ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : episode 2
ว่าจะสองตอนจบ.. สองตอนไม่พอแฮะ..
สามแล้วกัน ^^
เด็กชายผมสีทอง นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนแบบชาวตะวันตกยืนมองเธอจากบนบันไดด้วยสายตาไม่พอใจนัก เขามองตามดอกซากุระที่หล่นจากมือลูเคียแล้วทำหน้ามุ่ย เดินลงบันไดมาก้มเก็บดอกซากุระนั้นเอากลับไปวางไว้ที่เดิม เหมือนตอนก่อนที่เธอจะหยิบมันขึ้นมา
ลูเคียยังตื่นตะลึง
แม้ใบหน้าของเด็กชายจะไม่เหมือนเขา.. สีของดวงตาเป็นสีฟ้าน้ำทะเล ไม่ใช่สีเทาเหมือนอย่างเคย ผมที่เคยเป็นสีดำสนิทก็กลับกลายเป็นสีทองอ่อน
แต่พลังวิญญาณนั้น.. เป็นของเขาไม่ผิดแน่..
พลังวิญญาณแบบเดียวกับของสามีเธอ.. คุจิกิ เบียคุยะ คนนั้น..
..พลังวิญญาณแบบนี้..
..เป็นของท่านพี่..
..ไม่ผิดแน่..
"บ..เบียคุยะ.." เธอเพ้อชื่อของเขาออกมา หัวใจที่หยุดเต้นไปเมื่อครู่ เริ่มกลับมาสูบฉีดเลือดสู่ร่างกายเธออีกครั้ง
เด็กน้อยหันขวับ จ้องเธออย่างหวาดระแวง "ผมยังไม่ได้บอกชื่อผมเสียหน่อย พี่สาวรู้ได้ยังไง" เขาถามทันควัน
ลูเคียยิ่งตกตะลึงหนักกว่าเดิม ค่อยๆทรุดกายย่อเข่าลงจนมองเห็นหน้าของเด็กน้อยได้ชัดเจน
ยิ่งอยู่ใกล้.. ยิ่งรู้สึกถึงพลังวิญญาณที่คุ้นเคย.. พลังวิญญาณที่เธอโหยหาและแสนจะคิดถึงตลอดสิบปีที่ผ่านมานี้
น้ำตาอุ่นค่อยๆเอ่อคลอรอบดวงตา ยื่นมือออกไป อยากจะดึงร่างเล็กนั้นเข้ามากอดให้หายคิดถึง
..แต่มันเป็นไปไม่ได้ เขาไม่ใช่เบียคุยะที่่เธอเคยรู้จักอีกแล้ว..
เด็กน้อยเบิกตากว้างเมื่อเห็นเธอจะร้องไห้เพราะเขา "หวาๆ ผมแค่ถามเฉยๆเองนะ ขอโทษครับๆ" รีบโค้งคำนับให้เธอหลายครั้ง แม้จะไม่แน่ใจว่าตัวเองทำอะไรผิดแต่ทำให้ผู้หญิงร้องไห้นี่ ทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าเป็นผู้ชายที่ใช้ไม่ได้เอาเสียเลย
ลูเคียกลับเป็นฝ่ายตกใจยิ่งกว่า ลืมไปเสียสนิทกว่ากำลังร้องไห้ ได้แต่ละล่ำละลักรีบบอกให้เขาหยุดขอโทษเธอ
เด็กน้อยพยักหน้าหงึกๆและหยุดขอโทษ
ลูเคียพยายามตั้งสติ ปาดน้ำตาออกลวกๆ ยิ้มกว้างให้เด็กชาย "หนูว่าหนูชื่อเบียคุยะหรือครับ" เธอถาม
เด็กน้อยพยักหน้าอีก ก่อนจะตอบ "เบียคุยะ ที่แปลว่าร้อยราตรีน่ะ"
"ง..งั้นหรือจ๊ะ" เจ็บแปลบขึ้นมาในอก ชื่อก็ยังคงเป็นชื่อเดิม แม้ความหมายจะต่างไปจากเบียคุยะคนนั้นของเธอที่แปลว่า 'คำถามสีขาว' ก็ตาม
"เป็นชื่อที่ดีนะ" เธอยังฝืนพูดชมออกมาทั้งที่จุกจนแทบพูดไม่ออก
เบียคุยะน้อยยิ้มแป้นจนเห็นฟัน "ผมชอบชื่อของผมมากเลยล่ะ"
ลูเคียยิ้มตอบเขาอย่างเอ็นดู อดยกมือขึ้นลูบหัวเขาไม่ได้ แต่ยังไม่ทันได้วางมือลงบนหัวเบียคุยะน้อย เด็กชายก็ถอยหลังหลบอย่างระมัดระวังตัว
เธอหน้าเจื่อนไปนิด เบียคุยะรีบขอโทษขอโพยอีกครั้ง "คือ ผมไม่ได้ตั้งใจน่ะ มันรู้สึกแปลกเวลามีใครมาโดนตัวน่ะครับ"
"พี่ก็ต้องขอโทษเหมือนกันนะ" ลูเคียหัวเราะแก้เก้อ "จริงสิ.. ดอกซากุระนี่.." เธอมองไปยังดอกซากุระอันน้อย
"อ๋อ.. พวกวิญญาณเร่ร่อนพวกนี้เค้าจะขี้เหงา ถ้าผมเจอ ผมก็จะให้พวกเค้าไว้ให้รู้ว่าผมคุยกับพวกเค้าได้" เด็กน้อยเปิดกระเป๋าใส่หนังสือที่สะพายไว้ข้างตัว หยิบช่อดอกซากุระเล็กๆขึ้นมาสองสามช่อ อวดให้เธอดู "นี่ไง ผมเอาติดตัวไว้เยอะเลย"
มือเล็กจ้อยนั้นยื่นส่งให้เธอช่อหนึ่ง มีดอกอยู่สามดอก "อ่ะ ผมให้"
คราวนี้น้ำตาลูเคียก็ไหลพรากลงมาอีก ยื่นมือไปรับมาด้วยมือที่สั่นจนหยุดไม่ได้
..ดอกซากุระ..
..ที่เหมือนกับเซ็มบงซากุระของเขา..
..ดอกไม้ที่เขาและเธอโปรดปรานที่สุด..
เธองอตัว นั่งร้องไห้อย่างหยุดไม่อยู่ ความคิดถึงเขามันกัดกินหัวใจและร่างกายจนเหมือนร่างจะแหลกเป็นผุยผง.. ยิ่งเห็นอีกร่างหนึ่งของเขายืนอยู่ตรงหน้า..
ถือช่อดอกซากุระเอาไว้..
ไม่ต่างกับภาพในวันวานที่เขาถือเซ็มบงซากุระฟาดฟันศัตรู..
ได้แต่นั่งร้องไห้ ไม่รู้จะรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ยังไง..
เบียคุยะน้อยตกใจไม่แพ้กัน รีบคุกเข่าหน้าเธอ ควานหาผ้าเช็ดหน้าให้ควั่ก พอเจอก็รีบเอามันส่งให้เธอ แต่เพราะเธอยังร้องไห้เหมือนไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว เขาก็ยิ่งร้อนรน
"พี่ฮะ! ผม..ผม.." เด็กน้อยเลิ่กลั่กๆ ทำตัวไม่ถูก จะปลอบก็ปลอบไม่เป็น
เห็นลูเคียสะอื้นฮักไม่หยุด เบียคุยะก็เริ่มจะนิ่วหน้าขึ้นมา น้ำตาคลอหน่วยไปด้วยอีกคน "ถ้าพี่ไม่หยุดร้อง เดี๋ยวผมก็ร้องไห้ตามไปด้วยหรอกเนี่ย!"
