ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] TAOBAEK .. It's feeling

    ลำดับตอนที่ #11 : {SF} Lament 4

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 666
      3
      22 เม.ย. 57


     

    Lament 4

    (PG – 18 / NC-18)

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                เรือนกายสูงสง่าภายใต้อาภรณ์บ่งบอกยศฐานะก้มตัวทำท่าคำนับตามแบบประเพณีโบราณของราชวงศ์โดยไม่มีผิดเพี้ยนแต่อย่างใดซ้ำกิริยาท่าทางยังสง่างามและอ่อนช้อยในเวลาเดียวกันทำให้ใบหน้างดงามที่เริ่มร่วงโรยตามวัยขององค์ไทเฮาปรากฏรอยยิ้มพึงพอใจออกมาได้ แตกต่างจากโอรสของพระนางผู้ซึ่งเป็นถึงองค์จักรพรรดิที่แม้ว่าแขกผู้มาเยือนผู้นี้จะทำสิ่งใดงดงามถูกใจองค์ไทเฮาเท่าใดใบหน้าสมบูรณ์แบบนั้นก็ยังคงไม่แสดงวี่แววและท่าทีสนอกสนใจหรือชื่นชมแม้แต่น้อย

     

     

                “ถวายบังคมองค์ไทเฮาและองค์จักรพรรดิแห่งแผ่นดินใหญ่”

     

    “อา.. องค์ชายชานยอลแห่งชิลลาช่างงดงามสมคำร่ำลือจริงๆ”

     

    “ขอบพระทัยพระยะค่ะ แต่องค์ไทเฮาทรงมีสิริโฉมงดงามยิ่งกว่าข้าเสียด้วยซ้ำ”

     

     

    ริมฝีปากอิ่มสีเรื่ออย่างคนสุขภาพดีคลี่รอยยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำชมจากสตรีสูงศักดิ์ก่อนที่มันจะขยับเอื้อนเอ่ยคำพูดตอบกลับที่ทำเอาองค์ไทเฮายิ้มไม่หุบกับความน่ารักน่าชังที่องค์ชายแห่งชิลลาแสดงออกทางคำพูด ทว่ากับทางฝ่ายขององค์จักรพรรดิหนุ่มนั้นกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ริมฝีปากที่เหยียดเรียบนิ่งในคราแรกนั้นกลับกระตุกรอยยิ้มมุมปากที่ดูอย่างไรก็ไม่ได้แสดงถึงความชื่นชมแม้แต่น้อย

     

     

    “ช่างประจบประแจงเก่งเสียจริง...องค์ชายชานยอลแห่งชิลลา”

     

    “ฝ่าบาท..”

     

     

    ใบหน้าขององค์ชายหนุ่มที่สวยสดราวกับสาวแรกรุ่นได้แต่ยิ้มค้างอยู่อย่างนั้นเมื่อได้ยินคำกระทบเสียดสีลอยๆขององค์จักรพรรดิแห่งแผ่นดินใหญ่ที่ยังคงปั้นหน้ายิ้มประหลาดพิกลให้แก่ตน ร้อนถึงองค์ไทเฮาที่ต้องเอ่ยเสียงเข้มเตือนโอรสของตนที่ดูจะแสดงกิริยาไม่เหมาะสมใส่ทูตจากชิลลามากจนเกินไป ทว่าเพียงแค่ชั่วเสี้ยววินาทีองค์ชายจากชิลลาก็กลับแย้มยิ้มที่ดูสดใสเสียยิ่งกว่าเดิมใส่องค์จักรพรรดิหนุ่มจนอีกฝ่ายเกิดคิดคำพูดไม่ออกขึ้นมา

     

     

    “อ่า...ข้าเพิ่งเดินทางมาถึง ขอตัวไปพักผ่อนก่อนจะดีกว่า.. ขอถวายบังคมลาพะยะค่ะ”

     

     

