ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Once Upon A TimE.. [เบียคุยะxลูเคีย]

    ลำดับตอนที่ #4 : Final Chapter

    • อัปเดตล่าสุด 4 ม.ค. 56


     ๑ สายลมเอ๋ยจงโหมดั่งลมกรด
    เมฆหมอกเอ๋ยจงบดบังให้มั่น
    ขอนางฟ้าอย่าได้กลับสรวงสวรรค์
    ให้ข้านั้นได้ชมเพียงพริบตา


    บทกลอนนี้แต่งโดย โยชิมิเนะ โนะ มุเนะซาดะ เป็นเรื่องราวของ โอโนะ โนะ โยชิซาเนะ (โยชิโกะ) กับ มุเนะซาดะ ผู้เป็นพี่ชายต่างสายเลือด ในยุคเฮอันตอนต้น

    [ตามตำนานกล่าวไว้ว่า ท่านหญิงโยชิโกะ เป็นผู้ที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถด้านการขับกลอนและความเฉลียวฉลาด นางกำลังเตรียมตัวเข้าถวายตัวไปเป็นนางสนมขององค์จักรพรรดิ แต่ก่อนจะถึงวันนั้น นางได้คิดกลอุบายเพื่อหยั่งใจลองนิสัยเหล่าขุนนางชายหนุ่มไว้ว่า หากชายใดมาเยี่ยมเยียนพบหน้านางได้ครบ "หนึ่งร้อยราตรี" (เบียคุยะ) แล้วไซร้ นางจะยินยอมแต่งงานเป็นภรรยากับชายหนุ่มผู้นั้น

    เวลาผ่านไป ไม่มีชายใดมีความอดทนถึงขนาดนั้น และต่างยอมแพ้กันไป จนกระทั่ง มุเนะซาดะ ผู้เป็นพี่ชายต่างสายเลือดของนางเองเสนอตัวเข้าเล่นเกมร้อยราตรี..

    มุเนะซาดะ เฝ้าอดทนไปเยี่ยมเยือนร่วมสนทนากับนางได้ถึงเก้าสิบเก้าวัน ความสนิทสนมและผูกพันที่มีอยู่ก่อน พัฒนาไปเป็นความรักในที่สุด เมื่อถึงวันสุดท้าย..ราตรีที่หนึ่งร้อย ทั้งคู่กลับเลิกรากันไปทั้งที่รักและต้องการกันและกัน ด้วยเหตุผลที่ว่ามุเนะซาดะต้องการให้นางเป็นเพียงภรรยาผู้อยู่เบื้องหลังสามี แต่โยชิโกะนั้นต้องการใช้ความสามารถของตนเองให้ผู้อื่นยอมรับด้วยการเข้าไปอยู่ในวังหลวงและแสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์

    ด้วยเหตุนี้..มุเนะซาดะ จึงยอมแพ้ ปล่อยให้โยชิโกะได้เข้าถวายตัวไปเป็นนางสนมในวังหลวง..ตามความฝันของนาง..]



    **********************


    "เบียคุยะคุงงงงง" เสียงหวานใสจากเด็กสาวในชุดยูคาตะสีหม่นเรียกเขาด้วยเสียงยานคางจากอีกฟากของลำธารเล็กๆ

    "ชั้นไปรอที่ใต้ต้นไม้ตรงโน้นน้า~"

    เด็กหนุ่มผมสีทองตาสีฟ้าหันไปหาเจ้าหล่อนพลางโบกไม้โบกมือกลับแทนคำตอบรับว่าเข้าใจแล้ว ร่างเล็กนั้นยิ้มตอบอย่างดีใจและรีบวิ่งออกไปพร้อมกับหัวมันสามสี่หัวในอ้อมแขน

    เบียคุยะยิ้มบางก่อนจะหันกลับมาตักน้ำจากลำธารสายนี้กรอกลงในไหขนาดกลางๆของตัวเอง

    เขาอยู่ที่ลูคอนตะวันออก เขตที่หกสิบสี่ ซาบิซึระ นี่มาได้สามเดือนแล้วหลังจากอุบัติเหตุบนโลกมนุษย์ในครั้งนั้น

    หากจะมีใครที่ตายแล้วรู้สึกดีใจกว่าการมีชีวิตอยู่ คงจะมีเขาเพียงคนเดียวนี่กระมัง..

    เขาตื่นขึ้นมาบนโลกวิญญาณแห่งนี้พร้อมๆกับผู้คนนับร้อย ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ วัยรุ่น หนุ่มสาว คนชรา หรือแม้กระทั่งเด็กทารก แม้จะยังงุนงงสงสัย แต่ยมทูตชายหญิงสี่ห้าคนที่ยืนคุยกันอยู่ไม่ห่างทำให้เขารู้ได้ในทันทีว่าชีวิตของเขาในโลกนั้นจบลงแล้ว

    เสียงร้องห่มร้องไห้ดังขึ้นรอบข้างจากเหล่าวิญญาณที่เสียอกเสียใจว่าชีวิตตัวเองนั้นสิ้นสุดลง ขณะที่เขากลับรู้สึกยินดีและกระปรี้กระเปร่าถึงขนาดรีบลุกขึ้นวิ่งไปหายมทูตกลุ่มนั้นและถามถึงหญิงสาวที่เขาเฝ้ารอมานานหลายปีในทันที

    แต่คำตอบที่ได้กลับกลายเป็นคำหัวเราะเย้ยหยันและบาทาที่ถีบเข้าที่ยอดอกของเขาจนเขากระเด็นกลับมานอนกองอยู่ที่พื้น

    "เป็นแค่วิญญาณชั้นต่ำแต่กลับถามถึงท่านรองคุจิกิว่ะเฮ้ย!!" เสียงดูถูกเหยียดหยามนั้นทำเอาเขาอารมณ์เสีย ลุกพรวดหมายจะเข้าไปซัดกับมันซักหมัดสองหมัด แต่วิญญาณชายชราคนหนึ่งก็เข้ามารั้งแขนเขาไว้

    "ไม่คุ้มกันหรอกพ่อหนุ่ม" ชายชราคนนั้นกระซิบบอก "อย่าเพิ่งไปยุ่งกับพวกนั้นเลยนะ"

    เขาได้แต่จ้องมองหน้าพวกนั้นอย่างหงุดหงิด แต่ก็ทำได้แค่กระฟัดกระเฟียดอย่างหัวเสียแล้วเดินกลับมารวมกลุ่มกับคนอื่นๆ

    พอเหล่าวิญญาณเริ่มสงบ ยมทูตสาวคนหนึ่งก็เดินมาอธิบายว่าที่นี่คือโซล โซไซตี้ ดินแดนแห่งวิญญาณ ทั้งยังอธิบายเพิ่มอีกว่าจากนี้ไปพวกเขาแต่ละคนจะถูกแยกตัวไปอาศัยที่เมืองลูคอนทั้งสามร้อยยี่สิบเขต (เหนือ ใต้ ออก ตก ทิศละแปดสิบเขต) หลังจากนั้นพวกเขาก็ถูกขานชื่อให้ไปหายมทูตที่จะพาออกเดินทาง

    โชคดีที่เขาถูกเรียกให้ไปอยู่กับยมทูตสาวคนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มคนที่เตะเขา และท่าทางเธอนั้นก็ดูจะใจดีมากทีเดียว คราวนี้เขาใช้วิธีถามเรื่องทั่วๆไปในโซล โซไซตี้แห่งนี้แทนที่จะถามเรื่องของลูเคียตรงๆ จนได้รู้ว่าพวกยมทูตกับพวกตระกูลชั้นสูงเท่านั้นที่จะอยู่ในเซย์เรย์เทย์ได้

    แม้เขาจะยังรู้สึกเศร้าอยู่บ้างที่ดูเหมือนว่าโอกาสที่จะได้เจอลูเคียนั้นน้อยลงทุกขณะ แต่เขาก็ยังไม่ทิ้งความหวังนั้นไปเสียทีเดียว

    ไอ้เรื่องจะเป็นชนชั้นสูงนั่นคงตัดทิ้งไปได้ทันทีอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด ดังนั้นหากเขาคิดจะเข้าไปอยู่ในเซย์เรย์เทย์ให้ได้ล่ะก็ คงเหลือเพียงหนทางเดียว

    ..การเป็นยมทูต..

