ลำดับตอนที่ #18
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : [Fic] Covetousness -XS- up.6
มาอัพแล้วค่ะ
Happy Valentine Day นะค่ะ
วาเลนไทน์ปีนี้ซึลอยากส่งความรักด้วยการอัพฟิคที่ค้างไว้ (ไม่ใช่แล้ว 555+)
ดองเรื่องนี้มานาน แล้วตอนนี้ก็เผาภายในวันเดียวด้วยค่ะ
หากมันเน่าเกินไป ต้องขออภัย T^T
p.s. จริงๆซึลกะจะแต่ง short fic เกี่ยวกะวาเลนไทน์ แต่พอไม่มีโชแล้วรู้สึกว่าเสื่อมไม่ออกเลยเปลี่ยนมาอัพเรื่องนี้แทนล่ะค่ะ
ถ้าโชมาเมื่อไหร่(ซึ่งคงอีกนาน) จะรีบมาอัพ short fic เลยค่ะ ^O^
เอาล่ะ แพล่มเยอะแล้ว enjoyyyy
.........................................................................................
Chapter 6: Difference emotional
ว่ากันว่า ความรู้สึกของมนุษย์นั้นช่างซับซ้อน ไม่เคยมีผู้ใดที่จะรับรู้ได้ถึงทุกความรู้สึกที่ผู้อื่นแสดงออกมา หรือแม้กระทั่งสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจ หากแต่ที่สุดของความซับซ้อนนั้นก็คือความรัก
ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีความทุกข์
คำกล่าวนั้น สำหรับเขาแล้วช่างเป็นจริงเสียยิ่งกว่าความจริงใดๆ
“น นี่มัน .ฮึก อะไรกันน่ะครับ...”
วินาทีที่คำถามนั้นหลุดรอดออกจากริมฝีปากบาง วงหน้าคมเข้มก็หันไปทันทีตามเสียงเรียกนั้น ชั่ววูบหนึ่งที่ดวงตาสีแดงเลือดฉายแววตระหนกเมื่อเห็นคนรัก แต่ก็กลับมาสงบได้รวดเร็วราวกับว่าไม่รู้สึกรู้สา เป็นท่าทางที่ทำให้คนมองปวดใจเสียยิ่งกว่าตายทั้งเป็น แซนซัสถอนกายออกจากร่างบางของฉลามแห่งวาเรียช้าๆ หยาดน้ำสีขาวขุ่นไหลเป็นทางลงมาตามเรียวขาบอบบาง สึนะกัดริมฝีปากแน่นขึ้นเมื่อมองดูรอยรักสีกุหลาบบนเรียวขานั้น
ปฏิเสธไม่ได้ว่า สควอโล่นั้น ช่างแสนงดงาม และเขาก็กำลังอิจฉาความงดงามนั้นที่ทำให้บอสแห่งวาเรียลุ่มหลงจนหลงลืมคำสัญญา
นี่สินะ สิ่งที่แกอยากให้ฉันเห็น ฟราน!
“ทำไม ฮึก ทำไมต้องทำอย่างนี้ ”
เสียงหวานที่ร่ำร้องทำให้บอสใหญ่แห่งวาเรียมีสีหน้าลำบากใจขึ้นทันที ร่างสูงถอนหายใจเล็กน้อยขณะที่มือใหญ่กำลังสาละวนอยู่กับการจัดแต่งเสื้อผ้าของตัวเองให้เข้าที่ พร้อมๆกับสควอโล่ที่กำลังจัดการคราบเปรอะเปื้อนด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ถ้าหากสังเกตดีๆแล้ว มุมปากสวยกลับมีรอยยิ้มเยาะในสถานการณ์เช่นนี้ และมันก็ทำให้ร่างบางของวองโกเล่เดือดจนแทบบ้า หากแต่น้ำตาที่รินไหลต่างหากเล่าที่เป็นของจริง
ใครที่ไหนจะรับได้เมื่อเห็นคนที่ตัวเองรักและเชื่อถือในคำสัญญา กลับมีอะไรกับชายคนอื่นต่อหน้าต่อตาแบบนี้
“ฉันขอโทษ”
คำขอโทษสั้นๆจากบอสแห่งวาเรียยิ่งโหมกระหน่ำไฟแค้นให้มากยิ่งขึ้นไปอีก แต่ร่างบางกลับกล้ำกลืนคำพูดร้ายกาจเอาไว้ยามอยู่ต่อหน้าแซนซัส ดวงตาสีน้ำตาลคู่โตเหลือบมองสควอโล่ที่กำลังจะก้าวเดินออกจากห้องด้วยความเคียดแค้น แผนการร้ายถูกจุดขึ้นในหัวอย่างรวดเร็ว
“แซนซัส นายจะทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ฉันไม่ทนอีกแล้ว”
คำกล่าวนั้นทำให้ร่างสูงชะงัก รวมถึงฉลามคลั่งแห่งวาเรียที่กำลังจะเดินออกไปก็ต้องหันกลับมามอง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มคู่สวยฉายแววเด็ดเดี่ยว ริมฝีปากบางเม้มแน่นราวกับว่าตัดสินใจอะไรบางอย่างอยู่ อะไรบางอย่างในท่าทางนั้นร่ำร้องบอกถึงอันตรายและลางสังหรณ์ของบอสใหญ่แห่งวาเรียก็ถูกเสียด้วย
“นายจะต้องเลือก ระหว่างฉันกับสควอโล่ เลือกมาสิ!”
น้ำเสียงตวัดสูงในตอนท้าย ทำให้ร่างบางของสควอโล่สะดุ้งอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากบางเม้มแน่นขณะที่หันไปมองร่างสูงสง่าของแซนซัสที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่อนาทรร้อนใจ ช่างแตกต่างจากคนเฝ้ารอคอย ฝ่ายหนึ่งเคียดแค้นจนแทบร้อนเป็นไฟ น้ำตารินไหลออกจากดวงตาเปรอะเปื้อนไปทั่วใบหน้าใส ดวงตาสีน้ำตาลฉายแววแข็งกร้าว ในขณะที่อีกคนนั้นหัวใจกลับเย็นเยียบเสียยิ่งกว่าน้ำแข็ง
ใช่แล้ว ความเยียบเย็นนั้นแล่นขึ้นมาจากข้อนิ้วไปยังไขสันหลัง จนสควอโล่ตัวสั่นสะท้านด้วยความเหน็บหนาว ไม่ใช่เพราะอากาศ แต่เขา กำลังหวาดกลัวในการตัดสินใจของแซนซัส ใจอยากจะร้องไห้แต่กลับไม่มีแม้แต่หยาดน้ำตา มีแต่ความหนาวเหน็บจนกายสั่นสะท้าน
ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยสักนิด
“ทำไมฉันจะต้องเลือก”
เสียงทุ้มต่ำแผ่วเบาจากบอสแห่งวาเรียทำให้คนฟังถึงกับนิ่งอึ้ง ความเอาแต่ใจและความดื้อดึงฉายชัดออกมาจากประโยคนั้น เมื่อคนพูดไม่แม้แต่จะสั่นไหว ตรงกันข้ามน้ำเสียงนั้นกลับมั่นคงราวกับว่าไม่รู้สึกรู้สาในความเจ็บปวดของคนสองคนแม้แต่น้อยจนคนมองปวดใจ
แซนซัส นายเลือกไม่ได้หรือไม่อยากเลือกกันแน่ จริงๆแล้วนายรักใครอยู่ รู้มั้ยว่าแบบนี้มันเห็นแก่ตัวมากเลยนะ ฉัน
“ฉัน ที่ฉันบอกว่าทนไม่ได้นี่ ฉันหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ งั้นเราห่างกันสักพักก็แล้วกัน ฉันจะบินกลับญี่ปุ่นไปสะสางงาน ถ้านายคิดออกว่าจะเลือกใคร ถึงตอนนั้นเราค่อยมาคุยกัน”
แล้วร่างบางก็เดินจากไปท่ามกลางความตกตะลึงของคนทั้งสอง พร้อมกับเสียงปิดประตูดัง ปัง! ฝ่ายหนึ่งคือบอสแห่งวาเรียที่ดวงตาสีแดงเลือดฉายแววตระหนกอย่างเห็นได้ชัด อีกฝ่ายคือฉลามคลั่งที่ชั่ววูบหนึ่งในดวงตาสีอะควอมารีนฉายชัดถึงความยินดี
ทั้งๆที่ไม่ควรเลย สควอโล่ถอนหายใจเล็กน้อย แล้วเดินจากไปพร้อมกับปิดประตูอย่างแผ่วเบา
อยู่คนเดียว แซนซัสอาจจะคิดทบทวนการกระทำของตัวเองได้มากขึ้น
“โธ่เว้ย!”
