ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] TAOBAEK .. It's feeling

    ลำดับตอนที่ #1 : {OS} Sunflower

    • อัปเดตล่าสุด 22 เม.ย. 57




    Sunflower

    (PG-15)

     

     

     

     

     

    Theme song : Sunflower – Super Junior

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    Put on moisturizing lotion on my two cheeks

    Have a good sense of fashion, just like a magazine model

    Use your head-take it slow, make it simple and neat

    Before I go to the street across where she lives

     

     

     

     

     

                แสงแดดที่ส่องลอดผ้าม่านสีน้ำตาลอ่อนในห้องเข้ามาทำให้ผมต้องลุกขึ้นขยี้ตาตื่นอย่างทุกวัน เมื่อแหงนดูนาฬิกาที่แขวนข้างผนังก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเช้า เห็นเวลาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหาวออกมาไล่ความง่วงแล้วค่อยเดินหาผ้าเช็ดตัวที่วางอยู่ที่เดิมอย่างมึนๆแล้วเข้าห้องน้ำไป

     

                หลังอาบน้ำเสร็จผมก็เดินออกมาในสภาพผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันรอบเอวเหมือนปกติก่อนจะเดินมาหยุดที่กระจกหน้าห้องน้ำ หวีขนาดพอดีมือถูกผมจับบังคับให้สางบนผมสีดำสนิทของตัวเองจนกลายเป็นทรงผมหลายต่อหลายทรง ซึ่งผมก็ตัดสินใจหวีให้มันไปเทไปปิดบริเวณคิ้วด้านซ้ายแล้วเปิดโชว์คิ้วข้างขวาเอาไว้

     

              ผมบรรจงละเลงเนื้อครีมสีข้นลงบนแก้มทั้งสองข้างของตัวเอง ระหว่างทาอยู่ผมก็นั่งนึกถึงหน้าพี่รหัสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่หิ้วเอาเจ้ากระปุกโลชั่นมาฝากหลังจากที่เจ้าตัวไปพักร้อนไกลถึงอเมริกาในช่วงวันหยุดยาว แถมยังได้เสื้อผ้ามาอีกสามสี่ชุดอีกต่างหาก

     

    ความจริงผมก็แค่เคยถามๆไว้ว่ามีเคล็ดลับอะไรที่ทำให้ดูดีขึ้นบ้างไหม ไม่คิดว่าพี่แกจะเอาจริงขนาดนี้ เล่นเอาผมเกรงใจไม่กล้าขอให้ช่วยอะไรไปอีกนานเลย นี่ยังไม่รวมตุ๊กตาหมีแพนด้าหรือบางทีอาจจะเป็นหมอนข้างหมีแพนด้าแน่ก็ไม่รู้ที่พี่แกหิ้วแถมมาให้โดยให้เหตุผลว่ามันหน้าเหมือนผมอีกนะ

     

     

                เอาเถอะครับ คุณชายอู๋อี้ฟานเขาบ้านรวย.. ปล่อยเขาไปดีกว่า

     

               

                ผมตัดสินใจเก็บกระปุกครีมทาหน้าไว้ที่เดิมเมื่อรู้สึกว่าน่าจะทาพอแล้วก่อนเดินมาเลือกชุดที่จะใส่ไปทำงานวันนี้ที่หน้าตู้เสื้อผ้า เลือกไปเลือกมาก็เหลือสองชุดที่ผมยืนเลือกอยู่นานสองนาน

     

                ชุดแรกเป็นเสื้อกล้ามสีดำทับด้วยเสื้อกันหนาวลายเสือดาวมีฮู้ดกับกางเกงยีนส์สีดำแบบที่ผมชอบ

     

                ส่วนอีกชุดนึงเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวมียี่ห้อกับกางเกงยีนส์เดนิมที่พี่อี้ฟานซื้อมาฝากพร้อมกับบอกว่าถ้าผมใส่จะเท่ห์มาก

     

     

                และสุดท้ายผมก็ตัดสินใจเลือกชุดที่สองเผื่อว่ามันจะเท่ห์แบบที่พี่อี้ฟานบอกจริงๆ

     

     

     

     

     

                “ไปทำงานเช้าทุกวันเลยนะพ่อหนุ่ม”

     

               

                เสียงทักพร้อมกับรอยยิ้มของคุณป้าร้านขายขนมปังข้างคอนโดเป็นสิ่งแรกๆที่ผมมักจะได้ยินในเวลาเช้าอย่างนี้ ผมเลยโค้งรับและยิ้มตอบคุณป้าใจดีไปแล้วเริ่มพูดคุยกับคุณป้าด้วยสำเนียงเกาหลีแปร่งๆซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของผม

     

     

                “ผมมีธุระก่อนไปทำงานนิดหน่อยน่ะครับ แล้วก็ตื่นมาอุดหนุนคุณป้าคนแรกด้วยไงครับ ~

     

                “แหม.. น่ารักนะพ่อหนุ่ม งั้นป้าแถมให้ชิ้นนึงแล้วกัน”

     

                “ขอบคุณครับคุณป้า แต่ไม่ต้องหรอกนะครับ ผมเกรงใจ”

     

                “ไม่ต้องเกรงใจนะพ่อหนุ่ม เอาไปเผื่อให้สาวก็ได้”

     

                “ให้สาวอะไรกันครับคุณป้า ผมยังไม่มีแฟนซะหน่อย ฮ่าๆๆ”

     

                “อ้าว! ป้าก็นึกว่าที่พ่อหนุ่มมีแฟนแล้ว เห็นซื้อขนมปังแยกสองถุงทุกครั้งป้าก็นึกว่าซื้อไปให้แฟนซะอีกนะเนี่ย”

     

               

                คุณป้าทำสีหน้าแปลกใจจนผมอดไม่ได้ที่จะขำออกมาน้อยๆแล้วปฏิเสธไป หลังจากจ่ายเงินค่าขนมปังแล้วผมก็โค้งเป็นเชิงลาคุณป้าใจดีเหมือนทุกเช้าแล้วเดินออกจากร้านไป

