ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    A Tranquilizer for your Christmas Eve : ยากล่อมใจในคืนฝัน

    ลำดับตอนที่ #23 : จิตติกับการวิเคราะห์ไดอารีของทัตตวา -1-

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 615
      2
      7 ต.ค. 54

    การตรวจทุกครั้งกลายเป็นเหมือนพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ระหว่างทัตตวากับจิตติ

    เมื่อเริ่มตรวจ จิตติจะอ่านไดอารีของเธอและพูดเกี่ยวกับประเด็นที่เขาสังเกตและบันทึกไว้เป็นพิเศษ จากนั้นเขาจะปลอบโยนเธอ และพูดว่า “หมอดีใจที่เธอเล่าทุกอย่างให้หมอฟัง” เขาจะพูดประโยคนี้ทุกครั้งที่ไดอารีแสดงความในใจส่วนลึกของทัตตวาออกมา

    จากการอ่านไดอารี จิตติสรุปสภาพจิตใจของทัตตวาออกมาได้สองประเด็น

    1. ความหวาดกลัวการถูกแบ่งแยก
    ทัตตวาเล่าถึงสีผิวและทักษะภาษาอังกฤษเป็นอย่างมากในไดอารีของเธอ และเหตุการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเมื่อเธอกลายเป็นศูนย์กลางความสนใจในทางลบของคนอื่น แม้ว่าพวกเขาจะไม่ตั้งใจก็ตาม นั่นทำให้เกิดรอยแผลในใจกรีดลึกลงไป พวกเขาคาดหวังให้เธอเป็นในสิ่งที่เธออยากเป็น แต่เมื่อเธอทำตามความคาดหวังนั้นไม่ได้ก็จะเทเอาความผิดหวังทั้งหมดนั้นลงใส่ทัตตวา จิตติคิดว่าเป็นความย้อนแย้งที่น่าขัน เป็นที่รู้กันดีว่าประเทศนี้พยายามแทบเป็นแทบตายจะให้ตัวเองเป็นเหมือนตะวันตก แต่ระหว่างที่ร่ำร้องกันอยู่ ก็อาจผลักดันรูปเคารพของตัวเองให้เป็นสิ่งผิดแปลกแตกต่างอย่างง่ายดาย เหมือนกับจะเป็นศักดิ์ศรีแต่ความจริงแล้วเป็นเพียงความริษยาน่าขยะแขยงปนกับความเกลียดชังตนเอง และเหล่านักชาตินิยมก็มักจะมีประเพณีแสวงหาแพะรับบาปมาสังเวยให้กับความโชคร้ายและการทำลายวัฒนธรรมอันดีงามของชาติ จิตติไม่แปลกใจกับความทุกข์ทรมานของทัตตวา แม้แต่ในกลุ่มชนชั้นกลางที่ทำตัวเป็นตะวันตกก็ยังมีการแบ่งแยกจากนักชาตินิยมอยู่

    ไม่มีทางที่เธอจะเปลี่ยนสีผิว สีผม หรือสีตาได้ เธอต้องเป็นอย่างที่เธอเป็นอยู่นั้นดีแล้ว เขาจะพูดกับเธออย่างนี้ ทำได้แค่ให้กำลังใจโดยไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือเปล่า

    เป็นเวลาระยะหนึ่งกว่าที่จิตติจะเห็นผมสีน้ำตาลอ่อนของทัตตวา ประมาณสองถึงสามสัปดาห์ โคนผมของเธอเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและค่อยๆ จางลงจนเป็นสีน้ำตาลอ่อน จตติประเมินผมได้ว่าทฤษฎีของเขาถูก ทัตตวาดูดีขึ้นเมื่อมีผมสีอ่อน ตอนที่เธอยังยอมผมดำสนิทอยู่นั้น ผมสีดำจะตัดกับผิวขาวซีดจนเหมือนนางเอกหนังใบ้ในฟิล์มขาวดำ

    เธอไม่เขียนถึงทัศนคติเกี่ยวกับลักษณะภายนอกของเธอจากครูประจำชั้นอีก นอกจากที่ครูผู้นั้นบ่นเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับการเรียน

    2.  
    2. จิตติยังไม่เชื่อว่าเมื่อทัตตวาได้รับบาดแผลแล้ว เธอจะไม่เจ็บจริงๆ ทุกครั้งที่เธอมาพบเขาในวันพุธซึ่งเป็นวันที่มีคาบเรียนพลศึกษา จะมีรอยถลอกหรือรอยแผลใหม่ที่หัวเข่าหรือท่อนแขน โดยเฉพาะเมื่อทัตตวามาพบเขาพร้อมผ้าปิดแผลกับรอยช้ำขนาดใหญ่บนใบหน้า เหมือนกับว่าเพิ่งไปตบตีกับใครมา จิตติเรียกนุ้ยมาดูอาการ และเมื่อนุ้ยเห็นแผลเข้าก็อุทานว่า “นี่น้องทนได้ยังไงคะ มันช้ำบวมแถมถลอกหนักขนาดนี้แท้ๆ” ทัตตวาไม่ร้องไห้หรือครวญครางเพราะเจ็บระหว่างทำแผลแม้สักนิด เพียงแค่ปิดตาและกัดฟันแน่นเมื่อสำลีชุบแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อป้ายผ่านแก้มขาวซีดของเธอ

     