เสียงตะโกนดังขึ้นก้องลั่นในห้องทำงานเก็บเสียง อารมณ์โกรธที่กักเก็บไว้ถูกระบายลงกับโต๊ะทำงานชั้นดีที่ตอนนี้ของบนโต๊ะถูกกวาดลงกับพื้น แต่เท่านั้นกลับไม่อาจระงับความโกรธ ร่างสูงรินเหล้าใส่ในแก้วหรูจนล้นทะลัก ดื่มเข้าไปอึกใหญ่ก่อนจะเขวี้ยงแก้วทิ้งอย่างไม่ไยดี
เพล้ง!
เสียงแก้วแตกกระทบกำแพงกับน้ำสุราสีอำพันที่รินไหลพอจะทำให้เขาสงบใจลงได้บ้าง มากพอที่จะย้อนคิดทบทวนการกระทำของตนเอง ไอ้สวะนั่นบอกให้เขาเลือก แต่เขาก็เลือกไม่ได้ คิดดูมันก็ช่างน่าขันทั้งๆที่ เขามั่นใจว่ารักซาวาดะ สึนะโยชิ มากพอที่จะทำสัญญาบ้าๆนั่นแต่พอเอาเข้าจริงๆแล้วกลับเลือกไม่ได้
จะเรียกว่าเสียดายได้รึเปล่านะ
ว่าแล้วก็คิดไปถึงผิวขาวซีดของสควอโล่ยามเปลือยเปล่าอยู่ใต้ร่างของเขา
หรืออาจเรียกว่าตัณหา
ยอมรับว่าเขาเองก็พอใจในตัวอีกฝ่ายมากอยู่ แต่ส่วนลึกแล้วเขากลับรักซาวาดะแต่นั่นมันก็ยังไม่มากพอ ใครบอกกันว่านภาโอบอ้อมอารี บางทีนภาก็อยากเห็นแก่ตัวบ้างเพื่อความสุขเล็กๆน้อยๆของตน หรืออาจจะเป็นเพราะเขาคือนภามืดก็ได้ เลยไม่อบอุ่นอ่อนโยน เขาจึงโหยหาความอบอุ่นนั้นราวกับต้องการเติมเต็มส่วนที่ต่างกัน
ส่วนฉลามคลั่งแห่งวาเรียก็แค่ความผูกพันธ์เดิมๆที่เขาไม่อาจละทิ้ง ไม่อาจตัดขาดจากไปได้ ความรักและความผูกพันธ์เอาเข้าจริงๆแล้วกลับเลือกไม่ได้ เขาไม่ต้องการให้ซาวาดะจากไป มากพอๆกับการที่ต้องการสควอโล่มาอยู่เคียงข้าง
ถ้าอย่างนั้น จริงๆแล้วเขารักใครกันแน่ล่ะ
ร่างสูงกุมขมับแน่น ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้สีแดงตัวใหญ่ในห้องทำงานด้วยความสับสน หลับตาลง ปล่อยใจไปกับความเหนื่อยล้าของตนเอง ความรักแบบนี้มันช่างน่าเหนื่อยหน่ายจริงๆ
สำนึกภายในจิตใจร่ำร้อง ถ้าหากว่าไม่เลือก เขาเองนั่นแหละที่จะต้องสูญเสียทั้งสองอย่างไป
..
“ถือว่าไปได้สวยทีเดียวนะครับ”
ทันทีที่สควอโล่กลับมาถึงห้อง เสียงหวานใสของสายหมอกมายากับการพูดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวก็ดังนำขึ้นมาก่อน หรี่ตามองฝ่าความมืดมิดเข้าไปในห้องก็พบเงาร่างหนึ่งนั่งอยู่บนเตียงคอยท่าแล้ว ร่างบางถอนหายใจก่อนจะเปิดไฟ
ผิวขาวใสกับเรือนผมสีน้ำทะเลเป็นสิ่งแรกที่เห็นจนเจนตา ริมฝีปากบางมีรอยยิ้มกว้างฉาชัด แต่ดวงตากลับไม่ได้ยิ้มไปด้วยจนทำให้แลดูน่าขนลุก เป็นอีกครั้งที่ฟรานไม่ได้ใส่หมวกกบ แต่มันก็เป็นเรื่องส่วนตัวจนเขาไม่อยากเอ่ยถามออกไป
“แกรู้?”
“ก็แน่สิครับ ผมเป็นสายหมอกนี่นา สอดแนมได้ทุกเรื่องแหละ ยิ่งเป็นเรื่องหลังจากที่ท่านผ.บ.ออกมา แล้วตาลุงบอสจอมโลภมากก็ทำลายข้าวของซะจนผมสงสารแม่บ้านเลยล่ะครับ แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ดีแล้วนี่นา”
ประโยคนั้นยังคงบ่งบอกความเป็นฟรานด้วยการจิกกัดบอสแห่งวาเรียจนสควอโล่หัวเราะน้อยๆ นั่นสินะ บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องดี
“บอสไม่ยอมเลือกกับไอ้เด็กนั่นกลับญี่ปุ่น มันเป็นเรื่องดีจริงๆนั่นแหละ”
พูดจบร่างบางก็ทิ้งตัวนอนลงบนเตียง ล้มทับหมอกมายาที่ทำให้ตัวเองเลือนหายจับต้องไม่ได้ ฟรานทำหน้ายู่ยี่เล็กน้อยที่สควอโล่กางแขนกางขาออกซะจนเต็มเตียง แถมยังล้มทับใส่โดยไม่สนใจเขาเลยสักนิด
“หม่าม๊า ผมนั่งอยู่นะ ไม่เกรงใจกันมั่งเลยทับมาได้ ถ้าผมแบนขึ้นมาจะว่าไง” ถ้อยคำตัดพ้อนั้นชวนให้ร่างบางเกิดความรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมา
“บอกกี่ทีแล้วว่า อย่าเรียกอะไรบ้าๆนั่น”
เผลอแว้ดออกไปแบบที่ชอบทำเป็นประจำ จนร่างบางรู้สึกแปลกใจตัวเองเล็กน้อย นานมากแล้วที่ไม่ได้สดใสร่าเริงและตวาดใครด้วยน้ำเสียงแบบนี้ มันอาจจะเริ่มขึ้นตั้งแต่เด็กนั่นเข้ามา เขาก็ไม่เคยมีรอยยิ้มอีกเลย อารมณ์แบบนี้ก็แทบจะลืมเลือนไปแล้วด้วยซ้ำ
“ก็ผมอยากเรียกนี่ครับ หม่าม๊าน่าจะขอบคุณผมนะที่มันสำเร็จอย่างงดงาม วองโกเล่รุ่นที่ 10 น่ะน่าหมั่นไส้จะตาย”
คนที่น่าหมั่นไส้น่าจะเป็นแกมากกว่าล่ะมั้ง ร่างบางคิดในใจ แต่สิ่งนี้ก็เกิดขึ้นได้เพราะฟราน
“ขอบใจแกมากนะ ถ้าไม่ได้แกป่านนี้ฉันคงนั่งช้ำใจตาย เฮ้อ!”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมแค่ใช้ประโยชน์จากถ่านไฟเก่าน่ะ”
คำพูดนั้นทำให้ร่างบางหันขวับไปหาคนพูดทันทีอย่างคาดไม่ถึง เรื่องมันก็น่าจะนานมาแล้วนี่นา ทำไมไอ้เด็กนี่
“แกรู้เรื่องนั้นได้ยังไง”