     

     

     

     

     

    As I whistle one, two, three (I’m walking along)

    Today, again, I long for her

     

     

     

     

     

                ระยะทางระหว่างที่ทำงานกับคอนโดของผมไม่ค่อยห่างกันมากนักบวกกับการที่ผมติดนิสัยตื่นเช้าตั้งแต่เด็กแล้วทำให้ผมเลือกที่จะเดินไปทำงานมากกว่าจะถอยมอเตอร์ไซค์ลูกรักมาใช้ ระหว่างทางที่เดินไปทำงานผมก็คว้าเอาหูฟังกับไอโฟนขึ้นมาเสียบฟังเพลงข้างนึงไปเพลินๆ

     

     

                ตอนนี้ผมใกล้ถึงที่หมายแล้ว

     

                แต่ไม่ใช่ที่ทำงานของผมหรอกครับ

     

     

    ผมฮัมเพลงไปพลางเหลือบตามองคนที่อยู่บนทางเดินเท้าฝั่งตรงข้ามไปพลาง พยายามทำตัวให้เป็นธรรมชาติที่สุดเพื่อที่ว่าเขาจะได้จับสังเกตไม่ได้ว่าผมกำลังมองเขาที่กำลังปิดปากหาวอยู่ พอเขาเริ่มออกเดินผมก็กระชับสายกระเป๋ากีต้าร์ที่พาดไหล่อยู่ขึ้นแล้วออกเดินไปพร้อมๆกับเขา

     

     

    ผมเดินไปทำงานพร้อมกับเขาทุกวันโดยที่เขาไม่เคยรู้ตัวเลย

     

     

     

     

     

    I don’t know the way to completely get her yet

    But I send my heart to her everyday

    I am a sun flower bloomed next to her (sunflower, sunflower)

    As I hum along (sunflower, sunflower)

     

     

     

     

     

                “อรุณสวัสดิ์ครับครูแพคฮยอน”

     

    “อ๊ะ อรุณสวัสดิ์ครับลุงยาม”

     

    “มาเช้าทุกวันเลยนะครับ”

     

    “ไม่หรอกครับ อีกแปบเดียวก็ได้เวลาเปิดโรงเรียนแล้วนี่ครับ”

     

    “ครับ แต่กว่าเด็กๆจะมาเรียนก็สายหน่อยนี่นะครับ ฮ่าๆ”

     

    “ปิดเทอมแบบนี้เด็กๆก็ตื่นสายเป็นปกติแหละครับ ฮ่าๆๆ”

     

    “นั่นสินะครับ... อ้อ! ขนมปังครับครูแพคฮยอน จากเจ้าเดิมเลย”

     

    “ขอบคุณนะครับลุง ใครนะขยันซื้อมาได้ทุกวันเชียว..”

     

    “แต่ก็ชอบใช่ไหมล่ะครับคุณครู ฮ่าๆๆ”

     

    “โธ่ อย่าแซวสิครับ.... ผมไม่คุยด้วยแล้ว ไปเตรียมสอนดีกว่า”

     

     

    น่ารัก

     

     

    รอยยิ้มน่ารักๆของครูแพคฮยอนเป็นสิ่งที่ผมชอบที่สุดในตอนเช้าแบบนี้ ยิ่งได้เห็นเวลาเขาหยิบขนมปังที่ผมเลือกให้ทุกเช้าเข้าปากแล้วเคี้ยวจนแก้มยุ้ยแบบนั้นผมก็ยิ่งมีความสุข

     

    ผมเดินออกมาจากมุมอับในตัวตึกที่ใช้ซ่อนตัวเวลาเขาเดินมาแล้วโค้งตัวขอบคุณลุงยามที่คอยช่วยผมเอาขนมปังให้เขาทุกวัน ซึ่งลุงยามก็ยิ้มให้แล้วก้มหัวตอบเป็นเชิงรับรู้ก่อนที่ผมจะเดินขึ้นตัวตึกเพื่อเตรียมตัวสำหรับการทำงานในวันนี้เช่นกัน

     

    ผมทำงานเป็นครูสอนกีต้าร์ในโรงเรียนสอนดนตรีมาได้เกือบสามปีแล้ว ความจริงแล้วผมเป็นคนจีนที่สอบทุนมาเรียนต่อในเกาหลีได้ซึ่งผมก็เลือกที่จะเรียนในด้านดนตรีที่ผมรัก พอเรียนจบมาผมก็ได้สมัครเข้าทำงานในโรงเรียนสอนดนตรีแห่งนี้ ด้วยความสามารถด้านดนตรีที่มีติดตัวทำให้ผมได้งานนี้มา

     

    ส่วนพยอนแบคฮยอนหรือครูแพคฮยอนคือครูสอนร้องเพลงในโรงเรียนนี้ เขาเข้ามาทำงานที่นี่ทีหลังผมเกือบปีเพราะช่วงนั้นครูสอนร้องเพลงคนเก่าขอลาออกทำให้ตำแหน่งว่าง จนกระทั่งในอีกหนึ่งอาทิตย์ถัดมาคุณมินซอกก็ได้แนะนำให้ผมกับครูคนอื่นๆได้รู้จักกับครูแพคฮยอน ตอนแรกผมก็แค่รู้สึกชอบในความเป็นคนง่ายๆไม่เรื่องมากแถมยังอัธยาศัยดีของเขา

     

    หลังจากนั้นไม่นานผมก็รู้ตัวเองว่าผมไม่ได้แค่ชอบเขา

     

    ผมหลงรักทุกอย่างที่เป็นเขา หลงรักมาได้สองปีแล้ว

     

