+แหวนใบไม้ถัก+ - +แหวนใบไม้ถัก+ นิยาย +แหวนใบไม้ถัก+ : Dek-D.com - Writer

    +แหวนใบไม้ถัก+

    เรื่องราวของความรักครั้งแรกที่สูญหายไปจากความทรงจำของใครบางคน กับเธออีกคนที่ก้าวเข้ามาเพื่อฟื้นความทรงจำครั้งนั้นให้คืนมา....

    ผู้เข้าชมรวม

    314

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    314

    ความคิดเห็น


    10

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  2 เม.ย. 49 / 00:09 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      +แหวนใบไม้ถัก+ (MY FIRST LOVE IS ANGEL)

      -สุราษฎร์ธานี

               ร่างของชายหนุ่มผิวสีแทนกระวีกระวาดลุกพรวดคว้ากระเป๋าเดินทางสีเขียวแก่ที่วางข้างกาย มือขวาหยิบหนังสืออ่านเล่นเล่มหนาประมาณสี่ร้อยหน้าวิ่งเร็วรี่ลุกจากที่นั่งขณะที่รถไฟกำลังเคลื่อนตัว  เขาหลับจนเพลิน มารู้สึกตัวอีกทีก็เหมือนมีร่างบางๆของใครบางคนวิ่งมาชนที่ไหล่ของเขาเบาๆ

               เขากระโดดลงจากลำตัวของหนอนยักษ์ ขณะที่มันยังเคลื่อนตัวไปไม่เร็วนัก

               โดยอุบัติเหตุ  ร่างสูงใหญ่ของเขาเข้าชนที่ร่างสูงระหงของผู้หญิงคนหนึ่ง จนข้าวของหล่นกระจัดกระจายเต็มพื้น

               "ขอโทษครับ ขอโทษครับ ไม่ได้ตั้งใจ คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ"

               เสียงชายหนุ่มขอโทษขอโพย พลางรี่ก้มลงเก็บข้าวของที่หล่นกระจายอยู่ที่พื้นโดยไม่ได้แหงนหน้าขึ้นมาสบตากับผู้ถูกชนจนแว่นตากรอบบางแทบหลุดออกจากใบหน้าอันเรียวสวยได้รูป

               "ผมรีบน่ะครับเผลอหลับไป ดีที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก่อน ไม่งั้นต้องนั่งรถย้อนกลับมาอีก เสียเวลาแย่"

               ชายหนุ่มอธิบายถึงเหตุผลที่ทะเล่อทะล่าวิ่งพรวดลงมาจากรถไฟ จนชนกับหญิงสาวเป็นเหตุให้ข้าวของของเธอหล่นกระจายเต็มพื้น  ซึ่งข้าวของที่ว่าก็เห็นจะมีแต่กระดาษสาสีน้ำตาลกับดินสอไม้เก่าๆเต็มไปหมด

               เขาเหลือบไปเห็นหนังสืออ่านเล่นเล่มเดียวกับที่เขาถือมาตกอยู่บริเวณใกล้ๆกันด้วย

               ขณะนั้น  กลิ่นกายหอมๆก็ลอยมากระทบกับจมูกของชายหนุ่ม เป็นเวลาเดียวกันกับที่ร่างของหญิงสาวย่อตัวลงมารับของจากชายหนุ่ม

               "ไม่เป็นไรค่ะ"

               เสียงใสๆของเธอเอ่ยขึ้นสั้นๆ เสียงนั้นดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆที่ริมฝีปากอวบอิ่ม

               แวบแรกที่ชายหนุ่มหันขึ้นมาสบตากับเจ้าของเสียง  ความรู้สึกอันคุ้นเคยอย่างหนึ่งก็แล่นผ่านโสตประสาทของเขาเข้าอย่างจัง มันเข้ามาเพียงวูบ แล้วมันก็วิ่งผ่านไป 

               ใบหน้าเรียวงามนั้นสะกดเขาให้งันไปชั่วขณะ  ดวงตากลมโตที่ซ่อนไว้ภายใต้แว่นตากรอบบางเล็กๆนั้น ส่องประกายความอบอุ่นอันคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก

               เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเกิดความรู้สึกประหลาดๆนั้นขึ้นมา  ถึงสองครั้งติดๆในช่วงเวลาที่ห่างกันไม่ถึงเสี้ยววินาที

               "อ่านเรื่องนี้เหมือนกันหรือครับ?"

               เขาพูดไม่ค่อยเต็มเสียงนัก  พร้อมกับยื่นหนังสือในมือคืนเจ้าของ

               อยู่ๆมือไม้ก็สั่นเทาขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล

               "ค่ะ  เคยมีเพื่อนคนนึงแนะนำให้อ่าน  ไม่ซิ! อ่านให้ฟังตะหาก"

               "อ่านให้ฟังเลยเหรอครับ  ผมก็อ่านเหมือนกัน แต่เป็นรอบที่สามแล้วนะครับ"

               ชายหนุ่มยันกายขึ้นยืน พร้อมกับชูหนังสือในมือด้วยรอยยิ้มจริงใจ เผยให้เห็นเขี้ยวเล็กๆที่มุมปาก

               "โชคดีนะครับ"

               "ค่ะ ถ้ามีโอกาสเราอาจได้เจอกันอีกนะคะ"

               เสียงใสๆของหล่อน สะกิดให้หัวใจของชายหนุ่มเต้นผิดจังหวะอย่างไม่มีเหตุผล

               คนทั้งสองลาจากกันด้วยถ้อยคำตามมารยาทและรอยยิ้มของมิตรใหม่ที่ไม่มีการสานสัมพันธ์ต่อ

      -อ่าวบ้านดอน

               "ลุงครับ ผมจะไปเกาะนางยวนจะต้องนั่งเรือลำไหนไปครับ?"

