[SF] Anderson & Polly [KrisYeol]
คริส...ตำรวจหนุ่มสัญชาติแคนาดาที่ต้องมาทำคดีเลียนแบบแจ็คเดอะริปเปอร์ในเกาหลี และ ชานยอล...เด็กหนุ่มที่มีหน้าที่เป็นนกต่อ
ผู้เข้าชมรวม
1,669
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
...Anderson & Polly...
ร่างสูงเคาะบุหรี่ในมือสองสามทีแล้วก็ยกขึ้นจรดปาก ตาคมสะท้อนแสงไฟจากตึกรามบ้านช่องอีกฟากฝั่งแม่น้ำฮันจนดูวิบวับเป็นประกายน่ามอง เขาอัดนิโคตินเข้าปอด ตั้งใจให้รสหนักๆ ของบุหรี่เข้าไปทำให้เรื่องคดีสุดหินที่ขบคิดมาทั้งวันจางไปจากสมองบ้าง
จู่ๆ เงามืดก็เคลื่อนมาบังชายหนุ่มจากด้านหลัง ทว่าเขากลับไม่ตกใจหรือตื่นตัวอย่างที่ตำรวจทุกนายควรเป็น ขายาวยังคงไขว่ห้างอยู่ท่าเดิม แขนยังพาดสบายๆ เอาไว้ที่พนักโลหะเย็นเฉียบของม้านั่ง นิ่งเสียจนเด็กหนุ่มตัวสูงโปร่งซึ่งกำลังชะโงกหน้าและโน้มลงมาทั้งตัวรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เหมือนรูปปั้นแสนสมบูรณ์แบบที่พระเจ้าสร้างขึ้นไม่มีผิด
กระทั่งกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่เจ้าตัวใช้ประจำโชยเข้ามาแทนที่นิโคตินเพื่อนรักแล้วนั่นละ นายตำรวจหนุ่มจึงใช้แววตาดุดันเย็นชาอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวสานสบตากลมโตวิบวับ อันที่จริงควรจะเรียกว่าเขาถูกตาคู่นั้นบดบังทัศนียภาพเบื้องหน้าเสียมากกว่า เพราะตอนนี้เด็กหนุ่มกำลังใช้มือค้ำพนักเก้าอี้แล้วโน้มตัวลงมาจนผมสีน้ำตาลอมส้มดัดเป็นลอนนั้นระใบหน้าเขาแล้ว
“ไม่กลัวฉันจับใส่กุญแจมือจริงๆ ใช่ไหม ชานยอล”
ได้ยินคำพูดนายตำรวจ
“ทำไมชอบเอากุญแจมือมาขู่ผมจังเลยฮึคุณผู้กองอู๋ ผมแค่เห็นคุณมานั่งมองแม่น้ำหน้าเครียดก็เลยจะมาทักทายเท่านั้นเองนะ”
“บอกให้เรียกคริสไง”
น้ำเสียงเรียบของคนอายุมากกว่าทำให้เด็กหนุ่มถอนหายใจพรืด เขาไม่เข้าใจว่าทำไมอีตาผู้กองอู๋อี้ฝานจะต้องสร้างกำแพงหนาสูงมิดหัว (ซึ่งปกติคุณตำรวจคนนี้ก็สูงมากอยู่แล้ว) ทุกครั้งที่เจอกันด้วย จริงอยู่...เขาเคยเจอนายตำรวจเชื้อชาติจีนสัญชาติแคนาดาคนนี้แค่ไม่กี่ครั้ง ถึงจะนับว่าเป็นเพื่อนหรือพี่หรืออะไรทำนองนั้นไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะพอนับเป็นคนรู้จักได้นี่นา
แล้วคำว่า “คนรู้จัก” สำหรับปาร์ค ชานยอล ก็หมายความว่าจะต้องคุยกันอย่างสนิทชิดเชื้อกว่านี้สิถึงจะถูก
นี่ยังให้เรียกคริสอยู่ได้ เขาไม่ใช่นักข่าวอาชญากรรมหรือตำรวจหน่วยอื่นที่ทำงานร่วมกับคริสเสียหน่อย จะได้เรียกชื่อห่างเหินแบบนั้น
ชานยอลหันกลับไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของนายตำรวจหนุ่ม คริสมักจะทำหน้าเครียดตาดุแบบนี้จนดูเหมือนเป็นสีหน้าประจำตัวไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ว่าคริสไม่ใช่คนใจร้าย ชานยอลรู้ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันว่าคริสไม่ใช่คนเย็นชาไร้หัวใจอย่างที่แสดงออก หากถามว่าเขารู้ได้ยังไง...ชานยอลก็คงจะตอบว่า เขาแค่ “รู้สึกได้” เท่านั้นเอง
อย่างน้อย...ถ้าคริสเป็นคนไร้หัวใจจริงคงลากเขาไปสถานีตำรวจแล้วจับไปนอนในคุกเล่นอย่างที่ขู่ตั้งนานแล้ว
เด็กหนุ่มอมยิ้ม และเหมือนกับคนข้างตัวจะรู้สึกได้ คริสหันกลับมาตวัดสายตาใส่ทันที
“ยิ้มอะไร”
“เปล่าครับ” ปากบอกว่าเปล่า แต่ชานยอลยังไม่เลิกอมยิ้มขณะที่ถามกลับ “ว่าแต่ ‘คุณคริส’ กลุ้มใจอะไรครับ ทำหน้ายังกับกำลังคิดหาวิธีจับฆาตกรต่อเนื่องลึกลับที่เหมือนแจ็คเดอะริปเปอร์นั่นอย่างนั้นแหละ”
ชานยอลหยิบเอาคดีดังที่กำลังเป็นข่าวขึ้นมาพูดเล่นแถมยังแกล้งเน้นคำเรียกอีกฝ่ายให้ชัดเกินกว่าปกติอีกต่างหาก แต่อาการผ่อนลมหายใจยาวปล่อยควันบุหรี่ออกมาเป็นสายนั่นกลับทำให้รอยยิ้มของคนพูดเล่นจางลงไปเล็กน้อย ตากลมโตเบิกกว้าง เผยอริมฝีปากค้างเอาไว้สองสามวินาทีก่อนจะเอ่ยต่อ
“นี่...นี่คุณต้องรับผิดชอบคดีนั่นจริงๆ เหรอเนี่ย”
ไม่มีเสียงตอบจากคริส และนั่นก็แปลว่าใช่ คริสต้องรับผิดชอบคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เกิดขึ้นช่วงเกือบเดือนที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์นำเสนอข่าวนี้อย่างละเอียดเพราะเป็นฆาตกรรมโหดเหี้ยมเทียบเท่ากับคดีแจ็คเดอะริปเปอร์เมื่อร้อยกว่าปีก่อน อีกทั้งลักษณะของคดียังคล้ายคลึงกันเสียจนแทบเรียกได้ว่าเป็นคดีเลียนแบบ ฆาตกรรายนี้ฆ่าคนโดยใช้มีดปาดคอเป็นแผลลึก และหลังจากเหยื่อเสียชีวิต...ก็จะถูกกรีดคว้านผ่าเอาอวัยวะภายในออกมากองไว้ข้างศพซึ่งจะถูกทิ้งให้นอนนิ่งอยู่บริเวณใกล้กับแม่น้ำฮัน เหยื่อผู้สังเวยชีวิตไปกับคดีนี้ทั้งสี่รายเป็นผู้ขายบริการทางเพศเหมือนกับคดีแจ็คเดอะริปเปอร์ไม่มีผิด
สิ่งเดียวที่ต่างจากคดีแจ็คเดอะริปเปอร์ก็คือ...เหยื่อทุกรายเป็นผู้ชาย
ดังนั้น...จึงไม่น่าแปลกใจหากชานยอลจะรู้รายละเอียดเกี่ยวกับคดีนี้พอสมควร อย่างน้อยก็ต้องรู้เอาไว้เพื่อจะได้ “ระวังตัว” บ้างอย่างที่เพื่อนร่วมอาชีพพูดกัน
“ยังหาวิธีจับคนร้ายไม่ได้สินะครับ เท่าที่ผมรู้...ฆาตกรไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรที่จะสืบถึงตัวได้เลย เหยื่อทุกรายก็เหมือนกันแค่อาชีพ นอกนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย แล้วเวลารับลูกค้า ‘พวกเรา’ ก็จะพยายามไม่ยุ่งเกี่ยวกันด้วย ยิ่งทำให้หาพยานหลักฐานยากมาก”
“อืม ใช่”
คริสเองก็ได้ยินมาบ้างตอนสอบสวนคนรู้จักของเหยื่อแต่ละราย ตอนที่ผู้บังคับบัญชามอบหมายให้เขายังไม่ทันคิดว่าคดีจะยากขนาดนี้ แค่คิดว่าในเมื่อคดีนี้เกี่ยวกับผู้ชายขายบริการเขาก็น่าจะไปสอบถามข้อมูลจากชานยอลได้ง่ายๆ นึกไม่ถึงว่าคนร้ายจะใช้ประโยชน์จากลักษณะนิสัยเฉพาะตัวของคนทำอาชีพขายบริการ ยังไม่ต้องถามชานยอลด้วยซ้ำ...แค่เขาสืบสวนเอาจากคนรอบตัวเหยื่อก็ค้นพบแล้วว่าตัวเองกำลังเจอกับทางตัน คริสยังหาคำตอบไม่ได้เลยว่าเขาจะจับฆาตกรรายนี้ได้อย่างไร
