คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Part I : Freedom Clound
Title: Lose sky
Author: sinnerdarker
Pairing: 1827
Rating: PG-13
Disclaimer: Reborn
Anothor note : ฟิครีบอร์นเรื่องที่สอง น้อ'ใหม่ขอฝากตัวค่ะ>< แล้วก็..แอบคล้ายMezzanotte(รึเปล่า..=[]=) ของป๋าแอนค่ะ ถ้ามันดูน่าเกลียดก็จะเอาออกนะคะ(เอามานั่งอ่านเอง)
มึนมากถึงมากที่สุด คนเขียนพางงค่ะ
Part 1 : Freedom Clound
เจ้าเมฆาเคลื่อนคล้อยอิสระ
ไร้พันธะใต้นภาสว่างใส
ล่องลอยสู่เวิ้งฟ้าอันกว้างไกล
แม้นสิ่งใดมิอาจเอื้อมต้องเมฆา
.
.
.
เมฆาอิสระที่ไร้พันธนการใดใด
ไม่ขึ้นตรงต่อใคร หากแต่เป็นนายเหนือตัวเอง
เคลื่อนที่ไปเรื่อยตามแรงลม อ้อยอิ่งไร้สิ่งยึดติด
อิสระภายใต้อัมพรกระจ่างใส
.
.
.
.
..หากแต่มีสิ่งหนึ่งที่รู้ดี..
..ว่า..
เคร้ง!!
เสียงทอนฟาปะทะกับโลหะอีกชนิดหนึ่งดังกังวานลั่น สนั่นก้องไปทั่วสวนป่าเล็กๆในเขตโรงเรียนมัธยมนามิโมริ
ชายหนุ่มเจ้าของอาวุธเหล็กกล้าแสยะยิ้ม ดวงตาประกายวาวโวธมองเหยื่ออันโอชะที่อุตส่าห์เสนอหน้าเดินเข้ามาหา ก่อนจะยืนหยัดจ้องร่างตรงหน้าด้วยสายตาเปล่งประกายกระหายเลือด
“อุตส่าห์มาให้ขย้ำถึงนี่ แกต้องการอะไรรึ? เจ้าสัตว์กินพืช”
เอ่ยพลางกระชับทอนฟาแน่นในสภาพพร้อมสู้รบ ประกายตาสีรัตติกาลมองตรงไปยังร่างที่ยืนอยู่ตรงหน้าตน
ร่างแบบบางในสภาวะอันไม่ปรกติสาวเท้าถอยออกไป ดวงตาสีส้มอมทองมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาเยียบเย็นระคนตกใจ หากแต่กระนั้นก็ยังแวดระวังตัว ด้วยแววตาคล้ายสัตว์ป่าที่มองมาอย่างกระหาย ราวกับพญาสิงห์ที่กำลังจ้องตะครุบเหยื่อผู้โชคร้าย อันน่ากลัวยิ่งกว่าอะไรในสถานการณ์ ณ ตอนนี้
มือเรียวบางใต้ถุงมือหนังที่มีกากบาทผ่านยกขึ้นมอง สงสัยนักหนาว่าเหตุใดเปลวเพลิงสีส้มวาวโรธสว่างเยือกเย็นนั้นจึงมิอาจเผาไหม้ทอนฟาเหล็กของบุรุษตรงหน้าให้หลอมละลายสิ้นไปได้
ทั้งที่แม้แต่เสาล่อฟ้าก็ยังหลอมมาได้แล้ว
ทำไมนะ กับอาวุธของคนคนนี้ถึงได้ไม่เกิดอันตรายอะไรขึ้นเลย
แล้วแบบนี้ เขาจะรอดไปจากเงื้อมมือของอีกฝ่ายได้หรือ?
นายใช้สมองส่วนไหนคิดให้ฉันมาสู้กับคนคนนี้ รีบอร์น!!