    เรือนกายสูงสง่าขององค์ชายแห่งชิลลายังคงแสดงกิริยางดงามให้เห็นตั้งแต่การคำนับไปจนถึงการก้าวย่างที่บ่งบอกถึงการอบรมสั่งสอนมาอย่างชาววังชั้นสูง จนกระทั่งภาพนั้นละเลือนสุดไปจากสายตาขององค์ไทเฮาและองค์จักรพรรดิหนุ่มแล้วใบหน้างดงามขององค์ไทเฮาก็หันกลับมามองใบหน้าของโอรสตนด้วยแววตาที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจกับกิริยาท่าทางเสียมารยาทเช่นนั้น ทำเอาผู้ถูกตำหนิทางสายตาต้องเบือนหน้าหลบมารดาตนด้วยเพราะรู้ดีถึงความผิดของตนเองดี

     

     

    ถึงแม้รู้ดีแต่กลับอดไม่ได้ที่จะพูดออกไป

     

     

    “ฝ่าบาท รู้ตัวหรือไม่ว่าพูดจาเสียมารยาทกับองค์ชายไป”

     

    “......ทราบพะยะค่ะเสด็จแม่”

     

    “เฮ้อ.. จะต้องให้แม่บอกเจ้ากี่ครั้งฝ่าบาท เจ้าจึงจะจำได้เสียทีว่าธรรมเนียมปฏิบัติของเราและชิลลานั้นมีจุดประสงค์เพื่อสิ่งใด”

     

     

    เพราะจำได้ว่ามันเป็นอย่างไรต่างหากเล่า ผู้ไม่เต็มใจจึงเกิดอาการต่อต้าน

     

     

    เบื้องหลังความปรองดองนั้นเล่ากลับเป็นเพียงความพึงพอใจของผู้ใหญ่สองราชวงศ์

     

    ธิดาหรือแม้แต่โอรสองค์โตของชิลลาจักต้องอภิเษกกับองค์จักรพรรดิแห่งแผ่นดินใหญ่

     

    การอภิเษกที่เกิดจากภาระหน้าที่ มิใช่จากความรัก

     

    เช่นเดียวกันกับองค์ไทเฮาที่เคยเป็นธิดาองค์โตของกษัตริย์ชิลลาองค์เก่ามาก่อน

     

     

    เหล่านั้น.. คือความหมายที่แท้จริงของคำว่าทูตจากชิลลา

     

     

    “ข้าทราบดีเสด็จแม่ ทว่าข้า....”

     

     

    เพียงนึกถึงสิ่งที่ตนต้องทำเพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างสองแผ่นดินและสองราชวงศ์แล้วองค์จักรพรรดิหนุ่มกลับทำได้เพียงนิ่งเงียบไปเพราะไม่อาจบอกถึงเหตุผลของสิ่งที่ตนเป็นอยู่ในขณะนี้ให้องค์ไทเฮาได้ทราบได้ ซ้ำอีกเหคุผลหนึ่งนอกจากเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับองค์ไทเฮาแล้วยังเป็นเพราะใบหน้าหวานของเด็กหนุ่มกับเรือนผมสีแปลกตาที่คอยตามล่อหลอกทั้งในยามตื่นหรือแม้กระทั่งในยามหลับตาลงก็ตาม

     

     

    ป๋ายเฉียนหรือพยอนแพคฮยอน เด็กหนุ่มชาวแพคเจ

     

     

    “ฝ่าบาท...ท่านแม่ทัพหวงขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ”

     

     

    เหมือนกับระฆังดังกังวานก้องขึ้นช่วยชีวิตขององค์จักรพรรดิหนุ่มให้รอดพ้นจากการถูกซักไซร้ไล่เรียงถามหาเหตุผลจากพระมารดาที่ยังคงส่งสายตาไม่พอใจตนออกมาอย่างชัดเจน คำกล่าวอนุญาตกับใบหน้าสมบูรณ์ที่ขยับขึ้นลงจนเส้นผมสีดำยาวประบ่าขยับไหวเล็กน้อยถูกส่งให้แก่ขันทีผู้รู้หน้าที่ได้กลับไปบอกข่าวแก่แม่ทัพหนุ่มพ่วงตำแหน่งพระสหายคนสนิท

