัดรูปสีดำคลุมดัวยผ้าบางสีแดงที่พันเป็นระย้าเพื่อเพิ่มความสวยงามในขณะเคลื่อนไหว ที่ข้อเท้ามีกำไลสีทองติดกระดิ่งอันเล็กเมื่อปลายเท้าขยับทีก็เกิดเสียงกรุ๊งกริ๊งที

      เมื่อวงล้อเปลวไฟครบวงมันก็ค่อยๆ ลอยขึ้น รัดตัวเฟมีลที่ยืนนิ่งอยู่ตรงกลางก่อนที่จะเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วมาอยู่ปลายไม้หอมที่ตอนนี้ไม่มีควันหอมออกมาอีกแล้ว วงล้อไฟลดขนาดเหลือเพียงวงล้อเล็กที่หมุนวนอยู่ที่ปลายไม้ มือขวาของเฟมีลวาดมาประกบมืออีกข้างแล้วจับไม้แยกออก ผู้ชมที่อยู่เบื้องล่างจึงพึ่งทราบว่าไม้ที่เฟมีลถึออยู่นั้นมี 2 อัน ไม่ใช่อันเดียว คทาคบเพลิงถูกโยนขึ้นไปข้างหน้า ในขณะที่หญิงสาวกระโดดกางขา 180 องศา ตามที่เคยฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเท้าขวาเหยียบพื้น เฟมีลจึงวาดเท้าซ้ายตีวงไปข้างหน้าก่อนที่ยกเท้าขวาวาดตามไปแล้วค้างอยู่กลางอากาศ โดยมีขาซ้ายเป็นหลักในการทรงตัว ลำตัวที่ก้มลงเบื้องล่างแอ่นขึ้นรับ คทาไฟที่กลายเป็นลูกบอลไฟเรียบร้อยแล้ว

      เท้าทั้งสองกลับมายืนคู่กันอีกครั้งลูกบอลไฟก็เคลื่อนตัวจากมือขวาไปที่มือซ้ายทันที เด็กสาวสะบัดมือซ้ายจากลูกบอลไฟก็กลายเป็นริบบิ้นไฟที่ติดอยู่กลับปลายไม้หอมที่ปรากฏขึ้นอีกครั้งอย่างน่าอัศจรรย์ เฟมีลสะบัดริบบิ้นไฟไปรอบตัวทำให้เธอเหมือนเป็นเกสรดอกไม้เพลิงดอกใหญ่ ก่อนที่จะสะบัดไม้อย่างแรงคล้ายสะบัดแส้ขึ้นไปเบื้องบน เมื่อเธอขว้างแขนลงพื้น ผ้าสีขาวก็ลอยลงมาคลุมตัวเธอไว้ทันที 

      เธอขยับไขว้ขาเพื่อเปลี่ยนเป็นท่าถัดไป แต่แล้วร่างที่ยืนมั่นคงก็เหมือนเซจะล้มไปทางซ้ายแต่เมื่อเธอกวาดเท้าขวาไปทางด้านหลังพร้อมกับพลิกตัวตาม ท่าที่ออกมาจึงเหมือนเธอไขว้ขากลางอากาศ แล้วนั่งลงบนพื้นในลักษณะนั้น ผ้าที่เดิมคลุมร่างเธอเฉยๆ ก็กลับมาพันร่างเธอเหมือนเมื่อตอนที่เริ่มต้นการแสดง มือซ้ายที่ยังถือริบบิ้นเพลิงขนานกับพื้น 

      เมื่อเธอลงนั่งแล้วก็หายไปเหลือเพียงแต่ควันจากไม้หอมที่กลับมาอีกครั้ง ทันทีที่เสียงกลองเงียบไฟคบเพลิงทั่วบริเวณก็สูงขึ้น บนเวทีก็ปราศจากร่างของนักแสดงเสียแล้ว พบแต่ร่างของเด็กสาว 4 คนประกอบด้วย เซเลน่า มอรีล ลอลิน และรีเนล แถมด้วยโทนี่ที่ในมือยังมีกลองขนาดเล็กอยู่ในมือ ที่ขึ้นมายืนพร้อมโค้งให้ผู้ชมก่อนที่จะผายมือให้เด็กสาวในชุดกระโปรงยาวสีเหลืองอ่อนเดินออกมาย่อกายเป็นคนสุดท้าย เสียงปรบมือ เสียงผิวปากย่างชอบใจจึงดังขึ้น

      Album : Piano Stories III
      Artist : Joe Hisaishi
      Title : Taiyou Ga Ippai 

      -
      ตอนที่ 66 พิธีกรรมปริศนา

      เสียงหวานปนเศร้าของไวโอลินที่ดังขึ้นดึงสติของเฟมีลกลับมายังการแสดงตรงหน้า ชาลีที่วันนี้แต่งตัวต่างไปจากทุกที เรียกรอยยิ้มจากเธอได้ไม่ยาก ตายแล้ว หมอนั่นคงอึดอัดน่าดู ที่ต้องมาอยู่ในชุดพิธิการอย่างนี้ ท่วงทำนองหวานค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเป็นสนุกสนาน จังหวะที่เร็วขึ้น โดยมีเครื่องสายพลัดรุกพลัดรับของเสียงกับเครื่องเป่า ผู้เข้ามาสัมนาบางคนถึงกับหัวเราะเมื่อสายไวโอลินของอาเรสขาด แต่เด็กหนุ่มก็ยังแสดงต่ออย่างมีสปีริต จังหวะเริ่มช้าลงและเบาลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายเหลือเพียงเสียงฮาร์ปของมอรีลเท่านั้นที่บรรเลงเพื่อปิดท้ายบทเพลงนี้

      Album : Acoustical Serenade
      Artist : RoeTaKa
      Title : Waltz in G# Minor 

      -
      เสียงของเปียโนโน้ตแรกดังขึ้น ทั้งห้องโถงก็ตกอยู่ในวังวนของบันไดห้าเส้นทันที นิ้วเรียวที่พรมลงบนคีย์ทำให้เกิดลำแสงสีเหลืองนวล 5 เส้นแล่นออกมาจากตัวเปียโนแก้ว ตามด้วยตัวเขบ็ตที่เคลื่อนไหวไปมาตามทำนองเพลง บันไดห้าเสียงที่เพิ่มความยาวมากขึ้นเรื่อยๆ เคลื่อนสะบัดพริ้วเหมือนผ้าไปทางฮาร์บที่วางอยู่ทาง ด้านขวาของเปียโน ทันทีที่บันไดห้าเสียงพาดผ่านสายพิณ เสียงของฮาร์ของดังคลอออกมา เสียงทั้งสองสอดประสานกันเหมือนเสียงของหญิงสาวร่ำไห้เพื่อรอคอยคนรักที่จากลา แต่ความเศร้านั้นอยู่ไม่นานเพราะเมื่อบันไดห้าเสียงเคลื่อนตัวมาอีกฟาก ไวโอลินก็ลอยขึ้น คันชักเริ่มทำงานเหมือนมีบุคคลที่สามมาเล่นมัน เสียงร่ำไห้ของหญิงสาวได้รับตอบรับแล้ว เครื่องดนตรีทั้ง 3 ชิ้นต่างช่วยกันบรรเลงทำให้เพลงเศร้ากลายเป็นเพลงหวานซึ้ง เฟมีลค่อยๆ ละมือออกจากแป้นเปียโน แต่น่าแปลก เปียโนแก้วนั้นกลับเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นเล่นอยู่ เด็กสาวยกมือขึ้นทาบอกจากนั้นก็สะบัดมืออย่างรวดเร็ว ขลุ่ยคริสตัลก็มาอยู่ในมือเธอทันที เสียงแผ่วพริ้วของมันทำให้เพลงรักกลายเป็นเสียดแทง ความรักที่จำพราก เสียงฮาร์ปแทนหยดน้ำตาของฝ่ายหญิง เสียงไวโอลินแทนเสียงโอดครวญในจิตใจของฝ่ายชาย เปียโนคือคือสายใยสุดท้ายที่เชื่อมทั้งสองเอาไว้ 

      Johann Pachelbel - Cannon in D Major(Violin)
       Johann Pachelbel - Cannon in D Major(Symphony)
      Johann Pachelbel - Cannon in D Major(Piano)
       Johann Pachelbel - Cannon in D Major(Harp & Flute)
       Johann Pachelbel - Cannon in D Major(Guitar2)
      Johann Pachelbel - Cannon in D Major(Guitar1)
       Johann Pachelbel - Cannon in D Major(Acapella)

      -
      “ใครก็ได้ช่วยเฟมีลที” มอรีลทรุดตัวลงข้างเวทีแก้วอย่างหมดปัญญา เด็กสาวร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ไหล่บางสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงความอุ่นของมือใครซักคน ใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาเงยหน้าขึ้นดวงตาสีน้ำเงินพลันเปล่งประกายแห่งความหวังทันที