“เรื่องไหนเหรอครับ”
คนชอบทำไก๋ก็ยังทำเป็นไม่รู้เรื่องอยู่วันยันค่ำ ส่วนนึงก็เพราะนิสัยกวนประสาทของหมอกมายาเนี่ยแหละที่ทำให้เขาต้องแว้ดออกมาบ่อยๆทั้งที่ไม่อยากเลยสักนิด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า จุดนั้นมันทำให้คนตรงหน้าดูมีเสน่ห์ มากพอจะกุมหัวใจของไอ้เจ้าชายนั่น
“แกก็รู้อยู่นี่นา เรื่องเมื่อ 2 ปีก่อนน่ะ”
“ผมรู้แค่ว่า บอสกับท่านผ.บ.เลิกกันเมื่อสองปีก่อนน่ะครับ แต่ผมไม่รู้รายละเอียดหรอก เห็นว่าคบกันมานานมากแล้ว แล้วทำไมเลิกกันล่ะครับ”
“10 ปี ฉันกับบอสคบกันมา 10 ปี”
ปลายเสียงสั่นเครือราวกับจะร้องไห้ แต่กลับไม่มีแม้แต่น้ำตา ดวงตาสีฟ้าสวยเหม่อมองไปแสนไกลราวกับคิดถึงอดีตอันยาวนาน มีอะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน เราผ่านอะไรมาด้วยกันมาก จนคิดไม่ถึงว่าแกจะทิ้งฉันได้ลงคอ
“งั้นทำไมล่ะครับ ผมว่า 10 ปีนั่นมันนานมากเลยนะ”
“ก็เพราะว่ามันนานไงล่ะ เราถึงได้จบกัน”
สายหมอกมายาเอียงคอเล็กน้อยกับคำตอบนั้น ด้วยความที่เขายังอายุเพีงแค่ 20 ต้นๆและตลอดทั้งชีวิตมีเพียงแค่เบล จึงยังไม่เข้าใจมากนัก ถ้านานขนาดนั้นความรักควรจะมั่นคงสิ แล้วทำไม
“พูดง่ายๆก็คือ ความเหนื่อยหน่ายยังไงล่ะ อยู่ด้วยกันนานๆเห็นหน้ากันทุกวัน มีอะไรกันทุกวัน สิ่งเหล่านี้มันน่าจำเจจนเราสองคนเบื่อหน่าย นายเคยได้ยินมั้ยว่าความรัก พอถึงจุดหนึ่งมันจะจืดจางลง แต่คู่รักก็อยู่กันได้เพราะความผูกพันธ์ ฉันรู้ว่าเรามีความผูกพันธ์กัน แต่ตอนนั้นจะว่ายังไงดีล่ะ พวกเราต่างก็เบื่อหน่าย ฉันน่ะไม่ได้คิดอะไรมากหรอก แต่บอสเนี่ยสิ ”
เสียงหวานหม่นหมองลง ทั้งหมดนั่นเกิดขึ้นเพราะเราอยู่ด้วยกันนานมาก นานจนเกินไป ฟรานเองก็นิ่งอึ้งไป เขาไม่เคยคิดในแง่นี้มาก่อนเลย นั่นสินะ อยู่ด้วยกันมากเกินไปก็อาจเกิดความเบื่อได้ เขากับเบลเพิ่งคบกันไม่นาน ไม่ได้ครึ่งของบอสกับสควอโล่ด้วยซ้ำ เขาจึงยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าการเบื่อของคนรักน่ะ มันเป็นยังไง แต่สควอโล่คงจะปวดใจน่าดู
“เพราะเบื่อ” เสียงนั้นยังคงเล่าต่อไป “บอสเลยหาผู้หญิงมานอนด้วยบ้างในบางครั้ง ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ ถึงมันจะปวดใจแต่ฉันก็เข้าใจดี จนกระทั่งถึงตอนที่เราทำศึกกับเบียคุรัน ”
สุ้มเสียงหวานยิ่งหม่นหมองลงเมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ ดวงตาสีฟ้าสวยอ่อนแสงลงด้วยความเศร้าโศก สควอโล่หลับตาลงพร้อมกับเริ่มต้นเล่าเรื่องอีกครั้ง
“ตอนทำศึกกับเบียคุรัน นายก็รู้ว่าบอสเจอเจ้าเด็กนั่น เราชนะศึกแล้วเจ้านั่นในอนาคตก็กลับมาจากความตาย ตอนนั้นเองที่บอสเริ่มไปใกล้ชิดกับเด็กนั่น จนกระทั่งเราเลิกกันในที่สุด ก็นั่นสินะ บอสเบื่อฉันแล้วนี่นา แต่ไม่ใช่ว่าเราจะจบกันไม่ดีอะไรขนาดนั้น ฉันรู้แล้วล่ะว่าพวกเราน่ะไปไม่รอดหรอด ถึงรักแค่ไหนมันก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมา เราก็เลยต้องจบกันไป ฉันเคยคิดว่า การที่เราเจอหน้ากันทุกวัน ถึงจะไม่ต้องสัมผัสกันก็เพียงพอแล้ว พวกเราเว้นระยะห่างระหว่างกัน แต่บอสเองก็ไม่ค่อยจะอยู่ติดปราสาทนักหรอกนะ”
สายหมอกแห่งวาเรียนิ่งงันไป คิดถึงช่วงเวลาระหว่างศึกกับเบียคุรัน จนกระทั่งตอนนั้นบอสกับสควอโล่ก็ยังคบกัน แต่เขากลับสัมผัสถึงบรรยากาศของความรักไม่ได้เลยสักนิด ดูเย็นชาหน่อยๆด้วยซ้ำไป เดาว่านั่นคงเป็นตอนที่เริ่มมีปัญหากันสินะ แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้ดีท่าทีอะไรเป็นพิเศษ สควอโล่ก็ยังโวยวายเหมือนเดิม เรื่องนี้มันแปลกจริงๆ หรือที่ทำก็เพื่อจะกลบเกลื่อนกันแน่นะ
ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลลึกฉายแววสับสนเล็กน้อย ก่อนที่เสียงหวานๆจะเริ่มพูดต่อราวกับอยากจะระบาย
“ฉันเคยคิดว่าฉันจะทนได้ จนกระทั่งเมื่อครึ่งปีก่อนที่เด็กนั่นย้ายเข้ามาอยู่ในปราสาท นายรู้รึเปล่าว่าฉันช็อกแค่ไหน มันเป็นความรู้สึกที่ว่า ที่ที่ฉันเคยอยู่น่ะ แล้วยิ่งฉันรู้จักเด็กนั่นมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งเจอความแตกต่างระหว่างตัวเองกับซาวาดะ มันทำให้ฉันปวดใจมากรู้มั้ย พอคิดว่าบอสรักที่เด็กนั่นเป็นอย่างนั้น ฉัน ฉันไม่ใช่แบบนั้น ไม่ได้อบอุ่น ไม่ได้อ่อนโยนแบบนั้น”