    แต่ผมก็ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงให้เขารู้ตัวดี ผมเลยได้แต่คอยมองเขาอยู่ห่างๆ คอยตามรับตามส่งเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัวทุกวันเพียงเพราะอยากเห็นว่าเขาจะเดินทางไปกลับได้อย่างปลอดภัย และผลจากการตามดูเขาทุกวันทำให้ผมรู้ว่าเขาเป็นคนไม่ค่อยทานอาหารเช้าเพราะเขาขี้เกียจไปเดินหาอะไรทานทุกวัน ผมเลยต้องซื้อขนมปังมาเผื่อเขาทุกวันด้วย

     

    บางคนอาจจะคิดว่ามันลำบากเกินไปไหมกับการทำอะไรแบบนี้ ผมตอบเลยว่าไม่

     

    แค่ได้เห็นเขายิ้มอย่างมีความสุขทุกวันผมก็พอใจแล้ว

     

     

     

     

     

    I scatter the sound of love budding on the street she walks

    Without her knowing.. Ah! I secretly take a look at her

     

     

     

     

     

                “คิก.. อย่าให้จับได้นะ”

     

               

    ผมที่กำลังจะเดินไปหยิบปิ๊กกีต้าร์สำรองที่ล็อกเกอร์ถึงกับยิ้มออกเพราะได้ยินเสียงบ่นอย่างน่ารักของครูแพคฮยอนดังมาจากในห้องเก็บของใช้รวมครู ส่วนเหตุผลที่บ่นก็คงเป็นเพราะน้ำขวดนึงที่วางหน้าล็อกเกอร์ของครูแพคฮยอนกับกระดาษโพสต์อิสที่ผมตั้งใจเอาแปะไว้บนขวดน้ำนั่นแหละ

     

     

    ลืมล็อกอีกแล้วนะครับคุณครู ระวังของหาย! ห้ามดื่มน้ำเย็นนะครับ สู้ๆ J

     

     

    เพราะผมรู้ว่าคนที่ใช้เสียงมาในแต่ละวันแบบนี้ไม่ควรจะดื่มน้ำร้อนหรือเย็นจนเกินไป ทุกครั้งที่พักจากการสอนผมก็จะไปหาซื้อน้ำมาจากร้านสะดวกซื้อที่อยู่ใกล้ๆแล้วเขียนข้อความแนวนี้ลงไปบนกระดาษโพสต์อิสที่ติดไว้ข้างขวดแล้วเอามันไปใส่ไว้ในล็อกเกอร์ของครูแพคฮยอนที่ชอบลืมล็อกบ่อยๆ

     

    ที่ผมทำไปก็เพราะอยากจะเห็นรอยยิ้มของเขาก็แค่นั้นเอง

     

    ถึงแม้ลึกๆก็อยากให้เขารู้เหมือนกันว่าสิ่งที่เขาได้รับมาตลอดสองปีนั้นเป็นฝีมือของใคร

     

     

    “อ้าว ครูจื่อเทา มาทำอะไรตรงนี้ครับ”

     

    “อ..เอ่อ ผมมาเอาปิ๊กกีต้าร์สำรองน่ะครับ พอดีมีเด็กลืมเอามา”

     

    “ขยันจังครับ ระวังเหนื่อยนะ ฮ่าๆๆ”

     

    “ไม่เหนื่อยหรอกครับ แค่นี้เอง... แล้วนี่ครูแพคฮยอนพักแล้วเหรอครับ?”

     

    “ครับ เพิ่งได้พักเมื่อกี้นี้เอง”

     

    “พักแล้วก็ดื่มน้ำเยอะๆนะครับ ... เดี๋ยวผมต้องไปสอนต่อล่ะ”

     

    “ครับผม ~ สู้ๆนะครับคุณครูจื่อเทา!

     

     

    ผมยิ้มกว้างให้กับครูแพคฮยอนที่ทำท่าชูสองนิ้วให้กำลังใจผมอย่างน่ารักก่อนจะชูสองนิ้วตอบกลับไปบ้าง ครูแพคฮยอนถึงกับหัวเราะออกมาเมื่อเห็นท่าแอ๊บแบ๊วที่นานๆทีผมจะยอมทำให้ใครดู ผมหยิบปิ๊กกีต้าร์สำรองเดินออกมาก่อนจะหยุดยืนข้างประตูแล้วยิ้มกับตัวเองเหมือนคนบ้า

     

     

    ไม่ยิ้มได้ยังไงล่ะครับ กำลังใจมาเต็มที่ขนาดนี้

     

     

     

     

     

    Come over where I am, just a little bit more

    So that you can see what kind of person I am

     

     

     

     

     

                “แพคฮยอน สนิทกับครูจื่อเทาเหรอ?”

     

                “ก็ไม่ถึงกับสนิทหรอก ทำไมเหรอคยองซู?”

     

               

                ผมที่กำลังเช็คสภาพกีต้าร์ลูกรักก่อนจะเก็บมันเข้ากระเป๋าถึงกับหูผึ่งเมื่อได้ยินชื่อตัวเองในบทสนทนาของครูคยองซูกับครูแพคฮยอนที่ยืนคุยกันอยู่หน้าห้องสอนร้องเพลง ถึงผมจะดีใจที่ครูแพคฮยอนชมผมแต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าทำไมผมถึงกลายเป็นหัวข้อสนทนาไปได้

     

     

                “ก็ฉันเคยได้ยินครูคนอื่นเล่ากันมาว่าเขาเคยก่อเรื่องทะเลาะวิวาทตอนมอต้นนี่นา”

     

                “เอ๋? ทะเลาะวิวาทเหรอ”

     

                “อื้ม เคยมีคนเห็นในใบประวัติเขาน่ะ”

     

                “อ่าฮะ แล้ว..... ยังไงอ่ะ?”