เอ่ยโทษผู้ที่ขับไสไล่ส่งตนมาถึงที่นี่ให้โดนราชสีห์ขย้ำ เจ้าครูฝึกพิเศษที่เอะอะก็ขู่จะยิ่งฆ่ากัน มาคราวนี้ก็ดันขู่แบบแปลกประหลาดซะจนอยากร้องไห้
[ไปชนะฮิบาริมาให้ได้ซักหน แต่ถ้านายหนีกลับมากระสุนจริงๆจะฝังอยู่ในหัวนายชนิดโดนแล้วไปเที่ยวนรกแบบไม่ตีตั๋วขากลับแน่]
ยังไม่ทันที่เขาจะคัดค้าน เด็กน้อยครูพิเศษตัวแสบก็ยิงไล่เขาออกจากบ้านทันที
จนท้ายที่สุดเขาต้องมายืนอยู่ตรงนี้!!บ้าที่สุด!!
.
.
.
อัมพรเยาว์วัยจรัสใส
เปล่งประกายปลอบโยนทุกสิ่งสรรค์
แม้นจะขลาดแม้นจะเขลามิครบครัน
แต่นานวันจักงามงดดุจดาวเดือน
.
.
.
ในระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังรำพันถึงสาเหตุที่ทำให้มาอยู่ที่นี่ ร่างสูงก็พลันขมวดคิ้วเบื่อหน่าย
นั่นมันกำลังคิดอะไรอยู่
ดวงตาสีรัตติกาลมองร่างตรงหน้าด้วยอารมหงุดหงิด ความรู้สึกกระหายจะขย้ำสัตว์ผู้อ่อนแอยิ่งมากขึ้นจนจะล้มเอ่อ
โดยเฉพาะกับร่างตรงหน้า
ซาวาดะ สึนะโยชิ
เริ่มแรกช่างอ่อนแอ น่าสมเพชจนไม่อยากจะสนใจ
แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ กลับก้าวทะยานขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เก่งกาจกล้าขึ้น
งดงามเจิดจรัส จนอยากกระชากลงมาขย้ำให้แหลกคามือ
เหยื่อที่น่าสนใจ
เหยื่อที่น่าขย้ำ อย่างสนุกสนาน!!
ชายหนุ่มเลียริมฝีปาก ก่อนจะเปรยขึ้นโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะฟังหรือไม่
“ถ้าแกไม่เข้ามา ฉันจะเข้าไปขยี้แกล่ะนะ”
ปึก!
ร่างสูงพลันทะยานเข้าหา แล้วตวัดทอนฟาเข้าหาอย่างไร้ความปราณี คนที่ถูกทำร้ายอย่างไม่ทันตั้งตัวอุทาน มือเรียวกุมท้องด้วยรู้สึกจุกหลังจากถูกทอนฟาหวดใส่เสียเต็มๆ นึกโมโหความประมาทของตนที่ทำให้กลายเป็นเช่นนี้ ดวงตาสีส้มอมทองเบิกขึ้น ก่อนจะเรียกไฟสีส้มสว่างขึ้นที่ถุงมือ แล้วเข้าชกหมัดใส่ร่างที่เข้าทำร้ายตน
ชายหนุ่มผู้ว่องไวกว่าก้าวถอยหลัง รอยยิ้มแสยะก่อนจะตวัดทอนฟาใส่อีกครา หากแต่ครานี้เจ้าสัตว์กินพืชตามวาจาของชายหนุ่มกลับหลบได้ เรียกรอยยิ้มจากริมฝีปากหนาให้หยัดกว้างกว่าเดิม
“หึ....นี่แกไปเก่งมาจากไหนล่ะ? ซาวาดะ สึนะโยชิ”
..คุณน่าจะรู้ดีกว่าผมนี่ครับ..
..ไม่สิ อาจจะเคยรับรู้
แต่ไม่สนใจจะจดจำ
แค่การพัฒนาของสัตว์กินพืชตัวนึ่ง เท่านั้นนี่นา..