ดูท่า...คดีใหญ่ที่ผู้บังคับบัญชาหวังจะให้เขาทำสำเร็จแล้วใช้เป็นบันไดไต่ขึ้นสู่ความมั่นคงในวงการตำรวจเกาหลีคงกลายเป็นจุดจบในสายอาชีพเสียมากกว่า แม้จะถูกกรมตำรวจสากลย้ายมาประจำการโดยเฉพาะ แต่ในฐานะคนต่างชาติ คริสรู้ตัวดีว่าผลงานดีเยี่ยมจะเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เขาได้รับการยอมรับจากคนที่นี่
“ผมก็ไม่รู้จะช่วยคุณยังไง เพราะผมเองก็ไม่รู้จักเหยื่อทั้งสี่รายนั่นเลย ถึงแม้ว่าบางรายจะทำมาหากินอยู่แถวนี้ก็เถอะ”
“ฉันก็ไม่ได้หวังให้เธอช่วยอะไรหรอกนะชานยอล”
เอาอีกแล้ว น้ำเสียงเย็นชาคำพูดใจร้ายแบบนี้อีกแล้ว ชานยอลนึกอยากย้อนกลับไปปรับน้ำเสียงประโยคที่ตัวเองพูดไปก่อนหน้านั้นให้ฟังดูเห็นอกเห็นใจน้อยลงกว่าเดิมจริงๆ ให้ตาย
“ตามใจเถอะครับ ผมไปหาลูกค้าดีกว่า มัวมานั่งอยู่กับคุณคริสตรงนี้ใครสนใจผมเขาคงคิดว่าผมโดนคุณสอยไปแล้ว ไม่เข้ามาหากันพอดี”
ชานยอลกำลังจะลุกขึ้น ทว่าร่างโปร่งกลับชะงักเหมือนนึกอะไรได้ ริมฝีปากบางยิ้มอย่างนึกสนุกก่อนเปลี่ยนไปเบียดชิดร่างสูงแล้วขโมยจูบแก้ม คริสยังไม่ทันตั้งสติหันไปดุเจ้าตัวก็วิ่งหนีออกไปหลายเมตรแล้ว ทิ้งเพียงเสียงหัวเราะคิกคักแว่วมาตามสายลม เด็กหนุ่มหันกลับมาโบกมือหยอยๆ รู้ว่าคนอายุมากกว่าวางมาดพอที่จะไม่วิ่งไล่ตามเป็นเด็กๆ
“สู้ๆ นะครับคุณตำรวจ”
คริสถอนหายใจ มองร่างโปร่งเดินไปยังอีกด้านของสวนสาธารณะริมแม่น้ำฮันแห่งนี้ เป็นบริเวณใกล้ลานจอดรถซึ่ง “ลูกค้า” ของชานยอลและเด็กขายบริการคนอื่นๆ จะขับรถผ่านมาจอดต่อรองราคากันได้สะดวก
มือใหญ่แตะแก้มตัวเองเบาๆ สัมผัสเหนียวๆ ทำให้รู้ว่ามีรอยลิปกลอสของชานยอลติดอยู่
คริสยกบุหรี่จรดริมฝีปากอีกครั้ง ไม่ใส่ใจจะเช็ดรอยลิปกลอสนั้นออกกระทั่งเขาลืมไปเสียสนิทว่ามันยังคงติดอยู่อย่างนั้นไม่เลือนหาย
........................
“ผลการชันสูตรศพทั้งสี่ศพระบุตรงกันครับว่าฆาตกรน่าจะเป็นบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับวงการแพทย์โดยเฉพาะศัลยแพทย์ หรือไม่ก็เป็นผู้ที่มีความรู้ด้านกายวิภาคพอสมควร เพราะแม้ทุกศพจะถูกกรีดเป็นแผลเหวอะหวะ แต่อวัยวะภายในที่ถูกตัดออกมากองนั้นสมบูรณ์แบบมาก และประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ แม้อวัยวะที่หายไปจากศพจะแตกต่างกันไป...แต่สิ่งที่หายไปเหมือนกันหมดทุกศพก็คือไตครับ”
ผู้กองคริส อู๋ เงยหน้าขึ้นมองแพทย์นิติเวชเจ้าของรายงานเมื่อครู่ทันที ตาคมเป็นประกายวาว
“แปลว่าสิ่งที่ฆาตกรต้องการจริงๆ ก็คือไตสินะ อวัยวะอื่นที่หายไปก็แค่พยายามตบตาตำรวจไม่ให้สืบถึงตัวเร็วไปเท่านั้น” ว่าแล้วคริสก็หันไปสั่งลูกน้องฝ่ายสืบสวนอีกคน “คยองซู คุณประสานงานกับโรงพยาบาลทุกแห่งในเกาหลี...ไม่สิ...แค่ในโซลและบริเวณใกล้เคียงก็พอ ดูซิว่ามีผู้ป่วยที่ต้องการเปลี่ยนไตอยู่กี่ราย แล้วขอประวัติญาติผู้ป่วยทุกรายมาเช็กให้ละเอียดว่ามีใครเป็นหมอหรือว่าน่าจะมีความรู้เรื่องกายวิภาคเป็นอย่างดีบ้าง”
“ครับผู้กองคริส”
“หาความเชื่อมโยงของฆาตกรรมแต่ละครั้งได้แบบนี้เราก็เริ่มมีความหวังที่จะจับตัวฆาตกรได้แล้วสินะครับ”
คิมจงอิน นายตำรวจหนุ่มอีกคนในหน่วยของคริสเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ามีความหวัง เขาเงยหน้าจากข้อมูลประกอบที่ตัวเองกำลังดูและเห็นคิ้วเข้มของคริสคลายลงเล็กน้อย ผู้กองหนุ่มยิ้มฝืดกลับมาให้ ทว่าอย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่าเบาะแสที่ได้คราวนี้คงช่วยให้คดีคืบหน้าไปได้พอสมควรทีเดียว และนั่นก็เป็นสิ่งที่คริสต้องการเหลือเกิน
จงอินเป็นหนึ่งในลูกน้องที่ตามคริสออกไปทำคดีเล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่คริสย้ายมาอยู่ใหม่ๆ เขาจึงเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ว่าทำไมคริสถึงอยากจะปิดคดีนี้ให้ได้นักหนา...
... ไม่ใช่เพราะมันจะทำให้คริสมั่นคงและเป็นที่ยอมรับในหน้าที่การงานที่เกาหลีนี่อย่างเดียวหรอก แต่เป็นเพราะเด็กขายบริการคนนั้นด้วย ... เป็นเพราะปาร์คชานยอล...
แม้คริสจะบอกว่าเขาติดต่อกับชานยอลเพราะจะได้ใช้เป็นสายหรือเป็นนกต่อให้ในยามจำเป็นเท่านั้น แต่จงอินรู้ว่ามันไม่ใช่แค่ “เท่านั้น” อย่างที่คริสว่า
“ดีที่คดีนี้จุดประสงค์ของฆาตกรไม่ได้ดูสะเปะสะปะอย่างคดีแจ๊คเดอะริปเปอร์ ไม่อย่างนั้นเราแย่แน่ๆ แต่จริงๆ มันก็ไม่แน่หรอกนะ...” คริสเว้นวรรค ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเอ่ยต่อ “บางทีมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดก็ได้ อาจเป็นพวกค้าอวัยวะเถื่อนหรืออะไรทำนองนั้น ซึ่งนั่นก็คงทำให้การสืบสวนคดีนี้ยากขึ้นไปอีก”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก...
ทุกคนหันขวับไปที่ประตูห้องประชุมทันทีที่ได้ยินเสียงเคาะ ลางร้ายราวกับกำลังแผ่ปกคลุมห้องทั้งห้อง เป็นที่รู้กันดีในกองอาชญากรรมแห่งนี้ว่าถ้าไม่จำเป็นจะไม่มีการเคาะหรือเปิดประตูห้องประชุมขณะกำลังทำการประชุมเรื่องคดีสำคัญ หากจะมีใครสักคนขัดจังหวะการประชุมเช่นนี้...ย่อมหมายความว่ามีเรื่องคอขาดบาดตายเกิดขึ้นแน่นอน
“ขอโทษนะคะผู้กองคริส พอดีว่ามีผู้ชายคนนึงมาขอพบผู้รับผิดชอบคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่ผู้กองกำลังทำอยู่น่ะค่ะ เขาบอกว่า...เอ่อ...เขารู้ตัวฆาตกรค่ะ”
“อะไรนะ!”