     

                “โธ่ แพคฮยอน! เคยมีประวัติทะเลาะวิวาท แถมยังมีรอยเจาะหูเต็มไปหมดอีก.. เขาต้องเป็นพวกหัวรุนแรงหรือต้องเคยเป็นนักเลงมาก่อนแน่เลย น่ากลัวชะมัด”

     

     

                อ๋อ.. ที่แท้ก็เรื่องนี้

     

               

    สมัยมอต้นผมยังตัวไม่สูงเท่านี้ เป็นแค่เด็กตัวผอมๆแห้งๆคนนึงก็เลยกลายเป็นเป้าหมายในที่ถูกพวกรุ่นพี่แกล้งอยู่บ่อยๆ ทั้งแกล้งให้อับอายหรือทำร้ายร่างกายเล็กๆน้อยๆ ซึ่งผมก็ไม่เคยตอบโต้เพราะคิดว่าพอเบื่อแล้วพวกนั้นก็คงจะพากันเลิกแกล้งผมไปเอง จนวันนึงมันเริ่มมากเกินไปถึงขั้นเรียกไปไถเงินในห้องน้ำ พอผมไม่ให้ก็ทำท่าจะรุมผมสี่ต่อหนึ่ง

     

     

                นั่นแหละ ผมถึงได้งัดวิชาวูซูที่ป๊าเคยส่งให้ไปเรียนตอนเด็กๆมาได้

     

     

                ผลที่ตามมาคือผมถูกอาจารย์ปกครองทำทัณฑ์บนข้อหาทะเลาะวิวาทแค่คนเดียวเพราะไอ้สี่คนนั้นมันดันมีพ่อเป็นนายทหารใหญ่ใช้เส้นให้ลูกพ้นข้อกล่าวหาไปได้ พอป๊าผมรู้เรื่องก็ไม่ได้ว่าอะไรแถมยังบอกด้วยว่าอย่าใช้วูซูสู้กับพวกนี้อีกเพราะวูซูเป็นของที่ใช้ปกป้องคนอื่นไม่ใช่เอาไว้ทำร้ายคนอื่น

     

                แต่คนอื่นเขาก็ไม่รู้ไงครับว่าที่จริงไอ้ที่เขียนไว้ในใบประวัติมันมีที่มายังไงแน่ แถมช่วงวัยรุ่นผมเห่อเรื่องเจาะหูมากซะจนติดเป็นนิสัยมาถึงตอนนี้ด้วยเลยไม่ค่อยมีคนอยากเข้าใกล้ผมสักเท่าไหร่ ยกเว้นก็แต่พี่อี้ฟาน คุณป้าร้านขายขนมปัง ลุงยาม แล้วก็...ครูแพคฮยอน

     

     

                แต่ก็ไม่รู้ว่าพอรู้ว่าผมมีประวัติแบบนี้แล้วเขาจะยังกล้าเข้าใกล้ผมอีกไหม

     

                และผมก็ไม่รู้ด้วยว่าเขาตอบครูคยองซูไปว่ายังไงต่อ เพราะผมเดินหนีไปก่อนที่เขาจะพูดต่อ

     

     

     

     

     

    She has sat down (sat down)

    My love bell has rang (bell has rang)

     

     

     

     

     

                เพราะวันนี้เด็กที่ต้องมาเรียนสองคนสุดท้ายขอเลื่อนเรียนไปทั้งคู่ผมเลยได้เวลาว่างมาถึงสี่ชั่วโมงเต็มๆ ตอนนี้ก็เพิ่งจะสี่โมงเย็นผมตั้งใจว่าจะนั่งรถประจำทางไปเดินเล่นหาซื้อพวกต่างหูหรือสร้อยคอที่มยองดงก่อนจะกลับห้องซะหน่อย ระหว่างที่รอรถอยู่ผมก็เห็นครูแพคฮยอนยืนอยู่คนละฝั่งของป้ายรถแถมยังทำหน้าเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอีกเมื่อมองหน้าผม

     

     

                สายตาแบบนั้นมันทำให้ผมหายใจไม่ออก

     

               

    โชคยังดีที่รถประจำทางมาซะก่อนที่ผมจะขาดอากาศหายใจตายต่อหน้าเขาซะก่อน ผมรีบก้าวขึ้นรถแล้วจ่ายค่าโดยสารก่อนจะมองหาที่นั่งว่างๆข้างหน้าต่าง

     

     

    แต่ให้ตายเถอะ ครูแพคฮยอนขึ้นรถมาด้วย?

     

    แถมยังเดินมาทางนี้อีกต่างหาก

     

     

    “เอ่อ.. ผมนั่งด้วยนะ”

     

    “ห..หา? อ่อ ค..ครับ เชิญครับ”

     

     

    ครูแพคฮยอนที่ทำหน้าลำบากใจอยู่นิดหน่อยในทีแรกเริ่มยิ้มออกมาแล้วหย่อนตัวลงนั่งข้างกันกับผม ผมถึงกับกอดคอเจ้ากีต้าร์ลูกรักเพียงเพราะไม่เคยรู้สึกประหม่ากับการอยู่ใกล้ใครขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมกับครูแพคฮยอนได้อยู่ใกล้กันถ้าไม่นับรวมการพูดคุยทักทายเล็กๆน้อยๆที่โรงเรียนสอนดนตรี

     

     

    “เอ่อ.. แล้วนี่ครูแพคฮยอนจะไปไหนเหรอครับ?”

     

    “ไม่รู้สิครับ แล้วครูจื่อเทาล่ะ?”