     

    แม้องค์ไทเฮาจะยังคงทำหน้าเหนื่อยใจอยู่แต่องค์จักรพรรดิหนุ่มก็เลือกที่จะขอตัวไปพบกับสหายของตนเพราะเกรงว่าหากยังคงอยู่ตรงนี้อาจถูกพระมารดาซักไซร้จนทราบเรื่องของเด็กหนุ่มชาวแพคเจได้ นึกได้เช่นนั้นแล้วองค์จักรพรรดิหนุ่มก็กลับนึกไปจนถึงบางสิ่งที่ตนได้คิดเอาไว้หลังจากได้รับฟังเรื่องของเด็กหนุ่มชาวแพคเจจากปากแม่ทัพหนุ่ม

     

     

    หลงใหล ต้องการ สงสาร

     

    ทั้งสามความรู้สึก...ปะปนกันไปหมด

     

     

    “ถวายบังคมพะยะค่ะฝ่าบาท”

     

    “ลุกขึ้นเถิด.. มาขอเข้าเฝ้าเช่นนี้มีเหตุด่วนอะไรงั้นรึ?”

     

    “หามิได้พะยะค่ะ กระหม่อมเพียงแต่มาแจ้งข่าว”

     

    “งั้นรึ? เป็นอย่างไรบ้าง”

     

     

    แม้ปากจะบอกไปให้สหายตนผู้เป็นถึงแม่ทัพได้แจ้งข่าวคราวให้ทราบตามที่ต้องการทว่าสิ่งที่จับใจความได้นั้นกลับมีเพียงแค่ประโยคว่าแพคเจตกเป็นของแผ่นดินในปกครองของตนแล้วและโกคูรยอคงจักได้ตามมาในไม่ช้าเพียงเท่านั้น ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆนั้นกลับมิได้เข้าหัวขององค์จักรพรรดิหนุ่มไปแต่อย่างใดซ้ำยังมีท่าทีเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรในใจอยู่จนคู่สนทนาอย่างหวงจื่อเทาต้องหยุดเสียงที่ตนเปล่งออกมาก่อนจะสังเกตท่าทีขององค์จักรพรรดิเหนือหัวของตน

     

     

    เหม่อลอย ครุ่นคิด แววตาสับสน

     

     

    “ฝ่าบาท.. ทรงเป็นอะไรรึเปล่าพะยะค่ะ?”

     

    “ไม่ ข้าเพียงแต่คิดอะไรมากไป”

     

     

    ปัญหาบ้านเมืองก็ดูจะไม่มีอะไรมากแล้ว

     

    เหลือแต่เรื่องอภิเษกสินะ..

     

     

    “เจ้าคงรู้สินะว่าข้าคิดเรื่องใดอยู่”

     

    “พะยะค่ะ กระหม่อมทราบดี”

     

    “อืม.. ในคราแรกข้าเองก็ปลงใจแล้วที่จะยอมรับเรื่องนี้ ทว่า...”

     

    “ทว่า..?”

     

    “ข้ากลับยอมรับไม่ลงเพราะคนคนหนึ่ง”

     

     

    เพียงได้ยินคำว่าคนคนหนึ่งหวงจื่อเทากลับรู้สึกเหมือนเป็นสิ่งบอกใบ้บางอย่าง

     

    ซึ่งบางอย่างนั้น...หวงจื่อเทาได้แต่ภาวนาให้มันไม่เป็นจริง

     

    เพราะรู้ดีว่าคนคนหนึ่งที่ว่านั้น.. คือคนคนเดียวกับคนที่ตนนึกถึง

     

     

    “ป๋ายเฉียน.. เพราะเด็กหนุ่มผู้นั้น...”