ยิ่งเขาใจดี ยิ่งเขาอ่อนโยน กลับยิ่งทำให้ลูเคียร้องไห้หนักกว่าเดิมเพราะความคิดถึง
เบียคุยะยิ่งไม่รู้จะทำยังไง ตัดสินใจร้องไห้เป็นเพื่อนเธอมันตรงนั้นซะเลย..
เขาไม่รู้หรอกว่าทำไม.. แต่รู้สึกเหมือนว่าไม่อยากให้เธอร้องไห้.. แต่ไม่รู้จะทำยังไงให้เธอหยุดร้อง
ไม่รู้ทำไมว่าต้องเจ็บปวดเมื่อเห็นน้ำตาของเธอ.. ไม่รู้จริงๆ
ลูเคียเห็นเบียคุยะเริ่มเบะปาก เตรียมจะร้องไห้ตามเธอ คราวนี้ถึงกับปาดน้ำตาออกลวกๆ พยายามฝืนยิ้มกว้างๆเข้าไว้ "พี่ไม่เป็นไรครับ ไม่เอานะ อย่าร้องไห้นะ.."
"จริงนะ" เด็กน้อยถามซื่อๆ กระพริบตาถี่ไล่น้ำตาที่คลอเบ้า
"อื้อ" เธอรีบเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเองจนตาแดงก่ำ
เบียคุยะรีบโวยวาย "เช็ดอย่างนั้นไม่ได้นะ!" เขารีบดึงมือเธอออก ค่อยใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กในมือยื่นไปบรรจงซับน้ำตาให้เธอ "ต้องค่อยๆเช็ดสิ เช็ดแรงแบบนั้น ตาแดงหมดแล้ว เห็นไหม" เขาทำเสียงดุ
"ข..ขอบใจนะ" ลูเคียพยายามกลืนน้ำตาที่มันเริ่มจะไหลออกมาอีกให้กลับเข้าไปเมื่อภาพเบียคุ ยะคนนั้นที่คอยเช็ดน้ำตาให้เธอ มันร่ำๆจะซ้อนทับขึ้นมาอีก
"โตแล้วยังขี้แยอีก" เบียคุยะว่าเข้าให้
ลูเคียหัวเราะเบาๆที่ต้องให้เด็กมาสอน แต่จะว่าอะไรได้ ในเมื่อเด็กตรงหน้านี้ครั้งหนึ่งเป็นคนที่เธอเคารพรักมากที่สุด
เบียคุยะเห็นลูเคียหัวเราะออกมาได้ก็ยิ้มหน้าบาน..
**************************
เบียคุยะดึงเสื้อคลุมขนสัตว์เข้ากระชับร่างเพื่อปกป้องร่างกายอ่อนแอของตน จากอากาศเย็นเยียบจากฝนเพิ่งตกไปหมาดๆ กลิ่นไอดินชื้นๆแม้จะชวนให้รู้สึกสดชื่นกลมกลืนไปกับธรรมชาติ แต่ไอเย็นที่สายฝนพัดพามาด้วยนั้น มันทรมานร่างกายเขาเหลือเกิน
แค่ความเย็นในฤดูฝนแค่นี้ถึงกับจะกรีดกระดูกเขาให้แหลก เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าฤดูหนาวที่จะถึงนี้ ความหนาวเหน็บทรมานจะกัดกินร่างกายเขาเพียงใด
แค่มานั่งฟังเสียงฝนตกหล่นกระทบรั้วไม้ไผ่ที่เขากับลูเคียช่วยกันทำเอาไว้ ล้อมรอบแปลงดอกไม้เล็กๆข้างห้องนั่งเล่น เขาถึงกับต้องเอาเสื้อคลุมขนสัตว์ที่เคยเก็บไว้ใช้เฉพาะตอนหนาวจัดๆอย่างวัน ที่หิมะตกไม่ยอมหยุดเอามาใช้คลุมกาย.. แค่วันฝนตกธรรมดา เขากลับหนาวสั่นได้ถึงขนาดนี้..
แสดงว่าเวลาที่เขาเหลืออยู่.. มันน้อยลงไปอีกแล้วสินะ
เขาจะทำอะไรได้ นอกจากยิ้มเศร้าๆให้ตัวเอง..
หลายครั้งที่เขาทนทุกข์อยู่กับความคิดของตัวเอง.. จากคนที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ตระกูลคุจิกิ กลับกลายเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาที่ไร้ซึ่งพลัง ไร้แรงกระทั่งจะเดินออกจากบ้านตัวเอง
แต่นั่นไม่ทำให้เขาเจ็บปวดมากนักหรอก เมื่อเทียบกับการได้เห็นบาดแผลของลูเคียที่ได้จากการไปทำภารกิจต่างๆมา แม้เธอจะไม่เคยสะทกสะท้านกับรอยไหม้ที่แขน รอยถูกแทงที่สีข้าง หรือรอยบีบที่ลำคอก็ตาม แต่นั่นเป็นสิ่งที่ตอกย้ำว่าเขานั้นไร้พลังในการปกป้องเธอสิ้นดี
เขารู้ว่าเธอพยายามปกปิดมันจากเขา เพื่อไม่ให้เขาโทษตัวเอง.. จากที่เคยกลับบ้านทันทีหลังเสร็จภารกิจที่ไม่ว่าเธอจะโชกเลือดเพียงใด บาดเจ็บเพียงใด กลับกลายเป็นเธอจะไปที่หน่วยสี่เพื่อรักษาตัวเองจนอยู่ในสภาพที่จะไม่ทำให้ เขาทุกข์ใจก่อนจะกลับมาพบหน้าเขา.. แต่เขาก็รู้อยู่ดี
และเขาเองก็รู้สึกได้ว่าเธอเองก็พยายามจะเข้มแข็ง พยายามจะเก่งขึ้น.. เพื่อไม่ให้เขาต้องเป็นห่วง
และเพื่อตัวเธอเองในวันที่ไม่มีเขา..
เขายิ้มบางๆให้กับสายฝนที่เริ่มหล่นพรำลงมาอีกรอบ
เขาจะโทษเธอได้ยังไง ในเมื่อทั้งคู่ต่างก็รู้ดีว่ารักนิรันดร์หรือการใช้ชีวิตด้วยกันไปจนแก่เฒ่า นั้นเป็นสิ่งที่เพ้อฝันที่สุด.. มีแต่ต้องทำใจยอมรับมัน และเผชิญหน้ากับมันเท่านั้น
ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาเองก็ได้ลงมือทำบางอย่างไปแล้วเหมือนกัน.. เพื่อที่วันที่เขาไม่อยู่ เธอจะได้ไม่เดือดร้อนนัก
พินัยกรรมที่เขาทิ้งไว้จะช่วยปกป้องเธอจากคนในตระกูลที่จ้องจะผลักไสเธอ ทำร้ายเธอ เพียงเพราะเธอเป็นเด็กข้างถนนจากลูคอน
เธอจะยังอยู่ที่นี่.. ในคฤหาสน์หลังนี้ต่อไปได้อีกนานเท่าที่เธอต้องการ
หรือหากมันไม่ได้ผลจริงๆ เขาก็เตรียมซื้อคฤหาสน์ขนาดค่อนข้างใหญ่เอาไว้ให้เธออีกหลัง ใกล้ๆที่ทำการหน่วยสิบสาม พร้อมกับฝากให้เซเกะจัดแจงเรื่องสาวใช้ทั้งหลายของเธอให้ย้ายไปอยู่กับเธอ เพื่อเธอจะได้ไม่ต้องไปอยู่ที่อื่่นอย่างลำบากนัก
เขาแอบเรียกเร็นจิมาคุย บอกเรื่องราวทุกอย่างและข้อมูลสำคัญต่างๆเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นใน กรณีที่ทุกอย่างล้มเหลว หรือคนในตระกูลไม่ยอมรับพินัยกรรมของเขา รวมทั้งฝากฝังเธอไว้กับเร็นจิ เพราะเขาเชื่อมั่นว่ายามที่เขาไม่อยู่นั้น เธอจะปลอดภัยเมื่อมีเร็นจิอยู่ข้างๆ
อย่างน้อยเจ้าหมาข้างถนนนั่นก็จะปกป้องเธอด้วยชีวิตเช่นกัน..