      “ไม่เป็นไรนะ มอรีล” เด็กสาวยกมือขึ้นปาดน้ำตาพลางพยักหน้าพลาง

      “ลีโอ...ช่วยเฟมีล...” เด็กหนุ่มยกมือตบไหล่มอรีลเบาๆ อย่างเข้าใจ ก่อนจะเดินผ่านบันไดห้าเส้นอย่างสบายๆ แววตาสีนิลเหลือบมองร่างของเฟมีลที่ลอยอยู่เบื่องบน จากนั้นก็ตวัดกลับมาที่ไวโอลินสีขาวบริสุทธิ์ เด็กหนุ่มกางฝ่ามือเล็งมาทางไวโอลินนั้นจากนั้นก็เหมือนมีเชือกกระชากไวโอลินให้มาอยู่ในมือเขา ทันทีที่มันสัมผัสกับมือของลีโอ สีขาวบริสุทธิ์นั่นก็ถูกย้อมด้วยสีดำวาวทันที

      ไวโอลินสีดำถูกวางลงบนไหล่ข้างที่พึ่งทุเลาจากอาการบาดเจ็บมือขาวของคว้าคันชักที่ลอยอยู่ข้างๆมาวางในตำแหน่งที่มันควรจะเป็น ท่วงทำนองอันอบอุ่นก็ดังขึ้น บันไดห้าเส้นสีดำพุ่งออกมาตามเสียงไวโอลินที่นุ่มนวลและปลอบประโลมเสียงกรีดร้องของฮาร์ปให้เบาลง เกลี่ยกล่อมเสียงขลุ่ยจากเสียดแทงให้กลายเป็นแผ่วเบาดุจเมฆน้อย บันไดห้าเส้นสีดำค่อยๆ ร้อยรัดพันบันไดสีขาวเอาไว้พุ่งตรงขึ้นไปยังดวงไฟสีทอง...

      ลำแสงสีดำที่พุ่งขึ้นมากระทบเตียงทำให้ออโรร่าลืมตาขึ้นอย่างตระหนก เสียงนั่น หรือว่า...ท่านผู้นั้นมาเหรอ ไม่ใช่ ต้องเป็นเขาแน่ๆ...ลีโอ ฟรานเชสก้า !!!!! ลำแสงที่ผสมเส้นสีสองสีดำกับขาวก็พุ่งตรงมายังร่างของชายอันเป็นที่รัก ฟู่ ลำแสงทั้งสองเคลือบร่างของของดราฟเอาไว้ตั้งแต่หัวจรดเท้า เหมือนสายฟ้าวิ่งผ่านร่างของดราฟ ร่างของชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีดำสนิทกระตุกอย่างแรงจากนั้นก็นิ่งสนิทไป พร้อมกับบันไดห้าเส้นทั้งสองสีถูกดึงกลับลงไปยังเบื้องล่าง

      Artist : Johann Sebastian Bach
      Title : G-Moll, BWV 1056r - Largo. Presto  

      -
      ตอนที่ 67 เดนาโล่

      เสียงดนตรีอ่อนหวานเริ่มบรรเลงพร้อมกับร่างของเด็กสาวเริ่มร่ายรำ ในมือมีผ้าสีขาวสะอาดที่สะบักพริ้วไปมารอบตัวเธอ ท่าระบำอันอ่อนช้อยสะกดผู้ชมทั้งที่ยืนดูและผู้ที่กำลังเดินชมงานเป็นอย่างดี

      ผ้าผืนบางเคลื่อนไหวตามแรงแขนของเฟมีลอย่างสวยงาม เสียงกระดิ่งที่เสนาะออกมาเป็นทำนองประหลาดทำให้คนละสายตาจากเธอคนนี้ไม่ได้ แล้วเหตุการณ์ที่คลาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น เมื่อเฟมีลสะบัดผ้าผงสีสีระยิบระยับออกมา กลิ่นหอมของดอกโรเซร่าที่ฟุ้งกระจายไปทั่วยิ่งเรียกคนให้เข้ามาดูที่เวทีการแสดง ร่างบางค่อยๆ หมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วช้าๆ ก่อนจากนั้นก็เพิ่มความเร็วให้เร็วขึ้น เร็วขึ้น ผืนผ้าถูกแรงเหวี่ยงพุ่งขึ้นด้านบน กลีบกระโปรงบานออกเหมือนดอกไม้กำลังคลี่กลีบที่สวยงามของมันออกมาให้ผู้ชมได้ดูกัน ความเร็วจนน่าตกใจนั้นสร้างทั้งความหวาดเสียวและตื่นตะลึงให้แก่ผู้ชม แต่คนเพียงคนเดียวที่เห็นว่าไม่ได้การจึงกระโดดขึ้นไปบนเวที แล้วคว้าแขนที่กางออกเพื่อทรงตัวของอีกฝ่ายไว้มั่นจากนั้นก็ค่อยลดความเร็วของเฟมีลลงจนสุดท้ายก็เหมือนลีโอเป็นคนจับเฟมีลหมุนตัว 

      เมื่อความเร็วลดลงเฟมีลก็เริ่มทรงตัวได้ เธอกวาดเท้าข้างขวามาข้างหลังพร้อมกับย่อเข่าซ้ายลง การหมุนสิ้นสุดลงในท่าทางของหญิงสาวที่ขาซ้ายตั้งชัน 90 องศา เข่าขวาคุกเข่าอยู่กับพื้น กระโปรงบานแผ่ออกกระจายเป็นรูปดอกเดน่า ซึ่งสัญลักษณ์ของงาน พร้อมๆ กับการโค้งหัวของลีโอเป็นการปิดการแสดงนั้นเรียกเสียงเฮกับเสียงปรบมือจากคนข้างล่างได้เป็นอย่างดี

      Artist : Polly Esther Sheats
      Title : Unchained Melodies 

      -
      ตอนที่ 68-69 งานสถาปนาโรงเรียน

      สายลมหมุนวนรอบร่างของมาสเตอร์รอลตาร์ เหมือนพายุหมุนพอสายลมจางหายไป ร่างของเฟมีลในชุดเสื้อคลุมสีดำยาวจรดพื้นแผ่ขยายรอบตัว ลายบนเสื้อคลุมปักด้วยไหมสีทองเป็นลายของวิหคไฟกำลังทยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เด็กสาวในชุดเสื้อคลุมสั้นสีแดงเพลิงทั้ง 8 ที่อยู่รอบข้างยกขลุ่ยที่อยู่ในมือขึ้นเป่าอย่างแผ่วเบา และเริ่มเคลื่อนไหวไปรอบๆ เฟมีล ค่อยๆ กางแขนออกและเงยหน้าขึ้นสบสายตากับคนที่จ้องมองมายังเธอ รอยยิ้มที่ฉาบความความสูงศักดิ์เอาไว้ทำให้คนดูต้องก้มหน้าหลบสายตานั้น 

      ทันทีที่เสียงขลุ่ยเริ่มครอบคลุมไปทั่วบริเวณลานประลอง บนหลังมือของเฟมีลก็มีวิหคไฟในตำนานผุดขึ้นมาและถลาบินขึ้นฟ้าไป พร้อมกับร่างของเฟมีลที่เอี้ยวตัวไปข้างหลังแล้วหมุนรอบเอว 360 องศาจนครบรอบ พลางสะบัดมือขวาเบาๆ ผ้าที่ประดับด้วยดอกไม้ละลานตาพุ่งออกมาจากแขนเสื้อคลุม ไปยังคนทั้ง 8 ที่กำลังบรรเลงเพลงอยู่ คนทั้ง 8 รับผ้านั้นไว้แล้วดึงจนตึง รัศมีทั้ง 8 หมุนวนไปรอบๆ ตัวเฟมีล เสื้อคลุมสีดำโดนผ้าดอกไม้พันจนแถบไม่เหลือสีดำให้เห็น แต่เพียงเฟมีลยกมือขึ้นเท่านั้น ผ้าทั้งหมดก็หายไปดอกไม้ที่ติดอยู่บนผ้ากระเด็นออกจากที่ที่มันยึดอยู่ และปลิวกระจายไปตามสายลมที่เกิดจากการสะบัดแขนร่ายรำของเฟมีล กลีบดอกไม้ที่ปลิวไปตามลมลอยมาลงบนมือของผู้ชมที่นั่งดูการแสดงอย่างเพลิดเพลินเหมือนกับ ดอกไม้นี้เป็นคำต้อนรับของสายลมที่ขอบคุณทุกคนที่มางานนี้