    คิดแล้วก็ต้องถอนใจเฮือกออกมาแรงๆ ไอ้เรื่องพลังวิญญาณพวกนี้น่ะ เขารู้เรื่องเสียที่ไหนกัน.. กับอีแค่ความสามารถมองเห็นวิญญาณ ถ้ามันจะทำให้เขาเป็นยมทูตได้ ก็คงจะเกินจริงไปหน่อยแล้ว

    เขาลองเลียบๆเคียงๆถามเรื่องลำดับชั้นของยมทูต เธอก็เล่าให้เขาฟังว่ายมทูตแต่ละคนล้วนสังกัดในหน่วยพิทักษ์ทั้งสิบสามหน่วย แต่ละหน่วยจะมีหัวหน้าหน่วยเป็นผู้ปกครองสูงสุด รองลงมาคือรองหัวหน้าและนักสู้มีลำดับตั้งแต่ลำดับสามลงมา ไปจนถึงนักสู้ไร้อันดับทั้งหลาย

    "เจ้าอยากจะถามถึงท่านรองคุจิกิล่ะสิ" เธอหันมาถามพลางยักคิ้วหลิ่วตาให้เขา "ข้าได้ยินตอนที่เจ้าเข้าไปคุยกับเจ้าพวกนั้นน่ะ"

    เบียคุยะยิ้มแหยๆ "ครับ ผมเคยเจอเธอเมื่อหลายปีก่อนน่ะครับ ก็เลยอยากจะรู้เรื่องของเธอบ้าง"

    หญิงสาวยิ้มบางๆให้เขา ก่อนจะเริ่มเล่าถึงลูเคีย "ท่านรองคุจิกิน่ะ เป็นรองหัวหน้าหน่วยสิบสามคนปัจจุบัน แล้วก็ยังเป็นเจ้าบ้านคุจิกิคนที่ยี่สิบเก้าด้วย"

    "เจ้าบ้านเหรอครับ? ฟังดูเป็นตระกูลใหญ่นะครับ"

    "อืม ตระกูลคุจิกิน่ะ เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลขุนนางของเซย์เรย์เทย์เชียวล่ะ"

    "ขุนนาง?" เขาเบิกตากว้าง แทบไม่เชื่อว่ารูปร่างเล็กๆพอกับเขาวัยสิบขวบนั้นจะเป็นถึงคนในตระกูลขุนน้ำขุนนาง

    "ใช่ พูดง่ายๆคือชนชั้นสูงสุดของที่นี่" เธออธิบายง่ายๆ "แต่ท่านรองคุจิกิไม่ได้เกิดในตระกูลขุนนางหรอกนะ"

    "เอ๋? แล้วทำไมถึงได้เป็นเจ้าบ้านล่ะครับ?"

    "เพราะเจ้าบ้านคนก่อนคือสามีของท่านรองคุจิกิ" ยมทูตสาวเอ่ยเรื่อยๆ ขณะที่หัวใจเขาหยุดเต้นเมื่อได้ยินเธอเอ่ยถึงสามีของลูเคีย "คุจิกิ เบียคุยะ อดีตหัวหน้าหน่วยหก และเจ้าบ้านคนที่ยี่สิบแปด"

    สมองเขาชาหนึบ ไม่คาดคิดเลยว่าตัวเขาในอดีตนั้นจะทรงอิทธิพลได้ถึงเพียงนี้.. เป็นทั้งหัวหน้าหน่วยและเจ้าบ้านตระกูลขุนนางเลยหรือเนี่ย?!..

    "นี่..พ่อหนุ่ม" เธอหันมาทักเขา อาจจะเพราะเห็นเขาเงียบไปตั้งแต่เมื่อครู่ "ถ้าเจ้ามองเห็นท่านรองคุจิกิได้ แสดงว่าพลังวิญญาณเจ้าก็ไม่เบาเหมือนกัน ไม่ลองไปสอบเข้าสถาบันวิญญาณชินโอดูล่ะ ถ้าเรียนจบจากที่นั่น ก็มีสิทธิ์สอบเข้าเป็นยมทูตนะ.. เจ้าอาจจะได้เจอนางอีกก็ได้"

    "สถาบันชินโอ?" เขาทวนคำ พยายามย้ำตัวเองให้จำชื่อนี้ให้ขึ้นใจ

    "ใช่ แต่ข้าว่าเจ้าน่าจะลองควบคุมพลังตัวเองให้ดีเสียหน่อย ท่าทางฉลาดเฉลียวแบบเจ้าน่าจะใช้เวลาสักสามสี่ปี เท่านี้ก็น่าจะพอเป็นพื้นฐานให้เจ้าไปสอบได้"

    ..นั่นคือคำแนะนำจากยมทูตสาวคนนั้นที่เขาจดจำและพยายามทำตามมาตลอดสามปีที่อยู่ที่นี่

    สุดท้าย ตอนนี้แค่สร้างลูกไฟสักสามสี่ลูกยังเหนื่อยแทบตาย

    แถมพักหลังนี่ก็หิวบ่อย จากที่สองสามวันหิวที ก็ถี่ขึ้นเรื่อยๆเสียจนต้องออกมาขุดเผือกขุดมันแถวนี้กินเสียทุกวัน

    แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ได้ยินคนข้างบ้าน (ที่เขาอยู่กับซายากะ เด็กสาวคนเมื่อครู่) บอกว่า เดือนหน้าสถาบันชินโอจะเปิดให้สอบ เขาก็ยังคิดอยู่ว่าไปลองสอบดูเสียหน่อยก็น่าจะดี

    สายลมเย็นพัดเอื่อยปะทะกับร่างที่เพิ่งถูกน้ำทำให้รู้สึกเย็นสบาย เบียคุยะเดินทอดน่องหอบไหใส่น้ำไปหยุดยืนใต้ต้นไม้ใหญ่ริมตลิ่ง คิดว่าจะนั่งเล่นอีกสักพักค่อยตามไปหาซายากะที่ล่วงหน้าไปเผามันอยู่ก่อนแล้ว

    ค่อยนั่งลงด้วยความสบายใจและไม่รีบร้อน และไม่นานก็ผล็อยหลับไปตรงนั้นเอง


    *************************


    เด็กสาวร่วมชายคาเดียวกับเบียคุยะฮัมเพลงโปรดของตนสมัยที่ยังอยู่บนโลกมนุษย์ไปพลาง โกยใบไม้มากองสุมๆไปพลาง ควันสีขาวลอยเรื่อยเป็นสายจากกองใบไม้และฟืนกองเล็กๆตรงหน้าเธอ

    เธอหยิบกิ่งไม้ยาวที่ดูแข็งแรงหน่อยเขี่ยไปใต้กองฟืนและนั่งกอดเข่ารอว่าเมื่อใดจะมีกลิ่นหอมๆของมันเผาลอยออกมาแทนกลิ่นควันพวกนี้

    รอยยิ้มอ่อนหวานแกมเศร้าระบายบนใบหน้าเธอเมื่อนึกถึงชายหนุ่มที่ขอตักน้ำก่อนแล้วจะตามมา

    เธอยังจำได้ดีถึงวันที่เจอเขาเป็นครั้งแรกเมื่อสี่ปีก่อน วันนั้นเป็นวันที่แสนสบายที่เธอนั่งแกว่งเท้ารับลมอยู่ที่เก้าอี้ตัวโปรดหน้าบ้านขณะรอให้ป้าฟูกลับมาบ้าน ป้าฟูคุณป้าใจดีที่รับเธอเข้ามาอยู่ด้วยตอนที่เธอไม่รู้จะไปทางไหน สำหรับเธอป้าฟูไม่ต่างอะไรจากป้าหรือแม่แท้ๆที่เธอรักและหวงมากมาย

    ไม่นานนักป้าฟูก็กลับมาบ้าน แต่ไม่ได้มาคนเดียว มืออบอุ่นที่เคยจูงมือเธอไปไหนมาไหนเสมอกลับจูงชายหนุ่มร่างสูงอีกคนกลับมา เธอเกลียดขี้หน้าเขาทันที