     

     

    พยอนแพคฮยอน

     

     

     

     

     

     

     

     

    แขนเรียวของเด็กหนุ่มหอบเอากองตำราหนังสือและแผ่นกระดาษที่มีตัวอักษรเขียนด้วยพู่กันแต้มหมึกดำเสียเต็มอ้อมแขนจนคนมองอย่างลู่หานอดจะขำขึ้นมาเบาๆไม่ได้ ขาเรียวภายใต้อาภรณ์เนื้อดีที่ได้จากแม่ทัพหนุ่มขยับก้าวเดินออกจากห้องที่ตนเรียกว่าห้องเรียนกลับเข้าห้องตัวเองเพียงเพราะหวังว่าจะได้อ่านตำราหนังสือทบทวนความรู้ ทว่าเงาคนรูปร่างสูงใหญ่ที่ตกกระทบกับพื้นห้องลอดประตูที่เปิดอ้าค้างไว้ออกมาทำให้เด็กหนุ่มต้องสลัดความคิดนั้นทิ้งไปเพราะรู้ว่าคนที่กำลังนั่งนิ่งท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดมาในห้องของตนนั้นคือใคร

     

     

    “ท่านแม่ทัพ.. มาทำอะไรที่ห้องนี้ครับ ทำไม...”

     

    “ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเจ้า และเจ้าจำเป็นต้องว่างคุยกับข้าด้วย”

     

     

    เผด็จการ..

     

     

    “ถึงอย่างไรข้าก็ขัดท่านไม่ได้อยู่แล้วมิใช่รึครับ?”

     

     

    เด็กหนุ่มได้แต่นึกคำจำกัดความสั้นๆที่บ่งบอกถึงตัวตนของแม่ทัพหนุ่มไว้ในใจก่อนที่ริมฝีปากบางเฉียบจะขยับเอ่ยคำอนุญาตที่ออกจะยียวนพอสมควรไปให้ในขณะที่ในหัวก็นึกถึงคำดุว่าที่จะได้รับจากแม่ทัพหนุ่มผู้มีบุญคุณให้ตนได้อาศัยอยู่ไปด้วย แต่สิ่งที่ได้รับนั้นกลับตรงกันข้ามจนเด็กหนุ่มนึกคำพูดไม่ออกซ้ำยังรู้สึกแปลกๆอยู่ในอก

     

    ริมฝีปากหยักที่คลี่แย้มรอยยิ้มบางเบาที่ตนไม่เคยได้เห็นจากแม่ทัพหนุ่มคนนี้ถูกส่งให้เด็กหนุ่มที่ยังคงยืนนิ่งค้างหน้าประตู แม้ว่ามันจะทำให้คนมองใจเต้นได้ทว่าในอีกวูบหนึ่งของความรู้สึกแล้วแววตาที่ทอดมองมานั้นกลับดูสวนทางกันโดยสิ้นเชิงราวกับรอยยิ้มนั้นเป็นเพียงสิ่งที่สร้างขึ้นตบตาคนมองและตนเองไปพร้อมๆกัน

     

     

    “แพคฮย... ไม่สิ ป๋ายเฉียน เจ้าเคยถูกพวกเชลยชาวบ้านแพคเจพวกนั้นดูถูกใช่หรือไม่”

     

    “....ครับ”

     

     

    เพียงนึกถึงความรู้สึกในยามนั้นแล้วพยอนแพคฮยอนกลับรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา

     

    จะรื้อฟื้นมันขึ้นมาทำไมกัน?

     

     

    “อืม ข้ามีข่าวดีจะบอกแก่เจ้า..”

     

     

    และคำตอบที่ได้นั้นรึก็ช่างน่าเจ็บปวดไม่ต่างกัน

     

     

    “ฝ่าบาททรงพอพระทัยในตัวเจ้ามาก... พระองค์ทรงมีรับสั่งให้เจ้าถวายตัวเป็นสนมภายหลังการอภิเษกสามวัน”

     

     

    หรืออาจจะเจ็บปวดกว่าด้วยซ้ำ

     

     

    “ถ.. ถวายตัวเป็นสนม?”