      เส้นผมสีดำของเฟมีลพริ้วไหวไปตามแรงหมุนของเจ้าของผมที่เคลื่อนตัวไปรอบๆ ลานเพื่อทักทายผู้ชมทุกด้านก่อนจะมาหยุดลงตรงกลางเพื่อให้วิหคไฟตัวเดิมบินลงมาเกาะที่ชายผ้า เปลวไฟสีเพลิงลุกขึ้น ณ ที่แห่งนั้นและลามมาเรื่อยๆ จนกลืนกินร่างของเฟมีลไปจนหมด เสียงอุทานอย่างตกใจของคนดูดังขึ้นระงม แต่น่าแปลกที่นักดนตรีทั้ง 8 คนยังคงเริงระบำต่อไปอย่างสนุกสนาน ฟู่ เสียงกลีบดอกไม้ที่เสียดสีกับสายลมทำให้ผู้ชมเงยขึ้นหน้ามองต้นกำเนิดเสียง ภาพของฝูงดอกไม้ที่ถูกพ่นมาจากชายเสื้อคลุมสีดำของเฟมีลโดยที่ผู้สวมนั่งอยู่บนวิหคไฟขนาดยักษ์แล้วบินไปรอบๆ ลานประลองสร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้ชมจนอ้าปากค้าง จากนั้นวิหคไฟก็ค่อยๆ ลดระดับลงจนมานอนราบกับพื้น ปล่อยให้เฟมีลหมุนตัวลงจากมันก่อนจะสะบัดชายเสื้อคลุมทับเจ้านกนั่นแล้วทรุดตัวลงในท่าเริ่มต้นพร้อมกับเสียงดนตรีที่ดังขึ้นเรื่อยๆ กลีบดอกไม้ที่ปลิวอยู่ก็กลับเข้ามารวมตัวอีกครั้ง ณ บริเวณคนทั้ง 9 แล้วเริ่มหมุนเป็นพายุอีกครั้ง ไม่นาน... ปัง! เสียงพายุหมุนดอกไม้ก็แตกออก แต่พื้นที่บริเวณนั้นไม่เหลือร่างนักแสดงทั้ง 9 อีกแล้ว ความเงียบเข้ามาแทนที่เพื่อให้ผู้ชมให้ลิ้มรสของความงามแห่งความเงียบหลังการแสดง จากนั้นเสียงปรบมือก็ดังกึกก้องทั่วลานประลอง

      Title : Bolero 

      ชั้นฮอยเต้ ตอน 89-นิมิตแห่งภูติ

      -
      ท่ารอคอนโดล่าในยามเย็นเต็มไปด้วยผู้คนตามเดิม คอนโดล่าที่จะไปริเวียร่ารอบสุดท้ายกำลังจะออกจากท่า ส่วนคอนโดล่าที่จะไปเมืองอื่นก็ใกล้จะออกแล้วเหมือนกัน ผู้คนเร่งเรีบเดินขึ้นกันใหญ่ สาวน้อย 4 คนก็ได้แต่เดินตามเจ้าถิ่นไปยังสุดท่าคนที่หนาตาอยู่ตามทางก็บางตาลงอย่างเห็นได้ชัด ที่นั่นมีคอนโดล่าซึ่งตกแต่งจนเหมือนร้านอาหารกลางน้ำจอดอยู่ มองออกไปยังลำนำเบื้องนอกมีหลายลำที่ลอยไกลออกไป มอรีลเดินตรงเข้าไปทักทายคนดูแลคอนโดล่าอย่างคุ้นเคยก่อนจะหันมาส่งยิ้มพร้อมทั้งโบกมือเรียกเพื่อนที่ยืนรออยู่ห่างๆ อย่างดีใจ

      คอนโดล่าเคลื่อนตัวตามกระแสน้ำอย่างเอื่อยเฉื่อย สาวๆ ทั้ง 5 ต่างกินอิ่มคุยสนุกนั่งชื่นชมปราการวารีนที่ส่องประกายท่ามกลางแสงจันทร์อยู่บนภูเขาอย่างมีความสุข

      "ที่นี่สงบจริงๆ นะ เป็นความเงียบที่ไม่ทำให้เรารู้สึกเหงาเลย มีแต่ยังไงล่ะ เหมือนมันอบอุ่นตลอดเวลา" เฟมีลพูดขณะที่รีเนลกำลังเรียนรู้การเล่นเครื่องดนตรีคล้ายกีต้าจากคุณลุงที่คอยดูแลอยู่บนคอนโดล่าแต่สุดท้ายดูเหมือนว่าจะเป็นการขอให้คุรลุงเล่นให้ฟังมากกว่า เสียงดีดของเครื่องสายที่เหมือนจะบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นใต้แผ่นน้ำนี้ ความรักที่จำพราก ทั้งสองฝ่ายต่างเฝ้ารอการกลับมาของอีกฝ่ายด้วยจิตใจที่แน่วแน่ เสียงเพลงดังคลออย่างอ่อนหวานและเศร้าสร้อย มอรีลยกมือทั้งสองขึ้นเท้าคางสายตาจ้องมองแผ่นนำไกลออกไปจนสุดสายตา

      "ใช่ เอเบียร่า ก็เป็นอีกเมืองที่เราชาววารีเน่ภูมิใจ แต่น่าเสียดายที่นี่อยู่ไกลจากริเสียร่า เป็นเหมือนเมืองหลวงชั้นในของรัฐ คนที่จะเข้ามาที่นี่ต้องมีพลังเวทวารีค่อนข้างสูง" มอรีลเอ่ยขึ้นอย่างเสียดาย

      "แต่มันก็ทำให้คนที่รักสายน้ำเท่านั้นไม่ใช่เหรอถึงจะมาถึงนี่ได้ เอเบียร่าถึงได้คงความสงบอย่างนี้ได้มาหลายพันปี เฮ่อ อิ่มจังเลย" เซพูดพร้อมทั้งทิ้งตัวลงพิงกับพนักเบาะที่ทำคล้ายเก้าอี้ที่ไม่มีขาเพื่อใช้ตั้งในคอนโดล่าโดยเฉพาะ

      "ฉันว่าเราต้องกลับกันแล้วล่ะ เดี๋ยวจะเลยเวลาเข้าปราสาท" มอรีลเอ่ยขึ้นเมื่ออาหารของคาวของหวานถูกเก็บออกไป คอนโดล่าเคลื่อนตัวเข้าใกล้ฝั่งทุกทีหลังจากลำลาคุณลุงเจ้าของคอนโดล่าเรียบร้อย 5 สาวจึงต่อคอนโดล่าจากที่ท่าเรือตรงขึ้นสู่ปราสาทวารีนทันที ภาพของปราสาทในยามค่ำคืนนี้เฟมีลจะจดจำไปตลอดชีวิต เมืองที่เงียบสงบแต่ไม่เงียบเหงา เมืองที่ดิโอลีเจ้าแห่งวารีนสถิตอยู่...และเมืองนี้คือเมืองที่เต็มไปด้วยอารยะแห่งภูติ

      Artist : Autumn in My Heart
      Title : Romance  

      -
      ตอนที่ 114 แอนดีส ดนตรีในสายหมอก

      เฟมีลส่งเบเคน(ระบบการจ่ายเงินผ่านธนาคารกลาง ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อการจับจ่ายได้สะดวกไม่ต้องพกพาเงิน) พี่สาวคนสวยตรวจสอบจำนวนเงินว่าถูกต้องเธอใช้ปากกาแตะคำสว่า 'ถูกต้อง' ทั้งสองส่งยิ้มให้กันจากนั้นเฟมีลก็เดินจากมา 
      เมื่อได้ของแล้วเฟมีลก็เดินกลับที่พักทันที ดีที่ทางที่นี่ไม่ลดเลี้ยวเคี้ยวคด เดินตรงอย่างเดียวก็กลับมายืนอยู่หน้าที่พัก เฟมีลตัดสินใจเดินเข้าที่ห้องซ้อมดนตรีก่อนที่จะเข้านอนเพราะความเห่อของใหม่ คบไฟในห้องดนตรีติดพรึบเมื่อมีคนเปิดประตูเข้า หญิงสาวรีบทำตามวิธีที่พี่สาวคนนั้นสอน เชลโล่ตัวใหม่เอี่ยมจึงมาอยู่ในมือ... 
      เสียงเชลโล่ซึ่งทุ้มกว่าไวโอลินมากทำให้ลีโอที่เดินหาหญิงสาวจนมาเจอเธอกำลังเล่นดนตรีอย่างมีความสุข เสียงทุ้มหวานของมันทำให้ลีโออดยิ้มไม่ได้ หญิงสาวตรงหน้าเขาช่างดงามเสมอเมื่ออยู่กับเสียงดนตรี 
      ลีโอเดินจากประตูห้องห้องมาที่เปียโน กดมือลงที่คีย์เสียง 'ติง' ดังขึ้นทำให้เสียงเชลโล่ชะงัก เฟมีลมองชายหนุ่มนั่งลงที่เก้าอี้หน้าเปียโนหลังใหญ่ นิ้วเรียวไล่คีย์อยู่เล็กน้อยเป็นการทำให้นิ้วคุ้น จากนั้นเสียงเพลงก็ดังขึ้น ดวงตาสองคู่สบกันก่อนจะผละจากกันไป เฟมีลจึงลงมือเล่นเชลโล่ของตัวเองต่อ เสียงสองเสียงประสานกันกลายเป็นเพลงสนุกปนหวานดังออกไปนอกห้อง เพื่อนๆ ที่เดินกลับมาจากไปเที่ยวกันจึงพากันหยุดฟังเพลงที่ทั้งสองเล่นจนเข้าสู่โลกแห่งเสียงเพลงไปแล้ว
      เสียงแผ่วพริ้วของเปียโนประสานเสียงทุ้มหวานของเชลโล่ ไม่มีใครเอ่ยปากส่งเสียงให้ทั้งสองเสียสมาธิ คนที่ฟังยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อเพลงจบลงเสียงปรบมือดังคับห้องไปเลย 
      ลีโอและเฟมีลงงๆ กับเสียงปรบมือก่นจะลุกขึ้นโค้งและย่อตัวขอบคุณล้อเลียนเพื่อนๆ รีเนลวิ่งตรงเข้ามาหาเฟมีลเป็นคนแรกแล้วพูดว่า
      "เธอเล่นเพราะจัง สมแล้วที่เป็นลูกพ่อ นายก็เล่นเพราะนะ ไม่รู้เลยว่านายเล่นเปียโนได้ด้วย" ลีโอพยักหน้ารับคำชมนิ่งๆ เพื่อนที่เข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อทุกอย่างจบก็พากันกลับเข้าห้องไป รีเนลยืนคุยกันเฟมีลอยู่แป๊บหนึ่งก็ต้องขอตัวไปกับโทนี่เนื่องจากมีนัดกับพวกอาเรสเรื่องนักหาข่าวอะไรทำนองนั้น สุดท้ายก็เลยเหลือเฟมีลกับลีโออยู่สองคน
      "นายเล่นเปียโนเพราะดี" เฟมีลพูดพร้อมกับเก็บเชลโล่ให้กลับเป็นพวงกุญแจตามเดิม 
      "เธอก็เหมือนกัน ไปได้นั่นมาจากไหนล่ะ" เฟมีลยกพวกกุญแจเป็นเชิงถาม อีกฝ่ายพยักหน้ายืนยันว่าใช่เฟมีลจึงตอบว่า
      "ได้มาจากตลาดนั่นแหละที่นี่ขายเครื่องดนตรีกันเยอะ นะร้านดังๆ ก็มา ดีจัง" เฟมีลพูดพลางมองของเล่นชิ้นใหม่อย่างเห่อเต็มที่