     

    “ผมจะไปมยองดงน่ะครับ ว่าจะไปเดินเล่นหน่อย”

     

    “อืม... งั้นผมคงไปมยองดงเหมือนกันแหละครับ”

     

     

    เขาจะรู้ตัวไหมนะว่ากำลังทำให้ผมใจเต้นแรงแค่ไหน

     

     

     

     

     

    The more I look, she is so pretty

    (The way to her embrace) I search the way to her embrace

    I am her sunflower (bloomed because of her) (sunflower, sunflower)

    My heart is nervously excited (sunflower, sunflower)

     

     

     

     

     

                แค่คำตอบที่ครูแพคฮยอนบอกออกมาก็ทำให้ผมใจเต้นจะตายอยู่แล้ว แต่นี่ผมยิ่งทำตัวไม่ถูกไปใหญ่เมื่อตอนนี้คนที่เดินอยู่ข้างๆผมแล้วคอยชวนให้ผมดูนู่นดูนี่อยู่คือครูแพคฮยอนอีกนั่นแหละ จากที่ตอนแรกคิดว่าจะเดินเล่นให้สบายใจจากเรื่องที่คิดมากอยู่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าผมเดินหิ้วสายกระเป๋ากีต้าร์โดยแทบไม่สนอะไรทั้งนั้น แม้แต่ร้านเครื่องประดับที่ผมชอบแวะดูบ่อยๆก็เถอะ

     

     

                แต่ผมก็ต้องหยุดเมื่อรู้สึกถึงแรงกระตุกที่ชายเสื้อกับสายตาที่เหมือนลูกหมาหงอยๆคู่นั้น

     

     

                “ค..ครูจื่อเทาครับ”

     

                “ครับ? เป็นอะไรรึเปล่าครูแพคฮยอน”

     

                “เอ่อ.. ผมขอจูงมือหน่อยได้ไหม”

     

               

                แค่เดินด้วยกันก็ใจเต้นจะแย่แล้ว แล้วถ้าจูงมือผมไม่หัวใจวายไปข้างเลยเหรอเนี่ย..

     

                แต่สุดท้ายผมก็ยอมนะครับ ก็ดูเหตุผลของเขาสิ

     

                แล้วดูหน้าที่แดงขึ้นมาหน่อยๆกับเสียงที่หายไปไหนแล้วไม่รู้นั่นสิ

     

     

                “ผม...กลัวหลง”

     

     

                เพิ่งเคยเห็นครูแพคฮยอนเขินชัดๆเนี่ยแหละครับ

     

    น่ารักที่สุดเลยเถอะ..

     

     

     

     

     

                “ย๊า.. ครูจื่อเทาอย่าหัวเราะสิ”

     

                “ขอโทษครับ ฮ่าๆๆ แต่ผมหยุดไม่ได้ ฮ่าๆๆๆๆ”

     

     

                ผมได้แต่ขำไม่หยุดกับท่าทางเหมือนจะหงุดหงิดไม่น้อยของครูแพคฮยอนที่ตอนนี้บนหน้ามีซอสสีดำของจาจังมยอนเปื้อนอยู่ คงเป็นเพราะหิวมากเลยทำให้เจ้าตัวรีบกินจนน้ำซอสสีดำเปื้อนหน้าเปื้อนจมูกขนาดนี้ พอผมเห็นแล้วหัวเราะแล้วก็ยิ่งหัวเราะหนักไปอีกเมื่อเขาพยายามจะเช็ดน้ำซอสนั้นออกแต่ก็เช็ดไม่โดนซะทีจนผมอดไม่ไหวหยิบทิชชู่มาช่วยเช็ดแทน

     

     

                “หมดแล้วล่ะครับ”

     

                “อ..เอ่อ ขอบคุณนะครับ..”

     

     

                ผมเพิ่งรู้ตัวว่าระยะห่างระหว่างเราสองคนน้อยลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มารู้เอาอีกทีก็ตอนครูแพคฮยอนพูดเสียงแผ่วเหมือนกับตอนที่ขอให้ผมจูงมือให้ แถมยังมีแก้มที่แดงกว่าตอนนั้นอีกมาเป็นหลักฐานด้วย ผมเลยได้แต่ถอยตัวกลับมาก้มหน้ากินเจ้าบะหมี่ดำที่เหลือจนหมดแทน

     

     

                “คุณ.. ไม่เหมือนที่คยองซูบอกจริงๆด้วย”

     

                “ครับ...?”

     

                “ผมรู้นะครับว่าคุณได้ยินที่ผมกับคยองซูคุยกัน”

     

                “ก็.. นิดหน่อยน่ะครับ ผมชินแล้วล่ะกับการโดนคนอื่นมองแบบนี้”

     

                “ไม่จริงหรอกครับ เรื่องเจาะหูผมว่ามันเป็นสไตล์ของแต่ละคนนะ ส่วนเรื่องทะเลาะวิวาทผมก็ไม่คิดหรอกว่าคุณจะเป็นคนเริ่มก่อน”

     

                “ฮะๆ ครูแพคฮยอน... คุณเป็นคนที่แปลกจริงๆนะครับ ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ?”

     

                “ถ้าคุณเป็นคนหัวรุนแรงคุณก็คงไม่มีความอดทนถึงขนาดสอนใครได้หรอกครับ แล้วก็....”

     

                “แล้วก็..?”

     

                “เอ่อ.. ความลับครับ!

     

     

                ผมได้แต่เกาหัวอย่างสงสัยกับท่าทางเหมือนปกปิดอะไรอยู่ของครูแพคฮยอนก่อนจะเลิกคิดแล้วหันมาก้มหน้าก้มตาจัดการจาจังมยอนจนหมด พอเราสองคนกินเจ้าบะหมี่ดำนี่หมดก็พากันจ่ายเงินแล้วเดินออกจากร้านไปโดยที่ผมก็ไม่ลืมจูงมือครูแพคฮยอนที่กลัวหลงทางไปด้วย ระหว่างที่เดินดูอะไรกันไปเรื่อยๆครูแพคฮยอนก็พูดขึ้นมาเหมือนเป็นการบ่นกับตัวเองแต่ผมก็ได้ยินมันชัดทุกคำ

     

     

                “คุณใจดีกับผมขนาดนี้แล้วคุณจะเป็นคนแบบนั้นได้ไงล่ะ...คนโง่”

     

     

                โอ้... พระเจ้าครับ อย่าให้เขารู้เลยนะว่าตอนนี้ผมใจเต้นแรงแค่ไหน

     

     

     