     

    “ใช่ เจ้าได้ยินไม่ผิด... เจ้าจะได้เป็นพระสนมป๋ายเฉียน”

     

     

    พยอนแพคฮยอนเพิ่งได้รู้ว่าสิ่งที่เจ็บปวดยิ่งกว่าการถูกคนรอบข้างขับไล่คือการถูกคนที่รักผลักไส

     

     

    “ต่อแต่นั้นไปจะไม่มีไม่มีผู้ใดกล้าบังอาจกับเจ้าอีก เจ้า...จะกลายเป็นคนขององค์จักรพรรดิ”

     

     

    แม้สิ่งที่สัมผัสได้นั้นจะมีความห่วงใยแอบแฝงอยู่ก็ตาม

     

     

    “ส่วนเรื่องกิริยามารยาทและกฎระเบียบฝ่าบาทมีรับสั่งให้นางกำนัลชั้นสูงมาสอนเจ้าในวั...”

     

    “ข้าไม่ต้องการ...”

     

     

    เสียงทุ้มที่กล่าวราบเรียบเรื่อยไม่เปิดเผยอารมณ์ออกมาหยุดชะงักลงทันทีราวกับสั่งได้เมื่อได้ยินเสียงดังแผ่วเบาจากเด็กหนุ่มที่ยืนพิงประตูห้องที่เพิ่งปิดสนิท ดวงตาคู่คมของแม่ทัพหนุ่มกวาดมองสำรวจใบหน้าหวานที่ก้มลงมองปลายเท้าขาวสองข้างก่อนจะที่ลมหายใจเข้าออกจะผิดจังหวะไปเพราะริมฝีปากบางที่สั่นระริกกับหยดน้ำสีใสที่เปื้อนสองข้างแก้มทีละนิดจนมันเริ่มฉ่ำวาวเมื่อต้องแสงจันทร์ แม้อยากยื่นมือเกลี่ยเช็ดให้ใจแทบขาดแต่กลับต้องหักห้ามใจกำมันไว้ข้างตัวเพราะไม่กล้าแม้จะจับต้องเด็กหนุ่มผู้ที่จะกลายเป็นคนขององค์จักรพรรดิในอนาคต

     

     

    หวงจื่อเทาคือผู้ที่ไม่กล้าอาจเอื้อมแตะต้องสมบัติขององค์จักรพรรดิ

     

    แม้ในใจจะต้องการแทบคลั่งก็ตาม..

     

     

    “ข้าไม่.. ฮึก... ไม่อยากเป็นพระสนมอะไรนั่น”

     

    “แต่อย่างไรเจ้าก็จำต้องทำ ฝ่าบาท.. พระองค์ทรงมอบความรักให้แก่เจ้า”

     

    “ล.. แล้วความรักของข้าล่ะ?”

     

     

    ไม่เพียงแต่ถามเท่านั้นเด็กหนุ่มกลับเลือกที่จะเงยหน้าขึ้นสบตาของตนเข้ากับดวงตาคมสองข้างที่ฉายแววเจ็บปวดไม่ต่างกันก่อนที่ขาเรียวจะก้าวพาตัวเองเดินช้าๆเข้าหาเรือนกายสูงใหญ่ของแม่ทัพหนุ่มในขณะที่อีกฝ่ายนั้นก็ทำอย่างเดียวกัน มือเรียวสวยที่หวงจื่อเทาเคยแอบชื่นชมในใจถูกยกขึ้นปาดเอาน้ำสีใสที่ข้างแก้มออกอย่างแรงจนคนมองทนไม่ไหวต้องจับข้อมือเรียวสองข้างให้มันหยุดลงเพราะกลัวว่าใบหน้าหวานจะกลายเป็นรอยแดงไปเสียก่อน

     

     

    เพราะสิ่งที่ฝ่าบาทรับสั่งนั้นทำให้หวงจื่อเทาผู้โง่เขลาเพิ่งได้รู้ตัว..