      Artist : Quorum Trio
      Title : Tributo a Elvis 

      -
      ตอนที่ 118 งานเลี้ยงในปราการ

      "การแสดงชุดต่อไปจากเมืองแอนดีสค่ะ สำหรับเขตการศึกษานี้ได้ส่งตัวแทนนักเรียนของโรงเรียนเวทแห่งเซวีน่า นับว่าทางปราการได้รับเกียรติเป็นอย่างสูงจากท่านลีโอ ฟรานเชสก้า ว่าที่เจ้าผู้ครองรัฐดาโรก้ามาทำการแสดงเพื่อฉลองงานครั้งนี้ และที่น่าประหลาดใจมากกว่านั้น คู่แสดงในวันนี้ของท่านลีโอคือลูกสาวเพียงคนเดียวของนักดนตรีเวทในตำนาน เชน ไดเอนแพนไทร์...เฟมีลล่า ไดเอนแพนไทร์ค่ะ"

      เสียงปรบมือดังกึกก้อง ท่ามกลางความแปลกใจระคนตกใจ เชน ไดเอนแพนไทร์เปรียบเสมือนบุคคลในตำนานของโพลาโต้จริงๆ แล้วลูกสาวเขาจะเป็นคนแบบไหนกัน นะ ทั้งเลเดียก้าและพาเรนเซ่ต้องตกใจเมื่อเห็นหญิงสาวในชุดราตรียาวคนนั้นคือเด็กสาวผมดำที่หน้าร้านน้ำชาในวันนั้น หญิงสาวในวันนี้งดงามราวกับภาพวาดเลยเชียว 

      เสียงไวโอลินสีแดงดังขึ้น เสียงไวโอลินสีขาวก็คลอตาม เสียงหวานปนสนุกสนานเล็กๆ ทำให้ทั้งห้องโถงเงียบสนิทฟังทั้งสองที่เล่นไวโอลิน เสียงเพลงทั้งหวานทั้งอบอุ่นยิ่งส่งให้ชายหนุ่มและหญิงสาวที่อยู่บนเวทีดูงดงาม ไวโอลินเพลงไม่สั้นไม่ยาวจบลงด้วยความอ่อนหวานที่สุด เสียงปรบมือดังขึ้น เฟมีลวางมือลงบนมือหนาก่อนจะย่อกายขอบคุณ

      จากนั้นเปียโนหลังใหญ่สองหลังก็ปรากฏขึ้นที่เวที ลีโอทำหน้าที่สุภาพบุรุษที่ดีเดินมาส่งเฟมีลที่เปียโนหลังทางขวาก่อนที่ตัวเองจะเดินมานั่งที่ของตัวเอง จากนั้นเฟมีลก็เริ่มร่ายเวทมนต์ของเธออีกครั้ง อย่างที่ลีโอบอก เฟมีลล่า ไดเอนแพนไทร์จะงดงามที่สุดเมื่ออยู่กับเปียโนและเธอก็ยังเป็นอย่างนั้นแม้ในสายตาของคนอื่น

      พาเรนเซ่ รู้สึกเสียหน้าอย่างรุนแรง ผู้หญิงคนนั้นฝีมือเหนือชั้นกว่าเขาหลายขั้น นี่ขนาดเล่นดนตรีในแบบธรรมดา พลังเวทยังกระจายตัวออกอย่างสวยงาม ไม่เพียงแต่ไวโอลินเท่านั้น แค่เพียงเธอเล่นเปียโน เครื่องดนตรีที่ตั้งไว้ทั้งหมดก็เหมือนสั่นคลอน เสียงแผ่วพลิ้วลอยออกมาจากผสมเสียงเปียโนทั้งสองได้เป็นอย่างดี

      คนอีกคนที่พึ่งเห็นอีกโฉมหน้าหนึ่งของเฟมีลนั่นคือเจ้าชายเลเดียก้า เขามองใบหน้างามนั้นอย่างชื่นชม หญิงสาวคนนี้มียิ่งกว่าความสวยจริงๆ มิน่าล่ะพาเรนเซ่ถึงทำอะไรเธอไม่ใด้...ลูกสาวของเชน ไดเอนแพนไทร์ งั้นเหรอ น่าทึ่งมาก

      เสียงปรบมือดังกึกก้องเมื่อเสียงเปียโนหยุดลง เฟมีลลุกขึ้นพร้อมกับลีโอ จากนั้นทั้งคู่ก็เคารพคนดูอีกครั้ง ก่อนจะหันมาเคารพเจ้าภาพของงานอีกครั้ง แล้วเดินลงเวทีไป


      Artist : Two Violins
      Title : Telemann Duet in Bb - Affettuoso

      Artist : Johann Pachelbel
      Title : Cannon in D Major(Duet Piano)

      Artist : Winter Love Song
      Title : My Memory (Piano)

      Artist : Winter Love Song
      Title : My Memory (Piano & Violin)

      Artist : Winter Love Song
      Title : Track 09 

      -
      เป็นไงละตาบ้า มาถามอยู่ได้ เบื่อแล้วล่ะ คราวนี้จะไปจริงๆ มือบางกำมือหนาแน่นๆ อีกครั้งประมาณว่า...นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วนะถ้าไม่ลุกฉันจะลุกเอง เสียงเพลงดังขึ้นทำให้องค์ราชาเดินออกไปเปิดฟลอร์ ลีโอจึงลุกขึ้นโค้งเฟมีล ซึ่งไม่ต้องรอให้เฟมีลวางบนมือเขาเพราะมือนั้นอยู่ในมือเขาอยู่แล้ว ทั้งสองเลยออกมาจากโต๊ะเสวยที่หักเล่ห์ชิงเหลี่ยมกันเต็มที่ เจ้าชายลาเดียก้านั้นเพียงหัวเราะอย่างชอบใจ แต่อีกคนนั้นไม่ต้องดูเฟมีลก็พอจะรู้หรอกว่าเขาทำหน้าแบบไหน 

      "นี่ ฉันไปหมั้นกับนายอย่างเป็นทางการเมื่อไร" เฟมีลกระซิบถามเสียงเขียว

      "ไม่ได้หมั้นหรอก..." คราวนี้คนใจเสียกลับเป็นฝ่ายถามเสียเอง ตาบ้านี่จะเอายังไงกันนะ เป็นช่วงจังหวะที่พลิกตัวลีโอจึงก้มลงกระชิบที่ข้างหูเธอว่า

      "ความจริงน่ะ คือ ขอแต่งงานแล้วต่างหาก" คราวนี้เฟมีลอึ้งไปเลย มองดวงตาพราวระยิบนั้นของเขาอย่างฉงน 

      "...ของฝากจากป้าเรลล่าค่ะ...ป้าเฟ....ไม่ลืมสัญญา..." ของฝากจากป้าเรลล่า สัญญาอะไรที่ทำให้ป้าเฟมีความสุขขนาดนั้น 

      "นายอย่าบอกนะว่าของนั่น.....คือผ้าน่ะ" ลีโอไม่พูดแต่ยิ้มทั้งปากทั้งตาเชียว คราวนี่เฟมีลอยากจะทำร้ายร่างกายคนตรงหน้า ตาบ้านี่มันยังไง รู้เรื่องอะไรตั้งเยอะแล้วไม่เคยบอกเธอเลย มาบอกเอาตอนนี้มันได้อะไรขึ้นล่ะเนี่ย