    เพราะคิดว่าตัวเองจะถูกแย่งความรักเป็นแน่แท้ เธอก็เลยตั้งป้อมไม่ญาติดีกับเขาตั้งแต่เจอหน้ากัน

    "เบียคุยะ" เขาแนะนำตัวเองให้เธอรู้จัก และแม้ว่าเขาจะหล่อเพียงใด หน้าตามีเสน่ห์จนสาวอื่นในหมู่บ้านหลงใหลกันเพียงใด แต่เธอนั่นกลับยิ่งทำให้เธอเกลียดเขามากเข้าไปอีก

    จนเวลาผ่านไปได้เกือบปีที่ระหองระแหงกันในบ้าน เธอก็เริ่มตระหนักว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเกลียดเขา เพราะยิ่งเธอไม่ถูกกับเขา เธอก็ยิ่งทำให้ป้าฟูเสียใจ และนั่นทำให้เธอรู้สึกผิดจนยอมสงบศึกกับเขา

    เบียคุยะแค่ยิ้มกว้างแล้วเอามืออุ่นๆนั้นลูบหัวเธออย่างเอ็นดู หลังจากนั้นเขาและเธอก็กลายเป็นคนในครอบครัวที่สนิทกันมากขึ้น มากขึ้นและมากขึ้น มากขึ้นจนเมื่อรู้สึกตัวอีกที เธอก็รักเขาเข้าไปแล้วอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

    ทั้งที่เธอควรจะดีใจ แต่เธอรู้ว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้น

    เขามักจะเหม่อลอยราวกับคิดถึงใครบางคน เขามักจะมุ่งมั่นฝึกใช้พลังวิญญาณของตัวเองและบอกกับทุกคนว่าเขาจะสอบเข้าเรียนที่สถาบันชินโอให้ได้ แต่เขาไม่เคยบอกใครถึงเหตุผลว่าทำไมถึงต้องการมันมากขนาดนั้น

    เธอรู้สึกได้ว่าเขากำลังรอคอยอะไรบางอย่าง และไม่เคยลืมมันไป แต่ไม่ว่าเธอจะเซ้าซี้หรืออ้อนถามขนาดไหน เขาก็ไม่เคยปริปากพูดถึงมันแม้แต่ครั้งเดียว

    ซายากะเอากิ่งไม้เขี่ยพื้นทราย เขียนเป็นตัวอักษรชื่อเธอกับชื่อของเขาแล้วถอนใจเบาๆ

    เมื่อปีสองปีก่อนหลังจากปรับความเข้าใจกันได้ เธอก็ตามเขาติดเป็นเงาตามตัว เขาไปไหนเธอก็จะไปด้วย หยอกล้อ พูดคุย ใกล้ชิด สนิทสนม จูงมือ นั่งหลังพิงกันจนเป็นเรื่องปกติ แต่แล้ววันหนึ่งสิ่งเหล่านั้นก็เปลี่ยนไป

    จู่ๆเธอก็รู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างกั้นระหว่างเขากับเธอ ม่านพลังบางๆที่เข้มข้นขึ้นทุกทีจนเธอรู้สึกได้ชัดเจน..พลังวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเพียงแค่เดินไปข้างๆกันเธอยังรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก แต่ไม่เพียงเท่านั้นมันยังให้ความรู้สึกราวกับว่ามีคมมีดเล็กๆนับร้อยห่อหุ้มร่างกายเขาอยู่ แค่เดินไปด้วยกันยังรู้สึกเหมือนถูกมีดกรีดจนแสบร้อนไปทั้งตัว

    เธอคิดว่านี่เองคงเป็นสาเหตุให้เขาอยากจะเข้าเรียนที่ชินโอ เขาคงอยากจะควบคุมพลังของตัวเองให้ได้ แต่แล้วเธอก็ได้รู้ความจริงอีกเรื่องจากปากของเขาเมื่อไม่นานมานี้หลังจากที่เธอบอกเรื่องพลังของเขาที่เพิ่มขึ้นจนอาจทำร้ายคนรอบข้างทั้งที่ไม่ตั้งใจ

    สาเหตุที่เขาอยากจะเป็นยมทูตนั้นไม่ใช่เพื่อปกป้องคนในครอบครัว

    ไม่ใช่เพื่อพิทักษ์คุณธรรม

    ไม่ใช่เพื่อหาทางควบคุมพลังของตน

    ไม่ใช่เพื่อตัวของเขาเอง

    แต่เพื่อจะไปพบกับยมทูตคนหนึ่งที่อยู่ในเซย์เรย์เทย์..

    แค่คิดก็เจ็บขึ้นมาในอก แววตาและคำที่เขาเอ่ยถึงผู้หญิงที่ชื่อลูเคียคนนั้น ทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความรักที่เขามีให้เธออย่างหมดหัวใจ เขารักผู้หญิงคนนั้น และเธอไม่อาจทำอะไรกับเรื่องนี้ได้เลยนอกจากยอมรับความเจ็บปวดจากอาการอกหักนี้ไว้เงียบๆคนเดียว

    ซายากะก้มหน้าลงกับเข่าแล้วสะบัดหน้าแรงๆเพื่อไล่น้ำตา โดยไม่ทันได้ยินเสียงกรอบแกรบจากพุ่มไม้ที่ไหวอยู่ด้านหลัง..


    **********************



    รองหัวหน้าหน่วยสิบสาม ทะยานร่างเล็กของตนไล่ติดตามปีศาจร้ายที่กำลังออกอาละวาดไปทั่วเขตที่เธอรับผิดชอบอยู่ จากงานที่คิดว่าคงกินเวลาตามรอยและไล่ล่าไม่น่าเกินหนึ่งหรือสองวันตามที่คาดการณ์กลับกลายเป็นล่วงเลยมาเป็นวันที่สี่

    ฮอลโลว์ระดับกลาง ตัวก็ไม่ใหญ่นัก ความสามารถก็ไม่ได้พิเศษหรือโดดเด่นอะไรมาก แต่กลับมีความสามารถที่ใช้หลบหนีได้อย่างดีเยี่ยมอย่างการพรางตัวจนเธอแทบรับรู้ไม่ได้ มองไม่เห็น ดมกลิ่นตามก็แทบไม่ไหว แต่นั่นไม่อาจทำให้เธอย่อท้อได้ เธอยังคงตามแกะรอยมันมาเรื่อยๆ แม้จะมาถูกทาง แต่เธอก็คลาดกับมันที่ไวอย่างกับปรอทได้เสียทุกที

    ลำพังเธอเองนั้นต่อให้ตามมันไปอย่างนี้อีกหลายวันก็ไม่มีปัญหาและเธอก็รู้ดีว่าเจ้าฮอลโลว์นั่นก็เริ่มหมดแรงแล้วเหมือนกัน แต่ปัญหาก็คือ ลูกหน่วยในทีมที่ติดตามเธอมานี่สิ เริ่มจะหมดแรงลงเรื่อยๆเสียแล้ว

    "ระบำที่สอง ฮาคุเร็น!" ลูเคียร้องลั่นก่อนจะยิงคลื่นน้ำแข็งสีขาวออกจากปลายดาบมุ่งไปยังเงาใสที่กำลังเคลื่อนที่เร็วอยู่เบื้องหน้า

    ต้นไม้สูงใหญ่ที่ถูกกระแสพลังเธอพาดผ่านล้วนถูกแช่แข็งกลายเป็นสีขาวโพลนไปหมดสิ้น เว้นก็แต่เป้าหมายที่หลบไปได้อย่างเฉียดฉิวอีกครั้ง

    ลูเคียสบถพลางถลาลงเหยียบยืนบนพื้นดิน ดวงตายังจับจ้องเส้นทางที่มันมุ่งหน้าไปอย่างครุ่นคิด เธอยังยืนอยู่เช่นนั้นไม่ไล่ตาม เพราะมีอีกสิ่งที่สำคัญไม่หย่อนไปกว่ากัน