พึมพำในใจ และเจ้าตัวนั้นมิอาจรู้ว่ามันส่งผลให้ประกายสีส้มงามนั้นไหววูบ เด็กหนุ่มขยับวาดมือพลางส่งเปลวเพลิงเข้าหาร่างของชายหนุ่ม และตามคาดหมาย อีกฝ่ายหลบได้อย่างไม่ลำบากอะไรนัก แต่กระนั้นก็อดหวังไม่ได้ว่ามันจะทำร้ายชายหนุ่มได้บ้าง
ร่างเล็กพลันวิ่งเข้าปะทะอย่างไม่กลัวเกรงเมื่อชายเจ้าของเรือนผมสีรัตติกาลพลันทะยานเข้าหา มือเรียวบางเร่งไฟสีเพลิงขึ้นจนเพลิงแสดยะเยือกพลันพวยพุ่งและปลิวระริกตามแรงขยับวาดมือของเด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาล ก่อนจะเข้าปะทะทอนฟาที่ฟาดลงมาอย่างรุนแรง
ปึก!
ทอนฟาเหล็กปะทะกับแขนซ้าย ดวงตาสีน้ำตาลหลับลงด้วยความเจ็บ ก่อนความรู้สึกชาจะเข้าปะทะและเริ่มส่งผลไปทั้งส่วนแขน
แย่ล่ะสิ ช่างทำอะไรไม่คิดซะเลยแฮะเรา
นึกโทษตนในใจ ริมฝีปากแดงขบแน่นเฟ้นหาความคิดที่จะแก้สถานการณ์ขณะนี้ แต่ไม่ทันได้ขบคิดอันใด ชายหนุ่มก็บุกเข้ามาอีกระลอก หมัดตรงเข้าหากลางใบหน้า แต่เด็กหนุ่มก็ใช้มือที่มีเปลวไฟพวยพุ่งกันไว้ทัน ก่อนจะขยับเท้าก้าวเข้าโจมตีบ้าง เพลิงดับชนสีส้มตวัดถูกเสี้ยวใบหน้าของชายหนุ่มให้ได้รับความร้อนจางๆ ร่างเล็กใช้เสี้ยววินาทีที่อีกฝ่ายชะงักตวัดขาเลียดพื้นให้อีกฝ่ายล้มลง หากแต่ร่างสูงที่เกือบลงกองกับพื้นกลับเพียงตัลังกามาทรงตัวได้ดังเดิม ก่อนดวงตาสีรัตติกาลจะพลันสว่างวาววับเปล่งประกายจ้ามากกว่าเดิม
“น่าสนใจนี่ ซาวาดะ มาดูกันว่าแกจะไปได้ซักกี่น้ำ!!!”สิ้นคำพูดกังวานลั่น ร่างสูงก็วิ่งเข้าตัดทอนฟาหาอีกครา เด็กหนุ่มยกมือข้างหนึ่งกันทอนฟาที่กระแทกมาทางสีข้าง ริมฝีปากบางยิ้มินดีที่กันได้ทัน แต่เพียงเสี้ยววินาที รอยยิ้มจากริมฝีปากหนาก็พลันปรากฏ หมัดจากมืออีกข้างที่เหลือชกเข้าให้ตรงส่วนขมับจังๆจนเด็กหนุ่มเบลอสับสน ร่างแบบบางเหมือนจะชาดิกไปชั่วครู่ ก่อนจะพลันหลบส่วนปลายของทอนฟาที่ตรงเข้ากระแทกสีข้างตามสัญชาตญาณ ก่อนไม่ถึงเสี้ยววินาทีเจ้าท่อนเหล็กแข็งแกร่งจะพลันกระแทกลงมาอีกคราที่ไหล่ขวาโดยที่เด็กหนุ่มหลบไม่ทัน
..ไหล่ขวาหลุดซะแล้ว..