      "ตาบ้าเอ้ย เป็นแมวที่ทั้งบ้าทั้งใบ้เลย นายนี่มัน..." เฟมีลไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกมาดี เสียงเพลงหยุดลง ลีโอจึงรีบจูงเฟมีลออกจากงานเลี้ยงตรงเข้าไปที่สวนของปราการ พอลับตาคนเข้าหน่อย เฟมีลก็เริ่มลงมืออย่างที่ใจคิด ทั้งทุบทั้งหยิกจนเมื่อเขารวบร่างเธอเอาไว้นั่นแหละถึงได้หยุดการประทุษร้ายนั่น

      "โกรธอะไร" เฟมีลเอาใบหน้าเกยอยู่ที่บ่าของคนตัวสูงหายใจแรงเพราะพยายามควบคุมสติของตัวเองที่กำลังอยากทำร้ายอีกฝ่ายอีกแล้ว

      "โกรธแมวใบ้ ไม่เคยคิดจะพูดจะบอกอะไรเลยใช่ไหม ต้องให้รู้เองอยู่เรื่อย" เฟมีลถามอย่างมีน้ำโห สองมือพยายามดันร่างสูงออกไปพอดิ้นหลุดหันหลังจากเขา อ้อมกอดก็รัดเข้ามาอีก ลมหายใจร้อนๆ ที่สัมผัสได้ที่ผิวแก้มทำให้ใบหน้าร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เธอเอียงหน้าหลบเท่าที่จะทำได้

      "คำตอบล่ะ" เสียงทวงๆ ที่ข้างหูทำให้เฟมีลพูดเสียงห้วนว่า

      "คำตอบอะไรไม่เห็นได้ยินคำถามอะไรเลย" ลีโอหัวเราะขึ้นเบาๆ แล้วก้มลงกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูเบาๆ มือบางของเฟมีลยกขึ้นปิดหูอย่างตกใจทันที รู้สึกถึงความร้อนจนหน้าแทบไหม้ทันที...ตาแมวบ้าทุกทีก็ใบ้กินอยู่แล้ว พูดอะไรออกมาน่ะ เป็นไข้อยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ 

      "ไหนล่ะคำตอบ" เสียงถามดังขึ้นพร้อมกับพลิกตัวให้อีกฝ่ายหันมาเผชิญหน้าตนเฟมีลลดมือลงจากหูแล้วดันไหล่อีกฝ่ายไว้

      "นายไม่เคยผิดสัญญาใช่ไหม???" เฟมีลเอียงหน้าถาม ลีโอมองเลยออกไปไม่ไกลสนามหญ้าที่เคยเจอเธอครั้งแรกอยู่ตรงนั้น เฟมีลหันไปมองตาม ภาพที่คุ้นตา สถานที่นั้นเหมือนเธอจะเคยมาแต่นึกไม่ออก

      "ไม่เคย...ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ไม่เคยผิดสัญญากับเธอสักครั้ง" เสียงดังแผ่วที่ข้างหูทำให้เฟมีลหันกลับมามองเจ้าของอ้อมแขน ดวงตาสองคู่ที่อยู่ใกล้กันอย่างที่ไม่เคยใกล้ ดวงตาที่มักมองเธออยู่เสมอ หญิงสาวเขย่งตัวสูงขึ้นอีกนิด ริมฝีปากอิ่มของเธอก็แตะริมฝีปากของเขาเพียงแผ่วเบาก่อนจะผละออกอย่างรวดเร็ว

      "รักษาสัญญาด้วยล่ะ..." อ้อมแขนของคนตัวสูงโอบร่างบางนั้นขึ้นอีกครั้ง สัมผัสครั้งต่อมาหนักแน่นยิ่งกว่าคำพูดใด ที่ท้ายทอยเขาสัมผัสถึงความเย็นจากสร้อยข้อมือของเธอ พันธสัญญาที่มอบให้แด่เธอเพียงผู้เดียว...พันธนาการที่เขาเดิมพันด้วยชีวิต

      Artist : Princess LuLu
      Title : Track 01 

      -
      ตอนที่ 131 เสียงกรีดร้องของใบไม้

      ความสุขเมื่อสามารถปกป้องคนที่ตนรักได้ (ลีโอ)

      ความทุกข์เมื่อถูกคนที่เรารักที่สุดปกป้อง (เฟมีล)

      ความทุกข์ที่ไม่สามารถแม้แต่จะยื่นมืออกไปช่วยเหลือคนที่รัก (เซอร์รัส)

      และความกล้าหาญที่จะยอมรับชะตากรรมของตนเอง (มอรีล) 

      ในความสุขยังคงมีความทุกข์แฝงอยู่เสมอและในความทุกข์ก็คงมีความสุขสอดแทรกไว้ภายในเช่นกัน 

      ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์พร้อม เราต้องแลกบางสิ่งมาเพื่อให้ได้บางสิ่งเสมอ

      เพลงนี้เป็นเพลงที่ในความสุขยังอมไปด้วยความเศร้าฟังแล้วอบอุ่นและเหมือน

      มีบางอย่างเสียดแทงเข้าไปในหัวใจ ฟังตอนอ่านตอนเสียงกรีดร้องของใบไม้ผมว่าคงได้บรรยากาศไปอีกแบบนะ

      Artist : Autumn in My Heart
      Title : Track 13 

      -
      ตอนที่ 132 คำตอบกับคำสัญญา

      "ฮือ ฮือ ฮือ คุณลุงอยู่ที่ไหนคะ คุณลุงเมื่อไรจะกลับ อย่าให้หนูอยู่คนเดียว คุณลุงขา..." เสียงร้องไห้ของเด็กหญิงน้อยกำลังนอนกอดหมอนในห้องสมุดที่แสนมืดมิดเพราะปราศจากไฟ เธอนอนร้องไห้อย่างนี้ทุกคืนวันจนกระทั่ง....

      "หนูเฟมีลล่าใช่ไหมครับ นี่เป็นจดหมายเรียกตัวให้ไปทดสอบความสามารถพิเศษนะ...ให้ผู้ปกครองพาไปแล้วกัน" เด็กหญิงยืนเกาะบานประตูรั้วอยู่อย่างนั้นมองพี่ผู้ชายแต่งตัวดีกระโดดขึ้นพาหนะที่ลอยอยู่พ้นผิวถนนด้านหลังเขามีถุงผ้าสีน้ำตาลใบยักษ์สองใบ เด็กน้อยมองดูจดหมายอย่าเงียบงัน แล้วกำมันเดินเข้าบ้าน ไม่นานหลังจากนั้นเธอก็ผ่านการทดสอบ เป็นนักดนตรีอัจฉริยะที่เซเวนไม่เคยมีมาก่อน

      "...นั่นเธอดูเด็กคนนั้นสิ เขาลือว่าลืมตามาก็จับเปียโนเลยนะ..."

      "...ตายแล้วทำไมถึงได้เรียนรู้ไวขนาดนี้ เธอไปให้คนอื่นสอนเถอะจ้ะ..."

      "...ยัยเด็กไม่มีพ่อมีแม่ พระเจ้าเอาพ่อแม่เธอไปเพราะเธอเป็นเด็กไม่ดี..."

      "...ทางเราอยากให้คุณขายบ้านหลังนั้นซะ หรือไม่ก็ต้องเซ็นสัญญากับเราว่าจะเป็นนักดนตรีมหาวิทยาลัย..."

      ทุกอย่างดูบีบคั้น ไม่ว่าจะมองไปทางไหน เด็กหญิงคนนั้นก็เติบโตมาด้วยตัวคนเดียว แค่ยิ้มแย้มได้ก็ถือว่าเป็นพรจากฟ้าแล้ว 

      "...ต้ายตายเรียนจบแล้วเหรอคะ แต่คงหางานยากหน่อยเพราะไม่มีตำแหน่งสำหรับคนไม่มีวัยวุติพอหรอกค่ะ..."

      "...เราไม่รับเด็กหรอกคุณ เรียนจบจริงหรือเปล่า ไม่มีทางหรอก..."

      "...ทางเราคิดว่าคุณจะเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า สัญญาจ้างงานคุณที่คุณปู่ท่านทำไว้นั้น ระบุว่าทางเราจ้างคุณมาเป็นบรรณารักษ์หอสมุดแห่งนี้ เมื่อไม่มีหนังสือแม้แต่เล่มเดียวอยู่ในหอสมุดอย่างนี้แล้ว..."