    เธอไม่มีความผิดปกติในระบบประสาท การรับรู้ความร้อนและความเย็นเป็นปกติ การเม้มปากและกัดฟันแสดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้ไม่รู้สึกเจ็บเอาเสียเลย เธอยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่แต่พยายามข่มเอาไว้ให้แสดงออกมาน้อยที่สุด เพียงถอนหายใจหรือผ่อนลอมหายใจเบาๆ เพื่อบรรเทาความเจ็บที่หากเป็นเด็กสาววัยเดียวกันคงร้องไห้ฟูมฟายไปแล้ว หรือว่าเพราะเธอถูกเลี้ยงมาให้ปิดบังความเจ็บปวดนั้นไว้ จิตติถามคำถามนี้กับยายของทัตตวา นางกลอกตาไปมาและให้คำตอบว่า “ดิฉันไม่ได้เลี้ยงหลานมาให้ทำแบบนั้น ไม่มีเหตุผลอะไรที่ดิฉันจะต้องสั่งสอนหลานแปลกๆ คุณก็น่าจะรู้นี่” ก็ใช่ ไม่มีเหตุผลที่จะเลี้ยงเด็กให้ทำอะไรพรรค์นั้น จิตติคิดถึงสถานการณ์ที่ผู้คนต้องการปิดบังซ่อนเร้นความเจ็บปวดของตัวเองไว้ มีเพียงทหารในสมรภูมิ หรือนักมวยบนสังเวียนเท่านั้น แต่เมื่อทัตตวาไม่ใช่ทั้งคู่แล้ว เหตุผลใดเล่าที่เป็นแรงจูงใจให้เธอกระทำการดังกล่าว

     

    ฉันเผลอไปหน่อยเลยถูกลูกบาสกระแทกเข้าใส่หน้า ทัตตวาเขียนไว้ในไดอารี แต่เธอดูไม่เป็นคนช่างเผอเรอหรือซุ่มซ่ามแต่อย่างใด “เอ้า คุณหมอก็พูดมาแล้วหรือคะ หลานสาวของดิฉันน่ะออกจะซุ่มซ่ามหนักอยู่บ้าง บางทีตอนเดินไปๆ เธอก็ขัดขาตัวเองล้มหรือสะดุดหลุมคะมำลง เป็นสาเหตุที่ดิฉันต้องให้คนรถไปรับไปส่งที่โรงเรียนตลอด ในคาบพละ เธอก็ถูกลูกบอลกระแทกบ่อยๆ ไม่งั้นก็กลิ้งหลุนๆ ไปกับพื้น แต่ดิฉันว่ามันคงไม่แปลกอะไรมั้ง ใครๆ ก็ซุ่มซ่ามกันได้ คุณหมออาจจะเห็นว่าดิฉันใจดำแต่ดิฉันว่า ที่ทัตตวาซุ่มซ่ามบ้างน่ะดีแล้ว ทำให้เธอดูเป็นผู้เป็นคนกับเขาหน่อย” หญิงชรากลั้วหัวเราะเบาๆ ระหว่างพูด

     

    จิตติเชิญจักษุแพทย์มาวัดสายตาและตรวจความผิดปกติของดวงตา สายตาของทัตตวาดีกว่าสายตาใต้กรอบแว่นของจิตติหลายเท่า เขาลองให้ทัตตวาอธิบายการเดินของเธอ หรือเดินให้เขาดู เธอทำท่ารำคาญเล็กน้อย อาจจลังเลอยู่ก่อนจะเขียนตอบมาว่า

     

    ฉันไม่ค่อยได้ออกไปไหน เวลาเดินก็เดินปกติ แต่อยู่ๆ บางทีก็รู้สึกตัวว่าลงไปกองกับพื้นแล้ว

     

    “อืม แต่ว่า เธอไม่ได้มองรอบๆ หรือไง เวลาเดินอยู่”

     

    ไม่รู้สิ ก็แค่เดินไป หมอจะให้ฉันเดินยังไงเล่า ก็เดินแบบที่คนทั่วไปเดินนั่นแหละ

     

    “ไม่ ผมอยากให้เธอมองรอบข้างบ้างเวลาเดิน”

     

    ฉันเห็นทั้งหมดแหละ ทั้งตึกและคนเดินผ่านไปมา ก็แค่ว่าอยู่ๆ ก็ล้มไปเอง หมอไม่รู้รึไงว่าทางเท้าน่ะเดินยากจะตาย หน่อยก็ทุบหน่อยก็สร้าง เห็นด้วยกับฉันมั้ยล่ะ

     

    “ก็ถูกของเธอ แต่ในคาบพละล่ะ ทำไมได้แผลประจำ”

     

    ฉันก็แค่อืดอาดไปหน่อย คนอื่นพุ่งเข้ามาชนโดยมองไม่เห็นฉัน

     

    แปลก... นักเรียนคนอื่นจะมองไม่เห็นเธอที่ยืนเด่นอยู่ได้อย่างไร จิตติครุ่นคิดแต่เก็บไว้กับตัว “ถ้ายังงั้นพวกเขามองไม่เห็นเธองั้นรึ อธิบายให้หมอฟังหน่อยสิว่าเป็นไปได้ยังไง เอาละเอียดๆ นะ”

     

    พวกเขามองไม่เห็นฉันตอนที่ส่งลูกหรือวิ่งผ่าน ทำให้พวกเขาส่งบอลอัดใส่หน้าฉัน ไม่ก็กระแทกชนฉันจนล้ม ถึงแม้ส่าพวกเขาจะเห็น ฉันก็เคลื่อนไหวได้ช้าจนหลบไม่ทัน     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×