กัดริมฝีปากกลั้นความเจ็บ ช่วงเวลาแสนสั้นไม่ถึงนาทีเขาก็เสียแขนไปสองข้างอย่างสมบูรณ์
เด็กหนุ่มที่ยามนี้แขนทั้งสองข้างไม่อยู่ในสภาพที่ดีนักกัดริมฝีปาก ควุบคุมเปลวเพลิงให้พลันเจิดจ้าเป็นกำแพงปกป้องกาย ชายหนุ่มถอยหลังเมื่อเห็นเปลวเพลิงสีส้มพลันพวยพุ่งประกายระริกไหว ก่อนจะวิ่งเข้าฝ่าไปภายในวงกำแพงเพลิง
มือหนาปราดตรงเข้าที่ลำคอบาง เด็กหนุ่มจึงรีบถอยหลังก่อนที่จะถูกบีบลำคอ กำแพงไฟพลันมอดดับเมื่อไร้การควบคุม สึนะมองใบหน้าคมปราดของชายหนุ่ม ก่อนจะก้าวถอยหลังแวดระวังภัย กระนั้นก็ไม่อาจหนีพ้นคมเขี้ยวราชสีห์ผู้เกรียงไกรได้
ฮิบาริก้าวอย่างรวดเร็วมาที่ร่างของสึนะ ก่อนจะพลันกดทอนฟาลงไปที่ลำคอ แล้วกระแทกร่างบางให้ลงนอนกับพื้นหญ้านุ่มโดยที่มีร่างของตนคร่อมอยู่และไม่ยอมละทอนฟาออกไป
แพ้อย่างสมบูรณ์แบบ
เด็กหนุ่มคิดเมื่อสัมผัสเย็นเยียบพลันแนบที่ลำคอ
ชายหนุ่มมองใบหน้าหวานด้วยสีหน้าเรียบเฉย พลางกดโลหะเย็นให้แนบลงกับลำคอแรงขึ้น
“นึกว่าแกจะเข้มแข็งขึ้น..ที่ไหนได้...สัตว์กินพืชก็ยังเป็นสัตว์กินพืช
... แกก็ยังอ่อนแออยู่นี่ ซาวาดะ สึนะโยชิ”
อ่อนแอนัก
แม้จะเจิดจรัสขึ้น แต่นั่นเพียงเกล็ดประกาย
ยังเปราะบางนักหนาที่จะอาจหาญสู้ราชสีห์ผู้เจนศึก
เมื่อรั้งต่อสู้ ก็มีแต่จะถูกขย้ำปีกปักษาจนขาดวิ่น
แลร่วงหล่นสู่ผืนปฐพี
เด็กหนุ่มขบริมฝีปาก เปลวเพลิงพลันดับมอดไป ดวงตากลมโตคู่ส้มอมทองจึงกลับเป็นสีน้ำตาลใสอีกครา
ซาวาดะ สึนะโยชิ ผ่อนลมหายใจ
ร่างกานพลันระบมร้าวไปทั้งตัว นึกเสียใจอย่างแรงกล้าที่บังอาจหมาญกล้ามาท้าสู้โดยไม่สนใจตัวเอง
แต่อีกใจหนึ่งกลับบอกว่ายินดี ที่ได้พบปะหน้าของคนผู้นี้
ไม่เพียงคำสั่งของครูพิเศษตัวจิ๋ว
อาจเป็นหัวใจของเขาด้วยที่คนึงหา
..อย่าแรงกล้า..
ที่จะพานำพบเมฆาผู้นี้
“....ถ้า...”
“อะไรของแก”
ทอนฟาพลันขยับกดแนบแน่นขึ้นจนร่างแบบบางแทบหายใจไม่ออก ดวงตาสีน้ำตาลพร่าด้วยอาการขาดหายใจและความเจ็บปวด แต่กระนั้น เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจฝืนพูดออกมาอย่างยากเยย็น
“...ถ้า..ผมอ่อนแอ....ถ้าแบบนั้น
คุณจะช่วยมาอยู่ด้วยกันได้ไหมครับ.."
“ใน..วองโกเล่...”
มาปกป้องผม
หรือหากรังเกียจ หากรำคาญที่จะปกป้อง
ก็ไม่จำเป็นต้องปกป้องก็ได้
ขอเพียงให้ อยู่เคียงกาย
ให้ได้เห็นหน้าทุกวัน ให้ได้รู้ ว่าจะยังอยู่ด้วยกัน
ขอแค่นั้น..
.
.
.
ให้เมฆาผู้กล้าแกร่งยังอยู่คู่เคียงนภา
อัมพรอ่อนโยนใสซื่อผู้ไร้มลทิน
ไม่ต้องปกปัก ไม่ต้องคุ้มครอง
ขอเพียงดำรงอยู่ ให้ผืนฟ้ารู้ก็พอ
ว่าเกล็ดละอองที่รวมตัวกันนั้น ยังคงอยุ่ที่เดิม
เคียงข้างผืนนภา
.