               เสียงทุ้มลึกของชายหนุ่ม สอบถามไปยังชายวัยกลางคน ผมบนศีรษะปรากฏสีขาวเป็นหย่อมๆ  ขณะนั้นแสงของอาทิตย์อัสดงกำลังสวยงามทีเดียว

               "เรือที่วิ่งระหว่างเกาะน่ะหมดแล้วล่ะพ่อหนุ่ม  ถ้าจะไปเอ็งก็ต้องเหมาเรือหางยาวไปนะ"

               เสียงที่เกือบแหบแห้งของชายวัยกลางคน ส่งสำเนียงชัดว่าเป็นคนท้องถิ่น

               "ว้า...แล้วถ้าผมจะเหมาเรือไปเกาะนางยวน จะต้องจ่ายเท่าไหร่น่ะลุง"

               "ร้อยนึง แต่ข้าแนะนำให้เอ็งนั่งรอหาเพื่อนร่วมทางช่วยกันหารสองหารสามจะประหยัดกว่า"

               ชายหนุ่มยืนไตร่ตรองคำแนะนำของลุงผมขาวอยู่ครู่ ก็มีเสียงใสๆ ดังแทรกห้วงความคิดของเขาขึ้นมา

               "ลุงจ๊ะ เหมาเรือไปเกาะนางยวนเท่าไหร่จ๊ะ?"

               ชายหนุ่มหันไปทางเจ้าของเสียงใสๆเมื่อครู่  ก็ร้องออกมาตาโต

               "อ้าว!คุณ"

                "เฮ้ ! คุณคนที่ตกรถไฟนี่นา"

               "บังเอิญจัง"

               "ใช่ บังเอิญจริงๆ"

               คนทั้งสองยืนอมยิ้มซ่อนความประหลาดใจเอาไว้อย่างนั้น

               "นี่ไง พ่อหนุ่ม หุ้นส่วน  จะไปเกาะนางยวนกันไม่ใช่เหรอ?"

               "นี่คุณก็จะไปเกาะนางยวนเหมือนกันเหรอเนี่ย?"

               หญิงสาวร้องถามด้วยน้ำเสียงที่ยังประหลาดใจในความบังเอิญไม่หาย

               "ครับ  กำลังรอหุ้นส่วนช่วยแชร์ค่าเรือพอดี"

               ทั้งสองหัวเราะเบาๆในความพิสดารของโชคชะตา

               กระเซ็นน้ำเย็นๆของทะเลสีคราม เกราะพราวอยู่ที่เลนส์แว่นกรอบบาง  เจ้าของแว่นถอดออกมาเช็ดด้วยผ้าเช็ดหน้าสีเขียวอ่อนราวกับสีของใบไม้

               "นี่ถ้ารู้ว่ามาที่เดียวกันอย่างนี้ ทำความรู้จักกันตั้งแต่อยู่บนรถไฟนั่นแล้ว"

               หญิงสาวเอ่ยขึ้น ขณะที่มือก็สาละวนอยู่กับแว่นตา

               ยามที่หญิงสาวไม่ได้ใส่แว่น เธอมีใบหน้าคล้ายกับใครซักคนที่เขาเคยรู้จัก  แต่กลับนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก

               "นั่นน่ะซิ  ซ้ำยังอ่านหนังสือเรื่องเดียวกันอีก ถ้าเรารู้จักกันตั้งแต่บนรถไฟ ผมก็คงไม่ต้องหลับจนเกือบเลยสถานีแน่"

               หญิงสาวหัวเราะเสียงใสพร้อมยกแว่นที่เช็ดจนเรี่ยมขึ้นมาสวม

               "คุณต้องไม่รู้แน่เลยว่าฉันน่ะนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับคุณ  ซ้ำฉันยังเดินชนคุณจนเต็มแรงตอนจะลงรถด้วยซ้ำ"

               "มิน่าล่ะ ผมถึงรู้สึกเหมือนมีใครมาชน ที่แท้ก็คุณนั่นเองแต่ก็ต้องขอบคุณเพราะมันทำให้ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาทันก่อนที่รถไฟจะออก"

               "อย่างนี้เค้าเรียกว่า บุพเพสันนิวาส"

               เสียงแหบๆสำเนียงใต้ๆของลุงโชเฟอร์เรือหางยาวแซวขึ้นด้วยอารมณ์ครึกครื้น  โดยหารู้ไม่ว่าผู้ถูกแซวบัดนี้แก้มทั้งสองข้างของคนทั้งสอง แดงระเรื่อราวกับลูกมะเขือเทศที่กำลังสุกได้ที่ทีเดียว

              

       -เกาะนางยวน

               ไม่ถึงสิบห้านาที  เรือหางยาวที่บรรทุกชายหญิงจากเมืองกรุงก็จอดเทียบท่าริมฝั่งของเกาะเล็กๆที่มีชื่อว่า "เกาะนางยวน"

               เกาะนางยวนอยู่เคียงข้างกับเกาะเต่า  เสียงคลื่นกระทบหาดดังแทบไม่ขาดระยะ น้ำใสราวกระจกมองเห็นฝูงปลาได้ชัดเจน ซ้ำที่เกาะแห่งนี้ยังมีมาตรการเข้มงวดมากเกี่ยวกับขยะพลาสติก  หาดทรายสีขาวจึงสะอาดสะอ้านโล่งตาผิดกับทะเลทั่วไปที่มักเต็มไปด้วยเศษขยะของคนมักง่าย  ทั้งสองเดินเคียงคู่กันไปบนสะพานไม้ที่ทอดจากจุดจอดเรือไปยังหาดทรายของเกาะสวรรค์  โดยมีชายหนุ่มเป็นบริกรหอบหิ้วสัมภาระของหญิงสาวให้

               "คุณมาทำอะไรที่นี่คะ  พักผ่อนหรือว่าหนีรัก?"