      แต่ละวันแต่ละปีที่ผ่านมาอย่างยากลำบาก เรื่องยุ่งมากมายเข้ามาพัวพัน ทำให้การร้องไห้เป็นสิ่งไม่จำเป็นอีกต่อไป เด็กหญิงที่นอนกอดหมอนร้องไห้ถูกเก็บใส่กล่องที่เรียกว่าความทรงจำ เหลือไว้แต่เด็กสาวอัฉริยะที่จะคิดเฉพาะเรื่องการมีชีวิตรอดเท่านั้น วันนี้จะหาอะไรกินได้ เงินที่ได้เดือนนี้จะพอหรือเปล่า ต้องจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแก๊ส ภาษีที่ดิน ภาษาอาคารขนาดใหญ่และหอคอยสูง ซ่อมบ้าน ทุกอย่างดูน่าจะเป็นวังวนที่ดึงดูดเธอให้อยู่ในโลก มีเพียงความหวังและกำลังใจเล็ก ๆ เท่านั้นที่คอยค้ำจุนให้เธอมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้

      "หนังสือเล่มนี้เป็นของคุณลุงเหรอคะ" หนังสือเล่มนั้นเปลี่ยนทุกอย่างในชีวิตเธอ คนที่รักเธอยิ่งกว่าใคร 'ป้าเป็นแม่นมของคุณหนูค่ะ เป็นมาตั้งแต่คุณหนูเกิด...' โรงเรียนที่ไม่เคยได้ไป...'ยินดีต้อนรับ Vorgestern ทุกคน วันนี้เป็นวันเปิดเรียนของโรงเรียนเวทแห่งเซวีน่า' เพื่อนสนิทที่ไม่เคยมี 'เธอชื่ออะไร ฉัน มอรีล มารีล จากวาริเน่' คู่แข่งที่ไม่สามารถเอาชนะได้ 'นั่นน่ะ เจ้าผู้ครองรัฐคนต่อไปเชียวนะ' ครอบครัวที่ไม่เคยได้มานอกจากความฝันและ...เจ้าของหัวใจเพียงคนเดียว 'นายสินะ...เจ้าของสร้อยข้อมือ' ทั้งๆ ที่ทุกอย่างน่าจะไปได้ดี ทั้งๆ ที่ควรจะเป็นอย่างนั้น....

      ภาพรอบตัวเด็กสาวค่อยเปลี่ยนไปตามอารมณ์และความทรงจำที่ทยอยกลับเข้ามา ความมืดรอบตัวยิ่งสร้างความทรมานอย่างแสนสาหัสให้กับเด็กหญิงตัวน้อยที่ค่อยๆ เจริญขึ้นมาเป็นหญิงสาว เธอนั่งกอดเข่าอย่างเดียวดายอยู่ในความืดนั้น

      "....เขาว่าเเมวมีเก้าชีวิต นายเดิมพันไว้กี่ชีวิตล่ะ..."

      "....ทั้งหมด..." 

      "....ไม่ นายต้องเดิมพันแค่แปดเท่านั้น ชีวิตสุดท้ายของนายต้องไม่เดิมพันเพื่อฉัน...แต่เพื่อเรา..."

      Artist : Windstruck
      Title : Stay

      Artist : Windstruck
      Title : At the Cafe

      Artist : Windstruck
      Title : Going Back to The Pass

      Artist : My Lovely Sam Soon
      Title : Inside My Heart (Piano) 

      -
      ตอนที่ 139 น้ำตาหญิงงาม

      "ซีเลส ท่านดีเลน่าอยู่ใกล้คุณตลอดเวลา ไม่มีซักวินาทีเดียวที่เธอห่างจากคุณ แต่คุณกลับไม่ได้ยินเสียงเรียกของเธอและนี่คือเหตุผลที่เซวีน่าไม่เคยเห็นร่างเวทย์ของกังหันรัตติกาล นี่คือการตอบแทนของฟรานเชสก้า เพราะหัวใจของท่านดีเลน่าอยู่ที่คุณ" 

      ลีโอเอ่ยขึ้นทำให้ซีเลสลดมือลง หญิงงามเจ้าเรือนผมสีดำสลวยแต่ดูเหมือนร่างกายนั้นจะโปร่งใสจนไม่สามารถจับต้องได้ เธอลอยอยู่ตรงหน้าเขา เธอกำลังมองเขาและร้องไห้ ซีเลสเอื้อมมือทาบกับบาเรียสีดำโปร่งอย่างตกตะลึงกับภาพที่เห็น 

      เธอยู่ตรงนี้ เธออยู่ตรงนี้เองข้างๆ เขา ไม่ได้ไปไหน แต่เพราะเขามัวแต่โทษคนอื่น เพราะเขามัวแต่เอาความโกรธแค้นที่ตัวเองไม่สามารถรั้งเธอไว้ไปลงกับคนอื่น อย่างที่แม่หนูคนนี้บอกจริงๆ เขาทำลายเซวีน่าแล้วเขาจะได้อะไร เขาจะพอใจหรือ 

      "ดี...เล...น่า" หญิงสาวทาบมือที่อีกด้านของบาเรียสีดำโปร่ง

      "ในที่สุดท่านก็ได้ยินเสียงข้า ข้าเฝ้ารอเวลาที่ท่านจะเห็นข้า เฝ้ารอว่าเมื่อไรท่านจะเข้าใจเสียที เฝ้ารอวันที่ท่านจะเข้าใจว่าบรรพบุรษของเรา ท่านพ่อท่านแม่ท่านลุงท่านน้าท่านอาทั้งหลายว่าพวกเขาต้องการจะสร้างอะไร เฝ้ารอว่าท่านจะเข้าใจว่าข้าต้องทำอะไร พวกเราอยากสร้างโลกที่จะไม่ทำให้คนอย่างท่านทุกข์ทรมานอีก สร้างสังคมที่เท่าเทียม สร้างโลกที่เปิดกว้าง สร้างบ้านของเราให้ไม่มีการดูถูกดูแคลนกันอีก" 

      หญิงสาวคนนั้นพูดพลางน้ำตาก็ไหลพลาง ซีเลสพยายามจะใช้ปลายนิ้วไล้ไปตามผนังสีดำใสนั่น เขาไม่อยากเห็นเธอร้องไห้อย่างนั้น เขาอยากเห็นรอยยิ้มของเธอ รอยยิ้มที่สร้างโลกนี้ให้สดใส

      "ท่านเข้าใจไหม การจะสร้างโลกอย่างนั้นได้ อัญมณีศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งจำเป็น ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าไม่ได้ทำเพื่อใคร" 

      "ไม่ได้ทำเพื่อท่านบรรพบุรุษทั้งหลายหรือแม้แต่ชาวเมืองต่างๆ ที่ให้ร่วมแรงร่วมใจสร้างโลกนี้ขึ้นมา ไม่ได้ทำเพื่อเซวีน่า แต่ทำเพื่อคนสำคัญ เพื่อให้คนสำคัญของเขาทั้งหลายอยู่ที่บนโลกนี้อย่างมีความสุข ข้าทำเพื่อท่าน ข้าทำเพื่อตัวเองและข้าทำเพื่อเรา..." 

      เฟมีลยกมือขึ้นปิดปาก เธอค่อนข้างตกใจที่เห็นใบหน้าที่แสนเจ็บปวดของซีเลสแต่ที่ตกใจมากกว่านั้นคือหญิงสาวตรงหน้า หญิงสาวผู้เป็นหนึ่งในหญิงงามในตำนาน...ดีเลน่า ฟรานเชสก้า

      "อย่าร้องไห้ อย่าร้องอีกเลย...."

      "ขอโทษจริงๆ ที่ทำได้เพียงเท่านี้ คอยมองดูท่านคุ้มคลั่ง เศร้าสร้อยและเจ็บปวด ขอโทษจริงๆ ที่ทำได้เพียงมองดูเท่านั้นไม่สามารถพูดหรือแม้จะแตะต้องท่านได้ ขอโทษ ขอโทษที่เอาแต่ใจ..." 

      เธอร้องไห้แล้วพร่ำพูดขอโทษอยู่อย่างนั้น เฟมีลมองดูเธอร้องไห้แล้วเห็นท่าทีกระวนกระวายใจของซีเลสที่ไม่สามารถทำอะไรได้ ลีโอเอื้อมมือมาดึงแขนให้เฟมีลเดินถอยหลังออกมาจากเขตวงมนตราทั้งหมด เหมือนกับการเตรียมการอะไรบางอย่างได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว 

      "อย่าร้องอีกเลย อย่าขอโทษ ถ้าเพียงแต่ข้าเข้าใจเร็วกว่านี้สักนิดเท่านั้นท่านก็ไม่ต้องรอนานขนาดนี้ อย่าร้องไห้อีกเลย ท่านร้องมาพอแล้ว" เสียงปลอบของซีเลสยังดังเหมือนกับเสียงร่ำไห้นั่งเปล่งออกมาจากหัวใจของเขาเอง

      เฟมีลเงยหน้าขึ้นมองหน้าลีโออย่างสงสัยว่าดึงเธออกมาทำไม เซอร์รัสเองก็เคลื่อนย้ายร่างของกอเรียลออกมาจากวงมนตราที่ลีโอวาดขึ้นอย่างเงียบเชียบ ดวงตาสีเพลิงไล่มองตามอักขระที่ชายหนุ่มวาด ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าเขาเริ่มทำอะไร 

      ปล่องลำแสงสีดำโปร่งค่อยเลือนออก ลำแสงสีดำทะลุขึ้นมาจากพื้นตามรอยอักขระ

      "นี่คือการปลดปล่อยท่านดีเลน่าจากพันธนาการของฟรานเชสก้า..." ลีโอเอ่ยขึ้น เฟมีลเงยหน้าสบตาเขาอย่างเข้าใจว่าเขาจะทำอะไร

      "พันธนาการที่ผูกมัดเธอเอาไว้กับสัญญาแลกกับการอยู่ข้าง ๆ เขาคนนั้นตลอดกาล ท่านดีเลน่าสำคัญต่อรัฐของเรา เธอสำคัญแต่การจะใช้เธอเท่ากับสร้างแผลในใจท่านซีเลส แต่ดาโรก้าไม่มีทางเลือกและท่านดีเลน่าก็เลือกที่จะทำเพื่อผลระยะยาว" 