     

     

    “ความรักของเจ้ามันคงไม่ต่างจากความรักของข้า”

     

     

    รู้ว่าตัวเองหลงรักพยอนแพคฮยอน... รักมากจนเกินไป

     

     

    “ข้าต้องการให้เด็กหนุ่มป๋ายเฉียนถวายตัวเป็นสนมข้าภายหลังการอภิเษกกับองค์ชายชานยอล”

     

    “ฝ่าบาท.. ทรงไตร่ตรองดีแล้วรึพะยะค่ะ?”

     

    “ข้า.. ตกหลุมรักเขาเพียงแรกพบ ... เจ้าคิดว่านี่พอจะเป็นเหตุผลที่ดีได้หรือไม่?”

     

     

    รักมาก.. จนต้องเจ็บปวดเจียนตายเช่นนี้

     

     

    “มันมีอยู่จริง...แต่เป็นไปไม่ได้”

     

    “ทำไมจ...จะเป็นไปไม่ได้กัน? ตอนนี้ข้ากับท่าน...ฮึก.. เราต่างก็รักกันอยู่มิใช่รึ?”

     

     

    ทันทีที่ใบหน้าหวานได้ซุกเข้าพอดีกับไหล่กว้างของแม่ทัพหนุ่มที่ทั้งลูบเรือนผมสีอ่อนของตนและกอดรัดส่วนลำตัวไว้เสียแน่นบ่อน้ำตาที่ดูจะเหือดแห้งไปแล้วก็กลับสร้างน้ำตาออกมาจนมันล้นออกอีกครั้ง ทว่าครานี้เด็กหนุ่มกลับได้เรียนรู้ถึงความเจ็บปวดอีกอย่างหนึ่งเมื่อแม่ทัพหนุ่มผู้ไม่เคยแสดงความอ่อนแอให้ได้เห็นกลับมีน้ำตาไหลออกมาเช่นกัน เมื่อเห็นดังนั้นมือเรียวสวยที่สั่นระริกจึงยกขึ้นปาดเช็ดน้ำตาบนใบหน้าคมออกเสียแล้วจึงเลื่อนมือขึ้นกอดตอบสนองเรือนกายสูงใหญ่กว่าราวกับต้องการปลอบประโลมให้อีกฝ่ายหยุดร้องไห้เสียทีก่อนที่ตนจะต้องร่ำไห้ตามจนขาดใจตาย

     

    วินาทีที่ใบหน้าคมที่ซุกลงกับเรือนผมสีอ่อนที่ตนหลงใหลยกขึ้นนั้นช่างพอเหมาะกับจังหวะที่ใบหน้าหวานยกเงยขึ้นสบดวงตาเรียวสวยฉ่ำน้ำเข้ากับดวงตาคมแดงก่ำ พยอนแพคฮยอนเลือกที่จะใช้แขนเรียวสองข้างรั้งคอคนตัวสูงกว่าเข้าหาพร้อมๆกับปลายเท้าที่เขย่งจนหน้าผากแตะกันพอดี ฝ่ายแม่ทัพหนุ่มนั้นเล่าก็ยอมโอนอ่อนผ่อนตามซ้ำยังรั้งเอวคอดของเด็กหนุ่มเข้าหาตัวราวกับต้องการบอกกลายๆให้เด็กหนุ่มอย่าเพิ่งไปไหน ซึ่งพยอนแพคฮยอนนั้นก็ยินยอมแต่โดยดีเช่นกัน

     