การประชุมคดีสำคัญคล้ายถูกย้ายมาที่ห้องสอบสวน ทว่ามีเพียงผู้กองคริส อู๋ กับเลขาผู้คอยจดบันทึกคำให้การอย่างโด คยองซู นั่งตรงข้ามผู้ชายผิวขาวจัด ไม่สูงนัก ท่าทางเรียบร้อย ซึ่งเดินเข้ามาขอพบ “ผู้รับผิดชอบคดีนี้” ที่หน่วยสืบสวนพิเศษเมื่อสิบนาทีก่อนเท่านั้น
แม้ผู้ชายคนนี้จะมาให้ปากคำกับตำรวจอย่างพลเมืองดีคนหนึ่งไม่ใช่ผู้ต้องสงสัย แต่เพราะเป็นคดีสำคัญและยังไม่ได้เบาะแสคนร้ายมากนัก การสอบปากคำจึงต้องดำเนินการอย่างรอบคอบและรัดกุมที่สุดในห้องเก็บเสียงมิดชิดเช่นนี้
“ขอทราบชื่อด้วยครับ”
“คิม จุนมยอน ครับ”
เสียงโด คยองซู พิมพ์คำให้การลงคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กดังแกรกๆ เบาๆ คล้ายจะทำให้บรรยากาศอึดอัดมากขึ้นไปอีก ผู้ชายตัวขาวที่บอกว่าตัวเองชื่อคิม จุนมยอน นั่งก้มหน้า มองแต่มือเรียวสวยของตนซึ่งบีบประสานกันแน่นอยู่บนโต๊ะ
“ไม่ต้องเครียดนะครับ ต้องขอโทษด้วยที่คุณต้องมาให้ปากคำในห้องแบบนี้ มันเป็นคดีใหญ่ หวังว่าจะเข้าใจนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ”
คิม จุนมยอน เงยหน้าขึ้นยิ้มแวบหนึ่ง พยายามไม่สบตาคริส
“เข้าเรื่องเลยนะครับ คุณบอกว่าคุณรู้ตัวฆาตกร หมายความว่ายังไงครับ”
“คือ...” เว้นวรรคคล้ายกำลังลังเลใจ เขาสูดหายใจลึก ก่อนจะเอ่ย “...ผมเป็นคนจ้างเขา เพื่อจะหาไตมาเปลี่ยนให้ลูกพี่ลูกน้องของผมที่ป่วยอยู่ครับ”
เสียงรัวนิ้วบนแป้นพิมพ์ของคยองซูหยุดพร้อมกับที่คริสเบิกตากว้าง แล้วจุนมยอนก็ละล่ำละลักออกมาคล้ายต้องการจะทำลายความเงียบให้เร็วที่สุด
“...คือลูกพี่ลูกน้องของผมที่ชื่อพยอน แพคฮยอน เขาป่วยหนักมาก รอเปลี่ยนไตอยู่นานแล้วแต่ก็หาไตที่เข้ากับร่างกายเขาไม่ได้สักที ไตของผมก็บริจาคไม่ได้ มีอยู่วันนึงผมกลุ้มใจมากเลยไปนั่งดื่มเบียร์อยู่ริมแม่น้ำฮัน แล้วก็พบกับเขาครับ...”
“พบกับเขา...หมายความว่ายังไง อยู่ดีๆ เขาก็มานั่งข้างๆ คุณเหรอ”
“ครับ เขามานั่งดื่มเบียร์ข้างๆ ผม ถามผมว่ามีเรื่องอะไรหนักใจเหรอ ตอนนั้นผมกำลังเมาก็เลยบอกเขาไปหมด เขาเลยเสนอให้ผมจ้างเขา เขาจะไปหาไตมาให้เอง ถ้าไตที่หามาเข้ากับแพคฮยอนไม่ได้เขาก็จะไปหามาให้อีกจนกว่าจะได้ ผมก็เลยตกลง”
คริสขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกคล้ายอะไรบางอย่างจุกอยู่ที่คอจนพูดอะไรไม่ออก เมื่อเห็นคริสเงียบไป จุนมยอนก็เงยขึ้นมองหน้าผู้กองหนุ่มที่นั่งตรงหน้า แววตาเต็มไปด้วยความกลัวและเจ็บปวด
“แต่ว่าผมไม่รู้จริงๆ นะครับว่าเขาจะฆ่าคน เขาไม่ได้บอกผมว่าจะหาไตมาให้ด้วยวิธีไหน ผมเลยคิดเอาเองว่าเขาคงไปซื้ออวัยวะเถื่อนหรืออะไรทำนองนั้น อีกอย่าง...เขาก็เป็นเหมือนความหวังสุดท้ายของผมในเวลาที่ผมหมดสิ้นหนทาง ผมไม่รู้จริงๆ นะครับ เชื่อผมนะครับคุณตำรวจ”
คริสหายใจเข้าลึก เขาอยากอัดนิโคตินเข้าปอดสักสองสามทีแต่ก็ทำไม่ได้เพราะกำลังสอบปากคำ “พยาน” อยู่ ผู้กองหนุ่มอยากปิดคดีให้ได้เร็วๆ ก็จริง แต่ไม่คิดว่ามันจะออกมาเป็นรูปแบบนี้ คิม จุนมยอน แค่อยากจะช่วยชีวิตลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง ดูจากแววตาตื่นกลัวนั่นก็พอเข้าใจได้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจทำให้ตัวเองกลายเป็น “ผู้จ้างวานฆ่า” จริงๆ
“แล้วคุณรู้ตั้งแต่เมื่อไรว่าคนคนนั้นหาไตมาให้คุณโดยการฆ่า รู้ตั้งแต่เมื่อไรแล้วรู้ได้ยังไง”
“ก็...ตั้งแต่เขาหาไตมาให้ผมครั้งที่สองครับ ตอนนั้นพอผมตรวจแล้วพบว่าไตที่ได้มายังเข้ากับน้องชายผมไม่ได้ ผมก็โมโห เขาก็เลยพาผมไปแถวๆ ที่มีเด็กหนุ่มขายบริการเตร่อยู่สี่ห้าคน แล้วก็บอกให้ผมเลือก...”
“อะไรนะ...”
“เขา...บอกว่า ถ้าไม่ถูกใจนักก็เลือกเองเลย อยากได้ไตของคนไหน...เชิญเลือกเอาตามสบาย” เสียงจุนมยอนเหมือนหายใจได้ไม่เต็มปอด ฟังดูตีบตันแปลกๆ “...ผมมองเด็กหนุ่มพวกนั้นแล้วก็รู้สึกกลัวกับสิ่งที่ผมทำลงไปแล้ว...และกำลังจะทำ... ผมส่ายหน้า ไม่ยอมเลือก เขาก็เลยโมโห กระชากเอาเด็กที่ยืนอยู่ในมุมมืดที่ใกล้ที่สุดมาปาดคอ เลือดกระเซ็นโดนหน้าผมด้วย เขาโยนผ้าเช็ดหน้าให้ผมเช็ดหน้าพลางๆ ระหว่างที่เขากำลังผ่าเอาตับไตไส้พุงออกมา เด็กคนนั้นยังนอนตาเบิกโพลงอยู่เลย ตอนโดนเชือดคอเขายังไม่ทันได้ร้องด้วยซ้ำ...”
คิม จุนมยอน ตัวสั่นเทิ้ม สองมือคลายจากกันเพื่อโอบกอดตัวเองคล้ายกำลังหนาวสั่น คริสตั้งสติแล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจช้าๆ รู้สึกได้ว่า โด คยองซู ก็พิมพ์ไปเรื่อยๆ ทั้งที่ยังกลั้นหายใจอยู่เช่นกัน
“...แล้ว...คุณพอจะบอกชื่อหรือรูปพรรณสัณฐานของฆาตกรหน่อยได้หรือเปล่า”
“ผม...ผมไม่เห็นหน้าเขาหรอกครับ”
“ว่าไงนะ...”
คริสขมวดคิ้วฉับ ติดต่อว่าจ้างกันถึงขนาดนั้นแต่ไม่เคยเห็นหน้า...เป็นไปได้ยังไง
“เขาจะใส่หมวกแล้วก็ใส่เสื้อมีฮูทตัวใหญ่ๆ แถมบางครั้งยังใส่ผ้าปิดปากด้วย ผมเลยไม่เคยเห็นหน้าเขา ส่วนชื่อ...”
คิม จุนมยอนใช้มืออันสั่นเทาล้วงกระเป๋าเสื้อแจ๊คเก็ต ผ้าเช็ดหน้าที่มีรอยเปื้อนเลือดแห้งกรังจนกลายเป็นหย่อมๆสีน้ำตาล ถูกวางบนโต๊ะตรงหน้าคริส ผู้กองหนุ่มหยิบมันขึ้นดูให้ละเอียดก็เห็นว่ามุมผ้าเช็ดหน้าสีเทาอ่อนมีด้ายสีเงินปักเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษเอาไว้สองตัว...เหมือนกับชื่อย่อ...
... S.H. ...
“นี่เป็นผ้าเช็ดหน้าของเจ้าหมอนั่นที่เอาให้ผมเช็ดเลือด ผมเพิ่งมาเห็นตัวอักษรย่อนี่ทีหลัง คิดว่าคงเป็นชื่อย่อของเขานั่นละครับ”
“เอสเอช...”