     

     

    In order for her to come toward me because of my scent

    I sometimes stand in the moonlight, all night long

    I stand here as always- so she can stop to greet me

     

     

     

     

     

              เรามารอรถประจำทางกันตอนเวลาเกือบสองทุ่ม รอไปได้ไม่ถึงห้านาทีรถก็มาถึง ผมให้ครูแพคฮยอนเดินขึ้นก่อนแล้วค่อยเดินตามหลังเพราะดูเหมือนจะติดเป็นนิสัยไปแล้วกับการคอยระวังความปลอดภัยให้เขา ครูแพคฮยอนเลือกนั่งข้างหน้าต่างแล้วชวนให้ผมมานั่งด้วยกันซึ่งผมก็ไม่ได้ปฏิเสธ ผมพาเจ้ากีต้าร์ลูกรักวางลงกับพื้นรถแล้วนั่งข้างกันกับเขา

     

     

                “วันนี้ผมสนุกมากเลย ขอบคุณนะครับครูจื่อเทา”

     

                “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมก็เหมือนกัน.. วันนี้ผมมีความสุขมากเลยนะครับ”

     

     

                ผมตอบไปตามที่คิดโดยไม่เสแสร้ง วันนี้เป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุดจริงๆ และดูเหมือนว่าครูแพคฮยอนก็เหมือนกันเพราะเขายิ้มให้ผม ยิ้มเหมือนกับทุกเช้าที่เขายิ้มให้กับถุงขนมปังที่ผมซื้อให้โดยที่เขาไม่รู้ ยิ้มเหมือนกับที่เขายิ้มให้กับเจ้าขวดน้ำกับกระดาษโพสต์อิสที่ผมใส่ไว้ในล็อกเกอร์ทุกวัน

     

     

                เขายิ้มแบบที่ผมชอบที่สุดให้ผม

     

     

                “ครูแพคฮยอนครับ ยิ้มแบบนี้บ่อยๆนะ”

     

                “คิก.. ได้สิครับ ครูจื่อเทาก็ต้องยิ้มเป็นเพื่อนผมบ่อยๆด้วย”

     

                “ฮ่าๆๆ ไม่ยืนยันได้ไหมครับ”

     

     

                เพราะผมไม่ได้อยากเป็นเพื่อนคุณซะหน่อย J

     

     

                “ยิ้มเถอะ ผมชอบให้คุณยิ้มนะครับ”

     

               

                แต่ผมก็ยอมเพราะประโยคนี้แท้ๆเลย..

     

               

                ผมนั่งมองคนที่เผลอหลับไปทั้งๆที่หัวพิงกระจกรถก่อนจะตัดสินใจช้อนหัวเล็กๆนั่นขึ้นมาไว้บนไหล่ตัวเองเพราะกลัวว่าหัวของเขาจะกระแทกกระจกซะก่อน และเหมือนคนที่หลับจะพอใจเมื่อรู้สึกว่านอนสบายมากกว่าเดิมจนอมยิ้มออกมาทั้งที่เขายังนอนอยู่อย่างนั้นจนผมต้องเผลอยิ้มตามไปด้วย

               

    จนเมื่อใกล้ถึงป้ายที่ต้องลงผมถึงปลุกครูแพคฮยอนขึ้นมา เขามีท่าทางงัวเงียจนผมแทบเปลี่ยนใจอยากให้เขานอนต่อถ้าไม่ติดว่าต้องลงแล้ว ผมสะพายเจ้ากีต้าร์ลูกรักขึ้นหลังแล้วให้เขาเดินออกมาก่อนแล้วค่อยเดินตาม พอลงรถมาเราก็ต้องเดินไปอีกหน่อยถึงจะถึงอพาร์ตเม้นท์ที่ครูแพคฮยอนอยู่ผมเลยอาสาขอไปส่งเขา ตอนแรกเขาก็ไม่ยอมเพราะกลัวผมลำบากแต่พอผมบอกว่าเดินไปทางเดียวกันเขาก็ยิ้มออกมาแล้วพยักหน้าตกลงทันที เราสองคนก็เดินมาด้วยกันเรื่อยๆจนถึงหน้าอพาร์ตเม้นท์ของเขาที่ผมคุ้นเคยดี

     

     

                “ขอบคุณที่มาส่งนะครับ”

     

                “ไม่เป็นไรครับ แล้วก็.... เอ่อ.. ฝันดีนะครับ”

     

                “คิก.. ฝันดีครับครูจื่อเทา”

     

     

                ผมยืนมองครูแพคฮยอนยิ้มให้อย่างน่ารักแล้วโบกมือให้ จนกระทั่งเขาวิ่งขึ้นอพาร์ตเม้นท์ไปผมถึงได้ยอมเดินกลับคอนโดของตัวเองบ้าง ความจริงนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมาส่งเขาเพราะปกติถ้าผมเลิกสอนก่อนเขาผมก็จะเดินออกมาจากตึกพร้อมกับเขาแต่เป็นที่ฝั่งตรงข้ามเหมือนกับที่ตอนเช้าผมเดินไปทำงานพร้อมเขานั่นแหละ

     

                เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าผมมองเขาอยู่ทุกวันก็แค่นั้นเอง

     

                แต่ผมก็จะยังอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน

     

    เผื่อว่าสักวันเขาจะรู้...แล้วหันมามองผมบ้าง

     

     

     

     

     

    As I whistle one, two, three (I’m walking along)

    Today, again, I long for her

    I don’t know the way to completely get her yet

    But I send my heart to her everyday

    I am a sunflower bloomed next to her (sunflower, sunflower)

    As I hum along (sunflower, sunflower)

     

     

     

     

     