    ปลายนิ้วหัวแม่มือยาวที่เคยเช็ดเกลี่ยน้ำตาให้แก่เด็กหนุ่มมาหลายต่อหลายครั้งยังคงทำหน้าที่เดิมได้อย่างดีไม่ขาดตกบกพร่องแต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่สามารถช่วยอะไรได้มากเมื่อน้ำตาของเด็กหนุ่มยังคงไหลเป็นสาย และอาจเป็นเพราะระยะห่างเพียงปลายจมูกและลมหายใจหล่อหลอมทำให้แม่ทัพหนุ่มเลือกที่จะทาบทับริมฝีปากหยักลงบนริมฝีปากบางเฉียบเบาหวิวราวกับขนนกสัมผัสก่อนที่มันจะเริ่มมากขึ้นเกินกว่าจะเป็นขนนกเมื่อแขนเรียวที่รั้งคอตนอยู่เริ่มบังคับเลื่อนมือเรียวกดท้ายทอยให้เข้าหาตัวมากขึ้น

     

     

    ไม่ว่าจะเป็นเพราะบรรยากาศที่พาไป ความต้องการส่วนลึกในใจ หรืออะไรก็ตาม

     

    ทว่าหวงจื่อเทากลับเลือกที่จะทำมันลงไปอย่างจงใจ

     

    แม้จะรู้ดีว่าอีกไม่นานพยอนแพคฮยอนจะต้องกลายเป็นขององค์จักรพรรดิก็ตาม

     

     

    หากว่าพยอนแพคฮยอนเป็นสมบัติแห่งองค์จักรพรรดิแล้วไซร้..

     

                หวงจื่อเทาก็คือผู้อาจเอื้อมแตะต้องสมบัติแห่งองค์จักรพรรดินั่นเอง

     

     

     

     

     

    ฉากกุ๊กกิ๊ก

    ไม่ลงลิ้งค์นะ หนูกลัวโดนแบน ไปหาในทวิตเตอร์เนะ

     

     

     

     

     

    จุมพิตยาวนาน.. ราวกับต้องการให้มันตอกย้ำลึกลงในใจตน

     

     

    เจ้าของริมฝีปากหยักเป็นฝ่ายตัดสินใจถอยละออกมาก่อนที่เรือนกายสูงใหญ่ขยับเอนตัวลงนอนกับที่นอนที่ยับยู่ยี่จากฝีมือของคนที่ตอนนี้กำลังเอนพิงศีรษะบนแผงอกกว้างชื้นเหงื่ออย่างเหนื่อยอ่อน ปลายนิ้วโป้งทั้งสองข้างขยับเกลี่ยเอากลุ่มผมสีน้ำตาลทองอ่อนออกจากใบหน้าหวานเปื้อนเหงื่อของเด็กหนุ่มที่เริ่มปรับลมหายใจเป็นปกติได้แล้ว ตาคมที่ฉายอารมณ์ออกมาหลากหลายจดจ้องทุกอิริยาบถของคนในอ้อมกอดตนก่อนจะมอบสัมผัสอบอุ่นลงบนหน้าผากสวยด้วยริมฝีปากของตนแผ่วเบาจนคนได้รับมันเผลอแย้มยิ้มออกมาบางเบา

     

     

    อยากอยู่อย่างนี้ตลอดไปเหลือเกิน

     

     

    แขนเรียวเล็กของเด็กหนุ่มกระชับกอดชายผู้เป็นที่รักของตนแน่นเข้าพร้อมกับขยับเปิดเปลือกตาออกจดจ้องใบหน้าคมกับดวงตาทั้งคู่ของอีกฝ่ายที่กำลังจดจ้องตนอยู่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะเป็นฝ่ายต้องเบนสายตาหลบก่อน ริมฝีปากสีชมพูสดเม้มเข้าหากันแน่นเมื่อคิดว่าหากถึงในยามรุ่งเช้าของวันพรุ่งนี้แล้วตนจะต้องพบเจอกับสิ่งใดบ้างและต่อจากนั้นจะเป็นเช่นไร

     

     

    “......ท่านรักข้าหรือไม่?”