คริสพึมพำเบาๆ ชื่อคนเกาหลีที่ย่อได้ว่า S.H.คงมีเป็นพันเป็นหมื่นคน ยิ่งถ้าเจ้าฆาตกรเป็นใครก็ไม่รู้ที่รับจ้างฆ่าคนง่ายๆ แบบนี้แล้วละก็ยิ่งหาตัวยากเข้าไปใหญ่ ถ้างั้น...
“คุณจุนมยอนครับ ปกติคุณติดต่อกับเจ้าฆาตกรนี่ยังไง มีเบอร์โทรศัพท์หรือว่า...”
ชายหนุ่มส่ายหน้าช้าๆ ถอนหายใจแล้วก็เม้มปากแน่น ก่อนจะค่อยคลายออก
“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละครับ แรกๆ แค่ผมไปเตร่แถวสวนสาธารณะริมแม่น้ำฮันที่เดิมเขาก็จะมา แต่หลังจากเหยื่อรายนั้นที่ผมเห็นเขาลงมือฆ่ากับตา เขาก็มักจะรอให้ผมไปซื้อบริการเด็กแถวนั้นแล้วพาไปที่ลับตาคนเสียก่อนเขาถึงจะปรากฏตัวออกมา...มาฆ่าเหยื่อ”
เสียงของจุนมยอนสั่นสะท้านทันทีที่พูดคำว่า “ฆ่า” มือสวยทว่าเย็นเฉียบยื่นมาแตะมือผู้กองหนุ่ม ดวงตารื้นน้ำคู่นั้นยังคงหวาดกลัวแต่ก็ฉายแววเว้าวอนเมื่อสานสบกับดวงตาคมของคริส
“ผมมาบอกเรื่องนี้กับตำรวจเพราะผมไม่อยากทำบาปอีกแล้ว ผมอยากหาไตมาเปลี่ยนให้น้อง...ให้น้องได้ยิ้มอีกครั้ง แต่สิ่งที่ผมทำมันกลับทำให้เขาร้องไห้จนได้ พอแพคฮยอนรู้ว่าผมไปหาไตพวกนั้นมายังไง เขาโกรธมากแล้วก็เสียใจมากจนอาการทรุดหนักลงไปอีก ผมไม่อยากให้เขาเป็นแบบนั้น...ผู้กองครับ ช่วยผมด้วย ได้โปรด...รับปากผม ช่วยจับเจ้าฆาตกรนั่นทีนะครับ”
“แต่...คุณรู้รึเปล่าครับว่าตัวเองก็จะถือว่ามีความผิดฐานจ้างวานฆ่าเหมือนกัน แม้ว่าการสารภาพจะลดโทษได้ก็เถอะ”
“รู้สิครับ แต่ช่างเถอะ ผมขอแค่คุณตำรวจจับเจ้าฆาตกรนั่นได้ก็พอ จะให้ทำวิธีไหนก็ได้ทั้งนั้น นะครับ”
ดวงตาคริสหรี่ลง เขาเกลียดที่สมองตัวเองแล่นเร็วเกินไปเวลาสืบคดี จริงอยู่ว่ามันมีประโยชน์ แต่มันกำลังทำให้เขาพบคำตอบเรื่องวิธีจับกุมคนร้ายเร็วเกินไป ยิ่งคิดก็ยิ่งชัดเจนว่าไม่มีทางอื่น ยิ่งคิด...หัวใจก็ยิ่งเหมือนจะเต้นแผ่วเบาลง
...วิธีไหนก็ได้ที่จุนมยอนว่า...มันเหลือแค่วิธีเดียวเท่านั้น และเป็นวิธีที่คริสไม่อยากใช้ที่สุดเสียด้วย...
....................
ครั้งแรกที่คริสเจอชานยอล...เด็กคนนั้นกำลังนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ที่ม้านั่งในสวนสาธารณะ พอเขาเข้าไปถามไถ่ด้วยความหวังดีว่าเป็นอะไรหรือเปล่า...ดวงตารื้นน้ำจนอายไลเนอร์เลอะนั้นก็ทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก
ชานยอลตัวโต...แต่แววตาที่มองมาเหมือนเด็กน้อยใสบริสุทธิ์ แววตานั้นเข้าไปเขย่าหัวใจด้านชาของคริสให้สั่นคลอนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ตากลมโตฉายออกมาทั้งความเหงา ความกลัว ทว่าวินาทีต่อมามันก็กลับมีความหวังเรืองอยู่ในนั้น
“ถ้าคุณต้องการผม ผมก็คงจะ ‘ไม่เป็นไร’ ไปอีกทั้งคืน สนใจรึเปล่าละครับ”
“เธอ...ว่าอะไรนะ” คริสขมวดคิ้วฉับ ยังไม่เข้าใจคำถามของชานยอลนัก
“ต้องให้ผมพูดตรงๆ ด้วยเหรอ ดูหน้าตาคุณไม่น่าเป็นคนใสซื่อขนาดนั้นเลยนะ...” ชานยอลลุกขึ้นยืน เผยความสูงที่เกือบจะเท่ากับคริส มือเรียวหยิบกระจกในกระเป๋ากางเกงมาส่องพลางซับอายไลเนอร์ส่วนที่เลอะออกอย่างคล่องแคล่ว “...คุณจะให้เท่าไรละครับ แสนวอน? แปดหมื่นวอน? ถ้าน้อยกว่าหกหมื่นนี่ไม่ต้องมาพูดกันเลยนะ”
ดวงตาคมค่อยๆ เบิกกว้างขึ้นทีละน้อย เพราะคริสยืนใต้เสาไฟพอดีชานยอลจึงเห็นสีแดงระเรื่อซ่านไปบนแก้มสากชัดเจน เด็กหนุ่มขำพรืด ไม่คิดว่าผู้ชายตัวสูงชะลูดหล่อเข้มตาคมท่าทางเย็นชานิดๆ แบบนี้จะหน้าแดงได้ง่ายๆ ...ยิ่งคิดว่าคงจะหน้าแดงเพราะ ‘ไม่เคย’ ด้วยแล้วยิ่งน่าขำเข้าไปใหญ่
“ตายละ อย่าบอกนะว่าคุณไม่เคย ‘ซื้อ’ ...จริงอะ? ฮ่าฮ่าฮ่า... เอาละ ไหนๆก็ไหนๆ เห็นแก่ครั้งแรก...ผมลดให้เป็นพิเศษก็ได้”
ร่างโปร่งเดินเข้าใกล้คริสจนตัวแทบจะชิดกัน มือเรียววางทาบบนอกอุ่นของคนตัวสูง พอใกล้กันแบบนี้ชานยอลก็ได้กลิ่นหอมอุ่นๆ จากตัวผู้ชายตรงหน้าอย่างชัดเจน กลิ่นนั้นช่างคุ้น...คุ้นเสียจนความเหงาและความอ่อนแอที่ทำให้เขาร้องไห้เมื่อครู่ค่อยๆ ตีขึ้นมาในอกอีกครั้งหลังจากชานยอลพยายามกดมันลงไปตอนชายหนุ่มโผล่มาถามไถ่เขาว่าเป็นอะไรรึเปล่า
...กลิ่นที่เหมือนกับ...เหมือนกับ...
“เธออายุเท่าไร”
“ถามทำไมครับ” คิ้วเรียวเลิกขึ้น แล้วรอยยิ้มก็ผุดพราย “หรือว่าคุณชอบแบบเด็กๆ สดๆ หน่อย? ผมว่าอายุสิบเจ็ดอย่างผมก็น่าจะสดพอนะ”
“สิบเจ็ด...รู้รึเปล่าว่ามันผิดกฎหมาย ถ้าฉันเป็นตำรวจละก็ ฉันจับเธอเข้าคุกได้ตอนนี้เลยนะ”
ว่าพลางล้วงเอาตราตำรวจออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วเปิดให้เด็กหนุ่มเห็นจะจะกับตา รอยยิ้มของชานยอลจืดเจื่อน ดวงตากลมเบิกกว้างทันที
“เอ่อ...คือ ผม...ผมล้อเล่นนะ ผมอายุยี่สิบสามแล้ว คือ...”
“ไหนล่ะบัตรประชาชน”
คริสเก็บตราตำรวจกลับเข้าไปในแจ็คเก็ตหนังสีดำเรียบร้อยแล้ว มือสองข้างล้วงกระเป๋า ยืนใช้สายตาเป็นต่อมองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่เอาแต่หลบตาและผละถอยออกไปก้าวหนึ่งเพราะทำอะไรไม่ถูก ชานยอลมองโน่นนี่เลิกลั่กอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร เมื่อเห็นเท้าในรองเท้าผ้าใบก้าวถอยไปอีกก้าวคริสก็ยกยิ้มมุมปาก คว้าข้อมือบางข้างหนึ่งขึ้นมากะทันหันจนเจ้าของมือสะดุ้งเฮือก
“เอาบัตรประชาชนออกมาสิ ถ้าอายุยี่สิบสามจริงจะปล่อยไป ไม่งั้นก็ไปโรงพัก”
“ผม...ผมลืมพกมา”
ยิ่งได้ยินคำแก้ตัวแบบนั้นคริสก็ยิ่งนึกสนุก แกล้งเพิ่มแรงที่จับข้อมือขาวเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายสะบัดหลุดได้ง่ายๆ เขารู้ว่าเด็กหนุ่มคงอายุสิบเจ็ดอย่างที่บอกแต่แรกนั่นแหละ แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะจับไปโรงพักจริงจังอย่างที่พูดหรอก
ก็แค่เห็นตากลมๆ ดูตื่นกลัว เรือนผมสีน้ำตาลอมส้มสะบัดไหวยามเจ้าตัวร้อนรน ... แค่นั้นก็รู้สึกว่าน่าแกล้งดีพิลึก
ยิ่งคิดว่าเขาอุตส่าห์เข้าไปถามด้วยความเป็นห่วงตามประสาผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ดีแต่ดันถูกเข้าใจผิดว่าจะไป “ซื้อบริการ” แถมยังมาหัวเราะใส่กันอีก แบบนั้นมันยิ่งน่าเอาคืนนัก...