               เสียงซักของหญิงสาวทำเอาชายหนุ่มสะอึกกับประโยคหลัง

               "ถ้าหากหนีพ้นก็คงดีนะครับ แล้วคุณล่ะ..หนีรักมาเหมือนกันหรือเปล่า?"

               "มาตามหารักต่างหากล่ะ"

               เธอพูดพลางหันมายิ้มหวานๆให้กับผู้ถาม แต่ผู้ถูกลอบมองกลับไม่รู้ตัว

               "เอ้อ! โม้กันมาตั้งนาน ผมกับคุณยังไม่รู้จักชื่อกันเลย ผมชื่อ ไพรวัลย์นะแต่เรียกผม ไม้ ก็ได้ชื่อเล่นผมเอง"

               "ไม้อะไรคะ ไม้จิ้มฟันหรือไม้ตีพริก"

               หญิงสาวแซวอย่างอารมณ์ดี ฝ่ายชายก็หัวเราะร่าไม่มีท่าทีโกรธเคืองแม้แต่น้อย

               "ฉันชื่อ อรสา ค่ะ เรียก สา เฉยๆก็ได้"

               "สาหัสหรือสาแก่ใจล่ะครับ"

               ฝ่ายชายแก้ลำด้วยไหวพริบที่ดีไม่หยอก เรียกเสียงหัวเราะใสๆจากผู้ถูกแซวได้เช่นกัน

               ทั้งสองเดินทอดน่องกันเอื่อยๆไปตามสะพานหาด  เหตุที่เรียกว่าสะพานหาดก็เพราะบริเวณนี้เป็นทางเดินหาดทรายซึ่งเชื่อมผืนดินบนเกาะนางยวนทั้งสามส่วนเข้าไว้ด้วยกัน(ชาวบ้านเรียกกันว่า สามเส้า)  ทางเดินหาดทรายทอดผ่านทะเล  สองข้างซ้ายขวาจึงขนาบไปด้วยทะเลสีคราม(ลุงโชเฟอร์เรือหางยาวแกบอกว่า ถ้าหากน้ำขึ้นสะพานหาดก็จะจมหายไปกับน้ำทะเล)

               "แล้วคืนนี้คุณไม้ตีพริกจะไปนอนไหนล่ะคะ?"

               "ก็คงจะหาบังกะโลที่ถูกที่สุดล่ะครับ  ทำไงได้งบมีจำกัด"

               "หวังว่าเช้ามา ฉันคงไม่เห็นคุณนอนที่ชายหาดนี่เพราะไม่มีเงินค่าห้องพักหรอกนะคะ"

               ทั้งสองพูดคุยกันอย่างถูกคออีกซักพัก ก็แยกย้ายกันไปคนละฝั่งของหาด

               ทุกวินาทีที่ชายหนุ่มอยู่ใกล้กับหญิงสาว เขามีความรู้สึกราวกับว่าได้อยู่ใกล้ชิดกับคนรู้ใจที่จากกันไปนาน  ทุกกลิ่นกายของหญิงสาวที่กระทบกับโสตประสาทการรับกลิ่นของเขา เหมือนกับกลิ่นที่เขาเองคุ้นเคยและหลงใหล  เพียงแต่ความทรงจำอันรางเลือนนี้มันยังไม่ปรากฏชัดเจนเป็นรูปเป็นร่างให้พอนึกได้ก็เท่านั้นเอง

               หลังจากเดินสำรวจราคาของห้องพักบนเกาะนางยวนอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาก็ไม่ได้ตกลงปลงใจกับสถานที่พักบริการที่ใดซักที่  นอกจากหาดทรายสีขาวที่บัดนี้ถูกย้อมไปด้วยแสงจันทร์อ่อนๆ

               ชายหนุ่มทอดกายลงบริเวณโขดหินริมหาดราวกับเป็นเจ้าของ ใช้กระเป๋าเป้สีเขียวหนุนหลังหยิบขวดน้ำพลาสติกของต้องห้ามสำหรับเกาะนางยวน ขึ้นมาดื่มดับกระหายอึกใหญ่ก่อนจะปิดฝาแล้วเก็บเข้ากระเป๋าคู่กายตามเดิม  เอนกายครึ่งนั่งครึ่งนอนมองดูดาวบนท้องฟ้าที่ถูกแสงจันทร์กลบรัศมี พลางคิดอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อยเปื่อย

               และหนึ่งในเรื่องเรื่อยเปื่อยของเขา ก็มีเรื่องของสาวแว่นเสียงใสที่เจอะเจอกันอย่างบังเอิญอีกด้วย

               เขาพยายามนึกจนปวดสมอง แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออกว่าเขาเองเคยเจอกับเธอที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า  และยิ่งปวดหัวหนักขึ้นไปอีก เมื่อคิดไม่ออกว่าทำไมเสียงของหัวใจมันกลับเต้นระส่ำเมื่ออยู่ใกล้ๆกับเธอ ซ้ำยังรู้สึกคุ้นเคยกับหล่อนอย่างบอกไม่ถูกอีกด้วย

               และเหมือนกับหล่อนเดินออกมาจากห้วงความคิดของเขา ร่างสูงระหง ผมซอยละประบ่าสีดำเป็นเงาดูน่าลูบไล้เมื่อกระทบกับแสงจันทร์ แว่นตากรอบบางซ่อนดวงตาแจ่มใสไว้ข้างใน ร่างนั้นยืนกอดอกจ้องมองเขา