    รออยู่อีกพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงกระหืดกระหอบไล่ตามหลังมา พอเธอหันไปก็เห็นร่างยมทูตสองคนวิ่งตามมาอย่างเต็มฝีเท้า

    "ท..ท่าน..ร..รอง..คะ..แฮ่กๆๆ" ชิโนะที่กำลังหอบแทบขาดใจวิ่งมายืนข้างหน้าลูเคีย ก่อนที่อีกร่างจะแล่นถลาหัวคะมำทิ่มลงกับพื้นอย่างหมดแรงเคียงข้างกัน

    ลูเคียกลับหัวเราะเบาๆ แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน "โทษทีนะ ที่ข้าต้องใช้ก้าวพริบตาจนพวกเจ้าตามไม่ทันแบบนี้"

    "จ..จะดีเหรอคะ มันหนีไปอีกแล้วแบบนี้..น่ะค่ะ..?" ชิโนะถามอย่างเป็นห่วง รู้สึกตัวเองกลายเป็นตัวถ่วงยังไงไม่รู้

    ลูเคียเบือนหน้ามองไปทางที่ฮอลโลว์นั้นมุ่งหน้าไป แล้วหันมายิ้ม "เจ้านั่นก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน ตอนนี้คงกำลังแวะพักเหมือนพวกเจ้า"

    ยูกิพยายามโงหัวขึ้นจากพื้นมาราวกับสิ้นเรี่ยวแรงไปแล้ว "ข้าหิวน้ำจังเลยครับ คุณชิโนะ จ๊าก!!" เด็กหนุ่มพูดไม่ทันขาดคำก็โดนหญิงสาวเตะเข้าให้จนกลิ้งตัวมานอนหงายแผ่

    "จะบ้าเร๊อะ!! หัดอดทนให้มากกว่านี้สิยะ!!!" หล่อนเหวใส่เสียงแปร๋น "ท่านรองเหนื่อยกว่าเรายังไม่บ่นเลยนะ!"

    "ข..ขอโทษคร้าบ!" ยูกิรีบยันร่างตัวเองขึ้นนั่งทั้งที่ยังหอบแฮ่กไม่หาย

    "ไม่เป็นไรหรอก พวกเจ้านั่งพักกันเถอะ ที่เหลือข้าจัดการเอง" ลูเคียบอกพลางทำท่าจะออกตามเจ้าฮอลโลว์ไปอีก

    ชิโนะรีบก้าวขาตามไปติดร่างเล็กของรองหัวหน้า "ข้าไปด้วยค่ะ!"

    ลูเคียหันขวับ เธอฉีกยิ้มกว้าง "ไม่ต้องหรอก เจ้าอยู่กับยูกิคุงเถอะ พักกันไปก่อนเดี๋ยวข้าไปแกะรอยมันเสียหน่อย เดี๋ยวกลับมา ก้าวพริบตาของข้าเร็วกว่าพวกเจ้า ไปไม่นานหรอก"

    หันไปอีกทีเพื่อมองเด็กหนุ่ม เห็นยูกินั้นหน้าซีดเผือกนักก็หยิบกระบอกน้ำเล็กๆจากเป้สัมภาระมาส่งให้ "ดื่มนี่ซะสิ ชานี่หวานหน่อย ช่วยให้มีแรงดีนักล่ะ"

    เด็กหนุ่มส่ายหน้าดิก "ข้าไม่กล้ารับหรอกครับ ของสูงส่งอย่างนั้นน่ะ.."

    "ข้าบอกให้ดื่มก็ดื่มสิ" เธอว่าเสียงดุอย่างบังคับ บางทีเธอก็เหนื่อยหน่ายกับการที่คนอื่นมองเธอว่าเป็นผู้สูงศักดิ์นี่เต็มที่แล้ว

    ยูกิรีบคว้ามาซดอึกๆอย่างที่ลูเคียไม่ต้องย้ำเป็นหนที่สอง

    "งั้นข้าล่วงหน้าไปก่อน หายเหนื่อยเมื่อไหร่ก็ตามไปล่ะ" ลูเคียบอกแล้วหายวับไปด้วยก้าวพริบตาที่ทั้งสองคนไม่มีปัญญาจะตามทัน


    ******************************


    เบียคุยะลืมตาขึ้นช้าๆแต่แล้วก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นทิวทัศน์รอบตัวเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

    ลำธารลึกแค่เข่าที่ใสจนเห็นฝูงปลาตัวเล็กๆว่ายทวนกระแสน้ำเอื่อยหายไปกลายเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี ต้นไม้สูงริมตลิ่งเหลือทิ้งไว้เพียงต้นไม้ต้นหนึ่งยืนต้นอย่างเปลี่ยวเหงากลางทุ่งหญ้านั้น

    ดวงตาสีเทามองรอบกายด้วยความตื่นตระหนกน้อยๆ

    "นายท่าน.."

    เสียงนั้นอีกแล้ว เสียงของชายคนนั้นที่อยู่ในฝันของเขามาตลอดหลายปี

    "นายท่าน..ในที่สุดท่านก็มา.." เสียงนั้นเอ่ยราวกับโหยหา พร้อมกับที่ต้นไม้กลางสายตาของเขาโบกสะบัดรุนแรง ไม่นานใบสีเขียวก็ผลิดอกซากุระจนเต็มต้นกลายเป็นสีชมพูในพริบตา

    สายลมแรงพัดกรรโชกจนกลีบดอกซากุระปลิวว่อนไปทั่ว ฟุ้งกระจายอยู่ในบรรยากาศรอบตัวเขาพร้อมส่งกลิ่นหอมอ่อนๆที่เขารู้สึกคุ้นเคยนัก

    เบียคุยะมองตามกลีบซากุระบอบบางที่ลอยล่องอย่างอ้อยอิ่ง "ที่นี่ที่ไหน?"

    "ในใจของท่าน" เสียงกระซิบจากด้านหลังทำให้เบียคุยะหันขวับกลับไปมองทันที

    ร่างสูงในชุดนักรบแสนสง่าช่างคุ้นตานักในความรู้สึกของเขา หน้ากากที่ดูน่ากลัวนั้นยังปกปิดใบหน้าแท้จริงไว้อย่างที่เคย

    "เจ้า..เจ้าคือคนในฝันของข้าใช่ไหม??" เบียคุยะเอ่ยทักออกไปด้วยคำถาม และเพราะความฝันที่ฉายถึงอดีตนั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้งจนเขาเองก็ชักจะติดการใช้สรรพนามแบบสมัยก่อนเข้าเสียแล้ว

    เซ็มบงซากุระคุกเข่าลงเบื้องหน้าเด็กหนุ่มพร้อมก้มหัวให้อย่างเคารพที่สุด "ขอรับ..ในที่สุดเราก็ได้เจอกันเสียทีนะขอรับ"

    "รอข้ามานานมากเลยสินะ" เบียคุยะเปรย ความรู้สึกอุ่นใจที่อยู่ที่นี่ราวกับเขาเคยมาเยือนที่นี่นับครั้งไม่ถ้วน เขาจึงไม่มีท่าทีตื่นตระหนกให้เห็นเลยแม้แต่นิด

    "นานเสียจนท่านนึกไม่ถึงเชียวล่ะขอรับ"

    "งั้นรึ.." เขารู้สึกสงบเหลือเกิน "ชื่อของเจ้าล่ะ?"

    เซ็มบงซากุระเงยหน้าที่ปิดด้วยหน้ากากขึ้นมองเขา "..."

    "อะไรนะ..?" เบียคุยะถามซ้ำ ทั้งที่ที่นี่เงียบจนได้ยินแต่เสียงหัวใจตัวเอง แต่เขากลับไม่ได้ยินเสียงที่เปล่งจากปากอีกคู่

    "..."

    เบียคุยะส่ายหน้าเป็นการบอกว่าเขายังคงไม่ได้ยิน

    "อาจจะเร็วไปสินะขอรับ นายท่าน ที่ท่านจะได้ยิน"

    "ทำไม??" ผู้เป็นนายถามอย่างไม่เข้าใจ

    เซ็มบงซากุระยืนขึ้นช้าๆก่อนจะเดินถอยหลังไปพร้อมๆกับที่ดอกซากุระค่อยๆร่วงหล่นลงพื้นดิน

    "อย่ากังวลไปเลยนายท่าน เวลานั้นต้องมาถึงแน่..วันที่ท่านจะได้ยินชื่อของข้า และเอ่ยมันอีกครั้ง.."