“ไม่พกบัตรประชาชนงั้นเหรอ แบบนี้ยิ่งน่าสงสัยเข้าไปใหญ่ ไปโรงพักกับฉันเดี๋ยวนี้เลย”
“อ๊า...เดี๋ยวสิครับ”
ยิ่งแกล้งทำท่าจะลากไปโรงพักจริงๆ ชานยอลยิ่งร้อนรน ร่างโปร่งที่สูงเกือบจะเท่าคริสขืนข้อมือตัวเองไว้ พอนายตำรวจหนุ่มหันกลับมาก็ล้วงกระเป๋าสตางค์ด้วยสีหน้าจ๋อยๆ ริมฝีปากแต้มลิปกลอสรสผลไม้จนวาววามมู่ทู่ทีเดียวตอนยื่นบัตรประชาชนให้
“ปาร์ค ชานยอล... อายุสิบแปด...” คริสยักไหล่ “...นี่เธอโกหกทั้งลูกค้าแล้วก็ตำรวจเชียวนะ ไหนตอนแรกบอกว่าสิบเจ็ดไง”
ชานยอลหน้าเจื่อน ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ตอบประโยคนั้นของคริส สุดท้ายนายตำรวจหนุ่มก็ไม่เอาความ และยังบังเอิญ (อย่างน้อยคริสก็บอกทุกครั้งว่ามันบังเอิญ) ช่วยชานยอลอีกสองสามครั้ง ทั้งช่วยให้พ้นจากลูกค้าที่คิดจะ “รับบริการ” แล้วชิ่งไม่จ่ายเงิน และบางครั้งก็ช่วยให้พ้นจากลูกค้าซาดิสม์ที่แทบทำให้เด็กขายบริการเอาชีวิตไม่รอดกันมาแล้วหลายราย
การรู้จักกันของคริสกับชานยอลถือได้ว่าเป็นแบบได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ในขณะที่คริสบังเอิญ (แน่นอนว่าคริสย้ำคำนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก) ช่วยชานยอลเอาไว้ คุณตำรวจผู้มีหน้าตาหล่อเหลาราวรูปสลักผู้นี้ก็อาศัยชานยอลเป็นนกต่อเล็กๆ น้อยๆ ให้เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ (คริสนับให้ชานยอลฟังด้วยเสียงเย็นชาทุกครั้งว่าเขาช่วยชานยอลเป็นครั้งที่เท่าไร นับเป็นบุญคุณที่ชานยอลติดค้างเอาไว้เท่าไร และต้องชดใช้ด้วยการช่วยงานตำรวจกี่ครั้งๆ อย่างไรบ้าง) ไม่ว่าจะเป็นการลวงให้หัวหน้าแก๊งมาเฟียมาติดกับเพื่อจะจับกุม หรือว่าล่อซื้อยาเสพติด
ทุกครั้ง...ไม่มีใครรู้ว่าคริสเครียดเพียงใดเวลาคิดแผนการทั้งหมดให้นกต่อปลอดภัยที่สุด เขาพยายามเลือกคดีที่ไม่เสี่ยงนักหากจำเป็นต้องใช้เด็กหนุ่มขายบริการมาเป็นนกต่อจริงๆ คริสให้เหตุผลว่ามันเป็นจรรยาบรรณตำรวจที่ต้องคุ้มกันผู้บริสุทธิ์ และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือคริสรู้จักแค่ชานยอลคนเดียว หากชานยอลเป็นอะไรไป หน่วยของเขาก็จะไม่มีนกต่อไว้ใช้งานอีก
แต่นี่มันต่างออกไปโดยสิ้นเชิง...
คดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่อุกอาจขนาดนี้...เมื่อคิดหาวิธีอื่นไม่ได้นอกจากการใช้นกต่อ และนกต่อก็มีเพียงปาร์คชานยอลคนเดียวเสียด้วย คริสได้แต่พยายามข่มใจ บอกตัวเองว่าต้องตั้งสมาธิกับงานให้มากที่สุด แน่นอนว่าจะต้องไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้นแม้แต่น้อย ก็ที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยพลาดไม่ใช่หรือ ชานยอลปลอดภัยดีทุกครั้งที่เสร็จสิ้นภารกิจนกต่อของตำรวจ ครั้งนี้ก็คงเหมือนกัน ชานยอลคงจะปลอดภัยไม่มีอะไรเกิดขึ้น คริสจะจับตัวฆาตกรได้และชานยอลจะไม่เป็นอะไร...ชานยอลจะไม่เป็นอะไร...
ตาคมสะดุดลงที่เครื่องประดับแวววาวในร้านข้างทาง ตำรวจหนุ่มหยุดฝีก้าว แหวนฝังเพชรปลอมรูปมังกรผงาดปีกวิบวับล้อแสงไฟคล้ายจะดึงดูดให้เขาเดินเข้าไปหา คริสยิ้มน้อยๆ พลางหยิบขึ้นมาดู...แล้วก็นึกถึงเด็กคนนั้น
แหวนวงนี้เหมาะกับชานยอล...
เขาตัดสินใจซื้อโดยไม่ลังเลนัก ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงนึกอยากให้ของแบบนี้ อาจเพราะวันเกิดที่ผ่านมาชานยอลทวงของขวัญแต่เขาเพียงแค่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่าไม่มี เพราะอย่างนั้นเลยรู้สึกผิด...หรือเปล่านะ
แต่อู๋อี้ฝานรู้ดีว่าไม่ใช่เพราะความรู้สึกผิด...
“ฮั่นแน่ คุณผู้กองอู๋ ยืนอมยิ้มอยู่คนเดียวแบบนี้เนี่ย กำลังคิดถึงใครอยู่ไม่ทราบครับ”
ตำรวจตัวสูงปรี๊ดสะดุ้งเล็กน้อย ไม่รู้ว่าตัวเองเดินมาถึงที่ประจำที่มักจะเจอกับชานยอลตั้งแต่เมื่อไร อารามตกใจมือใหญ่จึงซ่อนแหวนเอาไว้ข้างหลังโดยอัตโนมัติ แต่นั่นยิ่งทำให้ชานยอลหรี่ตาสงสัย อู๋อี้ฝานมองรอยยิ้มล้อของเด็กหนุ่มตรงหน้า ...จู่ๆ คำพูดระหว่างประชุมคดีสำคัญก็ลอยเข้ามาสู่สมอง
.
.
.
‘โอกาสมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ผมไม่อยากให้ผิดพลาด เพราะฉะนั้น...คุณคงต้องให้นกต่อของคุณมีสัญลักษณ์อะไรติดตัวสักอย่างแล้วละครับ ผมจะได้รู้ว่าคนไหนเป็นนกต่อที่คุณเตรียมไว้’
‘งั้น...’ คริสลูบแหวนที่ใส่ติดตัวเหมือนทุกครั้งที่ใช้ความคิด คิมจุนมยอนมองกิริยานั้นแล้วก็เสนอขึ้นมา
‘จะให้ใส่แหวนอะไรสักอย่างก็ได้นะครับ ปกตินกต่อของคุณคนนั้นเขาใส่แหวนอะไรหรือเปล่า’
คริสชะงักมือที่กำลังลูบแหวน เขาจำได้ว่าแม้ชานยอลจะใส่เครื่องประดับบ้าง แต่ก็ไม่เคยใส่แหวน
‘เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ งั้นผมจะหาแหวนให้เขาใส่เอาไว้ที่นิ้วนางข้างซ้ายก็แล้วกัน จะได้เป็นสัญลักษณ์เอาไว้ให้คุณสังเกตได้’
.
.