และตอนนี้ทุกอย่างก็พร้อมแล้ว..
..แค่รอให้เวลานั้นมาถึง..
..เท่านั้น..
****************************
หนึ่งหญิงสาว หนึ่งเด็กชาย หยุดยืนข้างประตูคฤหาสน์หลังหนึ่งที่เชิงเขา รั้วอิฐที่ล้อมรอบตัวบ้านนั้นยาวไกลสุดลูกหูลูกตาบ่งบอกว่าบ้านหลังนี้กิน พื้นที่กว้างใหญ่เพียงใด
ความร่ำรวยมั่งคั่งเหมือนตระกูลคุจิกิ ทำให้ลูเคียอดสะท้อนใจอีกไม่ได้ เธอพยายามไม่คิดอะไร พยายามคิดในแง่ดีว่าอย่างน้อยเขาก็ได้เกิดใหม่ในครอบครัวที่สุขสบาย ไม่ต้องลำบากยากแค้นหรือดิ้นรนอะไรนัก
"นี่บ้านผม" เบียคุยะเอ่ยขึ้นเรียบๆ พยายามยืนให้อยู่หลังต้นไม้ เหมือนจะอยากหลบให้พ้นจากสายตาคนเฝ้าประตูและหญิงสาวร่างผอมสูงในชุดเดรสสี ฟ้าอ่อนรัดรูปท่าทางราวกับว่าหล่อนเป็นเจ้าของบ้านหลังใหญ่หลังนี้
ท่าทางประหลาดนั้น ทำเอาเธอสงสัยเหลือเกิน ด้วยเพราะไม่เข้าใจว่า ถ้านี่เป็นบ้านเขา ทำไมเขาต้องทำลับๆล่อๆแบบนี้ด้วย
เบียคุยะชะโงกไปดูสองคนนั้นที่หน้าประตู ถอนใจเฮือกหนึ่ง "และนั่น แม่ผม.."
ลูเคียตาโต จ้องหญิงสาวตาไม่กระพริบ.. ผมสีทอง.. เหมือนกันเลย
แล้วอยู่ๆก็มีรถคันใหญ่วิ่งผ่านเธอไปเร็วแรงพร้อมกับลมหอบใหญ่ที่ปะทะร่าง เธอจนเหมือนตัวจะปลิว แต่แล้วรถคันนั้นก็จอดกึกตรงหน้าบ้าน ชายชุดสีดำร่างอวบโผลงจากที่คนขับท่าทางรีบร้อน วิ่งไปคุยอะไรบางอย่างกับหญิงสาวที่เป็นแม่ของเบียคุยะ
เบียคุยะถอนใจอีกเฮือกแล้วทำหน้าเบื่อหน่าย "ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องไปรับ.. ไม่เห็นจะฟังกันบ้าง"
ลูเคียได้ยินเข้าก็หันไปถามด้วยความอยากรู้ "ทำไมล่ะครับ มีคนไปรับที่โรงเรียน ไม่ดีเหรอ"
"ผมกลับเองได้หรอกน่า อีกอย่างนึงนะ วันนี้ผมตั้งใจจะไปลาพี่ชายที่ริมหาดน่ะ" เบียคุยะปรายตามองเธอ "แต่ก็ไม่ทันอยู่ดี พี่สาวชิงส่งวิญญาณเค้าไปแล้ว"
ลูเคียชะงักกึก.. ไหงกลายเป็นความผิดของเธอไปได้เล่า?
ว่าแต่.. "ทำไมเธอถึงรู้ว่าพี่ส่งวิญญาณเค้าไปล่ะ.. เธอเคยเจอยมทูตมาก่อนเหรอ? แล้วที่ว่าจะไปลาเจ้าหนุ่มริมหาดนั่น หมายความว่ายังไง?"
เธอถามรัวๆ จนเบียคุยะทำหน้าเหนื่อย "เอาทีละคำถามได้ไหมครับ ผมงง"
ลูเคียเบิกตากว้าง นึกขึ้นได้ว่าตัวเองคงถามมากไปจริงๆ กำลังจะถามซ้ำอีกครั้ง ก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังมาจากร่างเล็กข้างๆ
เบียคุยะล้วงโทรศัพท์มือถืออันเล็กๆของตัวเองออกมาจากกระเป๋ากางเกง "ครับแม่"
ลูเคียแอบชะโงกไปดูหน้าประตู เห็นหญิงสาวคนนั้นกรอกเสียงมาตามโทรศัพท์
"ผมอยู่แถวนี้แหละ.. รู้แล้วครับ.. ครับ.. เข้าใจแล้วครับ" เสียงปลายทางยังพูดไม่ทันจบ เจ้าเด็กน้อยๆข้างเธอก็ชิงตัดสายทิ้ง แล้วหย่อนโทรศัพท์ใส่กระเป๋าอย่างเดิม
"ขี้บ่นชะมัดเลย แม่เนี่ย"
ลูเคียขยี้หัวเบียคุยะน้อยอย่างหมั่นเขี้ยว "เป็นเด็กเป็นเล็ก อย่าพูดแบบนั้นสิครับ"
เบียคุยะปัดมือเธอออก ยิ้มให้อย่างกวนๆ "ผมรู้หรอกน่า"
"ตกลงว่า.. เธอเคยเจอยมทูตมาก่อนใช่ไหม?" เธอย้อนกลับมาคุยเรื่องที่คุยกันค้างไว้ น้ำเสียงจริงจังขึ้นมา
เขาพยักหน้า แล้วทำสีหน้าจริงจังตามเธอ "ผมเคยเจอคนแรกเมื่อสองเดือนก่อน.." เขาเริ่มเล่า ขณะที่ลูเคียตั้งใจฟัง
"อยู่ๆก็เห็นตอนแวะซื้อขนมหลังเลิกเรียน กำลังทำท่าส่งวิญญาณที่อยู่ตรงนั้น ที่จริงผมก็ไม่รู้หรอกว่าเค้าเป็นใคร เห็นเค้าชักดาบออกมา ผมก็วิ่งไปห้าม ท่าทางเค้าตกใจมากเลย พี่ชายยมทูตคนนั้นน่ะ.."
"..แล้วเค้าก็บอกว่าเค้าไม่ได้จะทำร้ายป้า เอ่อ วิญญาณที่ร้านมินิมาร์ทนั่นน่ะ เค้าแค่จะส่งไปสู่สุคติ.."
"ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นพวกเรามาก่อนสินะ" ลูเคียถาม
"อื้อ.. ไม่เคยเห็นมาก่อน เห็นแค่วิญญาณทั่วๆไป พอผมถามว่าพี่เค้าเป็นใครกันแน่ เค้าบอกว่าเค้าเป็นยมทูต"
คำตอบทำเอาลูเคียหวั่นใจ ฟังเรื่องจากเบียคุยะแล้วรู้สึกคล้ายกับว่าจู่ๆพลังเขาก็เพิ่มขึ้น เพิ่มจนกระทั่งมองเห็นยมทูตได้ แล้วเธอนึกถึงงานที่ถูกสั่งมา คำสั่งที่ว่าให้มาสืบหาต้นตอของฮอลโลว์ที่ดูเหมือนจะเริ่มเพิ่มจำนวนในช่วง สองเดือนที่ผ่านมา
ช่วงเวลาก็สอดคล้องกัน..
เป็นไปได้ว่าฮอลโลว์พวกนั้น ถูกพลังวิญญาณเขาดึงดูดมา.. คล้ายๆกับกรณีของอิจิโกะเมื่อหลายสิบปีก่อน..
และถ้าข้อสันนิษฐานนี้ถูกต้อง.. เธอจะทำอย่างไรกับเขาดี?
เขายังเด็กเกินกว่าจะดูแลตัวเองได้ ไม่เหมือนอิจิโกะ
เธอควรจะจัดการเรื่องนี้ยังไง??
"แล้วที่ว่า เธอจะไปลาเจ้าหนุ่มริมหาดนั่นล่ะ"
เบียคุยะน้อยไหวไหล่เบาๆ ก่อนจะหันมาถามคำถามแทนที่จะตอบคำถามที่ลูเคียถาม "พี่สาวจะอยู่ที่โอกินาว่านี่อีกนานไหม"
เธอส่ายศีรษะ "ไม่หรอก อีกแค่ครึ่งเดือนน่ะ" แม้จะแปลกใจที่เขาไม่ตอบคำถามเธอ แต่เธอก็ตัดสินใจไม่ซักไซ้
"แล้วก็จะมีคนใหม่มาแทนสินะ"
"ใช่แล้วล่ะ"
"แต่ผมจะไม่อยู่แล้วล่ะ" เสียงนั้นบอกเนือยๆ ราวกับมันเป็นเรื่องปกติของตัวเอง "ผมจะอยู่ที่นี่ถึงแค่วันพรุ่งนี้ แล้วก็จะย้ายไปอยู่ที่อเมริกา"
"ง..งั้นเหรอ..ฟังดูน่าสนุกออก" พูดไปทั้งที่ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
..นี่ข้ากำลังคาดหวังอะไร??..
..ข้าหวังว่าจะได้เจอเขาทุกวันจนกว่าข้าจะกลับโซลโซไซตี้งั้นรึ??..
..นี่ข้ากำลังจะเอาตัวไปผูกพันกับมนุษย์อีกแล้วรึ??..
..ไม่สิ เขาไม่ใช่แค่มนุษย์นะ.. เขาคือท่านพี่นะ..!?
..ไม่ใช่ๆ เขาไม่ใช่ท่านพี่อีกแล้ว..
..ไม่ใช่..
..ไม่ใช่..
..ไม่ใช่..
..ไม่ใช่อีกแล้ว!..
"ไม่สนุกซักนิด งานของพ่อ ทำให้เราต้องย้ายบ้านกันบ่อยๆ.. " เบียคุยะบอก แต่ปิดความไม่พอใจเอาไว้ไม่มิด เธอฟังดูก็พอจะรู้ได้ว่าเขาไม่ชอบการย้ายไปย้ายมาแบบนี้เอาเสียเลย "ผมมาอยู่ที่นี่ได้แค่ปีเดียวเอง ก็จะย้ายกันอีกแล้ว น่าเบื่อจะตาย"
"แต่อย่างน้อยก็ได้อยู่กับครอบครัวนะ"
เบียคุยะหันมองหน้าเธอ เขาถามซื่อๆ "พี่สาวมีครอบครัวหรือเปล่า"
ถามได้แทงใจดำขนาดนั้น ลูเคียรู้สึกราวกับโดนเข็มนับร้อยแทงอก ได้แต่ฝืนยิ้มแห้งๆตอบ "มีสิ"
..'เคย' มีต่างหาก..
หญิงสาวย่อตัวลง พยายามไม่ร้องไห้ เธอคว้ามือเล็กมากุมไว้
"เธอโชคดีนะ รู้ตัวหรือเปล่า อย่างน้อยก็ยังมีครอบครัวที่อยู่กันพร้อมหน้า"
..ใช่..
..ครอบครัวของท่าน.. ที่ไม่มีข้าอยู่ในนั้น..
"อืม ผมรู้ ผมก็พูดไปอย่างนั้นแหละ แม่น่ะขี้บ่น แต่ก็ใจดีที่สุด ทำเค้กก็อร่อย ส่วนพ่อ..ถึงจะเอาแต่ทำงาน แต่ก็สอนการบ้านผมทุกวัน"
"ดีแล้วล่ะ" แสร้งปั้นยิ้มออกมา พยายามบอกตัวเองว่าเขามีครอบครัวที่ดีพร้อมแล้ว
"เข้าบ้านเถอะ เถลไถลแบบนี้ แม้เค้าเป็นห่วงเอาได้" ลูเคียบอกอย่างอ่อนโยน แอบใจหายที่จะต้องถึงเวลาจากลา แต่เธอก็ไม่อาจฉุดรั้งเขาไว้ได้ เพราะเขาไม่ใช่คนของเธออีกต่อไปแล้ว
..ข้าเกลียดการบอกลา..
..ไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตายก็เถอะ..
..ข้าเกลียดมันทั้งหมดนั่นแหละ..
"งั้นผมจะเข้าบ้านแล้วนะ" เบียคุยะน้อยทำหน้าเศร้าๆ รู้สึกยังไม่อยากจะบอกลาสักเท่าไร
"จ้ะ พรุ่งนี้เดินทางปลอดภัยนะ.."
เบียคุยะหันมองหน้าลูเคีย จ้องอยู่นาน
"ผม.. " เด็กชายอ้ำอึ้ง ไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเอง ทั้งยังรู้สึกว่าแก้มตัวเองร้อนแปลกๆพิกล "ผมดีใจที่ได้เจอพี่นะ เอ่อ.." เขาเอามือเล็กๆนั่นเกาคางราวกับไม่รู้จะเอามือไปไว้ไหน "ถ้าได้เจอพี่อีกก็คงดี.."
พูดไปก็รู้สึกว่าตัวเองพูดอะไรไม่เข้าท่าเสียเลย แถมลูเคียยังมองเขาด้วยท่าทีแปลกๆอีก เลยคิดว่าเลิกพูดเสียดีกว่า เขาโบกไม้โบกมือพัลวัน แล้วก็ยิ้มกว้างจนตาหยี แก้มเป็นสีชมพูขึ้นมาเรื่อๆ "ผมไปดีกว่า บ๊ายบายครับพี่สาว"
"บ๊ายบายจ้ะ เบียคุยะ"
เด็กน้อยยิ้มกว้างจนเห็นฟัน ค่อยๆเดินจากไปพร้อมกับโบกมือหย็อยๆ
..แผ่นหลังเล็กค่อยๆไกลออกไป
ทิ้งไว้แต่เพียงร่างบางของลูเคียที่ยืนนิ่ง ปล่อยน้ำตาร่วงหล่นลงพื้น
"ลาก่อนนะคะ ท่านพี่.."