    ***************************



    น้ำในไหดินเผากระทะลักรินกระฉอกออกมาจากขอบปากกว้างเมื่อชายหนุ่มสะดุ้งตัวตื่น หยดน้ำสาดเปียกลงบนกางเกงสีเทาเป็นวงแล้วค่อยซึมลงผ่านเนื้อผ้าไปยังผิวหนังจนรู้สึกเย็น

    เบียคุยะหายใจหอบแรงเมื่อนึกถึงภาพเมื่อครู่ ใจยังลอยจนปล่อยให้ไหเอียงไปเรื่อยๆจนน้ำหกออกจากไหไปอีก

    พยายามครุ่นคิด พยายามจะตั้งสติถึงคำพูดเหล่านั้นของชายในชุดเกราะที่พยายามเค้นถามเขาทุกครั้ง พยายามบอกเขาทุกครั้งถึงนามที่เขานึกไม่ออก และไม่ว่าจะพยายามเงี่ยหูฟังแค่ไหน เขาก็ยังคงไม่ได้ยินเสียงที่เล็ดลอดออกมาอยู่ดี

    ..รู้สึกเหมือนชื่อนั้นติดอยู่ที่ปาก แต่ก็นึกไม่ออก

    หันกลับมามองตัวเองก็ต้องลุกพรวดเมื่อขากางเกงมันเปียกชุ่มไปด้วยน้ำที่หกจากไหไปเกือบถึงเข่า

    ..ตายล่ะ! คิดเพลินขนาดไม่รู้สึกเลยเหรอเนี่ย?! เขานึกสงสัย ก่อนจะคว้าไหเดินกลับไปยังตลิ่งเพื่อจะเติมน้ำใส่ให้เต็มเหมือนก่อนหน้านี้

    แต่ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของเด็กสาว ตามด้วยเสียงคำรามก้องของฮอลโลว์จากทางเดียวกัน

    "ซายากะ!!" เบียคุยะตะโกนก้องอย่างเป็นห่วง เขาจับปากไหแน่นแล้วรีบวิ่งไปยังต้นเสียงนั้น


    ***************************



    ฮอลโลว์ตัวใหญ่ยักษ์หน้าตาดูคล้ายพวกกิ้งก่าคำรามกระหึ่มก้องไปทั่วป่า พลังวิญญาณรอบด้านปั่นป่วนด้วยพลังของมันที่กำลังหิวจัดและพร้อมจะอาละวาดได้ทุกเมื่อ

    เบียคุยะวิ่งมาถึงก็เข่าอ่อนเมื่อเห็นร่างเล็กของเด็กสาวร่วมชายคาเหลือเพียงท่อนล่างห้อยต่องแต่งลงมาจากส่วนมือของเจ้าฮอลโลว์ตัวนั้น ส่วนท่อนบนนั้นแหลกเละเป็นรอยถูกฉีกทึ้งแยกออกจากลำตัวท่อนล่างที่ชุ่มไปด้วยเลือดจนหยดลงบนพื้นเป็นทาง

    น้ำขมจากช่องท้องไหลย้อนกลับทางคอ เขารู้สึกผะอืดผะอมแทบจะอาเจียนออกมากับภาพอันทารุณนั้น

    ตัวเขาสั่นอย่างห้ามไม่อยู่เพราะไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน และยิ่งไม่รู้จะทำยังไง ไม่รู้จะขยับไปทางไหน ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น

    และแล้วดวงตาสีฟ้าของเขาก็เบิกกว้างขึ้นอีกเมื่อเจ้าสัตว์ร้ายนั้นส่งซากที่เหลือของเด็กสาวเข้าปากเคี้ยวอย่างไม่สนใจสิ่งใด จากนั้นก็หันขวับมายังเขา

    เบียคุยะไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว หรือแม้แต่จะหายใจ ตามันมองเขาราวกับชั่งใจ ขณะที่ท่าทางมันงุ่นง่านเสียจนเขาเองก็ดูออกว่า ลำพังแค่วิญญาณเด็กสาวตัวเล็กๆคงไม่ทำให้มันอิ่มท้องแน่ และแน่นอน เป้าหมายต่อไปของมัน..ย่อมเป็นเขาเอง อย่างไม่ต้องสงสัย

    แล้วอยู่ๆในชั่วพริบตาที่ความหวาดกลัวเข้าเกาะกุมหัวใจจนแทบน้ำตาไหล เขาก็เหวี่ยงไหในมือไปที่มัน มันสะบัดมือปัดออกอย่างง่ายดาย แต่ในช่วงที่มันเบนความสนใจจากร่างเขาไปที่ไหดินเผานั้นเขาก็รีบวิ่งไปยังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลด้วยหวังจะใช้เป็นที่กำบัง

    แต่เขาคงเคลื่อนไหวช้าไป..ช้ากว่ามัน ทั้งที่รูปร่างมันใหญ่โต แต่มันกลับไม่ได้เชื่องช้าอย่างที่เขาคาดไว้

    ก่อนที่เขาจะพุ่งร่างไปหลบใต้โคนต้นไม้อันเป็นเป้าหมายร่างเขาก็ถูกกระแทกด้วยหางอันมหึมาที่กวัดแกว่งอย่างคล่องแคล่วของมัน แรงกระแทกอัดเขาเข้ากับลำต้นหนาแข็งของต้นไม้นั้นจนจุก

    แรงอัดเพียงครั้งเดียวแทบทำให้เขาถอดใจ แต่กายกลับเคลื่อนไหวไปตามสัญชาติญาณการเอาตัวรอด เขาพยายามม้วนตัวไปข้างหน้ากลิ้งไปหลบหลังโขดหินใหญ่

    เสี้ยววินาทีต่อมา หางทรงพลังที่แกว่งไกวก็สะบัดกวาดไปกับพื้น ทั้งยังปะทะเข้ากับต้นไม้แถวนั้นจนแทบราบ เบียคุยะเอามือกุมหัวนั่งตัวสั่นด้วยไม่รู้จะไปทางใดหรือจะทำเช่นไร

    เสียงคำรามดังก้องอยู่ข้างหูเขา จากนั้นเขาก็รู้สึกถึงแรงกระแทกที่ปะทะเข้ากับร่างกายของตน เสียงกระดูกลั่นเปรี๊ยะ แล้วเขาก็รู้สึกเหมือนตัวกำลังลอย และตกลงกระแทกพื้นอีกครั้ง.. เสียงกระดูกลั่นไปทั่วร่างอีกหน

    เขาเห็นปลายหางของมันตกลงมาจากฟากฟ้าราวกับอยากจะฟาดเขาให้ตายคาที่ เขาได้แต่จ้องมองอยู่เช่นนั้น..

    จ้องมองความตายที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ..

    เขาเบิกตากว้างขึ้นอีกเมื่อเสียงตุบใหญ่ๆดังขึ้น พร้อมกับหางของมันที่ลอยผ่านไปทางไหนแล้วไม่รู้ และแทนที่จะเป็นเสียงกระดูกเขาหักไปทั้งร่าง กลับกลายเป็นเสียงหวีดร้องของเจ้าปิศาจนั้นโหยหวนดังลั่นป่า

    เขาหันมองว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าสัตว์ร้ายนั่น.. แล้วหัวใจเขาก็หยุดเต้น

    ..นาง..!?

    ..นั่นนาง..!?




    ..ลูเคีย..