              วันนี้ผมก็ยังคงตื่นในเวลาประมาณหกโมงเหมือนเดิม เหมือนว่ามันจะติดเป็นนิสัยไปซะแล้วที่ผมจะต้องตื่นเวลานี้ ผมขยี้ผมไล่ความง่วงแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ พออาบน้ำเสร็จผมก็มาหวีผมจัดทรงผมแล้วมานั่งทาครีมทาโลชั่นบำรุงที่ยังเหลือเต็มกระปุกเหมือนทุกวัน

     

                วันนี้ผมเลือกใส่เสื้อกล้ามสีขาวคอกว้างใส่คู่กันกับเสื้อตัวนอกสีฟ้ากับกางเกงยีนส์สีขาว ส่วนเครื่องประดับผมก็เลือกใส่สร้อยคอเงินกับต่างหูอีกสามอัน ผมยืนเช็คตัวเองในกระจกจนพอใจแล้วก็สะพายกีต้าร์ลูกรักขึ้นบ่าไปทำงาน

     

     

     

     

     

                ผมเดินถือถุงขนมปังสองถุงแล้วเดินไปตามทางพร้อมกับฮัมเพลงที่ไอโฟนสุ่มมาไปด้วยก่อนจะหยุดยืนรอคนที่ผมซื้อขนมปังให้ที่กำลังเดินลงมาจากบันไดอพาร์ตเม้นท์ฝั่งตรงข้าม พอเขาเดินลงมาถึงข้างล่างผมก็เริ่มออกเดินไปพร้อมๆกับเขา ระหว่างที่เดินผมก็หันมองเขาเป็นระยะๆสลับกับมองทางข้างหน้าไปด้วย แต่เหมือนวันนี้ผมจะรู้สึกแปลกๆเพราะผมรู้สึกเหมือนเขายิ้มให้ผมอยู่

     

     

                สงสัยจะคิดมากไป

     

     

                พอช่วงใกล้ถึงตัวตึกผมก็รีบเดินเร็วขึ้นแล้วเอาถุงขนมปังไปฝากให้ลุงยามช่วยเหมือนกับทุกวันซึ่งลุงแกก็ยิ้มรับแล้วพยักหน้าเหมือนเดิม ผมรีบไปซ่อนตัวอยู่ที่เดิมรอดูปฏิกิริยาของครูแพคฮยอนที่กำลังเดินข้ามถนนมา

     

                ครูแพคฮยอนกับลุงยามทักทายกันเหมือนปกติก่อนที่ลุงยามจะยื่นถุงขนมปังให้ครูแพคฮยอน แต่วันนี้มีอะไรที่ผมคิดว่าผิดสังเกตไปหน่อย ครูแพคฮยอนยิ้มแล้วโค้งตัวขอบคุณลุงยามแบบปกติแล้วเดินขึ้นตัวตึกไปโดยที่ไม่แตะต้องขนมปังในถุงเลย ทั้งที่ปกติแล้วเขาจะเดินไปกินไปทุกวัน

     

     

                จะว่าไม่สบายก็ไม่น่าใช่ เพราะผมจำได้ว่าเวลาไม่สบายเขาจะขอลาหยุดไปเลยไม่ฝืนตัวเอง

     

     

                หรือว่าเขาจะไม่อยากกินขนมปังแล้วนะ?

     

     

     

     

     

    She has sat down (sat down)

    My love bell has rang (bell has rang)

    The more I look, she is so pretty

    (The way to her embrace) I search for the way to her embrace

     

     

     

     

     

              วันนี้ผมรู้สึกว่าขนมปังที่เคยชอบกินอยู่ทุกวันไม่อร่อยเท่าวันอื่นเท่าไหร่จนผมต้องวางมันไว้บนโต๊ะเพราะรู้สึกอิ่มตื้อขึ้นมาเสียเฉยๆ ผมหยิบเจ้ากีต้าร์ลูกรักขึ้นมาดีดเล่นฆ่าเวลาที่ปกติจะเสียไปกับการกินขนมปังและการแอบมองครูแพคฮยอนอยู่ห่างๆจนกว่าครูคยองซูที่สอนคู่กับเขาจะมา แต่วันนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยอยากทำแบบนั้นเท่าไหร่

     

                ผมนั่งดีดกีต้าร์เป็นทำนองเพลงเท่าที่จะคิดออก แต่เหมือนว่าวันนี้จะเป็นวันที่แปลกจริงๆนั่นแหละเพราะครูแพคฮยอนที่ชอบเตรียมตัวสอนในห้องสอนร้องเพลงตอนเช้ากำลังยืนมองผมอยู่หน้าประตูห้องสอนกีต้าร์ของผมโดยที่ในมือก็ถือถุงขนมปังที่ผมซื้อให้เขาอยู่ด้วย

     

                เฮ้ย.. ถ้าเขาเห็นถุงขนมปังจากร้านเดียวกันเขาก็สงสัยสิวะ

     

                ผมที่เพิ่งนึกออกรีบวางกีต้าร์ลูกรักแล้วหยิบถุงขนมปังที่วางเด่นบนโต๊ะมาซ่อนไว้ข้างหลังตัวเองแต่ก็เหมือนจะไม่มิดเพราะครูแพคฮยอนถึงกับหลุดขำเมื่อเห็นท่าทางของผม

     

     

                “คิก.. ฮ่าๆๆ ไม่ทันแล้วครับครูจื่อเทา”

     

                “อ่า.. อ...อรุณสวัสดิ์ครับครูแพคฮยอน”

     

                “อรุณสวัสดิ์ครับ... ผมขอนั่งนะ”

     

                “เอ่อ.. ครับ เชิญครับ”

     

     

                ครูแพคฮยอนเดินมาทิ้งตัวลงนั่งที่พื้นห้องข้างกันกับผมจนผมอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเมื่อวานตอนขึ้นรถประจำทางที่เขาเดินมานั่งข้างๆผม แต่ต่างกันแค่ตอนนี้เราอยู่กันแค่สองคนในห้องแต่เมื่อวานเราอยู่บนรถประจำทางที่ยังมีคนอยู่บ้าง ยิ่งคิดใจมันก็ยิ่งเต้นแรง แล้วมันยิ่งเต้นแรงไปอีกเมื่อได้ยินครูแพคฮยอนพูดไปพร้อมๆกับอมยิ้มอย่างน่ารัก

     

     

                “ขอบคุณสำหรับขนมปังนะครับครูจื่อเทา”

     

                “คุณ.. รู้?”