มือใหญ่กำแหวนรูปมังกรฝังเพชรปลอมวิบวับนั้นเอาไว้ในอุ้งมือ กำแน่นจนเจ็บ เขาแทบจะลืมไปแล้วว่าตกลงกับจุนมยอนเอาไว้แบบนี้ ตอนที่ซื้อแหวนก็ลืมไปเสียสนิท...คิดแต่เพียงว่าแหวนมันเหมาะกับชานยอล เห็นแล้วอยากจะซื้อให้สักครั้ง
แต่ตอนนี้เขาไม่อยากเอาแหวนวงนี้ให้ชานยอลอีกต่อไปแล้ว ไม่อยากให้ชานยอลทำงานนกต่อในคดีนี้... ไม่
“ซ่อนอะไรไว้ข้างหลังน่ะคุณตำรวจ”
ชานยอลพยายามชะโงกหน้ามาดู แม้คริสจะรู้ว่ามือตัวเองใหญ่พอจะกำแหวนเอาไว้ได้มิด แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเบี่ยงตัวบังสายตาอีกฝ่ายเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง
“ไม่มีอะไร”
อาจเพราะจับได้ว่าน้ำเสียงของคริสไม่ได้นิ่งและเย็นเหมือนที่ผ่านมา เด็กหนุ่มจึงยิ่งสงสัยหนักเข้าไปอีก ถึงอย่างนั้นก็ยอมไม่เซ้าซี้ เดินไปนั่งไขว่ห้างรอที่ม้านั่งตัวเดิม เอียงคอมองคุณตำรวจที่ยังดูประหม่าแปลกๆ
“มาหาผมนี่จะให้ช่วยเป็นนกต่ออีกใช่ไหม”
ตำรวจหนุ่มทำท่าอึกอักคล้ายจะตอบรับก็ไม่อยาก จะปฏิเสธก็ไม่ได้เหมือนกัน เห็นแบบนั้นชานยอลก็คลี่ยิ้ม...เป็นยิ้มแบบคนที่เต็มใจช่วย แม้ว่าจะรู้สึกคล้ายมีตะกอนความเศร้านอนก้นอยู่ในใจลึกๆ
บางที...ผู้กองอู๋อาจไม่รู้ว่าตัวเองทำสีหน้าแบบนี้ทุกครั้งที่มาขอให้ชานยอลช่วยเป็นนกต่อให้ แม้คำพูดจะเย็นชา ฟังดูไม่ใส่ใจแกมบังคับขู่เข็ญให้ทำเพื่อชดใช้บุญคุณที่เคยช่วยเหลือ ... แต่แววตาลังเลและเป็นห่วงแบบนี้ชานยอลเห็นมันทุกครั้งจริงๆ ถึงครั้งนี้จะดูชัดเจนกว่าครั้งไหนๆ ก็เถอะ
“โอเคครับ คราวนี้ผมต้องทำอะไรพิเศษไหม หรือแค่ทำเป็นรอลูกค้าเหมือนทุกที”
คริสถอนหายใจเบาๆ แต่ยังดูอึดอัด ตำรวจร่างสูงไม่ยอมตอบคำถาม แต่ยอมเดินมานั่งลงบนม้านั่งตัวเดียวกัน มือด้านที่อยู่ไกลจากชานยอลยังคงกำแหวนวงนั้นไว้ขณะที่อีกมือล้วงบุหรี่ในกระเป๋าเสื้อออกมาเตรียมจะจุดสูบ
จู่ๆ กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยก็ลอยเข้าจมูกพร้อมกับกลิ่นบุหรี่ที่ไม่ใช่ของตัวเอง เด็กหนุ่มข้างตัวจุดบุหรี่ของตัวเองเมื่อไรก็ไม่รู้ แต่แทนที่จะยื่นไฟแช็กมาให้ กลับโน้มมาต่อบุหรี่ที่ตัวเองคาบอยู่เพื่อจุดบุหรี่ให้อู๋อี้ฝาน ใบหน้าของอีกฝ่ายอยู่ใกล้จนมองเห็นแก้มเนียนละเอียดซึ่งถูกทาทับด้วยแป้งบางๆ พอให้ดูดี ชานยอลสบตาเขาด้วยตาเป็นประกายวับ มุมปากที่คาบบุหรี่อยู่นั้นยิ้มน้อยๆ อย่างซุกซน
“เรียบร้อย”
ชานยอลว่าพลางผละออกไป บุหรี่ของอี้ฝานจุดติดแล้ว พร้อมกับที่แหวนรูปมังกรฝังเพชรปลอมวงนั้นไปส่องประกายล้อไฟอยู่ในมือเรียวของชานยอล
เด็กหนุ่มหัวเราะชอบใจที่แกล้งเอาของในมือตำรวจมาดูได้สมใจอยาก แต่เมื่อพิจารณาดูของที่ตัวเองชิงมาได้เต็มสองตา ตากลมโตคู่นั้นก็เบิกกว้าง
“สวยจัง ถึงจะดูออกว่าเป็นแค่ของที่ขายตามร้านข้างทาง แต่ว่าสวยชะมัดเลยแฮะ”
คริสพยายามคว้ากลับมาแต่ชานยอลก็เบี่ยงหลบ เด็กหนุ่มสวมมันลงที่นิ้วนางข้างซ้ายแล้วยกมือขึ้นสูงให้แหวนทอประกายล้อแสงไฟ
โดยไม่รู้ตัวเลยว่า...การที่ชานยอลใส่มันลงนิ้วนางข้างซ้ายได้พอดีและไม่มีทีท่าจะถอดออกนั้นทำให้อู๋อี้ฝานใจหายวาบ
‘งั้นผมจะหาแหวนให้เขาใส่เอาไว้ที่นิ้วนางข้างซ้ายก็แล้วกัน จะได้เป็นสัญลักษณ์เอาไว้ให้คุณสังเกตได้’
“ใส่พอดีเป๊ะเลย สวยมากด้วย” ชานยอลว่าพลางหันมายิ้มให้อย่างดีใจ “คุณตั้งใจจะให้ผมอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ ผมรู้หรอกน่า”
“ชานยอล...”
“ขอบคุณนะครับ ผมชอบมากเลย”
สีหน้าดีใจแบบนั้นทำให้คริสพูดไม่ออก เขาเพิ่งรู้ตัวเดี๋ยวนี้เองว่าชอบรอยยิ้มแบบนี้ของชานยอลมากแค่ไหน รอยยิ้มแสดงความขอบคุณ ดีใจ และมีความสุขกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาให้ คริสทำลายรอยยิ้มของชานยอลไม่ลง...
...แต่ขณะเดียวกัน เขาก็รู้ดีว่าของที่ทำให้ชานยอลมีความสุขขนาดนี้...อาจนำอันตรายร้ายแรงมาสู่ชานยอลในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าก็ได้...
คริสต้องจับตัวฆาตกรให้ได้ เขาต้องทำงานนี้ให้สำเร็จ งานนี้สำคัญเท่าชีวิต...แต่ว่าชานยอลก็...
“จำได้ไหมครับ ตอนที่เราพบกันครั้งแรก ผมเสนอให้คุณซื้อบริการ”
ความคิดสะดุดลงชั่วขณะเพราะคำพูดนั้น คริสมองชานยอลที่ลุกขึ้นยืนลูบแหวนพลางมองแม่น้ำฮันอย่างเหม่อลอย
...แต่ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยาย...
“ผมยังไม่เคยบอกคุณเรื่องหนึ่ง...สาเหตุที่ผมเอาตัวเข้ามาใกล้ชิดคุณทั้งที่มันเสี่ยง สาเหตุที่ผมยอมทำงานเป็นนกต่อให้คุณทั้งที่ผมคิดอยู่ตลอดเวลาว่าเรื่องบุญคุณอะไรที่คุณอ้างน่ะ...มันงี่เง่าสิ้นดี ไม่เห็นจำเป็นต้องชดใช้ตามที่คุณว่าด้วยซ้ำไป...
“นั่นก็เพราะ...ครั้งแรกที่เจอคุณ เข้าใกล้คุณ...คุณมีกลิ่นกลิ่นหนึ่งที่ตรึงผมเอาไว้... ทำให้ผมอยากจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่ใกล้คุณ...
“กลิ่น...ที่เหมือนกับพ่อของผม”
ชานยอลทิ้งช่วงนานคล้ายจะรอให้คริสพูดอะไรสักอย่าง แต่ตำรวจหนุ่มไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เขาทำเพียงแค่มองเบื้องหลังของชานยอลเงียบๆ ...แล้วปล่อยให้เด็กหนุ่มคนนี้พูดสิ่งที่อยากจะพูด
“ผมจำได้แค่รางๆ ตอนที่พ่อกอดผมก่อนจะขับรถออกไป...แล้วก็ไม่กลับมาอีก ตอนนั้นผมสูดหายใจลึกเพื่อซึมซับทุกอย่างเอาไว้ และมันก็เหมือนกับกลิ่นที่มาจากตัวคุณตอนที่เข้าใกล้ไม่มีผิด มันเป็นกลิ่นที่อบอุ่น...อบอุ่นอย่างที่ผมไม่อาจหาได้ที่ไหนอีกในโลกเวิ้งว้างใบนี้”
.
.
“และก็เพราะความอบอุ่นนั้น ผมจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อไขว่คว้ามา...อย่างน้อย ก็คว้ามาอยู่ใกล้ตัวเองให้มากที่สุดก็ยังดี”
ตาคมหรี่ลงเล็กน้อย ริมฝีปากเม้มแน่นอย่างพยายามอดกลั้นอะไรบางอย่าง เขาไม่เคยรู้ว่าทั้งที่ตัวเองพยายามทำตัวเย็นชากับชานยอลมาโดยตลอด แต่เด็กคนนี้กลับมองว่าเขาเป็นความอบอุ่นหนึ่งเดียวที่มีอยู่...