    หญิงสาวร่างเล็กในชุดยมทูตคุ้นตาตั้งท่าถือดาบสองมือเตรียมจะจู่โจมเจ้าฮอลโลว์ตัวนั้นอีกครั้ง หางของมันที่ขาดออกจากกันด้วยดาบของเธอดิ้นไปมาอยู่ที่พื้นไม่ไกลจากร่างของเขานัก

    ดวงตาสีม่วงจ้องมองศัตรูอย่างแน่วแน่ไม่วอกแวก จนเขามั่นใจว่าเธอไม่ได้สังเกตเห็นว่าเป็นเขาเลย

    เจ้าฮอลโลว์นั่นหวีดร้องอีกครั้งก่อนจะวิ่งทึ่กๆลุยเข้าหาลูเคีย มือใหญ่กางออกหมายจะตบเธอให้คว่ำลงกับพื้น

    แต่เธอเร็วกว่าด้วยร่างเล็กที่ได้เปรียบเรื่องความไว เธอกระโดดหลบออกห่างไปอีก มันยังวิ่งตามเธออย่างหน้ามืด

    เขาเห็นร่างเล็กนั้นวาดดาบออก

    "จงร่ายรำ โซเดโนะชิรายูกิ"

    เขาจ้องมองจนไม่อาจกระพริบตาเมื่อดาบนั้นกลายเป็นสีขาว ด้ามดาบยาวขึ้นพร้อมกับการยืดยาวของริบบินสีขาวบริสุทธิ์ในชั่วพริบตา.. เฉกเช่นเดียวกับภาพในความฝันที่เขาเคยเห็นมาครั้งแล้วครั้งเล่านับครั้งไม่ถ้วน

    ทุกท่าทางการขยับมือ และการเคลื่อนไหว ล้วนกระตุ้นความปรารถนาในจิตใจที่เฝ้าฝันอยากจะได้เห็นภาพเช่นนี้อีกครั้ง..

    ฮอลโลว์นั่นยังกระเสือกกระสนดันร่างตัวเองให้คลานหนีเธอไปด้วยแขนเพียงข้างเดียวที่เหลืออยู่

    ลูเคียก้าวเดินช้าตามมันไปทุกฝีก้าว ท่าทางเย็นชา ราวกับมั่นใจว่าตนเองจะจัดการมันลงได้ในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า

    แรงดันวิญญาณรุนแรงเข้มข้นแผ่จากร่างเธอจนฮอลโลว์นั้นทำได้เพียงแค่นอนนิ่งอยู่กับพื้น พยายามหายใจหนักๆ

    มันคือความโกรธแค้นและเจ็บใจที่เธอไม่อาจช่วยวิญาณเด็กสาวคนเมื่อครู่ได้ ทั้งที่เธอได้เจอเด็กคนนั้นก่อนจะถูกโจมตีเพียงสิบนาทีเท่านั้น

    สิบนาทีก่อน..

    เธอตามรอยมันมาถึงหน้าผาสูงที่ห่างออกไปไม่ไกล เลยตัดสินใจมาดักรออยู่แถวนี้ จนเจอเข้ากับซายากะที่กำลังก่อกองไฟเผาหัวมันอยู่ เธอเตือนเด็กสาวให้รีบไปจากแถวนี้ และเด็กสาวก็รับปากว่าถ้าเจอเพื่อนแล้วจะรีบไป เธอจึงปลีกตัวออกมา คิดว่าไปดูลาดเลาทางอีกฝั่งของแม่น้ำเสียหน่อย

    แต่ยังไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงร้องของฮอลโลว์ดังทั่วป่า เธอจึงรีบวกกลับมาอีกครั้ง หากเพียงเพื่อจะพบว่าร่างเด็กสาวคนนั้นหายไปแล้ว..แถมเจ้าฮอลโลว์บ้านี่ยังกำลังโจมตีเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งอยู่

    เจ็บใจที่ไม่อาจช่วยเด็กคนนั้น..

    ฉะนั้น จึงต้องช่วยเจ้าหนุ่มนี่ไว้ให้ได้

    ..

    ห่างไปเล็กน้อย.. เบียคุยะมองเธออย่างลืมหายใจ

    การต่อสู้ตรงหน้าช่างเฉียบคมและดุดันจนยากจะเชื่อว่าผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอจะล้มเจ้ายักษ์ใหญ่นั่นได้เพียงแค่ชั่วพริบตา
    มันนอนแน่นิ่งอยู่แทบเท้าหญิงสาว

    "ตายเสียเถอะ" เสียงเธอเอ่ยอย่างเย็นชา จับดาบมั่นเงื้อขึ้นสูงเตรียมจะเอาชีวิต

    เสี้ยวนาทีนั้นเบียคุยะเห็นหางที่หลุดออกของมันมีท่าทีแปลกๆ มันสั่นอย่างรุนแรง แต่ลูเคียไม่ได้สังเกตเห็นมันเพราะสมาธิทั้งหมดจดจ่ออยู่กับตัวของมันที่อยู่เบื้องหน้า

    ลางสังหรณ์เลวร้ายพุ่งเป็นริ้ว เขาดันตัวขึ้นอย่างเร็ว ลืมความหวาดกลัวและความเจ็บปวดยามที่เคลื่อนไหวไปเสียสิ้น

    พร้อมๆกับที่เขาเริ่มขยับ หางขนาดใหญ่นั้นก็พุ่งขยับออกจากตรงนั้นและพุ่งเร็วไปยังร่างของยมทูตสาวทันที

    ..อีกครั้งที่เขาพาตัวเองพุ่งเข้าหาความตาย

    "ลูเคีย!!"

    เขาตะโกนก้องดังลั่น มือยื่นไปด้วยอยากจะดึงเธอให้พ้นทาง แต่เขาช้าไป..

    ระยะทางนั้นไกลเกินไป และความเร็วของเจ้าหางนั้นก็มากกว่าเป็นเท่าตัว

    เขาได้แต่เบิกตากว้างอย่างสิ้นหวังเมื่อจังหวะที่ลูเคียหันตามเสียงที่เขาเรียกชื่อเธอ หางอันใหญ่โตก็ห่างจากร่างเธอเพียงแค่เอื้อมมือ

    เป็นจังหวะที่ทุกอย่างดับวูบไป..


    ******


    เขายังลืมตา แต่ภาพรอบข้างเปลี่ยนไปทั้งหมด

    ไม่มีชายป่าที่พังราบเป็นหน้ากลอง ไม่มีลูเคีย ไม่มีฮอลโลว์

    มีแต่ทุ่งหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา.. กับ ชายในชุดเกราะ..อีกครั้ง

    "ลูเคียล่ะ!?" เขาตะโกนใส่บุรุษผู้นั้น "ลูเคียอยู่ที่ไหน?! ปล่อยข้าออกไปจากที่นี่นะ!!"

    "อยากจะช่วยนางใช่ไหม?" บุรุษนั้นถามเสียงขึงขัง

    "ใช่!!"

    บุรุษผู้นั้นก้าวเท้าพาร่างสูงใหญ่ของตนมายืนจนเกือบชิดเขา

    "ท่านแค่เอ่ยนามข้า.. และข้าจะมอบพลังให้ท่านไปช่วยนาง"

    "นาม? ชื่อของเจ้าน่ะเหรอ? ข้าจะไปรู้ได้ยังไง!?" เบียคุยะตะโกนกลับด้วยความร้อนใจเต็มอก

    "เปิดใจให้ข้าสิ..นายท่าน"

    เบียคุยะหายใจฟืดฟาดอย่างขัดใจ แต่ก็ยังหลับตาลง พยายามสงบอารมณ์ฟังเสียงรอบกายตัวเอง

    "ตั้งสติและเปิดใจให้ข้า..นายท่าน"

    เขาสงบใจลง อดกลั้นต่อความร้อนใจที่อัดแน่นอยู่ในอกจนไม่ได้ยินสรรพเสียงใด

    "ชื่อของข้า..คือ.."


    ********

    "เซ็มบ้งซากุระ!!!"