               "ไหงคุณไม้ตีพริกมานอนเหยียดยาวอยู่ที่หาดนี่ซะหล่ะคะ  ก็ไหนคุณว่าจะไปหาบังกะโลถูกๆไง"

               " ก็มันไม่ถูกซักที่เลยนี่ครับ คุณสาหัส"

               ชายหนุ่มยันกายนั่งอย่างเต็มตัว มือกอดเข่าพลางตบที่พื้นทรายเบาๆ เป็นการเชื้อเชิญอีกฝ่าย

               "เชิญครับ  ขอต้อนรับสู่บังกะโลริมหาดขนานแท้ของนายไม้ตีพริก จะนั่งพักชั่วคราวหรือทั้งคืนก็ได้ไม่เสียเงินครับ"

               "ต้องเปิดประตูก่อนหรือเปล่าคะนี่?"

               "แน่นอนครับ ไม่อย่างนั้นจะเข้ามาได้ยังไงล่ะครับ"

               หญิงสาวขยับแว่นตานิดนึงพยายามซ่อนรอยยิ้ม  พลางทำมือจับลูกบิดประตูในอากาศที่ว่างเปล่า พาร่างบางๆเข้ามาในเขตสมมุติ โดยไม่ลืมที่จะหันไปปิดประตูอากาศ

               "ฮะ ฮะ ฮะ คุณนี่ก็บ๊องเอาเรื่องเหมือนกันนะเนี่ย"

               ชายหนุ่มหัวเราะ ในท่าทางสมมุติของหญิงสาว ไม่นึกว่าหล่อนจะบ้าจี้ไปกับเขาด้วย

               หญิงสาวนั่งลงข้างๆชายหนุ่ม ในท่าขัดสมาธิ

               "บังกะโลริมหาดของคุณลมเย็นกว่าห้องที่ฉันเช่าอยู่อีก"

               "แน่หละ  ก็ผมเปิดหน้าต่างทิ้งเอาไว้นี่นา"

               หญิงสาวหัวเราะร่าในความอารมณ์ดีของเขา ขณะที่รอยยิ้มยังไม่จางจู่ๆหญิงสาวก็หันหน้าไปถามชายหนุ่ม

               "คุณมีรักครั้งแรกตอนอายุเท่าไหร่น่ะ พอจะจำได้ไหม?"

               "จำได้ซิ  จำได้ดีด้วย"

               ใบหน้าของชายหนุ่มดูปีติ เมื่อพูดถึงรักแรก

               "เล่าให้ฉันฟังบ้างได้มั้ย?"

               "อยากฟังเหรอครับ เรื่องมันออกจะประหลาดไปซักหน่อยนะ"

               หญิงสาวทำหน้าตื่นเต้น แววตาภายใต้กรอบแว่นส่องประกายความอยากรู้

               "อยากฟังซิ ไม่อยากฟังจะซักเหรอ"

               "สัญญาก่อนว่า ระหว่างที่ผมเล่าให้คุณฟัง ห้ามขัดไม่ว่ามันจะแปลกแค่ไหน ห้ามซักจนกว่าผมจะเล่าจนจบ"

               "แล้วห้ามไม่เชื่อด้วยหรือเปล่าคะ"

               "อันนี้แล้วแต่ผู้ฟัง"

               ตกลงกันอยู่ครู่ ชายหนุ่มก็จ้องมองไปที่ดวงจันทร์กลมโตที่อยู่สุดขอบน้ำ

      -ริมหาดบนเกาะนางยวน ประมาณเที่ยงคืน

               ย้อนกลับไปเมื่อซักประมาณสิบห้าปีก่อน ผมเป็นเด็กบ้านนอกขนานแท้และดั้งเดิมทีเดียว บ้านของผมอยู่แถบชานเมืองของจังหวัดสุพรรณบุรี ถึงกระนั้นแทนที่ผมจะเข้าไปเที่ยวเล่นในตัวเมืองเหมือนเด็กคนอื่นทั่วไป ผมกลับชอบปีนป่ายวิ่งเล่นในสวนหลังบ้านซะมากกว่า  และที่นั่นก็ทำให้ผมพบกับรักแรก

               ตอนนั้นผมก็อายุประมาณเก้าขวบสิบขวบเท่านั้นเอง ผมมักจะชอบปีนขึ้นไปนั่งฝึกอ่านหนังสือและแหกปากร้องเพลงจนลั่นสวนบนต้นไม้ใหญ่ต้นนึง ซึ่งผมถือว่าตัวเองเป็นลูกไพร จะเข้าจะออกจากสวนก็ต้องยกมือไหว้ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นก่อนทุกครั้ง ราวกับว่าต้นไม้ต้นนั้นเป็นเจ้าสวนเลยทีเดียว  แล้ววันนึงขณะที่ผมกำลังนั่งร้องเพลงอยู่บนคาคบของต้นไม้ต้นนั้น ก็ปรากฏร่างของเด็กสาวผิวขาวผมยาวประบ่าคนหนึ่งร้องทักผม

               "นี่เธอ ! ทำไมวันนี้ไม่เอาหนังสือมาอ่านล่ะ? กำลังสนุกทีเดียว"

               ผมตกใจจนแทบจะตกจากต้นไม้ โชคดีที่มือตุ๊กแกของผมเหนี่ยวกิ่งของมันเอาไว้ได้

               "ไม่มีเงินซื้อ กำลังเก็บอยู่  แล้วเธอเป็นใครน่ะ?มายุ่งอะไรกับเราด้วย เราจะอ่านหรือไม่อ่านยังไงก็ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับเธอซักนิด"