**********************************
มันยังเหลืออีกตอนนะค้าทุกท่าน!!
สามแล้วกัน ^^
เด็กชายผมสีทอง นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนแบบชาวตะวันตกยืนมองเธอจากบนบันไดด้วยสายตาไม่พอใจนัก เขามองตามดอกซากุระที่หล่นจากมือลูเคียแล้วทำหน้ามุ่ย เดินลงบันไดมาก้มเก็บดอกซากุระนั้นเอากลับไปวางไว้ที่เดิม เหมือนตอนก่อนที่เธอจะหยิบมันขึ้นมา
ลูเคียยังตื่นตะลึง
แม้ใบหน้าของเด็กชายจะไม่เหมือนเขา.. สีของดวงตาเป็นสีฟ้าน้ำทะเล ไม่ใช่สีเทาเหมือนอย่างเคย ผมที่เคยเป็นสีดำสนิทก็กลับกลายเป็นสีทองอ่อน
แต่พลังวิญญาณนั้น.. เป็นของเขาไม่ผิดแน่..
พลังวิญญาณแบบเดียวกับของสามีเธอ.. คุจิกิ เบียคุยะ คนนั้น..
..พลังวิญญาณแบบนี้..
..เป็นของท่านพี่..
..ไม่ผิดแน่..
"บ..เบียคุยะ.." เธอเพ้อชื่อของเขาออกมา หัวใจที่หยุดเต้นไปเมื่อครู่ เริ่มกลับมาสูบฉีดเลือดสู่ร่างกายเธออีกครั้ง
เด็กน้อยหันขวับ จ้องเธออย่างหวาดระแวง "ผมยังไม่ได้บอกชื่อผมเสียหน่อย พี่สาวรู้ได้ยังไง" เขาถามทันควัน
ลูเคียยิ่งตกตะลึงหนักกว่าเดิม ค่อยๆทรุดกายย่อเข่าลงจนมองเห็นหน้าของเด็กน้อยได้ชัดเจน
ยิ่งอยู่ใกล้.. ยิ่งรู้สึกถึงพลังวิญญาณที่คุ้นเคย.. พลังวิญญาณที่เธอโหยหาและแสนจะคิดถึงตลอดสิบปีที่ผ่านมานี้
น้ำตาอุ่นค่อยๆเอ่อคลอรอบดวงตา ยื่นมือออกไป อยากจะดึงร่างเล็กนั้นเข้ามากอดให้หายคิดถึง
..แต่มันเป็นไปไม่ได้ เขาไม่ใช่เบียคุยะที่่เธอเคยรู้จักอีกแล้ว..
เด็กน้อยเบิกตากว้างเมื่อเห็นเธอจะร้องไห้เพราะเขา "หวาๆ ผมแค่ถามเฉยๆเองนะ ขอโทษครับๆ" รีบโค้งคำนับให้เธอหลายครั้ง แม้จะไม่แน่ใจว่าตัวเองทำอะไรผิดแต่ทำให้ผู้หญิงร้องไห้นี่ ทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าเป็นผู้ชายที่ใช้ไม่ได้เอาเสียเลย
ลูเคียกลับเป็นฝ่ายตกใจยิ่งกว่า ลืมไปเสียสนิทกว่ากำลังร้องไห้ ได้แต่ละล่ำละลักรีบบอกให้เขาหยุดขอโทษเธอ
เด็กน้อยพยักหน้าหงึกๆและหยุดขอโทษ
ลูเคียพยายามตั้งสติ ปาดน้ำตาออกลวกๆ ยิ้มกว้างให้เด็กชาย "หนูว่าหนูชื่อเบียคุยะหรือครับ" เธอถาม
เด็กน้อยพยักหน้าอีก ก่อนจะตอบ "เบียคุยะ ที่แปลว่าร้อยราตรีน่ะ"
"ง..งั้นหรือจ๊ะ" เจ็บแปลบขึ้นมาในอก ชื่อก็ยังคงเป็นชื่อเดิม แม้ความหมายจะต่างไปจากเบียคุยะคนนั้นของเธอที่แปลว่า 'คำถามสีขาว' ก็ตาม
"เป็นชื่อที่ดีนะ" เธอยังฝืนพูดชมออกมาทั้งที่จุกจนแทบพูดไม่ออก
เบียคุยะน้อยยิ้มแป้นจนเห็นฟัน "ผมชอบชื่อของผมมากเลยล่ะ"
ลูเคียยิ้มตอบเขาอย่างเอ็นดู อดยกมือขึ้นลูบหัวเขาไม่ได้ แต่ยังไม่ทันได้วางมือลงบนหัวเบียคุยะน้อย เด็กชายก็ถอยหลังหลบอย่างระมัดระวังตัว
เธอหน้าเจื่อนไปนิด เบียคุยะรีบขอโทษขอโพยอีกครั้ง "คือ ผมไม่ได้ตั้งใจน่ะ มันรู้สึกแปลกเวลามีใครมาโดนตัวน่ะครับ"
"พี่ก็ต้องขอโทษเหมือนกันนะ" ลูเคียหัวเราะแก้เก้อ "จริงสิ.. ดอกซากุระนี่.." เธอมองไปยังดอกซากุระอันน้อย
"อ๋อ.. พวกวิญญาณเร่ร่อนพวกนี้เค้าจะขี้เหงา ถ้าผมเจอ ผมก็จะให้พวกเค้าไว้ให้รู้ว่าผมคุยกับพวกเค้าได้" เด็กน้อยเปิดกระเป๋าใส่หนังสือที่สะพายไว้ข้างตัว หยิบช่อดอกซากุระเล็กๆขึ้นมาสองสามช่อ อวดให้เธอดู "นี่ไง ผมเอาติดตัวไว้เยอะเลย"
มือเล็กจ้อยนั้นยื่นส่งให้เธอช่อหนึ่ง มีดอกอยู่สามดอก "อ่ะ ผมให้"
คราวนี้น้ำตาลูเคียก็ไหลพรากลงมาอีก ยื่นมือไปรับมาด้วยมือที่สั่นจนหยุดไม่ได้
..ดอกซากุระ..
..ที่เหมือนกับเซ็มบงซากุระของเขา..
..ดอกไม้ที่เขาและเธอโปรดปรานที่สุด..
เธองอตัว นั่งร้องไห้อย่างหยุดไม่อยู่ ความคิดถึงเขามันกัดกินหัวใจและร่างกายจนเหมือนร่างจะแหลกเป็นผุยผง.. ยิ่งเห็นอีกร่างหนึ่งของเขายืนอยู่ตรงหน้า..
ถือช่อดอกซากุระเอาไว้..
ไม่ต่างกับภาพในวันวานที่เขาถือเซ็มบงซากุระฟาดฟันศัตรู..
ได้แต่นั่งร้องไห้ ไม่รู้จะรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ยังไง..
เบียคุยะน้อยตกใจไม่แพ้กัน รีบคุกเข่าหน้าเธอ ควานหาผ้าเช็ดหน้าให้ควั่ก พอเจอก็รีบเอามันส่งให้เธอ แต่เพราะเธอยังร้องไห้เหมือนไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว เขาก็ยิ่งร้อนรน
"พี่ฮะ! ผม..ผม.." เด็กน้อยเลิ่กลั่กๆ ทำตัวไม่ถูก จะปลอบก็ปลอบไม่เป็น
เห็นลูเคียสะอื้นฮักไม่หยุด เบียคุยะก็เริ่มจะนิ่วหน้าขึ้นมา น้ำตาคลอหน่วยไปด้วยอีกคน "ถ้าพี่ไม่หยุดร้อง เดี๋ยวผมก็ร้องไห้ตามไปด้วยหรอกเนี่ย!"