    ภาพชายป่าริมลำธารกลับมาปรากฏตรงหน้าอีกครั้งเพียงเสี้ยวพริบตานั้น

    ทั้งยังปรากฏเศษคมดาบเล็กนับพันระยิบระยับล่องลอยอยู่ในอากาศล้อมรอบตัวเขาอยู่ มันส่องประกายต้องแสงแดดราวกับกลีบดอกซากุระกลางฤดูใบไม้ผลิ

    ราวกับใจคิด พายุคมดาบนั้นพุ่งเข้าไปขวางลูเคียจากการเข้าปะทะของหางฮอลโลว์ทันทีทั้งยังจู่โจมใส่เจ้าฮอลโลว์นั้นทั้งส่วนตัวและส่วนหางกลับจนเลือดสาดกระจายไปทั่ว

    เสียงหวีดร้องลั่นไปทั่วจนแสบแก้วหูดังขึ้นก่อนจะร่างของมันจะสลายไปเป็นอณูวิญญาณและแล้วเซ็มบ้งซากุระก็สลายตัวตามไป

    ทิ้งให้เขาเผชิญหน้ากับลูเคียหลังไม่ได้เจอกันนานถึงแปดปี..


    *********

    นัยน์ตาสีม่วงเปิดกว้างขณะมองตามริ้วดาบเล็กๆที่เป็นประกายอย่างโหยหา

    "ซ..เซ็มบ้ง..ซากุระ"

    นามนั้นคือหนึ่งในสองนามที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจแห่งความคิดถึงของเธอ

    มือเล็กยื่นออกไปหวังจะสัมผัสอย่างไม่กลัวว่ามันจะบาดเนื้อเนียนเลยแม้แต่น้อย แต่มันก็สลายไปก่อนที่เธอจะคว้ามันไว้ได

    หันไปยังเจ้าของพลังวิญญาณอันแสนคุ้นเคยนี้ก็ได้เห็นร่างสูงที่ยืนนิ่งมองเธอกลับมาด้วยดวงตาสีฟ้าเรียบสงบ ใบหน้าคุ้นตา เปลี่ยนไปจากแปดปีที่แล้วเพียงเล็กน้อย หากทว่าคมคายขึ้น หล่อเหลาขึ้น ทั้งยังสูงขึ้นและ กำยำขึ้นอย่างผิดหูผิดตา

    "ในที่สุดก็ได้เจอ.." เสียงห้าวเข้มเป็นหนุ่มเต็มตัวเอ่ยช้าๆราวกับยังตกอยู่ในห้วงภวังค์

    "ลูเคีย.."

    เฉกเช่นเดียวกับเธอ..

    "ท..ท่านพี่.."

    ก้อนคำพูดไหลหลั่ง แต่ติดค้างอยู่ในคอ แค่เอ่ยเรียกเขา หัวใจก็สะท้านสะเทือน

    เขาก้าวเดินช้าๆทีละก้าวๆมาหาเธอเรื่อยๆ จนมาถึงตัวของร่างเล็ก และดึงเธอสู่อ้อมกอดอุ่น "ในที่สุดข้าก็ได้เจอเจ้าอีกครั้ง.."

    หญิงสาวตกตะลึงทั้งที่น้ำตาเริ่มเอ่อคลอ ลำคอตีบตันด้วยไออุ่นที่คุ้นชินจากร่างสูง ทั้งท่าทางการเดินและวิธีการพูด.. ล้วนถอดแบบมาจากคุจิกิ เบียคุยะ ทั้งหมด

    -- แกร๊ง --

    เสียงดาบฟันวิญญาณของเธอตกกระทบพื้นดิน เพราะเธอไร้แรงจะถือมันไว้ แขนเล็กทั้งสองกอดเขากลับ และเริ่มร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย

    "ท่านพี่..เป็นท่านจริงๆใช่ไหม" เธอดึงเสื้อเขา ใบหน้าซุกเบียดที่อกโหยหาไออุ่นที่เธอแทบลืมเลือนไปแล้ว "บอกข้าทีว่าข้าไม่ได้ฝันไป"

    "ถ้าอย่างนั้น ข้าก็คงจะฝันไปเช่นกัน" เขากระซิบ ไม่ยอมคลายอ้อมกอดแม้เพียงนิด

    ลูเคียแค่พยักหน้า ยังปล่อยตัวเองร่ำไห้ไม่ยอมหยุดในวงแขนที่เธอโหยหามาหลายสิบปีจนถอดใจ ไม่คิดว่าจะมีวันนี้อีกครั้ง

    วันที่เธอได้กลับสู่อ้อมกอดของเขา..

    เบียคุยะรู้สึกราวกับว่าช่วงเวลานี้หยุดลง ร่างเล็กที่สั่นอยู่ในอ้อมกอดทำให้เขารู้สึกกลับไปเป็นคุจิกิ เบียคุยะอีกครั้ง

    แม้จะเพิ่งเคยกอดเธอเป็นครั้งแรก แต่เขากลับรู้สึกคุ้นเคยกับไออุ่นและความรู้สึกเหล่านี้เป็นอย่างดี

    ราวกับเค้ากอดเธอมานับครั้งไม่ถ้วนจนร่างกายเขาจดจำสัมผัสนี้ได้

    แม้จะยังจำอะไรไม่ได้มากนัก แต่ความรักที่มีให้เธอมันยังคงอยู่ในตัวเขาตลอดเวลา

    ร่างกายเขามันกำลังร่ำร้องให้เขาลิ้มรสสัมผัสเหล่านั้นจากเธออีกครั้ง

    เขากอดเธอเนิ่นนาน นานจนเธอเริ่มตั้งสติได้อีกครั้ง

    เธอเช็ดน้ำตาออกลวกๆ แล้วก็โดนเขาดุเข้า

    "บอกว่าอย่าเช็ดแรงแบบนั้น" แต่ใบหน้ามีรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก เขายกชายเสื้อค่อยๆเช็ดน้ำตาที่นองเต็มหน้าของเธอ

    ลูเคียหัวเราะเบาๆ ปล่อยให้เขาเช็ดน้ำตาให้เธอแต่โดยดี

    แต่เมื่อน้ำตาเริ่มแห้ง ชายหนุ่มกลับเห็นแววตาคู่สวยนั้นสลดลงเล็กน้อย

    "ความทรงจำกลับมาแล้วหรือคะ" เธอยิ้มแห้งๆถาม ในใจนึกกลัวคำตอบที่เขาจะตอบ

    ..บางที เขาอาจจะแค่จำเธอได้ว่าเคยเจอกันที่โอกินาว่า..

    ..อาจจะไม่มีอะไรมากกว่านั้น..

    "ไม่มากนัก.." เขาตอบเสียงแผ่ว ขณะที่เธอใจหายยวบลงไป

    ..ข้าคงหวังมากเกินไปสินะ..

    เขาคลายวงแขน ดึงร่างเธอออกห่าง

    ลูเคียมองที่พื้น รู้สึกเจ็บในใจจนไม่อยากเงยหน้า

    ..เขาแค่จำเรื่องที่โอกินาว่าได้เท่านั้นสินะ..


    "ข้าจำได้แค่ว่า.."

    เขายกมือแตะแก้มเนียนนุ่มช้าๆ สัมผัสนั้นบอกเขาว่ามันยังนิ่มเหมือนเคยไม่เปลี่ยนไป ".. รักเจ้ามากกว่าชีวิตของข้า"

    ลูเคียพลันเบิกตากว้างเมื่อได้ยิน

    น้ำตาใสรินท่วมรอบดวงตาอีกครั้ง..ท่วงทำนองการพูด ก็ยังถอดแบบคุจิกิ เบียคุยะ

    เขาเชยคางเธอขึ้นสบตานิ่งเย็นของตน ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ "รักเสียจนไม่มีใครแทนได้" เขาก้มจรดริมฝีปากแตะที่ริมฝีปากเล็กชุ่มฉ่ำที่ฝันถึงมาแสนนาน

    หยุดค้างไว้ราวกับจะดื่มด่ำช่วงเวลานี้ให้นานที่สุด ก่อนจะค่อยๆขยับดูดกลีบปากนุ่มละมุนนั้นเบาๆ

    ลูเคียยืนนิ่งปล่อยน้ำตารินอาบหน้า..แม้แต่สไตล์การจูบก็ไม่เปลี่ยนเช่นกัน..

    "เฮ้ย!!" เสียงชิโนะหวีดร้องโวยวายจากด้านหลังของลูเคีย ตามด้วยเสียงสั่นพั่บๆของริวโนะสุเกะ

    "ท..ท่านรองคุจิกิ!!"