...และความอบอุ่นนี้เองที่หยิบยื่นคมมีดกับปลายกระบอกปืนนับครั้งไม่ถ้วนมาให้ชานยอล ทำให้ชานยอลเฉียดตายหลายต่อหลายครั้ง...
คริสมองแหวนรูปมังกรผงาดปีกสวยงาม ส่องประกายวับอยู่บนนิ้วเรียวยาวของอีกฝ่าย เขารู้สึกเหมือนหายใจติดขัด
...ถอยไม่ได้...ไม่สิ...มันไม่มีทางให้เขาถอยอีกต่อไปแล้ว...
“คุณรู้สึกหรือเปล่าว่าทำอย่างนี้เหมือนคนโง่ ผมแค่อยากอยู่ใกล้ๆ ความอบอุ่น ผมแค่...แค่ชอบกลิ่นนั้นของคุณ รักความอบอุ่นในตัวคุณ แค่นั้นผมถึงกับต้องเอาตัวเองมาเสี่ยง หวิดจะโดนคนร้ายฆ่าปาดคอตั้งหลายครั้งแน่ะ”
กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ชานยอลเป็นนกต่อให้ตำรวจ อาศัยความว่องไวและไหวพริบของเจ้าตัวเองยังแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ทุกครั้ง...ถ้าไม่ใช่เพราะฝีมือของคริสเด็กหนุ่มก็คงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้
คริสคงไม่รู้ว่าสายตาเย็นชาที่เขาใช้มองชานยอลบ่อยครั้งนั่น...ทำให้เจ้าตัวเสียขวัญเสียกำลังใจได้มากกว่าถูกคนร้ายจี้เสียอีก
แต่ชานยอลก็ยังยินดีจะทำงานให้ตำรวจ ยินดีจะทำเพื่อคริส
“ผมว่า...ผมก็คงเป็นคนโง่จริงๆ นั่นแหละ”
ความเงียบปกคลุมสวนสาธารณะริมแม่น้ำฮันแห่งนี้เนิ่นนาน ได้ยินเสียงลมเย็นจัดกรีดผ่านต้นไม้ใบหญ้ามาแทรกเนื้อผ้าไหมพรมเข้าไปทำให้เด็กหนุ่มที่ยืนลูบแหวนเหม่อลอยอยู่ต้องสั่นสะท้าน ชานยอลหันกลับมามองม้านั่งเบื้องหลังทว่าพบเพียงความว่างเปล่า ตำรวจหนุ่มที่เคยนั่งอยู่ตรงนั้นไม่อยู่แล้ว
“ไปแล้วสินะ...ไม่บอกกันสักคำ”
ริมฝีปากแต้มกลอสบางๆ ยิ้มเศร้า ตาบ้าอู๋อี้ฝานก็เป็นอย่างนี้ ชอบไปมาไม่บอกไม่กล่าว ยิ่งถ้าเป็นช่วงที่ต้องทำคดีอะไรสักอย่างด้วยแล้วละก็คริสมักจะรีบเสียจนไม่ได้ร่ำลาอยู่บ่อยๆ
แต่บางที...เขาก็อดน้อยใจไม่ได้...
ชานยอลรู้ดีว่าตัวเองเป็นแค่เด็กขายบริการ แถมยังมีหน้าที่เป็นนกต่อ คงไม่มีสิทธิ์จะไปเรียกร้องให้คุณตำรวจแสดงความสนิทสนมกับเขามากมายนัก การทำตัวสนิทสนมกับนกต่อเป็นสิ่งที่ตำรวจไม่ควรทำ...เพราะตำรวจอย่างคริสควรจะหลีกเลี่ยงปัจจัยทุกประการที่จะทำให้อารมณ์อ่อนไหว เพื่อป้องกันไม่ให้ทำงานผิดพลาด
แต่ว่าชานยอลห้ามใจตัวเองไม่ได้...
ร่างสูงโปร่งเดินเรื่อยๆ มาที่ประจำที่เขามักยืนรอลูกค้า ปกติอากาศริมแม่น้ำมักหนาวกว่าที่อื่นๆ อยู่แล้ว แต่วันนี้ไม่รู้ทำไมจึงหนาวจนชานยอลอดยกแขนขึ้นมากอดตัวเองไม่ได้ การกระทำเช่นนั้นทำให้ใครคนหนึ่งมองเห็นแหวนวงสวยบนนิ้วนางข้างซ้ายของเด็กหนุ่มได้ชัดเจน คนคนนั้นขยับหมวกที่สวมอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าหาชานยอลอย่างไม่รีบร้อนแต่ก็ไม่ลังเล
การเคลื่อนไหวของชายที่สวมหมวกทำให้ตำรวจหนุ่มอีกสองนายที่แยกกันซุ่มดูอยู่ห่างๆ เริ่มใจเต้นไม่เป็นจังหวะ คริสมองลอดพุ่มไม้ที่เขาใช้ซ่อนตัว เห็นคิมจุนมยอนก้าวอย่างมั่นคงไปหาชานยอลตามแผนที่ตกลงกันเอาไว้ เขาเห็นชานยอลยิ้มน้อยๆ ตอนที่หยิบธนบัตรห้าหมื่นวอนสองใบซึ่งจุนมยอนยื่นให้ ก่อนจะเดินตามจุนมยอนไปที่มุมอับใต้สะพาน
คริสขมวดคิ้ว เขาคิดว่าถ้ามองจากที่ที่คิมจงอินซ่อนตัวอยู่คงพอจะเห็นสีหน้าของจุนมยอนได้บ้าง แต่ตรงนี้เขามองเห็นเพียงสีหน้าของชานยอลเท่านั้น และการไม่เห็นสีหน้าของจุนมยอนประกอบกับการที่จุนมยอนพาชานยอลเข้าไปบริเวณมืดๆ ใต้สะพานทำให้เขาหงุดหงิดบอกไม่ถูก
รู้ว่าหากจะล่อให้ฆาตกรออกมาสังหารก็ต้องเข้าไปในมุมอับแบบนั้น และเพื่อความแนบเนียนชานยอลก็จะต้องไม่รู้ตัวว่าตอนนี้ตัวเองกำลังเล่นบทนกต่ออยู่ เมื่อครู่คริสถึงได้จากมาโดยไม่บอก แต่อย่างไรเขาก็ยังรู้สึกตะหงิดๆ กับเรื่องทั้งหมดนี้อยู่ดี
จากตรงนี้ หากมีคนแปลกหน้าสักคนเดินเข้าไปตรงจุดที่จุนมยอนอยู่กับชานยอลละก็ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตกอยู่ในสายตาของคริสกับจงอินอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าผ่านมาหลายวินาทีแล้วสวนสาธารณะบริเวณนี้ก็ยังว่างเปล่า ความเงียบที่ทำให้เขาได้ยินเพียงเสียงรถราบนสะพานแล่นผ่านไปเป็นระยะทำให้จิตใจร้อนรนขึ้นมาทุกขณะ
...ผิดปกติ...ต่อให้เจ้าฆาตกรนั่นไม่ติดกับก็น่าจะมีใครอื่นผ่านมาบ้าง นี่มันเงียบเกินไป...
“อึ้ก”
เสียงนั้นทำให้นายตำรวจหนุ่มเบิกตากว้าง เขากับจงอินออกจากที่ซ่อนแทบจะพร้อมกัน ทันเห็นเงาร่างของใครคนหนึ่งผงะถอยหลังคล้ายตกใจหรืออะไรสักอย่างก่อนจะจ้ำอ้าววิ่งหนีไปอีกทาง มีดเปื้อนเลือดในมือขาวจัดสะท้อนแสงไฟถนน
คนที่วิ่งออกไปคือคิมจุนมยอน
...ถ้าอย่างนั้น...
“จงอิน! ตามหมอนั่นไป!”
เสียงที่ตะโกนสั่งคิมจงอินเหมือนไม่ใช่เสียงของตัวเอง คริสรู้สึกชาวาบไปทั้งสมอง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวิ่งมาถึงที่เกิดเหตุเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร รู้ตัวอีกที...ร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มคนนั้นก็นอนอยู่ตรงหน้าแล้ว
กลิ่นเลือดคลุ้งลอยขึ้นมาปะทะจมูกทั้งที่ลมแรงจนน่าจะพัดกลิ่นไปหมด ในความเลือนราง ณ สถานที่ที่แสงไฟส่องไม่ถึงอย่างตรงนี้ คริสมองเห็นของเหลวเข้มข้นไหลรินออกมาจากแผลลึกที่ลำคอขาว ตากลมที่ชอบมองเขาด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ซุกซนตอนนี้เบิกโพลงค้าง สิ่งเดียวที่เห็นเด่นชัดที่สุดท่ามกลางความมืดคือแหวนฝังเพชรปลอมรูปมังกรผงาดปีกที่อีกฝ่ายเคยตะลึงมองแล้วชมว่าสวยหนักหนา
...แต่คนที่สวมมัน บัดนี้นอนนิ่งไม่ไหวติง ไร้สิ้นลมหายใจ...
.
.
.