               ผมตะโกนตอบไปยังร่างเล็กๆของเด็กสาวที่นั่งไกวชิงช้าเถาวัลย์ที่เกิดจากฝีมือของจากธรรมชาติด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยเป็นมิตรนัก

               ทำไมน่ะเหรอ? คงเพราะเหมือนผมกำลังจะโดนแย่งชิงผืนแผ่นดินที่ผมเป็นจ้าวอยู่ละมั้ง

               "ฉันเป็นใครน่ะเหรอ? ฉันก็เป็นลูกไพรขนานแท้ล่ะซิยะ  ไม่ใช่มาอวดอ้างตั้งตนเป็นจ้าวแห่งสวนอย่างคนขี้ตู่บางคน"

               "นี่เธอ ! คนบางคนที่เธอว่าน่ะ หมายถึงใคร?"

               ผมยังจำใบหนาอันทะลึ่งทะเล้นของเด็กหญิงที่เป็นศัตรูของผมคราวนั้นได้เป็นอย่างดีทีเดียว  เธอลอยหน้าลอยตาทำปากเบี้ยว พูดด้วยเสียงที่จีบปากจีบคอชวนหมั่นไส้ที่สุด

               "เถียงกันอยู่สองคน ยังบื้อไม่รู้ตัวอีก"

               คำว่าบื้อนั่นแหละที่ทำให้ผมกระโจนลงมาจากคาคบของต้นไม้ใหญ่อย่างรวดเร็ว

               "นี่ถ้าเธอเป็นผู้ชายนะ เราซัดหน้าหงายไปแล้ว"

               แน่ะ ! ยังจะมาลอยหน้าลอยตาทำหูทวนลมอีก  ทำเอาผมฟิวส์ขาดใช้มือจับชิงช้าเถาวัลย์แล้วกระชากเธอลงมาจากเครื่องเล่นป่าอย่างหัวเสีย  แต่ก็นั่นแหละ ยัยนั่นก็ยังปั้นหน้ายียวนเหมือนเดิม

               "ก็ลองดูซี่ เราจะได้ฟ้องพ่อเราให้หวดก้นนายให้ช้ำเลยทีเดียว"

               "ขี้ฟ้อง"

               "ขี้ตู่"

               อีกแล้ว หล่อนทำผมของขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมพยายามระงับอารมณ์ให้เป็นปกติ

               "เธอเป็นใคร?เราถามเธอครั้งที่สองแล้วนะ"

               "บอกไป นายจะเชื่อฉันไหมล่ะ?"

               "เราตัดสินใจเองได้ว่าจะเชื่อหรือเปล่า"

               "ฉันเป็นนางไม้"

               คำตอบของยัยนั่นทำเอาผมหัวเราะลั่น แต่เธอไม่ยักตลกไปกับผมด้วย ค้อนผมประหลับประเหลือก

               "มันตลกมากนักเหรอไง  ไอ้ต้นที่เธอนั่งร้องเพลงยังกับวัวคลอดลูกทุกวันนั่นน่ะ บ้านของฉัน  แล้วไอ้ที่เธออ่านหนังสือออกเสียงทุกวันนั่นน่ะ พวกเราพ่อลูกที่อยู่ในต้นไม้น่ะฟังกันทุกวัน  ซ้ำยังรอนายมาอ่านให้ฟังอีกด้วย"

               "ถ้าแน่จริงเธอก็พิสูจน์ให้เราเห็นก่อนซิ เราถึงจะเชื่อ"

               ผมจำได้ว่าท้าหล่อนทั้งที่ยังหัวเราะจนน้ำตาเล็ด  แต่แล้วน้ำตาผมก็เล็ดหนักกว่าเดิมเมื่อจู่ๆ ยัยนั่นก็เดินหายวับเข้าไปในต้นไม้ใหญ่ที่เธอเรียกว่าบ้าน

               ผมขยี้ตาแรงๆหลายครั้ง พลางบอกกับตัวเองว่า แค่เผลอหลับ แค่ฝันไป  แต่แล้วยัยนั่นก็โผล่แค่ส่วนหัวออกมาจากต้นไม้นั่น  ผมจำได้ว่าเล่นเอานักเลงโตหลังสวนอย่างผมลมจับทีเดียว

               ผมมารู้สึกตัวอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองนอนแผ่สองสลึงอยู่ข้างๆต้นไม้ต้นนั้นซะแล้ว ใบหน้าของชายแก่ในชุดขาวกับหน้าทะเล้นของยัยเด็กผีนั่นเป็นภาพแรกที่ผมเห็นเมื่อลืมตาตื่นจากฝันร้าย

               เหมือนมาเจอกับฝันร้ายที่ร้ายกว่า

               "ไม่ต้องกลัวหรอกไอ้หนู  ฉันกับเพื่อนๆในสวนนี้น่ะเอ็นดูเจ้าจะตายไป"

               "เอ็นดู?"