ยิ่งเขาใจดี ยิ่งเขาอ่อนโยน กลับยิ่งทำให้ลูเคียร้องไห้หนักกว่าเดิมเพราะความคิดถึง
เบียคุยะยิ่งไม่รู้จะทำยังไง ตัดสินใจร้องไห้เป็นเพื่อนเธอมันตรงนั้นซะเลย..
เขาไม่รู้หรอกว่าทำไม.. แต่รู้สึกเหมือนว่าไม่อยากให้เธอร้องไห้.. แต่ไม่รู้จะทำยังไงให้เธอหยุดร้อง
ไม่รู้ทำไมว่าต้องเจ็บปวดเมื่อเห็นน้ำตาของเธอ.. ไม่รู้จริงๆ
ลูเคียเห็นเบียคุยะเริ่มเบะปาก เตรียมจะร้องไห้ตามเธอ คราวนี้ถึงกับปาดน้ำตาออกลวกๆ พยายามฝืนยิ้มกว้างๆเข้าไว้ "พี่ไม่เป็นไรครับ ไม่เอานะ อย่าร้องไห้นะ.."
"จริงนะ" เด็กน้อยถามซื่อๆ กระพริบตาถี่ไล่น้ำตาที่คลอเบ้า
"อื้อ" เธอรีบเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเองจนตาแดงก่ำ
เบียคุยะรีบโวยวาย "เช็ดอย่างนั้นไม่ได้นะ!" เขารีบดึงมือเธอออก ค่อยใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กในมือยื่นไปบรรจงซับน้ำตาให้เธอ "ต้องค่อยๆเช็ดสิ เช็ดแรงแบบนั้น ตาแดงหมดแล้ว เห็นไหม" เขาทำเสียงดุ
"ข..ขอบใจนะ" ลูเคียพยายามกลืนน้ำตาที่มันเริ่มจะไหลออกมาอีกให้กลับเข้าไปเมื่อภาพเบียคุ ยะคนนั้นที่คอยเช็ดน้ำตาให้เธอ มันร่ำๆจะซ้อนทับขึ้นมาอีก
"โตแล้วยังขี้แยอีก" เบียคุยะว่าเข้าให้
ลูเคียหัวเราะเบาๆที่ต้องให้เด็กมาสอน แต่จะว่าอะไรได้ ในเมื่อเด็กตรงหน้านี้ครั้งหนึ่งเป็นคนที่เธอเคารพรักมากที่สุด
เบียคุยะเห็นลูเคียหัวเราะออกมาได้ก็ยิ้มหน้าบาน..
**************************
เบียคุยะดึงเสื้อคลุมขนสัตว์เข้ากระชับร่างเพื่อปกป้องร่างกายอ่อนแอของตน จากอากาศเย็นเยียบจากฝนเพิ่งตกไปหมาดๆ กลิ่นไอดินชื้นๆแม้จะชวนให้รู้สึกสดชื่นกลมกลืนไปกับธรรมชาติ แต่ไอเย็นที่สายฝนพัดพามาด้วยนั้น มันทรมานร่างกายเขาเหลือเกิน
แค่ความเย็นในฤดูฝนแค่นี้ถึงกับจะกรีดกระดูกเขาให้แหลก เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าฤดูหนาวที่จะถึงนี้ ความหนาวเหน็บทรมานจะกัดกินร่างกายเขาเพียงใด
แค่มานั่งฟังเสียงฝนตกหล่นกระทบรั้วไม้ไผ่ที่เขากับลูเคียช่วยกันทำเอาไว้ ล้อมรอบแปลงดอกไม้เล็กๆข้างห้องนั่งเล่น เขาถึงกับต้องเอาเสื้อคลุมขนสัตว์ที่เคยเก็บไว้ใช้เฉพาะตอนหนาวจัดๆอย่างวัน ที่หิมะตกไม่ยอมหยุดเอามาใช้คลุมกาย.. แค่วันฝนตกธรรมดา เขากลับหนาวสั่นได้ถึงขนาดนี้..
แสดงว่าเวลาที่เขาเหลืออยู่.. มันน้อยลงไปอีกแล้วสินะ
เขาจะทำอะไรได้ นอกจากยิ้มเศร้าๆให้ตัวเอง..
หลายครั้งที่เขาทนทุกข์อยู่กับความคิดของตัวเอง.. จากคนที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ตระกูลคุจิกิ กลับกลายเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาที่ไร้ซึ่งพลัง ไร้แรงกระทั่งจะเดินออกจากบ้านตัวเอง
แต่นั่นไม่ทำให้เขาเจ็บปวดมากนักหรอก เมื่อเทียบกับการได้เห็นบาดแผลของลูเคียที่ได้จากการไปทำภารกิจต่างๆมา แม้เธอจะไม่เคยสะทกสะท้านกับรอยไหม้ที่แขน รอยถูกแทงที่สีข้าง หรือรอยบีบที่ลำคอก็ตาม แต่นั่นเป็นสิ่งที่ตอกย้ำว่าเขานั้นไร้พลังในการปกป้องเธอสิ้นดี
เขารู้ว่าเธอพยายามปกปิดมันจากเขา เพื่อไม่ให้เขาโทษตัวเอง.. จากที่เคยกลับบ้านทันทีหลังเสร็จภารกิจที่ไม่ว่าเธอจะโชกเลือดเพียงใด บาดเจ็บเพียงใด กลับกลายเป็นเธอจะไปที่หน่วยสี่เพื่อรักษาตัวเองจนอยู่ในสภาพที่จะไม่ทำให้ เขาทุกข์ใจก่อนจะกลับมาพบหน้าเขา.. แต่เขาก็รู้อยู่ดี
และเขาเองก็รู้สึกได้ว่าเธอเองก็พยายามจะเข้มแข็ง พยายามจะเก่งขึ้น.. เพื่อไม่ให้เขาต้องเป็นห่วง
และเพื่อตัวเธอเองในวันที่ไม่มีเขา..
เขายิ้มบางๆให้กับสายฝนที่เริ่มหล่นพรำลงมาอีกรอบ
เขาจะโทษเธอได้ยังไง ในเมื่อทั้งคู่ต่างก็รู้ดีว่ารักนิรันดร์หรือการใช้ชีวิตด้วยกันไปจนแก่เฒ่า นั้นเป็นสิ่งที่เพ้อฝันที่สุด.. มีแต่ต้องทำใจยอมรับมัน และเผชิญหน้ากับมันเท่านั้น
ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาเองก็ได้ลงมือทำบางอย่างไปแล้วเหมือนกัน.. เพื่อที่วันที่เขาไม่อยู่ เธอจะได้ไม่เดือดร้อนนัก
พินัยกรรมที่เขาทิ้งไว้จะช่วยปกป้องเธอจากคนในตระกูลที่จ้องจะผลักไสเธอ ทำร้ายเธอ เพียงเพราะเธอเป็นเด็กข้างถนนจากลูคอน
เธอจะยังอยู่ที่นี่.. ในคฤหาสน์หลังนี้ต่อไปได้อีกนานเท่าที่เธอต้องการ
หรือหากมันไม่ได้ผลจริงๆ เขาก็เตรียมซื้อคฤหาสน์ขนาดค่อนข้างใหญ่เอาไว้ให้เธออีกหลัง ใกล้ๆที่ทำการหน่วยสิบสาม พร้อมกับฝากให้เซเกะจัดแจงเรื่องสาวใช้ทั้งหลายของเธอให้ย้ายไปอยู่กับเธอ เพื่อเธอจะได้ไม่ต้องไปอยู่ที่อื่่นอย่างลำบากนัก
เขาแอบเรียกเร็นจิมาคุย บอกเรื่องราวทุกอย่างและข้อมูลสำคัญต่างๆเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นใน กรณีที่ทุกอย่างล้มเหลว หรือคนในตระกูลไม่ยอมรับพินัยกรรมของเขา รวมทั้งฝากฝังเธอไว้กับเร็นจิ เพราะเขาเชื่อมั่นว่ายามที่เขาไม่อยู่นั้น เธอจะปลอดภัยเมื่อมีเร็นจิอยู่ข้างๆ
อย่างน้อยเจ้าหมาข้างถนนนั่นก็จะปกป้องเธอด้วยชีวิตเช่นกัน..