‘โห เป็นนกต่อมันอันตรายนะคุณ คราวที่แล้วก็ล่อซื้อยาเสพติด คราวนี้ก็แก๊งมาเฟีย ถ้าผมตายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ’
‘ไม่มี’
‘เฮ้ย ไรอะคุณผู้กองอู๋ พูดงี้ได้ไง’
เด็กหนุ่มโวยวาย พอเห็นอู๋อี้ฝานเคาะบุหรี่ออกจากซองอย่างไม่นึกสนใจใยดีคำท้วงของเขาสักนิดก็เลยแกล้งยึดบุหรี่มาเป็นของตัว ตำรวจหนุ่มจิ๊ปากเล็กน้อย สายตาที่มองชานยอลยังคงเย็นชา
‘ไม่รู้ละ คุณเป็นคนจัดการเอางานนกต่อมาให้ผม คุณก็ต้องรับผิดชอบชีวิตผม เอาแบบนี้ละกัน’
ชานยอลเชิดหน้า หนำซ้ำยังเอาบุหรี่ที่ยึดไปเมื่อกี้มาจุดสูบเองหน้าตาเฉย แต่ทันทีที่สูดเข้าปอดเจ้าตัวกลับต้องไอโขลกเหมือนคนไม่เคยสูบบุหรี่ ทำเอาคนข้างตัวคลายจากอาการหงุดหงิดมาเป็นขำน้อยๆ คนกำลังไอคอกแคกหันมาเห็นก็ค้อน
‘ไม่ต้องมาขำเลยคุณ ผมรู้นะคุณคิดอะไรอยู่ ผมสูบเป็น แต่ไม่คุ้นกับบุหรี่แรงๆ แบบนี้ต่างหาก เอาคืนไปเลยไป’
ว่าพลางยัดบุหรี่ใส่ปากตำรวจหนุ่ม แต่เพราะเห็นรอยลิปกลอสของตัวเองที่ติดอยู่บนนั้นแล้วนึกขึ้นได้ว่ามันเหมือนจูบกันทางอ้อม หรือนึกถึงคำพูดของตัวเองที่ว่าให้อู๋อี้ฝานรับผิดชอบชีวิตตัวเองก็ไม่รู้ ... จู่ๆ เด็กหนุ่มเจนโลกอย่างปาร์คชานยอลก็รู้สึกหน้าร้อนจนต้องเบือนไปอีกทางเสียอย่างนั้น
.
.
ภาพเหตุการณ์ที่เขาเคยพูดคุยกับชานยอลคล้ายเป็นเชื้อไฟที่สุมจนควันเข้าตา คริสรู้สึกกระบอกตาร้อนผ่าว ภาพร่างแน่นิ่งของปาร์คชานยอลเริ่มเลือนรางเพราะน้ำตาที่เอ่อคลอ
สุดท้าย...เขาก็รับผิดชอบชีวิตของปาร์คชานยอลไม่ได้...
ซ้ำร้าย เขา...อู๋อี้ฝานคนนี้เอง ที่เป็นคนมอบความตายให้ชานยอล หลักฐานส่องประกายคล้ายจะยั่วล้อกันอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายนั่นไง
‘ผมว่า...ผมก็คงเป็นคนโง่จริงๆ นั่นแหละ’
“ชานยอล...”
โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงสั่นครืด มือใหญ่เอาออกมาดู...เป็นข้อความจากหน่วยสอบสวนที่เขาส่งไปสอบปากคำพยอนแพคฮยอน ลูกพี่ลูกน้องของคิมจุนมยอน อย่างลับๆ
‘ผู้กองครับ คิมจุนมยอนมีอีกชื่อหนึ่งว่าซูโฮ พยอนแพคฮยอนบอกว่าเป็นชื่อที่เพื่อนสมัยมัธยมชอบเรียกจุนมยอนครับ’
“ซูโฮ... S.H.”
ภาพผ้าเช็ดหน้าปักตัวอักษรย่อเอสเอชแวบเข้ามาในสมอง รวมถึงภาพที่เขาเห็นคิมจุนมยอนถือมีดวิ่งหนีไป
“ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้ฟะ เชี่ยเอ๊ย!!!”
คริสเตะก้อนหินแถวนั้นลงแม่น้ำเต็มแรงด้วยความเดือดจัด เขาไม่รู้ว่าจงอินจะตามคิมจุนมยอนไปทันหรือเปล่า แล้วจะปลอดภัยดีหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คืองานนี้เป็นงานแรกที่เขาทำพลาด...พลาดอย่างมหันต์ พลาดจนทำให้นกต่อต้องสังเวยชีวิต
...ไม่สิ...คนที่ตายไปไม่ใช่แค่นกต่อหรอก...
ชานยอลเป็นคนที่เขารัก
.................
คริสรอจนกระทั่งหน่วยพิสูจน์หลักฐานมากันครบแล้ว เขาจึงวางใจแล้วตามคิมจงอินไปที่บ้านของคิมจุนมยอน ทว่ากว่าจะไปถึงจงอินก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการสู้กับฆาตกร สิ่งที่คริสเห็นมีเพียงจงอินที่นอนเจ็บอยู่ ห่างออกไปเล็กน้อยคือศพสองศพนอนกอดกัน ศพหนึ่งคือพยอนแพคฮยอนซึ่งจงอินบอกว่ายิงตัวตายเพราะเสียใจในพฤติกรรมของจุนมยอน อีกศพก็คือคิมจุนมยอน...ซึ่งตายเพราะยิงตัวตายตามแพคฮยอนไปไม่กี่นาทีให้หลัง
คดีนี้ปิดฉากลงด้วยความหดหู่ แม้ฆาตกรรมต่อเนื่องจะหยุดลงแล้ว แต่ความสูญเสียมีมากเกินไป ความผิดพลาดของตำรวจที่ทำให้นกต่อคนหนึ่งต้องจบชีวิตลงนั้นถูกปิดเป็นความลับเพื่อไม่ให้ใครต่อใครประนามหยามเหยียดมากเกินไปนัก กระนั้นคนที่รู้ความผิดพลาดนี้อยู่แก่ใจดีอย่างคริสก็ยังต้องเก็บความเจ็บปวดที่มากกว่าใครเอาไว้แม้ในยามส่งชานยอลกลับคืนสู่ผืนดินเช่นตอนนี้
ตาคมมองร่างไร้วิญญาณในโลงไม้เป็นครั้งสุดท้าย รอบกายเงียบสนิท คนที่มาร่วมพิธีก็มีเพียงตำรวจที่รู้เรื่องคดีนี้และบาทหลวงที่ช่วยมาทำพิธีเท่านั้น ชานยอลไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน แม้แต่คนที่ทำอาชีพเดียวกันก็ไม่มีใครที่สนิท
คริสเดินเข้าไปใกล้ มือใหญ่ลูบแก้มเย็นเฉียบของชานยอล ศพได้รับการแต่งหน้ามาเป็นอย่างดีจึงไม่ดูซีดเซียวจนเกินไป ชานยอลดูดีราวกับยังมีชีวิต ตำรวจหนุ่มรู้สึกด้วยซ้ำว่าชานยอลอาจลุกขึ้นมามองเขาด้วยแววตาซุกซนในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง บอกเขาว่าทั้งหมดเป็นเรื่องล้อเล่น และแกล้งดึงบุหรี่ไปจากมือเขาอีก บางทีอาจแกล้งยั่วให้เขาซื้อบริการอีกก็ได้
คริสบอกตัวเองว่าถ้าเป็นอย่างนั้นจริง...คราวนี้เขาจะยอมซื้อชานยอลในราคาที่แพงที่สุด จะไม่สนใจตำแหน่งใหญ่โตในวงการตำรวจเกาหลี แล้วจากนั้นก็จะพาชานยอลกลับไปกับเขาที่แคนาดา ไม่ต้องให้ชานยอลทำงานขายบริการหรือว่ามาทำงานเป็นนกต่อให้ตำรวจอีก
เขาจะเลิกมองชานยอลด้วยสายตาเย็นชา แล้วรับชานยอลเข้ามาในอ้อมกอดอุ่นๆ อย่างที่เจ้าตัวบอกว่าชอบความอบอุ่นจากตัวเขา ชอบสูดกลิ่นจากตัวเขา
เขาจะกระซิบบอกความรู้สึกทั้งหมด...ด้วยการใช้ริมฝีปากตัวเองแตะริมฝีปากที่ชอบเอ่ยยั่วเย้าเขาเบาๆ
ทว่าในตอนนี้...คริสทำเพียงมองริมฝีปากที่ถูกแต่งแต้มด้วยลิปกลอสรสผลไม้เหมือนทุกครั้ง ขายาวค่อยๆ ถอยออกมาโดยไม่ละสายตาไปจากใบหน้าของชานยอล กระทั่งฝาโลงถูกปิด โลงถูกยกลง และกลบด้วยดินจนมิด
...และน้ำตาอุ่นหยดหนึ่งก็หยดลงบนนั้น ซึมลงดิน...ซึมลงไปจนถึงคนที่นิทราชั่วนิรันดร์...
...........................................EnD....................................................
ผลงานอื่นๆ ของ ศีตกาล ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ศีตกาล
ความคิดเห็น