               จากนั้นผมกับเทพารักษ์ นางไม้ในสวนที่ผมเองก็ไม่คิดว่าจะมีจริงๆในโลกนี้ ก็สนิทสนมกัน พวกเขาชอบให้ผมอ่านหนังสือให้ฟัง ชอบที่จะให้ผมร้องเพลงให้ฟัง ชอบที่จะให้ผมปีนป่ายที่อยู่ของพวกเขา

               ครั้งนั้นเองผมจึงรู้สึกว่า ผมนี่แหละราชาแห่งสวนหลังบ้านตัวจริง

               ผมกับยัยนางไม้ตัวเล็กนั่น ก็เริ่มสนิทสนมกันมาก จนแทบจะตัวติดกันทีเดียว ผมรีบกลับจากโรงเรียนก็เพื่อที่จะรีบไปเที่ยวเล่นในสวน ที่ที่ผมเปรียบเสมือนราชาตัวน้อย และมีราชินีแห่งพงไพรเคียงข้าง

               มีอยู่ครั้งนึง เพื่อนของพ่อจะมาตัดต้นไม้ใหญ่ที่ยัยนั่นอาศัยอยู่จะเอาไปขายให้คนในเมือง  ผมขัดขวางสุดชีวิต ทั้งขโมยเลื่อยไปทิ้ง  ทั้งให้หมาไล่กัด ทั้งปิดประตูบ้านไม่ให้เข้า ซ้ำยังเอากุญแจรถไปซ่อนอีกต่างหาก จนกระทั่งเพื่อนของพ่อต้องถอยทัพยอมแพ้โดยศิโรราบ

               แล้ววันแห่งการพลัดพรากก็มาถึง  เมื่อพ่อได้รับคำสั่งให้ย้ายเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ พ่อจึงต้องย้ายบ้าน ผมจึงต้องย้ายโรงเรียน โดยยัยนางไม้ตัวเล็กนั่นให้แหวนใบไม้ถักนี่ไว้กับผม  ผมใส่ไม่เคยปล่อยให้ห่างจากตัวเลย ก่อนจากกันยัยนั่นจุมพิตที่แก้มป่องๆของผมเบาๆทีนึงด้วย  ผมยังจำความรู้สึกนั้นได้ไม่ลืม

               "นายอย่าลืมเรานะ  แวะมาหาเราบ้าง เราจะรอนายมาอ่านหนังสือให้เราฟังอีก"

               ทั้งๆที่ผมก็ให้คำสัญญากับยัยนั่นอย่างดิบดี แต่แสงสีของเมืองกรุงมันกลับย้อมความเป็นลูกไพรของผมซะจนหมดเกลี้ยง  จากวันนั้นผมก็ไม่เคยกลับไปที่นั่นอีกเลย  ทิ้งวันวานดีๆให้เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าที่ไม่มีใครเชื่อ

               "ตลกใช่มั้ยล่ะ  ผมบอกคุณแล้วว่ามันประหลาดและผมเองก็ไม่ได้บังคับให้ใครเชื่อด้วย  ผมเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเค้าก็หาว่าผมกุเรื่องทั้งๆที่ผมก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการโกหกเลย ซ้ำยังมีแต่จะขายหน้าและตอกย้ำความรู้สึกผิดของผมที่มีต่อยัยนางไม้นั่นด้วยซ้ำ....แต่ทุกครั้งที่ผมได้พูดได้เล่าเรื่องนี้ออกไป  ผมกลับมีความสุขและทุกครั้งที่ได้เล่าก็เหมือนกับได้กลับไปยืนข้างๆยัยเด็กผีนั่นอีกครั้ง หลายครั้งนะที่ผมคิดเล่นๆว่านางไม้อย่างยัยนั่นน่ะเมื่อเวลาผ่านไปอย่างนี้ ตัวจะโตขึ้นหรือเปล่าหรือว่ายังตัวกะเปี๊ยกเท่าเดิม"

               "แล้วทำไมคุณถึงไม่กลับไปหาเธอบ้างล่ะคะ"

               น้ำเสียงของผู้ถามสั่นเครือ ราวกับจะร้องไห้

               "ผมไม่กล้าหรอก  ผมผิดสัญญากับเธอ ผิดสัญญากับเพื่อนๆป่าของผม"

               "คุณเคยคิดถึงเธอบ้างหรือเปล่าคะ"

               "ตลอดเวลา....ทุกครั้งที่มองแหวนในมือ  ผมรู้สึกเหมือนเธอมาอยู่ข้างๆผมทุกครั้ง"

               หญิงสาวที่นั่งฟังเรื่องรักครั้งแรกสุดพิสดาร  ถอดแว่นออก เอามือปิดหน้า ปล่อยโฮออกมาจนชายหนุ่มหันมามองด้วยความพิศวง

               "คุณ.....เป็นอะไรรึเปล่าครับ"

               หญิงสาวยังคงนั่งสะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้น  หากจะมองว่าเธอเสแสร้งเพื่อเอาใจเขาก็ไม่น่าใช่

               ความรู้สึกของเขาบอกอย่างนั้น

               "อยากฟังเรื่องรักครั้งแรกและครั้งเดียวของฉันบ้างมั้ยคะ"

               หล่อนเงยหน้าขึ้นมา คราบน้ำตาเกาะพราวเต็มแก้มขาวนวลทั้งสองข้าง

               ใบหน้าของเธอยามไร้แว่นตานั้นช่างดูงดงามราวกับเทพธิดา  นัยน์ตาที่สุกสกาวของหล่อนเมื่อมองเต็มๆโดยไม่มีแว่นตามากั้นกลางนั้น  ช่างเหมือนนัยน์ตาคู่เก่าที่คุ้นเคย

               ชายหนุ่มจ้องตะลึงอยู่เช่นนั้น

               "คุณคะ....คุณคะ"

               เสียงของเธอปลุกเขาให้ตื่นจากการถูกสะกด

               "คุณอยากจะฟังรักครั้งแรกและครั้งเดียวของฉันบ้างมั้ยคะ"

               "ดีครับ จะได้เท่าเทียมเสมอกัน"