ปลายเสียงสั่นสะท้าน ขอบตาร้อนผ่าวไปหมด เมื่อกระพริบตาหยาดน้ำตาหยดหนึ่งกลับกลิ้งลงมาตามแก้มใส ทั้งที่คิดว่าจะไม่ร้องไห้แท้ๆ แต่กลับไม่อาจทำได้เลย เพียงแค่คิดว่า ตนกับนภาแสนสดใสของวองโกเล่แตกต่างกันมากเพียงใด และความจริงที่ว่าตนเองจะไม่มีวันเป็นอะไรแบบที่แซนซัสต้องการได้ ความรู้สึกนี้มันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน
“ท่านผ.บ.รู้มั้ยครับว่า นภาที่สว่างสดใสกับนภาอันมือดมิดน่ะอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอก เพราะเป็นสิ่งที่ขนานกัน ไม่ว่ายังไงเราก็ไม่อาจฝืนความแตกต่างของกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ ผมว่านภามืดน่ะ มีไว้เพื่อเคียงข้างกับหยาดพิรุณเท่านั้นแหละ”
ถ้อยคำปลุกปลอบแสนแปลกประหลาดนั้นทำให้ร่างบางเบิกตากว้างขึ้น ก่อนที่จะเผยรอยยิ้มออกมาในท้ายที่สุดกับคำเปรียบเปรยนั้น ฟรานเป็นคนดี สมแล้วที่ไอ้เจ้าชายรัก เขาเองก็นึกเอ็นดูเด็กคนนี้อยู่ไม่น้อย ถึงฟรานจะปากเสียไปบ้างแต่เรื่องทำให้คนรู้สึกดีนี่ ดูเหมือนว่าสายหมอกจะถนัดทีเดียว แต่ก็แน่นอนว่า เรื่องทำให้คนรู้สึกแย่ฟรานกลับถนัดเสียยิ่งกว่า
“ขอบใจมากนะเจ้ากบ ฉันเองก็พยายามจะคิดแบบนั้นเหมือนกัน” ร่างบางพยักหน้าพร้อมกับพูดเสริม
“แต่ผมก็เห็นด้วยนะครับเรื่องที่ว่า ความรักอย่างเดียวน่ะมันไม่พอหรอก เราต้องมีความพยายามด้วย ถ้าท่านผ.บ.ยอมแพ้ตอนนี้ ก็แย่น่ะสิครับ”
“รู้แล้วๆ ฉันไม่ยอมแพ้หรอก ก็คงต้องลองดูก่อนล่ะนะ”
“ครับ ท่านผ.บ.ครับ” น้ำเสียงนั้นลังเล แผ่วเบา
“คืนนี้ ผมนอนค้างที่นี่อีกคืนได้มั้ยครับ”
.
ไอ้เจ้ากบบ้านั่นมันหายไปไหนกัน
ร่างสูงของเจ้าชายนักฆ่าที่ยังคงนั่งอยู่บนเตียงกว้างทั้งที่เวลาผ่านไปค่อนคืนแล้ว ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง นอนไม่หลับเลยสักนิด เวลาไม่มีฟรานอยู่ใกล้ๆ ทำไมเจ้าชายถึงเป็นไปได้ขนาดนี้นะ
คิดไปถึงต้นเหตุของการทะเลาะวิวาทแล้วยิ่งเป็นเรื่องไร้สาระ ที่เขาไม่เห็นว่ามันจะสำคัญตรงไหน แต่ฟรานกลับคิดเอาเป็นจริงเป็นจังว่าเขาไม่เชื่อใจ ก็ถูกล่ะที่เขาจะไม่เชื่อ ใครจะไปคิดถึงเรื่องอย่างนั้นกันล่ะ
แล้วมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเราเลยสักนิดด้วยซ้ำ
“บ้าจังเลย เจ้ากบ ไม่อยากกลับมาแล้วรึไงกันนะ เจ้าชายนอนไม่หลับนะรู้มั้ย ชิชิชิ”
..
นอนไม่หลับ
ดวงตาสีน้ำตาลสวยมองฝ่าความมืดมิดในห้องเพ่งมองที่เพดาน เป็นอย่างนี้มาครึ่งค่อนคืนแล้วที่เขาไม่อาจข่มตาลงหลับได้ บางครั้งเขาก็เหนื่อยที่ต้องไล่ตามความรัก เหนื่อยที่จะต้องวางแผนร้ายกาจแบบนั้น บางครั้งเขาก็คิด
ตัวเราเมื่อก่อนไม่ได้เป็นแบบนี้สินะ แน่นอนว่า กาลเวลาเปลี่ยนจิตใจของคนก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไป ครึ่งปีกลับเป็นช่วงเวลาเพียงสั้นๆที่ทำให้เขาเปลี่ยนไปมากมายถึงขนาดนี้ เคยมีคนบอกว่า เขาเป็นนภาอันแสนอ่อนโยน อบอุ่น ไร้เดียงสา หากแต่เมื่อลองย้อนกลับมาลองมองดูตัวเองในขณะนี้แล้ว มันช่างแตกต่างเสียจริงๆ
ทั้งหมดนั่นก็เพราะว่าความรักใช่มั้ยที่ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไป
เขาเองก็เคยมีความรัก ตอนที่คิดว่าหลงรักเคียวโกะ เขาพยายามทำให้ตัวเองเข้มแข็งขึ้นเพื่อจะได้กลายเป็นคนแข็งแกร่ง เพื่อปกป้องเธอ เพราะเธอเขาจึงกลายเป็นผู้ชายที่ดีมากยิ่งขึ้น แต่ตอนนี้เขากลับแย่ลงและแย่ลง ทั้งที่มันก็เป็นความรักเหมือนกัน ทั้งที่คิดว่าตัวเองเข้มแข็งแต่กลับอ่อนแอ บ่อยครั้งที่ต้องร้องไห้ มันเพราะอะไรกัน
ชั่ววูบหนึ่งที่เผลอคิดไปว่า เพราะความอิจฉา
อิจฉา ในสายสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างนภากับพิรุณ อิจฉาที่แซนซัสยังคงรู้สึกผูกพันธ์ อิจฉาในความงดงามที่เหมือนกับยาพิษร้ายกาจนั่น อิจฉาที่ไม่ว่ายังไงแซนซัสก็ไม่อาจลืมสควอโล่ได้หมดใจ เพราะพวกเขาผูกพันธ์นานเกินไป
แซนซัสบอกว่าที่เลิกกับสควอโล่ก็เพราะว่าเบื่อ แล้วเมื่อไหร่กันเล่าที่เขาเองจะโดนทิ้ง จะโดนเบื่อแบบนั้นเข้าสักวัน ไม่ว่ายังไงสถานภาพตอนนี้ก็ไม่มั่นคงเลยสักนิด
ห่างๆกันซะบ้างก็คงจะดี เขาจะได้มีเวลาทบทวนว่าจริงๆแล้วต้องการอะไรกันแน่ การกลับญี่ปุ่นในครั้งนี้อาจจะทำให้เขาคิดอะไรได้มากขึ้น และเปิดใจกว้างมากกว่าเดิม เอกนภาเชื่อเช่นนั้น
TBC.
..................................................