และตอนนี้ทุกอย่างก็พร้อมแล้ว..
..แค่รอให้เวลานั้นมาถึง..
..เท่านั้น..
****************************
หนึ่งหญิงสาว หนึ่งเด็กชาย หยุดยืนข้างประตูคฤหาสน์หลังหนึ่งที่เชิงเขา รั้วอิฐที่ล้อมรอบตัวบ้านนั้นยาวไกลสุดลูกหูลูกตาบ่งบอกว่าบ้านหลังนี้กิน พื้นที่กว้างใหญ่เพียงใด
ความร่ำรวยมั่งคั่งเหมือนตระกูลคุจิกิ ทำให้ลูเคียอดสะท้อนใจอีกไม่ได้ เธอพยายามไม่คิดอะไร พยายามคิดในแง่ดีว่าอย่างน้อยเขาก็ได้เกิดใหม่ในครอบครัวที่สุขสบาย ไม่ต้องลำบากยากแค้นหรือดิ้นรนอะไรนัก
"นี่บ้านผม" เบียคุยะเอ่ยขึ้นเรียบๆ พยายามยืนให้อยู่หลังต้นไม้ เหมือนจะอยากหลบให้พ้นจากสายตาคนเฝ้าประตูและหญิงสาวร่างผอมสูงในชุดเดรสสี ฟ้าอ่อนรัดรูปท่าทางราวกับว่าหล่อนเป็นเจ้าของบ้านหลังใหญ่หลังนี้
ท่าทางประหลาดนั้น ทำเอาเธอสงสัยเหลือเกิน ด้วยเพราะไม่เข้าใจว่า ถ้านี่เป็นบ้านเขา ทำไมเขาต้องทำลับๆล่อๆแบบนี้ด้วย
เบียคุยะชะโงกไปดูสองคนนั้นที่หน้าประตู ถอนใจเฮือกหนึ่ง "และนั่น แม่ผม.."
ลูเคียตาโต จ้องหญิงสาวตาไม่กระพริบ.. ผมสีทอง.. เหมือนกันเลย
แล้วอยู่ๆก็มีรถคันใหญ่วิ่งผ่านเธอไปเร็วแรงพร้อมกับลมหอบใหญ่ที่ปะทะร่าง เธอจนเหมือนตัวจะปลิว แต่แล้วรถคันนั้นก็จอดกึกตรงหน้าบ้าน ชายชุดสีดำร่างอวบโผลงจากที่คนขับท่าทางรีบร้อน วิ่งไปคุยอะไรบางอย่างกับหญิงสาวที่เป็นแม่ของเบียคุยะ
เบียคุยะถอนใจอีกเฮือกแล้วทำหน้าเบื่อหน่าย "ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องไปรับ.. ไม่เห็นจะฟังกันบ้าง"
ลูเคียได้ยินเข้าก็หันไปถามด้วยความอยากรู้ "ทำไมล่ะครับ มีคนไปรับที่โรงเรียน ไม่ดีเหรอ"
"ผมกลับเองได้หรอกน่า อีกอย่างนึงนะ วันนี้ผมตั้งใจจะไปลาพี่ชายที่ริมหาดน่ะ" เบียคุยะปรายตามองเธอ "แต่ก็ไม่ทันอยู่ดี พี่สาวชิงส่งวิญญาณเค้าไปแล้ว"
ลูเคียชะงักกึก.. ไหงกลายเป็นความผิดของเธอไปได้เล่า?
ว่าแต่.. "ทำไมเธอถึงรู้ว่าพี่ส่งวิญญาณเค้าไปล่ะ.. เธอเคยเจอยมทูตมาก่อนเหรอ? แล้วที่ว่าจะไปลาเจ้าหนุ่มริมหาดนั่น หมายความว่ายังไง?"
เธอถามรัวๆ จนเบียคุยะทำหน้าเหนื่อย "เอาทีละคำถามได้ไหมครับ ผมงง"
ลูเคียเบิกตากว้าง นึกขึ้นได้ว่าตัวเองคงถามมากไปจริงๆ กำลังจะถามซ้ำอีกครั้ง ก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังมาจากร่างเล็กข้างๆ
เบียคุยะล้วงโทรศัพท์มือถืออันเล็กๆของตัวเองออกมาจากกระเป๋ากางเกง "ครับแม่"
ลูเคียแอบชะโงกไปดูหน้าประตู เห็นหญิงสาวคนนั้นกรอกเสียงมาตามโทรศัพท์
"ผมอยู่แถวนี้แหละ.. รู้แล้วครับ.. ครับ.. เข้าใจแล้วครับ" เสียงปลายทางยังพูดไม่ทันจบ เจ้าเด็กน้อยๆข้างเธอก็ชิงตัดสายทิ้ง แล้วหย่อนโทรศัพท์ใส่กระเป๋าอย่างเดิม
"ขี้บ่นชะมัดเลย แม่เนี่ย"
ลูเคียขยี้หัวเบียคุยะน้อยอย่างหมั่นเขี้ยว "เป็นเด็กเป็นเล็ก อย่าพูดแบบนั้นสิครับ"
เบียคุยะปัดมือเธอออก ยิ้มให้อย่างกวนๆ "ผมรู้หรอกน่า"
"ตกลงว่า.. เธอเคยเจอยมทูตมาก่อนใช่ไหม?" เธอย้อนกลับมาคุยเรื่องที่คุยกันค้างไว้ น้ำเสียงจริงจังขึ้นมา
เขาพยักหน้า แล้วทำสีหน้าจริงจังตามเธอ "ผมเคยเจอคนแรกเมื่อสองเดือนก่อน.." เขาเริ่มเล่า ขณะที่ลูเคียตั้งใจฟัง
"อยู่ๆก็เห็นตอนแวะซื้อขนมหลังเลิกเรียน กำลังทำท่าส่งวิญญาณที่อยู่ตรงนั้น ที่จริงผมก็ไม่รู้หรอกว่าเค้าเป็นใคร เห็นเค้าชักดาบออกมา ผมก็วิ่งไปห้าม ท่าทางเค้าตกใจมากเลย พี่ชายยมทูตคนนั้นน่ะ.."
"..แล้วเค้าก็บอกว่าเค้าไม่ได้จะทำร้ายป้า เอ่อ วิญญาณที่ร้านมินิมาร์ทนั่นน่ะ เค้าแค่จะส่งไปสู่สุคติ.."
"ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นพวกเรามาก่อนสินะ" ลูเคียถาม
"อื้อ.. ไม่เคยเห็นมาก่อน เห็นแค่วิญญาณทั่วๆไป พอผมถามว่าพี่เค้าเป็นใครกันแน่ เค้าบอกว่าเค้าเป็นยมทูต"
คำตอบทำเอาลูเคียหวั่นใจ ฟังเรื่องจากเบียคุยะแล้วรู้สึกคล้ายกับว่าจู่ๆพลังเขาก็เพิ่มขึ้น เพิ่มจนกระทั่งมองเห็นยมทูตได้ แล้วเธอนึกถึงงานที่ถูกสั่งมา คำสั่งที่ว่าให้มาสืบหาต้นตอของฮอลโลว์ที่ดูเหมือนจะเริ่มเพิ่มจำนวนในช่วง สองเดือนที่ผ่านมา
ช่วงเวลาก็สอดคล้องกัน..
เป็นไปได้ว่าฮอลโลว์พวกนั้น ถูกพลังวิญญาณเขาดึงดูดมา.. คล้ายๆกับกรณีของอิจิโกะเมื่อหลายสิบปีก่อน..
และถ้าข้อสันนิษฐานนี้ถูกต้อง.. เธอจะทำอย่างไรกับเขาดี?
เขายังเด็กเกินกว่าจะดูแลตัวเองได้ ไม่เหมือนอิจิโกะ
เธอควรจะจัดการเรื่องนี้ยังไง??
"แล้วที่ว่า เธอจะไปลาเจ้าหนุ่มริมหาดนั่นล่ะ"
เบียคุยะน้อยไหวไหล่เบาๆ ก่อนจะหันมาถามคำถามแทนที่จะตอบคำถามที่ลูเคียถาม "พี่สาวจะอยู่ที่โอกินาว่านี่อีกนานไหม"
เธอส่ายศีรษะ "ไม่หรอก อีกแค่ครึ่งเดือนน่ะ" แม้จะแปลกใจที่เขาไม่ตอบคำถามเธอ แต่เธอก็ตัดสินใจไม่ซักไซ้
"แล้วก็จะมีคนใหม่มาแทนสินะ"
"ใช่แล้วล่ะ"
"แต่ผมจะไม่อยู่แล้วล่ะ" เสียงนั้นบอกเนือยๆ ราวกับมันเป็นเรื่องปกติของตัวเอง "ผมจะอยู่ที่นี่ถึงแค่วันพรุ่งนี้ แล้วก็จะย้ายไปอยู่ที่อเมริกา"
"ง..งั้นเหรอ..ฟังดูน่าสนุกออก" พูดไปทั้งที่ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
..นี่ข้ากำลังคาดหวังอะไร??..
..ข้าหวังว่าจะได้เจอเขาทุกวันจนกว่าข้าจะกลับโซลโซไซตี้งั้นรึ??..
..นี่ข้ากำลังจะเอาตัวไปผูกพันกับมนุษย์อีกแล้วรึ??..
..ไม่สิ เขาไม่ใช่แค่มนุษย์นะ.. เขาคือท่านพี่นะ..!?
..ไม่ใช่ๆ เขาไม่ใช่ท่านพี่อีกแล้ว..
..ไม่ใช่..
..ไม่ใช่..
..ไม่ใช่..
..ไม่ใช่อีกแล้ว!..
"ไม่สนุกซักนิด งานของพ่อ ทำให้เราต้องย้ายบ้านกันบ่อยๆ.. " เบียคุยะบอก แต่ปิดความไม่พอใจเอาไว้ไม่มิด เธอฟังดูก็พอจะรู้ได้ว่าเขาไม่ชอบการย้ายไปย้ายมาแบบนี้เอาเสียเลย "ผมมาอยู่ที่นี่ได้แค่ปีเดียวเอง ก็จะย้ายกันอีกแล้ว น่าเบื่อจะตาย"
"แต่อย่างน้อยก็ได้อยู่กับครอบครัวนะ"
เบียคุยะหันมองหน้าเธอ เขาถามซื่อๆ "พี่สาวมีครอบครัวหรือเปล่า"
ถามได้แทงใจดำขนาดนั้น ลูเคียรู้สึกราวกับโดนเข็มนับร้อยแทงอก ได้แต่ฝืนยิ้มแห้งๆตอบ "มีสิ"
..'เคย' มีต่างหาก..
หญิงสาวย่อตัวลง พยายามไม่ร้องไห้ เธอคว้ามือเล็กมากุมไว้
"เธอโชคดีนะ รู้ตัวหรือเปล่า อย่างน้อยก็ยังมีครอบครัวที่อยู่กันพร้อมหน้า"
..ใช่..
..ครอบครัวของท่าน.. ที่ไม่มีข้าอยู่ในนั้น..
"อืม ผมรู้ ผมก็พูดไปอย่างนั้นแหละ แม่น่ะขี้บ่น แต่ก็ใจดีที่สุด ทำเค้กก็อร่อย ส่วนพ่อ..ถึงจะเอาแต่ทำงาน แต่ก็สอนการบ้านผมทุกวัน"
"ดีแล้วล่ะ" แสร้งปั้นยิ้มออกมา พยายามบอกตัวเองว่าเขามีครอบครัวที่ดีพร้อมแล้ว
"เข้าบ้านเถอะ เถลไถลแบบนี้ แม้เค้าเป็นห่วงเอาได้" ลูเคียบอกอย่างอ่อนโยน แอบใจหายที่จะต้องถึงเวลาจากลา แต่เธอก็ไม่อาจฉุดรั้งเขาไว้ได้ เพราะเขาไม่ใช่คนของเธออีกต่อไปแล้ว
..ข้าเกลียดการบอกลา..
..ไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตายก็เถอะ..
..ข้าเกลียดมันทั้งหมดนั่นแหละ..
"งั้นผมจะเข้าบ้านแล้วนะ" เบียคุยะน้อยทำหน้าเศร้าๆ รู้สึกยังไม่อยากจะบอกลาสักเท่าไร
"จ้ะ พรุ่งนี้เดินทางปลอดภัยนะ.."
เบียคุยะหันมองหน้าลูเคีย จ้องอยู่นาน
"ผม.. " เด็กชายอ้ำอึ้ง ไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเอง ทั้งยังรู้สึกว่าแก้มตัวเองร้อนแปลกๆพิกล "ผมดีใจที่ได้เจอพี่นะ เอ่อ.." เขาเอามือเล็กๆนั่นเกาคางราวกับไม่รู้จะเอามือไปไว้ไหน "ถ้าได้เจอพี่อีกก็คงดี.."
พูดไปก็รู้สึกว่าตัวเองพูดอะไรไม่เข้าท่าเสียเลย แถมลูเคียยังมองเขาด้วยท่าทีแปลกๆอีก เลยคิดว่าเลิกพูดเสียดีกว่า เขาโบกไม้โบกมือพัลวัน แล้วก็ยิ้มกว้างจนตาหยี แก้มเป็นสีชมพูขึ้นมาเรื่อๆ "ผมไปดีกว่า บ๊ายบายครับพี่สาว"
"บ๊ายบายจ้ะ เบียคุยะ"
เด็กน้อยยิ้มกว้างจนเห็นฟัน ค่อยๆเดินจากไปพร้อมกับโบกมือหย็อยๆ
..แผ่นหลังเล็กค่อยๆไกลออกไป
ทิ้งไว้แต่เพียงร่างบางของลูเคียที่ยืนนิ่ง ปล่อยน้ำตาร่วงหล่นลงพื้น
"ลาก่อนนะคะ ท่านพี่.."
**********************************
มันยังเหลืออีกตอนนะค้าทุกท่าน!!
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น