      "เธอรู้ดี ตราบใดที่ท่านซีเลสยังไม่รับรู้การมีอยู่ของเธอเขาคนนั้นจะไม่จากไปและจะไม่ละเว้นเซวีน่า แต่เธอมั่นใจว่าสักวันหนึ่งเขาจะรู้ เขาจะรับรู้ถึงการมีอยู่ของเธอ"

      ลำแสงสีดำที่พุ่งขึ้นมาค่อยๆ เติมเต็มตัวตนของดีเลน่าให้มีตัวตนขึ้นมาพร้อมกับการปลดปล่อยชายที่น่ากลัวและน่าสงสารที่สุดในเซวีน่า ร่างสูงค่อยๆ เอื้อมมือมาแตะสองมือที่ปิดใบหน้านวลเอาไว้อย่างนิ้มนวล ร่างบางลอยต่ำลงมาอย่างช้าๆ เข้าสู่อ้อมกอดของเขา เขาได้เธอคืนแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ แต่เขาได้เธอคืนแล้ว แค่นั้น...เท่านั้นเขาพอใจแล้ว

      Artist : Lucas Kirby
      Title : Tear of Glory 

      -
      ตอนที่ 140 เด็กสาวที่น่าสงสารที่สุดในเซวีน่า

      ณ ความมืดที่ไม่มีวันสิ้นสุด ดินแดนแห่งนี้จะไม่ต้อนรับใครหากคนผู้นั้นไม่เดินเข้ามาด้วยการชักนำของโชคชะตา ไม่นานแสงไฟก็ปรากฏขึ้น ณ ดินแดนแห่งนี้ ภายใต้กองไฟสีเพลิงบริสุทธิ์นั้น ร่างของหญิงสาวผู้มีเรือนผมสีแดงเพลิงที่กำลังหลับตาพริ้มมุมปากขยับเล็กน้อยเหมือนกับกำลังพร่ำบอกเรื่องราวบางอย่างในสถานที่อันลี้ลับแห่งนี้ 

      ไม่นานดวงไฟสีขาวนวลก็ปรากฏขึ้น หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีขาวบริสุทธิ์ปรากฏขึ้นและก้าวเดินออกมาจากดวงไฟนั้นเจ้าของเรือนผมสีขาวบริสุทธิ์ใช้นิ้วเรียวกวาดไปรอบๆ ตัวเธอตัวอักขระมากมายสีขาวเรืองปรากฏขึ้นโดยมีอาณาเขตเป็นรูปเศษเสี้ยวหนึ่งของวงกลม แล้วเธอก็หยุดนิ่งมือเรียวบางทั้งสองยกขลุ่ยคริสตัลขึ้นแตะที่ริมฝีปาก เสียงแผ่วพริ้วของขลุ่ยดังกังวานไปทั้วดินแดนแห่งความความมืด

      สายลมที่เสียดสีกับขลุ่ยพลันรวมตัวกันจนหลายเป็นจุดกำเนิดสายลมทั้งรุนแรงและอ่อนโยน สายลมพัดปลิวเอาเส้นไหมสีเงินและอัญมณีในดวงตาสีแดงเพลิงของชายผู้มีสายเลือดแห่งวาโย แสงสีเงินยวงจากเส้นผมก่อนกำเนิดเศษเสี้ยวของวงกลมต่อเนื่องจากลำแสงสีขาวบริสุทธิ์

      เสียงกระซิบเรียกในสายลมทำให้หญิงสาวผู้ทุกข์ตรมปรากฏกายท่ามกลางความมืดที่แทบจะกลืนกินตัวเธอจนหมดสิ้น นิ้วเรียวขาวทั้งสิบสะบัดออกจากฝ่ามือกลายเป็นประกายสีม่วงเข้มประกายสีม่วงอันกระจ่างสดใสเชื่อมต่อเศษเสี้ยววงกลมนั้นจากกระแสพลังสีเงินยวง

      เศษสะเก็ดสีม่วงเข้มกระทบแผ่นพื้นอันมืดมิดเหมือนก้อนหินกระทบผืนน้ำ ดังติง ติง ไพเราะดุจไข่มุกตกบนจานแก้ว แสงสีฟ้าใสแผ่กระจายออกเชื่อมต่อเศษเสี้ยววงกลมม่วงใสนั้นพร้อมๆ กับการปรากฏกายของหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีฟ้าใสผู้มีอัญมณีแห่งหยาดธาราประดับอยู่กลางหน้าผาก ใบหน้าเคร่งขรึมของเธอมองไปยังกองไฟนั้นอย่างพิจารณาก่อนเปล่งเสียงเรียกแห่งภูติออกมา

      เสียงแว่วหวานที่สร้างความเคลิบเคลิ้มให้กับสิ่งมีชีวตใต้ผืนน้ำอันศักสิทธิ์ก่อกำเนิดเป็นต้นไม้ใหญ่ที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นอย่างช้าๆ เปล่งแสงสีเขียวสร้างความสดชื่นให้กับความมืดมิดนี้ บนกิ่งไม้ใหญ่มีคนผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่ด้วย เขาเป็นเด็กชายเจ้าของเรือนผมสีใบไม้เข้ม เพียงเขาปลดปลงใบไม้ใบหนึ่งทิ้งลงเบื้องล่าง อักขระมนตราสีเขียวเรืองก็ปรากฎขึ้นประติดประต่อเเป็นอีกส่วนหนึ่งวงกลมนี้ 

      ใต้อักขระสีเขียวเรือง พื้นดินสีน้ำตาลทองค่อยแผ่ขยายออกต่อจากเศษเสี้ยวสีเขียวแก่ ร่างสู่งใหญ่ของชายหนุ่มเจ้าของเรือนสีน้ำตาลทองปรากฏขึ้นที่ปลายสุดของเศษวงกลม บัดนี้เหลือเพียงเศษเสี้ยว 1/7 ของวงกลมนี้เท่านั้น หญิงสาวผู้อยู่ในกองไฟลืมดวงตาสีเพลิงของเธอขึ้นก่อนจะเคลื่อนตัวออกกองไฟไปยังจุดศูนย์กลางวงกลม

      กองไฟสีเพลิงนั้นแปรสภาพเป็นวิหคเพลิงอันงดงาม ปีกสีเพลิงขยับขึ้นลงอย่างงดงามก่อนจะหายไปกลายเป็นชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีแดง แล้วอักขระสีแดงก็ค่อยๆ แผ่ขยายจากปลายฝ่าเท้าของเขาและกระจัดกระจายออกไปเรื่อยๆ จรดจุดศุนย์กลางวงกลม

      อักขระทั้งเจ็ดสีเปล่งประกายเจิดจ้ากระแสพลังไล่จากเส้นรอบวงหมุนควงเป็นวงเข้าสู่จุดศูนย์กลางซึ่งมีร่างบางลอยอยู่เหนือจุดนั้น ทันทีที่แสงทั้งเจ็ดบรรจบที่จุดนั้นแสงสีทองพลันเปล่งประกายขึ้น แท่นคริสตัลสีใสค่อยๆ ผุดขึ้นมา ใจกลางคริสตัลนั้นประดับด้วยอัญมณีสีชมพูสลับน้ำเงิน

      อัญมณีชิ้นนั้นลอยหลุดจากแท่งคริสตัลแล้วขึ้นมาอยู่เหนืออุ้งมือที่รองรับมัน เส้นผมสีแดงกระจายออกเพราะกระแสพลังที่แผ่กระจายออกมาจากอัญมณีชิ้นนั้น สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ดคนก็เช่นกัน อัญมณีทั้งเจ็ดลอยอยู่เหนืออุ้งมือของคนทั้งเจ็ด

      รอยยิ้มศิลา...สีน้ำตาลทองรูปขนมเปียกปูน หยดน้ำคริสตัลซึ่งบรรจุหยดน้ำตาแห่งภูต...น้ำตาวารี ร่างมีชีวิตของสายเลือดแห่งสายลม...ภาคีวาโย หัวแหวนวิหคไฟแห่งเตโชปักษา ใบไม้พยากรณ์...ดวงตาพฤกษก ปราสาทออโรร่าขนาดจิ๋วเรืองรองดังกระจกตะวันและกังหันนาฬิกาที่มีเข็มนาฬิกาเพทายเป็นใบพัด....กังหันรัตติกาล 

      อัญมณีทั้งเจ็ดลอยขึ้นอย่างช้าๆ และดึงเอาอักขระลอยขึ้นมาด้วย ตัวอักษรมากมายหมุนวนไปรอบๆ ตัวเฟมีล อัญมณีสีขมพูสลับน้ำเงินในมือเธอลอยขึ้นไปอยู่เหนือศีรษะ ตัวอักขระหมุนควงตามเหมือนเส้นใยที่ผูกติดไว้กับมัน เฟมีลรวบมือมารวบไว้ที่หน้าอกแสงสีแดงจากตัวเธอเรืองแสงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับการปรากฏกายของชายร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีดำขลับเหนืออัญมณีสีชมพูดนั้น 

      แสงสีดำเรืองออกมาจากตัวเขาเปล่งขยายออกมาจนการบรรจบกับอัญมณีสีชมพูโดยทางด้านล่างแสงสีแดงจากเฟมีลก็ขยายขึ้นมาเช่นกัน ริมฝีปากบางขยับปากพูดขึ้นเบาๆ ว่า

      "...ยามความมืดและดวงไฟบรรจบพลัน....ยามความมืดและดวงไฟบรรจบพลัน จากความฝันกลับสู่ความเป็นจริง...." 