.
.
ชายหนุ่มนิ่งเงียบไป ก่อนจะละทอนฟาออกจากลำคอของเด็กหนุ่ม
“..คุณ..ฮิบาริ”เรียกนามของชายนุ่มครั้งแรกหลังจากที่ปรากฏตัวขึ้นในรูปแบบของร่างดับชน
ริมฝีปากแห้งผากไม่กล้าที่จะเอื้อนเอ่ยขอคำตอบ
ชายหนุ่มเพียงปรายตามอง ก่อนจะก้าวเดินจากไปอย่างไม่ใยดี
“ฉันไม่คิดจะหาห่วงมาคล้องคอตัวเอง และไม่จะไม่ยอมไปอยู่ใต้เท้าใคร”
..คำพูดสุดท้ายก่อนจะก้าวเดินจากไป
..ทิ้งร่างที่บาดเจ็บให้นอนราบอยุ่กับพื้นหญ้าที่รุ่งอรุณสาดส่อง..
.
.
.
ฮิบาริที่กำลังก้าวเดินไปเรื่อยนั่นพลันขบคิดขึ้น
บางที เจ้านภาที่เปราะบางนั้น
อาจจะแกร่งกล้าขึ้นไปได้อีก
หากแต่ขณะที่ยังอ่อนแอน่าสมเพชแบบนั้น มีผู้มาขย้ำมันจนแหลกตายคามือเสียก่อนล่ะ
แบบนั้น ความสนุกมันจะพลันหายไปน่ะสิ
ถ้าแบบนั้น..
เมฆาผู้เด็ดเดี่ยวยืนหยุดนิ่ง
..เขาอาจต้องคอยปกป้องก็ได้กระมัง..
ความคิดนั้นทำให้รอยยิ้มหยักพลันปรากฏฉาย ก่อนที่ร่างสูงจะย่างก้าวเดินต่อไป
.
.
.
กระนั้น เด็กหนุ่มผู้ไม่รับทราบห้วงความคิดดังกล่าวจึงได้แต่เศร้าหมอง
หยาดน้ำตาจึงร่วงหล่น หลั่งไหลจากนัยเนตรบอบบาง
.
.
.
นภาอ่อนบางพลันหม่นหมอง
มิอาจครองเมฆาซึ่งเฝ้าฝัน
แต่สิ่งหนึ่งมิอาจรู้ได้โดยครัน
เมฆานั้นคงอยู่ใต้ท้องนภา
.
.
แม้นภาจะพลันหมองหม่นด้วยมิอาจรู้แจ้งถึงสิ่งหนึ่ง
แม้เมฆาจะเพียงรู้แจ้งแต่มิอาจเข้าใจใฝ่ค้นหา
..แต่ทว่า..
.
.
..ละอองไอน้ำที่รวมตัวกันล่องลอยบนผืนนภานั้น..
ไม่ว่าจะโบยบินไปแห่งหนใด
ก็มิอาจหลบลี้ หลีกหนีจากผืนอัมพร
..ที่อยู่เพียงหนึ่งเดียวของเมฆา...
.
.
.
หลายปีต่อมา
ฐานทัพใหญ่ที่เต็มไปด้วยเครื่องมือที่มีเทคโนโลยีล่าสุดได้ถูกสร้างขึ้นใต้ดินของเมืองนามิโมริอย่างลับๆ เชื่อมต่อกับฐานของโรงเรียนนามิโมริที่ถูกคุ้มครองโดยชายหนุ่มผู้เฝ้าดูแลโรงเรียนมานานกว่าใคร
ฮิบาริ เคียวยะ
และแน่นอนเช่นกันว่าฐานทัพดังกล่าวเป็นของวองโกเล่แฟมิลี่
ซึ่งขณะที่ผู้ที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าแฟมิลี่นั้นมิพ้นใครนอกไปเสียจาก
ซาวาดะ สึนะโยชิ
วองโกเล่รุ่นที่สิบ
.
.
.
ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลที่บัดนี้ทรงผมแปลกไปด้วยเรือนผมสีน้ำตาลที่ยาวเป็นรากไทรลงไปก้าวเดินไปตามทางที่กำลังถูกก่อสร้าง ดวงตาสีน้ำตาลกวาดมองแบแปลนในมืออย่างรวดเร็วคล่องแคล่ว พร้อมมองหาจุดบกพร่าองที่จะมีผลทำหฐานทัพนี้ถูกโจมตี
“อืม..ตรงนี้ผ่า..”
เปรี้ยง!!
“โอ๊ย!!”
ร้องลั่นพลางจับหัวที่ถูกเตะ ดวงตาคู่สวยตวัดมองครูพิเศษที่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่ปลดระวาง “อะไรอีกเล่า!! รีบอร์น!!”
“เจ้าโง่นี่!! บอกมาได้ว่าผ่าน ไม่เห็นรึไงว่าตรงนั้นมีจุดเปราะบางที่เชื่อมต่อกับพื้นดิน!”ว่าพลางชี้ไปจุดหนึ่งบนเพดาน สึนะมองตาก่อนจะพยักหน้า “อ๊ะ จริงด้วย”
แกร่ก!
“ผ่านมากี่ปีก็ยังโง่ไม่เปลี่ยนจริงๆ เจ้าบ้าเอ๊ย”
......
เปรี้ยง!!
กระสุนถูกยิงออกมาโดยที่สึนะวิ่งแผล๊วไปโดยไม่ต้องรอให้มันออกมาจากลำกล้องปืน ร่างแบบางวิ่งออกไปตามเส้นทางโดยลืมไปซะสนิทว่าทางไหนไปทางไหน
และแน่นอน
รุ่นที่สิบแห่งวองโกเล่แฟมิลี่หลงทางในฐานทัพของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย
“ใครรู้เข้าอายตาย...”พึมพำพลางเดินไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงประตูแห่งหนึ่ง โครงสร้างแต่ละฟากช่างแตกต่างกันจนน่างุนงง ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นสงสัย ก่อนจะพลันก้าวเดินเข้าไปอย่างไม่รั้งรอ
ปัง!!
“ใครให้แกล้ำอาณาเขตเข้ามา ซาวาดะ สึนะโยชิ...”
น้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้น แผ่นหลังบางแนบติดกับกำแพงโลหะเย็นเยียบขณะถูกกักขังด้วยอ้อมแขนแกร่งของชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีรัตติกาลโดยมีทอนฟากดอยู่ที่ลำคอ
“...ขอโทษครับ..คะ..คุณฮิบาริ...ผมไม่ทราบว่าเดินมาจนถึงฟากนี้..”เอ่ยแผ่วเบา หากแต่มิอาจทำให้เพลิงพิโรธในดวงตาสีรัตติกาลคลายออกได้ “ตามข้อตกลง สร้างทางเชื่อมได้..แต่ฉันไม่ได้อนุญาติให้แกเขามาที่นี่ เจ้าสัตว์กินพืช
ทอนฟาพลันกดลงลึกกว่าจนชายหนุ่มร่างบางกลืนน้ำลายเอื๊อก ประกายตาสีน้ำตาลหวั่นไหวหวาดกลัว
แต่แล้ว ประกายเพลิงในดวงเนตรรัตติกาลกลับพลันคลายลง เหลือเพียงสีสันของผืนนภายามราตรีอันไร้ดวงดารา ท่อนโลหะเย็นเฉียบละจากลำคอบาง ก่อนชายหนุ่มจะพลันเอ่ยขึ้น “น่ารำคาญจริง พวกแกจะกลับมาสุมหัวกันต่อที่นี่ทำไป พากันไปอิตาลีก็ดีอยู่แล้ว”
ถ้าบอกว่า
เพราะคุณยังอยู่ที่นี่
เพราะผมอยากอยู่ข้างๆคุณ
คุณจะเชื่อไหมครับ
คุณฮิบาริ เมฆา..ที่ผมไม่อาจได้มาเคียงกาย
คิดเพียงในห้วงหทัย แต่มิได้เอื้อนเอ่ยออกให้ถูกเหยียดหยามเสียดลึกรวดร้าวกว่าเดิม
“ไปซะ”
“ครับ?”