(me/โดน FC เขวี้ยงรองเท้าใส่) เป็นตอนที่ไร้สาระได้อีก แต่ซึลว่าตอนนี้ทุกท่านคงจะเข้าใจทูน่ามากขึ้น (ล่ะมั้ง)
คือซึลอยากให้ลองมองในมุมของทูน่าบ้าง ไม่ผิดหรอกที่ปลาทูจะอิจฉา เอิ๊กๆๆๆ
Happy Valentine Day นะค่ะ
วาเลนไทน์ปีนี้ซึลอยากส่งความรักด้วยการอัพฟิคที่ค้างไว้ (ไม่ใช่แล้ว 555+)
ดองเรื่องนี้มานาน แล้วตอนนี้ก็เผาภายในวันเดียวด้วยค่ะ
หากมันเน่าเกินไป ต้องขออภัย T^T
p.s. จริงๆซึลกะจะแต่ง short fic เกี่ยวกะวาเลนไทน์ แต่พอไม่มีโชแล้วรู้สึกว่าเสื่อมไม่ออกเลยเปลี่ยนมาอัพเรื่องนี้แทนล่ะค่ะ
ถ้าโชมาเมื่อไหร่(ซึ่งคงอีกนาน) จะรีบมาอัพ short fic เลยค่ะ ^O^
เอาล่ะ แพล่มเยอะแล้ว enjoyyyy
.........................................................................................
Chapter 6: Difference emotional
ว่ากันว่า ความรู้สึกของมนุษย์นั้นช่างซับซ้อน ไม่เคยมีผู้ใดที่จะรับรู้ได้ถึงทุกความรู้สึกที่ผู้อื่นแสดงออกมา หรือแม้กระทั่งสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจ หากแต่ที่สุดของความซับซ้อนนั้นก็คือความรัก
ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีความทุกข์
คำกล่าวนั้น สำหรับเขาแล้วช่างเป็นจริงเสียยิ่งกว่าความจริงใดๆ
“น นี่มัน .ฮึก อะไรกันน่ะครับ...”
วินาทีที่คำถามนั้นหลุดรอดออกจากริมฝีปากบาง วงหน้าคมเข้มก็หันไปทันทีตามเสียงเรียกนั้น ชั่ววูบหนึ่งที่ดวงตาสีแดงเลือดฉายแววตระหนกเมื่อเห็นคนรัก แต่ก็กลับมาสงบได้รวดเร็วราวกับว่าไม่รู้สึกรู้สา เป็นท่าทางที่ทำให้คนมองปวดใจเสียยิ่งกว่าตายทั้งเป็น แซนซัสถอนกายออกจากร่างบางของฉลามแห่งวาเรียช้าๆ หยาดน้ำสีขาวขุ่นไหลเป็นทางลงมาตามเรียวขาบอบบาง สึนะกัดริมฝีปากแน่นขึ้นเมื่อมองดูรอยรักสีกุหลาบบนเรียวขานั้น
ปฏิเสธไม่ได้ว่า สควอโล่นั้น ช่างแสนงดงาม และเขาก็กำลังอิจฉาความงดงามนั้นที่ทำให้บอสแห่งวาเรียลุ่มหลงจนหลงลืมคำสัญญา
นี่สินะ สิ่งที่แกอยากให้ฉันเห็น ฟราน!
“ทำไม ฮึก ทำไมต้องทำอย่างนี้ ”
เสียงหวานที่ร่ำร้องทำให้บอสใหญ่แห่งวาเรียมีสีหน้าลำบากใจขึ้นทันที ร่างสูงถอนหายใจเล็กน้อยขณะที่มือใหญ่กำลังสาละวนอยู่กับการจัดแต่งเสื้อผ้าของตัวเองให้เข้าที่ พร้อมๆกับสควอโล่ที่กำลังจัดการคราบเปรอะเปื้อนด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ถ้าหากสังเกตดีๆแล้ว มุมปากสวยกลับมีรอยยิ้มเยาะในสถานการณ์เช่นนี้ และมันก็ทำให้ร่างบางของวองโกเล่เดือดจนแทบบ้า หากแต่น้ำตาที่รินไหลต่างหากเล่าที่เป็นของจริง
ใครที่ไหนจะรับได้เมื่อเห็นคนที่ตัวเองรักและเชื่อถือในคำสัญญา กลับมีอะไรกับชายคนอื่นต่อหน้าต่อตาแบบนี้
“ฉันขอโทษ”
คำขอโทษสั้นๆจากบอสแห่งวาเรียยิ่งโหมกระหน่ำไฟแค้นให้มากยิ่งขึ้นไปอีก แต่ร่างบางกลับกล้ำกลืนคำพูดร้ายกาจเอาไว้ยามอยู่ต่อหน้าแซนซัส ดวงตาสีน้ำตาลคู่โตเหลือบมองสควอโล่ที่กำลังจะก้าวเดินออกจากห้องด้วยความเคียดแค้น แผนการร้ายถูกจุดขึ้นในหัวอย่างรวดเร็ว
“แซนซัส นายจะทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ฉันไม่ทนอีกแล้ว”
คำกล่าวนั้นทำให้ร่างสูงชะงัก รวมถึงฉลามคลั่งแห่งวาเรียที่กำลังจะเดินออกไปก็ต้องหันกลับมามอง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มคู่สวยฉายแววเด็ดเดี่ยว ริมฝีปากบางเม้มแน่นราวกับว่าตัดสินใจอะไรบางอย่างอยู่ อะไรบางอย่างในท่าทางนั้นร่ำร้องบอกถึงอันตรายและลางสังหรณ์ของบอสใหญ่แห่งวาเรียก็ถูกเสียด้วย
“นายจะต้องเลือก ระหว่างฉันกับสควอโล่ เลือกมาสิ!”
น้ำเสียงตวัดสูงในตอนท้าย ทำให้ร่างบางของสควอโล่สะดุ้งอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากบางเม้มแน่นขณะที่หันไปมองร่างสูงสง่าของแซนซัสที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่อนาทรร้อนใจ ช่างแตกต่างจากคนเฝ้ารอคอย ฝ่ายหนึ่งเคียดแค้นจนแทบร้อนเป็นไฟ น้ำตารินไหลออกจากดวงตาเปรอะเปื้อนไปทั่วใบหน้าใส ดวงตาสีน้ำตาลฉายแววแข็งกร้าว ในขณะที่อีกคนนั้นหัวใจกลับเย็นเยียบเสียยิ่งกว่าน้ำแข็ง
ใช่แล้ว ความเยียบเย็นนั้นแล่นขึ้นมาจากข้อนิ้วไปยังไขสันหลัง จนสควอโล่ตัวสั่นสะท้านด้วยความเหน็บหนาว ไม่ใช่เพราะอากาศ แต่เขา กำลังหวาดกลัวในการตัดสินใจของแซนซัส ใจอยากจะร้องไห้แต่กลับไม่มีแม้แต่หยาดน้ำตา มีแต่ความหนาวเหน็บจนกายสั่นสะท้าน
ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยสักนิด
“ทำไมฉันจะต้องเลือก”
เสียงทุ้มต่ำแผ่วเบาจากบอสแห่งวาเรียทำให้คนฟังถึงกับนิ่งอึ้ง ความเอาแต่ใจและความดื้อดึงฉายชัดออกมาจากประโยคนั้น เมื่อคนพูดไม่แม้แต่จะสั่นไหว ตรงกันข้ามน้ำเสียงนั้นกลับมั่นคงราวกับว่าไม่รู้สึกรู้สาในความเจ็บปวดของคนสองคนแม้แต่น้อยจนคนมองปวดใจ
แซนซัส นายเลือกไม่ได้หรือไม่อยากเลือกกันแน่ จริงๆแล้วนายรักใครอยู่ รู้มั้ยว่าแบบนี้มันเห็นแก่ตัวมากเลยนะ ฉัน
“ฉัน ที่ฉันบอกว่าทนไม่ได้นี่ ฉันหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ งั้นเราห่างกันสักพักก็แล้วกัน ฉันจะบินกลับญี่ปุ่นไปสะสางงาน ถ้านายคิดออกว่าจะเลือกใคร ถึงตอนนั้นเราค่อยมาคุยกัน”
แล้วร่างบางก็เดินจากไปท่ามกลางความตกตะลึงของคนทั้งสอง พร้อมกับเสียงปิดประตูดัง ปัง! ฝ่ายหนึ่งคือบอสแห่งวาเรียที่ดวงตาสีแดงเลือดฉายแววตระหนกอย่างเห็นได้ชัด อีกฝ่ายคือฉลามคลั่งที่ชั่ววูบหนึ่งในดวงตาสีอะควอมารีนฉายชัดถึงความยินดี
ทั้งๆที่ไม่ควรเลย สควอโล่ถอนหายใจเล็กน้อย แล้วเดินจากไปพร้อมกับปิดประตูอย่างแผ่วเบา
อยู่คนเดียว แซนซัสอาจจะคิดทบทวนการกระทำของตัวเองได้มากขึ้น
“โธ่เว้ย!”