               หญิงสาวค่อยๆเขยื้อนร่างบางๆเข้ามาที่ชายหนุ่ม  หันหน้ามาสบกับสายตาของเขาที่มองด้วยความงุนงง กลิ่นกายของสตรีเพศปั่นป่วนหัวใจของชายหนุ่มแทบกระเจิง  หญิงสาวค่อยๆเลื่อนใบหน้าเรียวงามเข้ามาใกล้  ใกล้เสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของแต่ละคน  ริมฝีปากที่อวบอิ่มของหล่อนอยู่ใกล้กับริมฝีปากของเขาเพียงปลายเล็บ

               เพียงเสี้ยววินาที ริมฝีปากของคนทั้งสองก็ประกบชิดติดกัน ทั้งคู่หลับตาพริ้ม เสียงลมหายใจของกันและกันวิ่งผ่านโสตประสาทของเขาและเธอ

               ในวินาทีที่ริมฝีปากของเขาและเธอแนบชิดติดราวกับจะกลืนกินกันและกัน  ภาพของเด็กหญิงผมยาวประบ่าในท่านั่งเหงาหงอยอยู่ที่ชิงช้าเถาวัลย์ ก็ถูกถ่ายทอดจากความทรงจำของหญิงสาวไปสู่ความทรงจำของชายหนุ่ม ราวกับการฉายภาพยนตร์

               

               "เข้าบ้านเถอะลูก  เจ้าหนุ่มนั่นน่ะคงไม่มาหรอก  ป่านนี้คงหลงแสงสีในเมืองจนลืมพงไพรไปหมดแล้ว"

               "ไม่หรอกพ่อ  นายนั่นบอกว่าจะมาก็ต้องมา เขาไม่เคยผิดสัญญา"

               ภาพนั้นปรากฏอยู่ที่ชิงช้าเถาวัลย์นั่นทุกวัน  นัยน์ตาแห่งการรอคอยดูหดหู่ลงทุกวัน

               จากวันเป็นเดือน

               จากเดือนเป็นปี  นางไม้ตัวเล็กที่ตอนนี้โตเป็นสาวสวยก็ยังคงนั่งรอคอยอยู่ที่นั่นเช่นทุกวัน  นั่งลูบคลำแหวนใบไม้ถักที่หล่อนทำมาเป็นคู่  อยู่อย่างเหงาหงอยเช่นนั้น

               ไร้ซึ่งรอยยิ้มนานแรมปี  ไร้ซึ่งความร่าเริงนานแรมเดือน  ทุกลมหายใจเข้าออก คิดถึงชายหนุ่มผู้เป็นรักแรกอยู่ทุกขณะจิต

               จากนั้นภาพของหญิงสาวอีกคนที่ประพิมพ์ประพรายคล้ายนางไม้คนงาม ก็ปรากฏขึ้น

               หญิงสาวคนนั้นปฏิบัติต่อป่าเล็กๆแห่งนั้นเฉกเช่นกับที่ชายหนุ่มเคยทำ  ร้องเพลง อ่านหนังสือ  อ่อนโยนกับต้นไม้ใบหญ้าราวกับเทพธิดาแห่งพงไพรเล็กๆนั้น

               อีกไม่นานภาพของชายฉกรรจ์สี่ห้าคนก็ปรากฏขึ้นเช่นกัน  ในมืออันกำยำถือเลื่อยไฟฟ้าขนาดเขื่อง

               เสียงของใบเลื่อยราวกับเสียงมัจจุราชที่มาร้องเรียกนางไม้คนสวยกับพ่อของเธอ

               ถึงเวลาที่พ่อลูกเทพารักษ์ต้องไปจุติ  นางไม้คนงามร้องขอเวลาจากผู้มารับเพื่อกลับไปหาคนรัก

               รักแรกและรักเดียวของเทพธิดาแห่งพงไพร  ถึงแม้จะมีเวลาเพียงแค่วันเดียวก็ยังดี

               นางไม้คนงามได้มีเนื้อหนังมังสาเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป  หล่อนเฝ้าตามชายหนุ่มตั้งแต่สถานีรถไฟที่กรุงเทพฯ

               นั่งพินิจชายหนุ่มผู้เป็นรักแรกตลอดเวลาที่รถไฟขับเคลื่อนโดยที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย

               หล่อนแทบจะโผเข้ากอดชายหนุ่ม ทันทีที่เห็นเขายังรักษาสัญญาด้วยการสวมแหวนใบไม้ถักที่นิ้วนางอยู่

               หล่อนแกล้งเดินชนเพื่อปลุกเขาให้ตื่นก่อนที่รถไฟจะออก

               หัวใจของมนุษย์ที่นางมีในตอนนั้นแทบจะทะลุออกมาจากอก เมื่อได้คุยกับรักแรกของเธออีกครั้งที่สถานีรถไฟที่สุราษฎร์ฯ

               หล่อนลอบตามชายหนุ่มไปที่อ่าวบ้านดอนเพื่อจะไปยังจุดหมายเดียวกัน

               หล่อนแสร้งทำเป็นไม่รู้จัก  ทั้งๆที่ใจจริงของหล่อนอยากจะโผกอดรักแรกตั้งแต่ที่กรุงเทพฯด้วยซ้ำ

               แล้วสิ่งที่หล่อนปรารถนาจากชายหนุ่มผู้เป็นรักแรกก็สมหวัง

               สิ่งที่ออกมาจากปากของชายหนุ่ม  ได้พิสูจน์ให้หล่อนรับรู้แล้วว่า  รักแรกของเธอ ก็ไม่เคยลืมรักแรกของเขาเช่นกัน

              