“แกจะรอให้ฉันขย้ำแกแล้วโยนซากกลับไป หรือจะกลับไปเองด้วยสภาพดีๆ”
ร่างเล็กสะดุ้งเฮือก ก่อนจะก้าวเท้ากลับไปยังฐานวองโกเล่ดังเดิม
โดยไม่ลืมหันมองร่างสูงที่อยุ่อีกฟากด้วยโหยหาอาลัย
ชายหนุ่มมองร่างที่หายลับตาไป
ปัง!!
มือหนาทุบลงอย่าแรงกับกำแพงเหล็กเย็นเฉียบ สับสนกับความรู้สึกและร่างกายของตัวเอง
ทำไม ตอนนี้
ถึงไม่กล้าขย้ำ
ทำไมเมื่อเห็นดวงตาคู่นั้นวูบไหว
ความรู้สึกบางอย่างกลับจุกแน่นขึ้นมาแทนความกระหายฆ่า
..นี่มันอะไร..
.
.
.
มันตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ความคิดอันอยากจะขย้ำร่างตรงหน้าหายไป
เมฆาที่เฝ้ากระชากนภาลงมาขย้ำ
กลับกลายเป็น
เมฆาซึ่งเฝ้าปกป้องคุ้มครอง
ที่จะขย้ำสิ่งซึ่งคิดเหตุร้ายสู่ผืนนภา
.
.
.
มาบัดนี้ความรู้สึกชัดแจ้งแจ่มชัด
เมฆาผู้นี้ไม่อาจหลีกหนีจากนภาได้อีกแล้ว
ทำได้เพียง เคียงข้างตามเสียงของหัวใจเท่านั้น..
.
.
.
................................................................................................................
เสียงอื้ออึงดังระงมปะปนเสียงกรีดร้อง
ในขณะที่การต่อสู้กำลังดำเนิน เสียงของอาวุธที่เร็วกว่าเสียงพลันดังกึกก้องขึ้น
กระสุนอันรวดเร็วนั้นพุ่งปราดไปที่ร่างของผืนนภาผู้อ่อนโยน ผ่านทะลุขั้วหัวใจเรียกโลหิตให้พลันไหลทะลักออกมา
ทุกร่างในบริเวณนั้นต่างนิ่งอึ้ง มองดูร่างของชายหนุ่มบอบบางผู้เป็นดั่งหัวใจ
ผืนฟ้า ผืนนภา ที่อยู่ของพวกเขา
มือเรียวบางที่พราวด้วยเปลวเพลิงแตะที่หน้าอก สัมผัสเลือดแล้วจึงรู้ชะตากรรมของตน
สิ้นแล้ว นภาลัย
มิอาจหวนคืน
ร่างของนายเหนือแห่งวองโกเล่ล้มลงไปกับพื้น
เสียงหวีดร้องของเพื่อนพ้องดังหวีดลั่น ร่างของวายุผู้ซื่อสัตย์วิ่งเข้าหาร่างนั้นก่อนใคร ตามด้วยอัสนีเยาว์วัยและพิรุณผู้ไร้กังวล
อรุณรุ่งวิ่งเข้าหา สายหมอกไร้ตัวตนพลันถลา
เหลือเพียงเมฆาที่ยืนนิ่งในที่ซึ่งไกลออกไป
ไม่มีเสียงใดที่จะผ่านกระทบใบหูในตอนนี้ นอกจากเสียงลมหายใจของตัวเอง
ดวงตาสีรัตติกาลจับจ้องร่างที่ถูกประคองโดยชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเงิน
แววตาสีน้ำตาลพลันเบิกขึ้นเพียงชั่วครุ่และหันมาทางเขา
รอยยิ้มปรากฏขึ้นเพียงชั่วพริบตา
..ก่อนทุกสิ่งจะพลันดับสิ้นไป..
[
.
.
.
ไร้ถิ่นฐานเสียแล้ว เมฆา
ยามเมื่อนภาถึงเพลา ดับสิ้น
โลหิตชาดแปดเปื้อน พาผืนฟ้าก่ำแดงเกิด มัวหมอง
ดวงตาคู่งามพลันหลุบลง หลับใหลลึกนิรันดร
.
.
.
THE END Part I : Freedom Clound-
ความคิดเห็น