     

    “เมื่อครู่ข้าก็ได้ให้คำตอบแก่เจ้านับครั้งไม่ถ้วนแล้วมิใช่รึ”

     

     

    เพียงเพราะริมฝีปากที่ยังคงกดจูบย้ำซ้ำๆลงบนหน้าผากของตนก็ทำให้เด็กหนุ่มเกิดอาการเขินอายขึ้นได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งผู้กระทำนั้นเล่าก็รู้ได้ดีจากแก้มสองข้างที่แดงเรื่อขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างน่ารักน่าหลงใหลจนแทบไม่อยากปล่อยให้เหตุการณ์ในวันข้างหน้าเกิดขึ้น ทว่าเพราะรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้แม่ทัพหนุ่มจึงได้แต่นึกโทษตัวเองที่ปล่อยให้ความรู้สึกมีอิทธิพลเหนือร่างกายและสมองทำให้เด็กหนุ่มต้องมีมลทินติดตัวเพราะตน

     

     

    ความรู้สึกผิดยิ่งกว่าการบังอาจแตะต้องสมบัติของฝ่าบาทคือการทำให้คนที่รักมีบาปติดตัว

     

    บาปอันเกิดจากการการกระทำที่เต็มใจยินยอมของทั้งคู่

     

     

    “เจ้าควรจะพักผ่อน พรุ่งนี้เจ้าอาจต้องรับบทเรียนชาววังอย่างหนัก”

     

    “เช่นนั้น... คืนนี้ท่านช่วยกอดข้าทีได้ไหม?”

     

     

    กอด.. ให้รู้ว่าจะยังคงอยู่ข้างกายไม่ไปไหน

     

    แม้ว่าสุดท้ายจะไม่อาจเป็นเช่นนั้นก็ตาม

     

     

                “แน่นอน”

     

     

    เมื่อฝ่ายหนึ่งต้องการอ้อมกอด อีกฝ่ายก็พร้อมจะหยิบยื่นให้อย่างเต็มใจ

     

    แม้ว่าสุดท้าย.. จะต้องแยกจากกันก็ตาม

     

     

    ดวงตาคมจดจ้องเด็กหนุ่มในอ้อมกอดตนพร้อมกับอ้อมแขนกว้างที่กระชับกอดมอบความอบอุ่นตามคำขอของอีกฝ่าย อาจเป็นเพราะแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาภายในห้องมือให้สว่างขึ้นทำให้แม่ทัพหนุ่มสามารถสังเกตเห็นหยดน้ำใสที่ไหลจากหางตาที่ปิดสนิทแล้วหยดลงบนแผงอกกว้างของตนก่อนที่เจ้าของหยาดน้ำตาหยดนั้นจะเข้าสู่ห้วงนิทราไปเพราะความเหนื่อยอ่อน

     

     

    ทั้งความรักของคนทั้งคู่ ความเจ็บปวด และความโศกเศร้า

     

    รวมถึงหยาดน้ำตาจากชายผู้ไม่เคยได้รับความรักจากใคร

     

    และหยาดน้ำตา.. จากชายผู้ไม่เคยรักใครมาก่อน

     

     

    คงจะมีเพียงท้องฟ้าในค่ำคืนนี้เท่านั้นที่ล่วงรู้

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    To Be Continue

     

     

     

                                                                                       

    .. TALK ..

    ฉากกุ๊กกิ๊ก บอกเลยค่ะว่าแต่งครั้งแรก อาจดูแปลกๆไปนิดนึงเนอะ 5555555 = =;

    ที่อยากเน้นจริงๆคืออารมณ์ความรู้สึกและการแสดงออกเนอะ อาจออกมาไม่หวือหวาเท่าไหร่

    ส่วนวิธีอ่านให้หาในไบโอทวิตเตอร์เอาเลยนะคะ ไม่ลงลิ้งค์นะ เค้ากลัวโดนแบน ..

    พีเอสสึ. ลูกเสือสเปเชี่ยลกำลังจะมาคั่นดราม่านะจ๊ะ ฮิ_ฮิ

     

     

     


    :)Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×