เสียงตะโกนดังขึ้นก้องลั่นในห้องทำงานเก็บเสียง อารมณ์โกรธที่กักเก็บไว้ถูกระบายลงกับโต๊ะทำงานชั้นดีที่ตอนนี้ของบนโต๊ะถูกกวาดลงกับพื้น แต่เท่านั้นกลับไม่อาจระงับความโกรธ ร่างสูงรินเหล้าใส่ในแก้วหรูจนล้นทะลัก ดื่มเข้าไปอึกใหญ่ก่อนจะเขวี้ยงแก้วทิ้งอย่างไม่ไยดี
เพล้ง!
เสียงแก้วแตกกระทบกำแพงกับน้ำสุราสีอำพันที่รินไหลพอจะทำให้เขาสงบใจลงได้บ้าง มากพอที่จะย้อนคิดทบทวนการกระทำของตนเอง ไอ้สวะนั่นบอกให้เขาเลือก แต่เขาก็เลือกไม่ได้ คิดดูมันก็ช่างน่าขันทั้งๆที่ เขามั่นใจว่ารักซาวาดะ สึนะโยชิ มากพอที่จะทำสัญญาบ้าๆนั่นแต่พอเอาเข้าจริงๆแล้วกลับเลือกไม่ได้
จะเรียกว่าเสียดายได้รึเปล่านะ
ว่าแล้วก็คิดไปถึงผิวขาวซีดของสควอโล่ยามเปลือยเปล่าอยู่ใต้ร่างของเขา
หรืออาจเรียกว่าตัณหา
ยอมรับว่าเขาเองก็พอใจในตัวอีกฝ่ายมากอยู่ แต่ส่วนลึกแล้วเขากลับรักซาวาดะแต่นั่นมันก็ยังไม่มากพอ ใครบอกกันว่านภาโอบอ้อมอารี บางทีนภาก็อยากเห็นแก่ตัวบ้างเพื่อความสุขเล็กๆน้อยๆของตน หรืออาจจะเป็นเพราะเขาคือนภามืดก็ได้ เลยไม่อบอุ่นอ่อนโยน เขาจึงโหยหาความอบอุ่นนั้นราวกับต้องการเติมเต็มส่วนที่ต่างกัน
ส่วนฉลามคลั่งแห่งวาเรียก็แค่ความผูกพันธ์เดิมๆที่เขาไม่อาจละทิ้ง ไม่อาจตัดขาดจากไปได้ ความรักและความผูกพันธ์เอาเข้าจริงๆแล้วกลับเลือกไม่ได้ เขาไม่ต้องการให้ซาวาดะจากไป มากพอๆกับการที่ต้องการสควอโล่มาอยู่เคียงข้าง
ถ้าอย่างนั้น จริงๆแล้วเขารักใครกันแน่ล่ะ
ร่างสูงกุมขมับแน่น ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้สีแดงตัวใหญ่ในห้องทำงานด้วยความสับสน หลับตาลง ปล่อยใจไปกับความเหนื่อยล้าของตนเอง ความรักแบบนี้มันช่างน่าเหนื่อยหน่ายจริงๆ
สำนึกภายในจิตใจร่ำร้อง ถ้าหากว่าไม่เลือก เขาเองนั่นแหละที่จะต้องสูญเสียทั้งสองอย่างไป
..
“ถือว่าไปได้สวยทีเดียวนะครับ”
ทันทีที่สควอโล่กลับมาถึงห้อง เสียงหวานใสของสายหมอกมายากับการพูดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวก็ดังนำขึ้นมาก่อน หรี่ตามองฝ่าความมืดมิดเข้าไปในห้องก็พบเงาร่างหนึ่งนั่งอยู่บนเตียงคอยท่าแล้ว ร่างบางถอนหายใจก่อนจะเปิดไฟ
ผิวขาวใสกับเรือนผมสีน้ำทะเลเป็นสิ่งแรกที่เห็นจนเจนตา ริมฝีปากบางมีรอยยิ้มกว้างฉาชัด แต่ดวงตากลับไม่ได้ยิ้มไปด้วยจนทำให้แลดูน่าขนลุก เป็นอีกครั้งที่ฟรานไม่ได้ใส่หมวกกบ แต่มันก็เป็นเรื่องส่วนตัวจนเขาไม่อยากเอ่ยถามออกไป
“แกรู้?”
“ก็แน่สิครับ ผมเป็นสายหมอกนี่นา สอดแนมได้ทุกเรื่องแหละ ยิ่งเป็นเรื่องหลังจากที่ท่านผ.บ.ออกมา แล้วตาลุงบอสจอมโลภมากก็ทำลายข้าวของซะจนผมสงสารแม่บ้านเลยล่ะครับ แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ดีแล้วนี่นา”
ประโยคนั้นยังคงบ่งบอกความเป็นฟรานด้วยการจิกกัดบอสแห่งวาเรียจนสควอโล่หัวเราะน้อยๆ นั่นสินะ บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องดี
“บอสไม่ยอมเลือกกับไอ้เด็กนั่นกลับญี่ปุ่น มันเป็นเรื่องดีจริงๆนั่นแหละ”
พูดจบร่างบางก็ทิ้งตัวนอนลงบนเตียง ล้มทับหมอกมายาที่ทำให้ตัวเองเลือนหายจับต้องไม่ได้ ฟรานทำหน้ายู่ยี่เล็กน้อยที่สควอโล่กางแขนกางขาออกซะจนเต็มเตียง แถมยังล้มทับใส่โดยไม่สนใจเขาเลยสักนิด
“หม่าม๊า ผมนั่งอยู่นะ ไม่เกรงใจกันมั่งเลยทับมาได้ ถ้าผมแบนขึ้นมาจะว่าไง” ถ้อยคำตัดพ้อนั้นชวนให้ร่างบางเกิดความรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมา
“บอกกี่ทีแล้วว่า อย่าเรียกอะไรบ้าๆนั่น”
เผลอแว้ดออกไปแบบที่ชอบทำเป็นประจำ จนร่างบางรู้สึกแปลกใจตัวเองเล็กน้อย นานมากแล้วที่ไม่ได้สดใสร่าเริงและตวาดใครด้วยน้ำเสียงแบบนี้ มันอาจจะเริ่มขึ้นตั้งแต่เด็กนั่นเข้ามา เขาก็ไม่เคยมีรอยยิ้มอีกเลย อารมณ์แบบนี้ก็แทบจะลืมเลือนไปแล้วด้วยซ้ำ
“ก็ผมอยากเรียกนี่ครับ หม่าม๊าน่าจะขอบคุณผมนะที่มันสำเร็จอย่างงดงาม วองโกเล่รุ่นที่ 10 น่ะน่าหมั่นไส้จะตาย”
คนที่น่าหมั่นไส้น่าจะเป็นแกมากกว่าล่ะมั้ง ร่างบางคิดในใจ แต่สิ่งนี้ก็เกิดขึ้นได้เพราะฟราน
“ขอบใจแกมากนะ ถ้าไม่ได้แกป่านนี้ฉันคงนั่งช้ำใจตาย เฮ้อ!”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมแค่ใช้ประโยชน์จากถ่านไฟเก่าน่ะ”
คำพูดนั้นทำให้ร่างบางหันขวับไปหาคนพูดทันทีอย่างคาดไม่ถึง เรื่องมันก็น่าจะนานมาแล้วนี่นา ทำไมไอ้เด็กนี่
“แกรู้เรื่องนั้นได้ยังไง”
“เรื่องไหนเหรอครับ”