      สิ้นเสียงของอันแผ่วเบาของเฟมีล แสงสีชมพูดสดก็ปล่งประกายออกมาตัวอักขระทั้งหมดเริ่มหมุนเร็วขึ้น แสงสีแดงและดำผสานกันพันรอบตัวชายที่อยู่เบื้องบน ตัวอักขระมากมายค่อยๆ ซึมหายไปบนร่างของเขา แสงสีแดงและดำค่อยๆ ลดแสงลงโดยมีแสงสีชมพูเปล่งประกายออกมาแล้วดูดร่างของชายหนุ่มเข้าไป 

      แสงสีชมพูสลับน้ำเงินนั่นหายไปแล้ว ร่างของเฟมีลที่ปราศจากแสงใด ๆ ลอยคว้างออกไปท่ามกลางความมืดอันเวิ้งว้างไร้ขีดสุด โดยมีอักขระบางส่วนที่ยังหลงเหลือหมุนวนรอบกายเธอไม่หยุดนิ่ง ร่างทั้งเจ็ดมองหญิงสาวด้วยแววตาเศร้าสร้อย ก่อนจะโค้งคำนับด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้งก่อนเงาร่างของคนทั้งเจ็ดจะหายไป

      Artist : Bach
      Title : Air in D Dur

      Artist : Millionaire First Love
      Title : Track 15 

      -
      ตอนที่ 141 เสียงเรียกจากความมืด

      วันแรกที่เขาเจอเธอคือตอนไหนนะ เธอผู้มาด้วยมาดของนักดนตรีที่สง่างาม ดวงตาที่มองตรงมาโดยไม่เกรงกลัวและไม่มีแววตาของความเกรงขามหรือชื่นชม มีแต่แววตาของคนท้าทาย 

      เฟมีลล่า ไดเอนแพนไทร์ สร้างความประหลาดใจให้เขาหลายครั้ง ไม่ว่าเมื่อ่ไรเธอก็จะหัวเราะออกมาอย่างสบายใจจากนั้นก็จะลงมือทำ ไม่ว่าผลลัพท์จะออกมาดีหรือไม่ดีอย่างไรเธอก็จะพอใจแค่นั้น ตอนนั้นเขาไม่เคยเห็นเธอร้องไห้เลย แม้จะเหนื่อยจะยากก็ทำท่าห่อไหล่ร้องโอดครวญแล้วเพียงไม่นานเธอก็กลับมาหัวเราะได้อีกครั้ง

      ถ้าเขาเห็นน้ำตาของเธอตั้งแต่แรก ถ้าเขาจำดวงตาสีเพลิงนั้นได้เร็วกว่านี้ เขาคงทำอะไรได้มากกว่านี้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของเขาและเธอหรอก เฟมีลเป็นคนแปลก เหมือนเด็กที่ไม่รู้จักโต โกรธเขาแต่ก็อ้อนเขา เวลาหลงทางก็เหมือนจะรอคอยเขาเสมอ หน้าตาเหงาหงอยเหมือนเด็กหาทางออกไม่ได้แต่พอเห็นเขาเท่านั้น ดวงตาสีนิลนั่นก็เปล่งประกายเหมือนร้อยยิ้ม รอยยิ้มที่มอบให้เพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้น

      "....นายแมวไปไหนมา ฉันหาอยู่ตั้งนาน...." เธอจะพูดอย่างนี้เสมอแล้วก็จะตามด้วยคำว่า

      "...กินไอติมนะ นะ ไปกินกันนะ น้า...." แล้วเขาก็จะต้องยอมเสมอ เพราะถ้าไม่ยอมเธอก็หายไป แล้วรับรองที่ที่หาเธอเจอก็ต้องเป็นร้านขนมหรือไม่ก็ร้านไอศกรีมแน่ ๆ พอเขาจะดุว่าไม่ให้หนีมาอย่างนี้ เพราะถึงแม้เขาจะตามเธอได้ทุกครั้ง แต่บางอย่างมันก็ไม่สามารถป้องกันได้จริง เธอก็จะแลบลิ้นแล้วเสพูดเรื่องอื่นไปว่า

      "ขนมนี่อร่อยนะ ฉันเลี้ยงนายก็ได้ น้านายแมว..." พูดไปอย่างนั้นแล้วก็กินขนมเองอยู่ดีแล้วแล้วก็จะยิ้มทั้งวัน ร่าเริงไปเรื่อย

      ลีโอคิดพลางยกมือขึ้นนวดขมับอย่างเหนื่อยอ่อน แม้เฟมีลจะเป็นอะไรไป แม้ว่าเธอจะยังมีลมหายใจหรือไม่มีลมหายใจเขาก็ต้องอยู่ต่อไป รอยยิ้มของเธอจะอยู่ในความทรงจำของเขาตลอดไป หัวใจของเธอจะอยู่ที่เขา เขาจะรักษามันเอาไว้ด้วยชีวิต

      ความร้อนวาบขึ้นที่หน้าอก มือหนาเลื่อนจากหน้าผากมาที่หน้าอกทันที ความร้อนที่วูบวาบเท่ากับจังหวะหัวใจของเธอ ชายหนุ่มล้วงแหวนเพทายออกมาดู หัวแหวนกระพริบพร้อมๆ กับความร้อนที่เขาสัมผัสได้

      "เฟมีล ได้โปรด เธอได้ยินเสียงฉันหรือเปล่า เฟมีล" เขารู้ดีว่าไม่มีเสียงตอบ แต่แค่นี่พอแล้วเขาจะรอ รอให้เธอกลับมา เธอต้องมาแน่ๆ มาสร้างประหลาดใจให้เขาอีกเหมือนวันที่เธอตอบรับสร้อยข้อมือของเขา

      เฟมีลรู้สึกว่าเธอกำลังลอยอยู่ในสถานที่ที่เวิ้งว้าง ไม่มีเสียงของสิ่งมีชีวิต ไม่มีพื้นดิน ไม่มีท้องฟ้า ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีอะไรทั้งนั้นมีแต่ความืด ทุกอย่างต่างมืดมิด ไม่แม้กระทั้งตัวฉัน ไม่มีเสียง ไม่มีร่างแต่...ทำไมฉันถึงยังคงอยู่ ทำไมฉันถึงรู้สึก ทำไมฉันถึงเศร้า ทำไมถึงรู้สึกติดค้างอะไรบางอย่าง...

      ร่างที่แน่นิ่งของเฟมีลค่อยๆ เปล่งแสงสีแดงเพลิงขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับแสงสีม่วงที่ข้อมือซ้ายที่เปล่งประกายกระพริบราวกับหยอกล้อกับแสงสีเพลิงนั่น 

      "...เฟมีล...กลับมา...กลับมาที่นี่..."

      ใครกันกำลังเรียก เขากำลังเรียกใคร ทำไมเสียงเศร้าจังเลย เธอเคยได้ยินเขาไหม เธอเคยพบเขาไหม ทำไมเธอถึงได้ยินเสียงเขาล่ะ ทำไมเธอต้องเศร้า 

      "...การทดสอบจบลงแล้ว ถึงเวลาที่จะเริ่มต้นอีกครั้งแล้ว รีบกลับมา ยังมีเรื่องที่เราจะต้องสนุกกัน ยังมีเรื่องที่เราต้องทำ...."

      เขาต้องการจะบอกอะไรฉัน เขาพูดอยู่กับใคร อะไรคือการทดสอบ การเริ่มต้นของอะไร สนุกคืออะไร....เราคือฉันกับเขางั้นเหรอ

      "...เฟมีล ครอบครัวที่เธอต้องการรอเธออยู่ เพื่อนของเธอรออยู่....และฉันกำลังรอเธอ...เฟมีล...กลับมาฉันเถิด" 

      น้ำเสียงคำร้องขอก้องกังวานไปทั่ว ความมืดที่ล้อมรอบตัวของเฟมีลเริ่มสลายไป แสงสว่างจากร่างของเฟมีลสว่างจ้าขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด แต่ในความสว่างจ้านั้นมีจุดดำเล็ก ๆ วิ่งหมุนวนไปมา เหล่าตัวอักขระมากมายต่างเปล่งแสงตามสีของมัน ร่างของเฟมีลค่อยๆ ขยับเหมือนผู้ป่วยอาการสาหัสเริ่มรู้สึกตัว น้ำเสียงก้องกังวานจากที่ใดดังก้องไปทั่ว เสียงที่มีทั้งความนุ่มนวลและปลอบประโลม 

      "จงกลับไป โชคชะตาเอ๋ย ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องเลือกอีกครั้งแล้ว จงกลับไป"

      Artist : A Love To Kill
      Title : Track 13 
      เปิดดูใน  www.youtube.com ได้นะคะ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×