    ลูเคียสะดุ้งเฮือก รีบผลักเบียคุยะออกห่าง

    "ข..ข้า.." ลูเคียหันรีหันขวางอย่างลุกลน

    ชิโนะเดินอาดๆมาใกล้ เตรียมจะลากคอเบียคุยะมาอัดสักหมัดโทษฐานลวนลามรองหัวหน้าของตน

    ยิ่งเห็นใบหน้าลูเคียมีน้ำตานองเป็นสาย ยิ่งคิดว่าไอ้หนุ่มนี่รังแกรองหัวหน้าของตนเป็นแน่แท้

    ลูเคียเห็นท่าไม่ดี รีบขยับร่างตัวเองเข้าขวางแล้วบอก "ไม่มีอะไร คนรู้จักข้าน่ะ"

    ชิโนะขมวดคิ้ว แต่แล้วก็โดนริวโนะสุเกะรั้งคอเสื้อไว้พลางกระซิบ "เมื่อกี๊ท่านรองยอมโดนจูบนะครับ"

    "แล้วไงยะ!?"

    "ก็หมายความว่าเราเป็นกอขอคอน่ะสิครับ"

    "ห๊ะ!" ชิโนะทำหน้าตกใจ ก่อนจะกลายเป็นไม่มั่นใจแทน "งั้นเหรอ?"

    "ข้าว่าเราถอยเถอะครับ นะๆ"

    ชิโนะมองลูเคียกับเจ้าหนุ่มแปลกหน้าที่ยืนนิ่งไม่แสดงสีหน้าอะไรสลับกันไปมาแล้วก็ค่อยๆเดินถอยหลัง

    "ง..งั้น..เรารออยู่ทางโน้นนะคะ ท่านรอง" เธอรีบก้มหัวให้เร็วๆแล้วหันหลัง กระชากแขนเสื้อริวโนะสุเกะวิ่งไปอีกทางในทันที

    ลูเคียมุ่นคิ้ว หันไปยิ้มแห้งๆกับเบียคุยะ "ลูกน้องข้าเองค่ะ"

    เขาแค่ยิ้มน้อยๆตอบแล้วดึงร่างเล็กนั้นมากอดไว้อีก ลูเคียกอดเขากลับอย่างไม่ยอมปล่อยและไม่ยอมหลับตาลง ใจมันกลัวเหลือเกินว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้จะเป็นแค่เพียงความฝัน

    แต่แล้วเธอก็ตระหนักว่าปัญหาใหญ่เพิ่งจะก่อตัวขึ้นเท่านั้น

    "เจ้าสบายดีใช่ไหม? นับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เจอกัน ที่โอกินาว่า" เขาถาม

    "ค่ะ สบายดีค่ะ" ลูเคียทำท่าจะถามกลับ แต่ก็นึกได้ว่าการที่เขามายืนอยู่ตรงนี้ย่อมแปลว่าเขาตายจากโลกฝั่งนั้นมาแล้ว การจะถามว่าสบายดีไหม ก็คงกระไรอยู่

    "เจ้ายังอยู่ในเซย์เรย์เทย์สินะ?" เขาเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน

    หญิงสาวพยักหน้าตอบอย่างเศร้าๆ เพราะหลังจากนี้เธอก็ยังต้องกลับเซย์เรย์เทย์ ไม่ได้อยู่กับเขาอย่างที่ปรารถนาแทบขาดใจ และราวกับเขาเองก็รู้และเข้าใจดี

    มืออุ่นลูบหลังเธออย่างปลอบใจ "ข้าจะไปสอบเข้าชินโอ และจะต้องเป็นยมทูตให้ได้.. " เขาดึงเธอออก ช้อนคางมนให้เงยขึ้น "แล้วข้าจะตามไปหาเจ้าที่เซย์เรย์เทย์เอง"

    ริมฝีปากอุ่นทาบทับลงที่ริมฝีปากของนางแทนคำมั่นสัญญา

    "จนกว่าจะถึงวันนั้น เจ้าจะรอข้าอีกหน่อยได้ไหม?"

    ลูเคียกระพริบตาที่พราวไปด้วยหยดน้ำใสเล็กๆ แล้วหัวเราะทั้งน้ำตา "ข้ารอท่านมาเกือบยี่สิบปีกว่าจะได้พบท่านอีกครั้ง จะรออีกหน่อยเพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกันอีกหนจะเป็นไรไป?"

    เธอเขย่งเท้าขึ้นเล็กน้อยแล้วจุมพิตเขากลับ "ข้าจะรอท่าน..จะรอจนกว่าจะถึงวันนั้นค่ะ.."

    หยาดน้ำตาไหลรินเป็นทางอาบแก้มสีชมพู เบียคุยะรั้งเธอที่สะอื้นเบาๆมากอดแน่นอีกครั้งเมื่อทั้งคู่รู้ดีว่าถึงเวลาต้องจากลากันเสียที

    แต่การจากลาครั้งนี้นั้นเต็มไปด้วยความหวัง..หวังว่าจะได้เจอและกลับมาครองคู่กันอีกครั้งเช่นวันวาน..

    สิ่งนี้จะกลายเป็นเป้าหมายและเป็นแรงผลักดันให้เขามุ่งไปให้ถึง..

    เพื่อตัวเขาเอง..

    ..และเพื่อเธอ

    "ข้ารักเจ้า ลูเคีย" เขากระซิบเสียงสั่นเครือ น้ำตาใสเอ่อรินรอบขอบตา "ไม่มีวันไหนที่ข้าไม่คิดถึงเจ้า..และข้าจะรักเจ้าตลอดไป"

    ลูเคียผงกศีรษะเล็กระรัวที่อกเขาทั้งน้ำตา "ข้าก็รักท่านค่ะ..ท่านพี่เบียคุยะ"

    ชายหนุ่มดึงร่างเธอออกช้าๆพร้อมกับที่เธอคลายอ้อมกอด เขาจุมพิตลงที่หน้าผากนางเป็นการล่ำลา เพราะเธอยังมีหน้าที่ มีความรับผิดชอบอีกมาก ตอนนี้เขาจึงไม่อาจเหนี่ยวรั้งเธอไว้ได้..

    แต่การเจอกันครั้งหน้าจะเป็นวันที่เขาพร้อมซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อจะเดินไปเคียงข้างเธออีกครั้ง

    เมื่อเวลานั้นมาถึง..เขาจะไม่ยอมปล่อยนางไปเป็นอันขาด

    "ได้เวลาแล้ว..เจ้ากลับไปเถอะ ลูกน้องจะเป็นห่วงเอา"

    ลูเคียยื่นมือมาจับข้อมือเขาไว้ ยกมืออุ่นนั้นขึ้นแตะที่แก้มของตน "แล้วข้าจะรอท่าน..ที่เซย์เรย์เทย์"

    เบียคุยะยิ้มกว้างพร้อมพยักหน้าเบาๆอย่างเข้าใจ

    หญิงสาวก้าวถอยหลังช้าๆ แต่สายตายังจับจ้องที่ดวงตาสีฟ้าไม่วางด้วยความอาวรณ์นัก

    "ข้าไปก่อนนะคะ.. "

    เธอยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มอันร่าเริงสดใส

    เมื่อเบียคุยะหยักหน้าครั้งสุดท้าย ร่างของเธอก็หายวับไปด้วยก้าวพริบตา..

    เขาแหงนหน้ามองฟ้าด้วยรอยยิ้มกว้าง ดวงตาเปล่งประกายด้วยไฟแห่งความหวัง..

    ..เพื่อวันข้างหน้า จะได้ไปพบกับเธออีกครั้ง..




    ********************** END *****************************






    ขอบคุณรีดเดอร์ทุกท่านที่เฝ้ารอและติดตามมาโดยตลอดค่ะ ขอบคุณจากใจ

    ยูอิ


    ปล. สำหรับแฟนอวย กองอวย เบียลู (เบียคุยะxลูเคีย) แวะไปทักทายกับยูอิหรือไปร่วมอวยเบียลูได้ที่แฟนเพจ https://www.facebook.com/ByakuxRukiFcTheLittleHomeOfLove นะคะ (^^)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×