      -ริมหาดแห่งเดิมที่เกาะนางยวน  ประมาณหกโมงเช้า

               พยับแดดส่องกระทบเข้าที่เปลือกตาของชายหนุ่มที่หลับใหลอยู่ที่ชายหาด  หลังจากเขาสะบัดหน้าเพื่อขับไล่ความง่วง ลืมเปลือกตาขึ้นก็พบกับก้อนเมฆขนาดใหญ่สองก้อนที่อาบด้วยแสงของพระอาทิตย์

               รูปร่างของก้อนเมฆขนาดยักษ์นั้น คล้ายร่างของผู้ชายร่างใหญ่ดูอบอุ่นคุ้นเคยคนหนึ่ง  อีกก้อนดูคล้ายร่างปราดเปรียวของหญิงสาวนางหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะนั่งอยู่บนชิงช้าก้อนเมฆลิบๆ  ชายหนุ่มยิ้มกว้างโบกมือสุดเหวี่ยง ป้องปากตะโกนอำลาเสียงดังก้องหาด

               "โชคดีนะ........ผมรักพวกคุณที่สุดเลยยยยยยยยยยย"

               ชายหนุ่มก้มลงหยิบกระเป๋าเป้คู่กายก็สะดุดเข้ากับแหวนวงเล็กๆวงหนึ่ง

               เขาหยิบขึ้นมาสวมคู่กับแหวนอีกวง  พร้อมกับเตรียมเดินทางกลับกรุงเทพฯด้วยหัวใจที่พองโต

      -สุพรรณบุรี

               "ลุงหวังครับ..ลุงหวัง"

               เสียงตะโกนของชายหนุ่มโหวกเหวกดังที่หน้าประตูเหล็กเก่าๆหลังหนึ่ง ที่สนิมเกาะกรัง

               "ใครน่ะ.."

               เสียงตะโกนตอบกลับมาพร้อมๆกับร่างเจ้าของเสียง

               "ผมเองครับลุง  ไอ้ไม้น่ะครับ  ตัวแสบที่ชอบปีนเข้าไปเล่นในบ้านลุงเมื่อตอนเด็กๆไงครับ"

               ชายชราที่ดูท่าทางยังแข็งแรง ยืนใช้ความจำอยู่ตรู่ก็ดีดนิ้วดัง

               "อ้อ...เจ้าไม้ลูกตาเทียนบ้านข้างๆเนี่ยใช่มั้ย"

               "ก็ตั้งแต่ครอบครัวเอ็งย้ายไปอยู่กรุงเทพฯเนี่ย ก็ไม่มีใครเข้ามาดูแลสวนหลังบ้านเอ็งเลย รกยังกะป่า"

               ทุกอย่างเปลี่ยนไปมากจริงๆ ลุงหวังต้องใช้มีดคอยถางหญ้าที่สูงเกือบหัวเข่า  แล้วชายหนุ่มก็มาหยุดอยู่ที่ตอไม้ขนาดใหญ่ รอยเพิ่งถูกตัดไปเมื่อไม่กี่อาทิตย์เอง

               "ต้นสัก  เพื่อนของพ่อเอ็งเข้ามาตัดเมื่อสี่ห้าวันที่แล้วนี่เองหลังจากที่เคยถูกเอ็งไล่เสียจนกระเจิงเมื่อตอนเด็กๆ"

               ชายหนุ่มยืนนิ่งราวกับไว้อาลัยแก่เทพารักษ์พ่อลูก

               "พูดแล้วขนลุก...วันที่ตัดต้นสักเนี่ยนะ มีเสียงร้องไห้ของผู้หญิงดังตลอดเลย  อีนังลูกสาวของลุงมันบอกว่าเป็นเสียงของนางไม้เพื่อนมัน"

               "เพื่อน?"

               ชายหนุ่มทวนคำอย่างพิศวง

               "เออ...นังสามันบ้า  มันบอกว่าต้นไม้ต้นนี้น่ะมีนางไม้พ่อลูกสถิตอยู่  ตัวลูกน่ะรอคอยรักแรกอยู่ ลูกลุงนี่ว่างๆต้องพาไปเช็คประสาทซักหน่อยแล้ว  ชอบมาหมกตัวอยู่ในสวนนี้เหมือนเอ็งสมัยเด็กๆน่ะแหล่ะ"

               "ลูกลุงหวังชื่ออะไรนะครับ?"

               "สา...อรสา  นั่นไงมาโน่นแล้ว  ใครเข้ามาที่สวนนี่เป็นไม่ได้ แม่ไล่ตะเพิดหมด  นี่ดีนะวันที่เพื่อนพ่อเอ็งมาตัดต้นสักน่ะมันไม่อยู่ไม่งั้นป่าแตกแน่นอน"

               ร่างสูงระหงเดินร่อนมาในมือถือหนังสือเล่มหนามาด้วยหนึ่งเล่ม แว่นตากรอบบางซ่อนแววตาขึงขังดุดันเอาไว้  ประพิมพ์ประพรายช่างคล้ายกับนางไม้รักแรกผู้จากไปของเขาเหลือเกิน

               ชายหนุ่มอมยิ้มพลางจับแหวนใบไม้ถักอย่างอ่อนโยน ในใจนึกขอบคุณเจ้าของแหวนที่นำพาเขากลับมายังสถานที่ที่เป็นรักแรก

               ซึ่งอาจจะเป็นสถานที่ที่ทำให้เขาพบกับรักครั้งสุดท้ายก็เป็นได้.....


              
               ขอบคุณครับที่อ่านกันมาจนถึงบรรทัดนี้..ช่วยวิจารณ์กันด้วยนะครับ ยินดีรับทุกคำวิจารณ์ด้วยใจจริงและจะพยายามปรับปรุงงานไปเรื่อยๆนะครับ.....ขอบคุณอีกครั้งครับ

                 

              

                     

                    

              

                 

              

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×