คนชอบทำไก๋ก็ยังทำเป็นไม่รู้เรื่องอยู่วันยันค่ำ ส่วนนึงก็เพราะนิสัยกวนประสาทของหมอกมายาเนี่ยแหละที่ทำให้เขาต้องแว้ดออกมาบ่อยๆทั้งที่ไม่อยากเลยสักนิด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า จุดนั้นมันทำให้คนตรงหน้าดูมีเสน่ห์ มากพอจะกุมหัวใจของไอ้เจ้าชายนั่น
“แกก็รู้อยู่นี่นา เรื่องเมื่อ 2 ปีก่อนน่ะ”
“ผมรู้แค่ว่า บอสกับท่านผ.บ.เลิกกันเมื่อสองปีก่อนน่ะครับ แต่ผมไม่รู้รายละเอียดหรอก เห็นว่าคบกันมานานมากแล้ว แล้วทำไมเลิกกันล่ะครับ”
“10 ปี ฉันกับบอสคบกันมา 10 ปี”
ปลายเสียงสั่นเครือราวกับจะร้องไห้ แต่กลับไม่มีแม้แต่น้ำตา ดวงตาสีฟ้าสวยเหม่อมองไปแสนไกลราวกับคิดถึงอดีตอันยาวนาน มีอะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน เราผ่านอะไรมาด้วยกันมาก จนคิดไม่ถึงว่าแกจะทิ้งฉันได้ลงคอ
“งั้นทำไมล่ะครับ ผมว่า 10 ปีนั่นมันนานมากเลยนะ”
“ก็เพราะว่ามันนานไงล่ะ เราถึงได้จบกัน”
สายหมอกมายาเอียงคอเล็กน้อยกับคำตอบนั้น ด้วยความที่เขายังอายุเพีงแค่ 20 ต้นๆและตลอดทั้งชีวิตมีเพียงแค่เบล จึงยังไม่เข้าใจมากนัก ถ้านานขนาดนั้นความรักควรจะมั่นคงสิ แล้วทำไม
“พูดง่ายๆก็คือ ความเหนื่อยหน่ายยังไงล่ะ อยู่ด้วยกันนานๆเห็นหน้ากันทุกวัน มีอะไรกันทุกวัน สิ่งเหล่านี้มันน่าจำเจจนเราสองคนเบื่อหน่าย นายเคยได้ยินมั้ยว่าความรัก พอถึงจุดหนึ่งมันจะจืดจางลง แต่คู่รักก็อยู่กันได้เพราะความผูกพันธ์ ฉันรู้ว่าเรามีความผูกพันธ์กัน แต่ตอนนั้นจะว่ายังไงดีล่ะ พวกเราต่างก็เบื่อหน่าย ฉันน่ะไม่ได้คิดอะไรมากหรอก แต่บอสเนี่ยสิ ”
เสียงหวานหม่นหมองลง ทั้งหมดนั่นเกิดขึ้นเพราะเราอยู่ด้วยกันนานมาก นานจนเกินไป ฟรานเองก็นิ่งอึ้งไป เขาไม่เคยคิดในแง่นี้มาก่อนเลย นั่นสินะ อยู่ด้วยกันมากเกินไปก็อาจเกิดความเบื่อได้ เขากับเบลเพิ่งคบกันไม่นาน ไม่ได้ครึ่งของบอสกับสควอโล่ด้วยซ้ำ เขาจึงยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าการเบื่อของคนรักน่ะ มันเป็นยังไง แต่สควอโล่คงจะปวดใจน่าดู
“เพราะเบื่อ” เสียงนั้นยังคงเล่าต่อไป “บอสเลยหาผู้หญิงมานอนด้วยบ้างในบางครั้ง ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ ถึงมันจะปวดใจแต่ฉันก็เข้าใจดี จนกระทั่งถึงตอนที่เราทำศึกกับเบียคุรัน ”
สุ้มเสียงหวานยิ่งหม่นหมองลงเมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ ดวงตาสีฟ้าสวยอ่อนแสงลงด้วยความเศร้าโศก สควอโล่หลับตาลงพร้อมกับเริ่มต้นเล่าเรื่องอีกครั้ง
“ตอนทำศึกกับเบียคุรัน นายก็รู้ว่าบอสเจอเจ้าเด็กนั่น เราชนะศึกแล้วเจ้านั่นในอนาคตก็กลับมาจากความตาย ตอนนั้นเองที่บอสเริ่มไปใกล้ชิดกับเด็กนั่น จนกระทั่งเราเลิกกันในที่สุด ก็นั่นสินะ บอสเบื่อฉันแล้วนี่นา แต่ไม่ใช่ว่าเราจะจบกันไม่ดีอะไรขนาดนั้น ฉันรู้แล้วล่ะว่าพวกเราน่ะไปไม่รอดหรอด ถึงรักแค่ไหนมันก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมา เราก็เลยต้องจบกันไป ฉันเคยคิดว่า การที่เราเจอหน้ากันทุกวัน ถึงจะไม่ต้องสัมผัสกันก็เพียงพอแล้ว พวกเราเว้นระยะห่างระหว่างกัน แต่บอสเองก็ไม่ค่อยจะอยู่ติดปราสาทนักหรอกนะ”
สายหมอกแห่งวาเรียนิ่งงันไป คิดถึงช่วงเวลาระหว่างศึกกับเบียคุรัน จนกระทั่งตอนนั้นบอสกับสควอโล่ก็ยังคบกัน แต่เขากลับสัมผัสถึงบรรยากาศของความรักไม่ได้เลยสักนิด ดูเย็นชาหน่อยๆด้วยซ้ำไป เดาว่านั่นคงเป็นตอนที่เริ่มมีปัญหากันสินะ แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้ดีท่าทีอะไรเป็นพิเศษ สควอโล่ก็ยังโวยวายเหมือนเดิม เรื่องนี้มันแปลกจริงๆ หรือที่ทำก็เพื่อจะกลบเกลื่อนกันแน่นะ
ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลลึกฉายแววสับสนเล็กน้อย ก่อนที่เสียงหวานๆจะเริ่มพูดต่อราวกับอยากจะระบาย
“ฉันเคยคิดว่าฉันจะทนได้ จนกระทั่งเมื่อครึ่งปีก่อนที่เด็กนั่นย้ายเข้ามาอยู่ในปราสาท นายรู้รึเปล่าว่าฉันช็อกแค่ไหน มันเป็นความรู้สึกที่ว่า ที่ที่ฉันเคยอยู่น่ะ แล้วยิ่งฉันรู้จักเด็กนั่นมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งเจอความแตกต่างระหว่างตัวเองกับซาวาดะ มันทำให้ฉันปวดใจมากรู้มั้ย พอคิดว่าบอสรักที่เด็กนั่นเป็นอย่างนั้น ฉัน ฉันไม่ใช่แบบนั้น ไม่ได้อบอุ่น ไม่ได้อ่อนโยนแบบนั้น”
ปลายเสียงสั่นสะท้าน ขอบตาร้อนผ่าวไปหมด เมื่อกระพริบตาหยาดน้ำตาหยดหนึ่งกลับกลิ้งลงมาตามแก้มใส ทั้งที่คิดว่าจะไม่ร้องไห้แท้ๆ แต่กลับไม่อาจทำได้เลย เพียงแค่คิดว่า ตนกับนภาแสนสดใสของวองโกเล่แตกต่างกันมากเพียงใด และความจริงที่ว่าตนเองจะไม่มีวันเป็นอะไรแบบที่แซนซัสต้องการได้ ความรู้สึกนี้มันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน
“ท่านผ.บ.รู้มั้ยครับว่า นภาที่สว่างสดใสกับนภาอันมือดมิดน่ะอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอก เพราะเป็นสิ่งที่ขนานกัน ไม่ว่ายังไงเราก็ไม่อาจฝืนความแตกต่างของกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ ผมว่านภามืดน่ะ มีไว้เพื่อเคียงข้างกับหยาดพิรุณเท่านั้นแหละ”
ถ้อยคำปลุกปลอบแสนแปลกประหลาดนั้นทำให้ร่างบางเบิกตากว้างขึ้น ก่อนที่จะเผยรอยยิ้มออกมาในท้ายที่สุดกับคำเปรียบเปรยนั้น ฟรานเป็นคนดี สมแล้วที่ไอ้เจ้าชายรัก เขาเองก็นึกเอ็นดูเด็กคนนี้อยู่ไม่น้อย ถึงฟรานจะปากเสียไปบ้างแต่เรื่องทำให้คนรู้สึกดีนี่ ดูเหมือนว่าสายหมอกจะถนัดทีเดียว แต่ก็แน่นอนว่า เรื่องทำให้คนรู้สึกแย่ฟรานกลับถนัดเสียยิ่งกว่า
“ขอบใจมากนะเจ้ากบ ฉันเองก็พยายามจะคิดแบบนั้นเหมือนกัน” ร่างบางพยักหน้าพร้อมกับพูดเสริม
“แต่ผมก็เห็นด้วยนะครับเรื่องที่ว่า ความรักอย่างเดียวน่ะมันไม่พอหรอก เราต้องมีความพยายามด้วย ถ้าท่านผ.บ.ยอมแพ้ตอนนี้ ก็แย่น่ะสิครับ”
“รู้แล้วๆ ฉันไม่ยอมแพ้หรอก ก็คงต้องลองดูก่อนล่ะนะ”
“ครับ ท่านผ.บ.ครับ” น้ำเสียงนั้นลังเล แผ่วเบา
“คืนนี้ ผมนอนค้างที่นี่อีกคืนได้มั้ยครับ”
.
ไอ้เจ้ากบบ้านั่นมันหายไปไหนกัน
ร่างสูงของเจ้าชายนักฆ่าที่ยังคงนั่งอยู่บนเตียงกว้างทั้งที่เวลาผ่านไปค่อนคืนแล้ว ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง นอนไม่หลับเลยสักนิด เวลาไม่มีฟรานอยู่ใกล้ๆ ทำไมเจ้าชายถึงเป็นไปได้ขนาดนี้นะ
คิดไปถึงต้นเหตุของการทะเลาะวิวาทแล้วยิ่งเป็นเรื่องไร้สาระ ที่เขาไม่เห็นว่ามันจะสำคัญตรงไหน แต่ฟรานกลับคิดเอาเป็นจริงเป็นจังว่าเขาไม่เชื่อใจ ก็ถูกล่ะที่เขาจะไม่เชื่อ ใครจะไปคิดถึงเรื่องอย่างนั้นกันล่ะ
แล้วมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเราเลยสักนิดด้วยซ้ำ
“บ้าจังเลย เจ้ากบ ไม่อยากกลับมาแล้วรึไงกันนะ เจ้าชายนอนไม่หลับนะรู้มั้ย ชิชิชิ”
..
นอนไม่หลับ
ดวงตาสีน้ำตาลสวยมองฝ่าความมืดมิดในห้องเพ่งมองที่เพดาน เป็นอย่างนี้มาครึ่งค่อนคืนแล้วที่เขาไม่อาจข่มตาลงหลับได้ บางครั้งเขาก็เหนื่อยที่ต้องไล่ตามความรัก เหนื่อยที่จะต้องวางแผนร้ายกาจแบบนั้น บางครั้งเขาก็คิด
ตัวเราเมื่อก่อนไม่ได้เป็นแบบนี้สินะ แน่นอนว่า กาลเวลาเปลี่ยนจิตใจของคนก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไป ครึ่งปีกลับเป็นช่วงเวลาเพียงสั้นๆที่ทำให้เขาเปลี่ยนไปมากมายถึงขนาดนี้ เคยมีคนบอกว่า เขาเป็นนภาอันแสนอ่อนโยน อบอุ่น ไร้เดียงสา หากแต่เมื่อลองย้อนกลับมาลองมองดูตัวเองในขณะนี้แล้ว มันช่างแตกต่างเสียจริงๆ
ทั้งหมดนั่นก็เพราะว่าความรักใช่มั้ยที่ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไป
เขาเองก็เคยมีความรัก ตอนที่คิดว่าหลงรักเคียวโกะ เขาพยายามทำให้ตัวเองเข้มแข็งขึ้นเพื่อจะได้กลายเป็นคนแข็งแกร่ง เพื่อปกป้องเธอ เพราะเธอเขาจึงกลายเป็นผู้ชายที่ดีมากยิ่งขึ้น แต่ตอนนี้เขากลับแย่ลงและแย่ลง ทั้งที่มันก็เป็นความรักเหมือนกัน ทั้งที่คิดว่าตัวเองเข้มแข็งแต่กลับอ่อนแอ บ่อยครั้งที่ต้องร้องไห้ มันเพราะอะไรกัน
ชั่ววูบหนึ่งที่เผลอคิดไปว่า เพราะความอิจฉา
อิจฉา ในสายสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างนภากับพิรุณ อิจฉาที่แซนซัสยังคงรู้สึกผูกพันธ์ อิจฉาในความงดงามที่เหมือนกับยาพิษร้ายกาจนั่น อิจฉาที่ไม่ว่ายังไงแซนซัสก็ไม่อาจลืมสควอโล่ได้หมดใจ เพราะพวกเขาผูกพันธ์นานเกินไป
แซนซัสบอกว่าที่เลิกกับสควอโล่ก็เพราะว่าเบื่อ แล้วเมื่อไหร่กันเล่าที่เขาเองจะโดนทิ้ง จะโดนเบื่อแบบนั้นเข้าสักวัน ไม่ว่ายังไงสถานภาพตอนนี้ก็ไม่มั่นคงเลยสักนิด
ห่างๆกันซะบ้างก็คงจะดี เขาจะได้มีเวลาทบทวนว่าจริงๆแล้วต้องการอะไรกันแน่ การกลับญี่ปุ่นในครั้งนี้อาจจะทำให้เขาคิดอะไรได้มากขึ้น และเปิดใจกว้างมากกว่าเดิม เอกนภาเชื่อเช่นนั้น
TBC.
..................................................
(me/โดน FC เขวี้ยงรองเท้าใส่) เป็นตอนที่ไร้สาระได้อีก แต่ซึลว่าตอนนี้ทุกท่านคงจะเข้าใจทูน่ามากขึ้น (ล่ะมั้ง)
คือซึลอยากให้ลองมองในมุมของทูน่าบ้าง ไม่ผิดหรอกที่ปลาทูจะอิจฉา เอิ๊กๆๆๆ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น