     

                “ตอนแรกก็สงสัยอยู่แล้วน่ะครับ แต่รู้เพราะเมื่อวานนั่นแหละ... ผมจำได้ว่าคอนโดคุณอยู่ติดกับร้านขนมปังร้านนี้ ผมเคยไปซื้อกินอยู่”

     

               

                จริงสิ เมื่อวานผมบอกกับเขาไปเองนี่นาว่าผมพักอยู่ที่ไหน..

     

    แกพลาดแล้วหวงจื่อเทา

     

     

                “แถมวิธีพูดของคุณก็เหมือนกับคนที่เขียนโพสต์อิทให้ผมทุกวันด้วย ผมจำได้”

     

     

                แหงสิครับ ผมเคยพูดแบบเป็นห่วงเป็นใยใครแบบนี้ที่ไหนล่ะ

     

     

                “ที่สำคัญ.. ผมเห็นคุณที่ฝั่งตรงข้ามทุกเช้าเลยด้วย บางเย็นก็เห็นนะครับ”

     

                “เอ่อ.. คุณเห็น...ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”

     

                “ก็.. เกือบสองปีแล้วล่ะครับ”

     

     

                ก็ตั้งแต่ช่วงแรกๆเลยสิเนี่ย

     

     

                ผมได้แต่เกาท้ายทอยตัวเองแก้เขินเมื่อได้ยินอย่างนั้นก่อนจะวางกีต้าร์ลูกรักในมือลงแล้วหันมาให้ความสนใจกับถุงขนมปังที่ซ่อนอยู่ข้างหลังแทน น่าแปลกที่ตอนนี้มันอร่อยกว่าตอนที่กินเมื่อกี้เยอะเลยทั้งที่รสชาติมันก็ยังเหมือนกับทุกวัน ก่อนที่ผมจะต้องหันไปให้ความสนใจครูแพคฮยอนที่กระตุกชายเสื้อผมเบาๆแล้วเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยแก้มแดงเรื่อ

     

     

                “นี่”

     

                “ค...ครับ?”

     

                “วันหลังขนมปังน่ะใส่ถุงเดียวกันก็ได้นะครับ ใช้ถุงเยอะแล้วโลกมันร้อน.....”

     

     

                ครูแพคฮยอนพูดแล้วหยิบขนมปังในถุงที่วางอยู่ต่อหน้าเขาออกมานั่งก้มหน้ากินเงียบๆ ถึงเขาจะก้มหน้ามากแค่ไหนแต่ผมก็สังเกตเห็นได้ว่าแก้มยุ้ยๆสองข้างที่เคี้ยวขนมปังอยู่นั้นมันกำลังแดงไม่แพ้ผมเหมือนกัน เผลอๆอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ

     

               

                วันนี้ครูแพคฮยอนของผมก็น่ารักอีกแล้วสิน่า..

     

     

     

     

     

    I am her sunflower (bloomed because of her) (sunflower, sunflower)

    My heart is nervously excited (sunflower, sunflower)

     

     

     

     

               

    ผมหันมองคนที่เดินด้วยกันข้างๆเป็นระยะก่อนจะกระชับมือที่จับจูงกันอยู่ให้แน่นขึ้นจนได้ยินเสียงหัวเราะหลุดมา ผมยิ้มให้ครูแพคฮยอนแล้วยื่นหูฟังสีขาวให้เขาลองฟังเพลงที่ผมฟังอยู่ด้วย ผมฮัมเพลงที่เราฟังด้วยกันขณะที่เดินช้าๆไปด้วย สักพักนึงผมก็ได้ยินเสียงครูแพคฮยอนร้องตามเพลงออกมาเบาๆแค่นิดเดียวเท่านั้น แต่มันก็ทำให้ผมหุบยิ้มไม่ได้เลยทีเดียว

     

     

                “นานึน คือนยอ มลแร...มุลคือรอมี โบเน”

     

     

                โดยที่เธอไม่รู้ตัว...ผมกำลังแอบมองเธออยู่

     

     

                ผมรอให้เพลงเล่นไปเรื่อยๆจนถึงท่อนที่รออยู่ก่อนจะร้องตอบกลับไปบ้าง และดูเหมือนว่ามันจะทำให้เขาเขินขึ้นมาได้อีกแล้ว สังเกตได้จากแก้มแดงเรื่อๆสองข้างนั้นแหละครับ

     

     

                “โบโก โต บวาโด นอมู เยปึน ซารัม..”

     

     

                ยิ่งผมมองเธอก็ยิ่งน่ารัก..

     
     

                และสิ่งที่ผมได้ตอบมาคือแรงฟาดที่ไม่เบานักแต่ก็ไม่แรงมากจากครูแพคฮยอนกับหน้าหวานๆนั่นที่แยกเขี้ยวใส่เหมือนจะบอกว่า เขินแล้วซึ่งผมก็ได้แต่ขำกับท่าทางน่ารักๆอย่างนั้นจนอดไม่ได้ที่จะบีบจมูกเล็กๆนั้นอย่างหมั่นเขี้ยวแต่ก็ต้องปล่อยออกเมื่อเห็นเขาทำหน้าจริงจังมาให้

     

     

                “นี่..”

     

                “หืม.. ครับ?”

     

                “อย่าปล่อยมือผมนะ”

     

     

                ผมถึงกับยิ้มออกมาไม่หุบเมื่อได้ยินคำพูดที่เหมือนไม่มีอะไรแต่ก็แฝงความหมายได้ดี ซึ่งผมก็ให้คำตอบด้วยการกระชับมือเล็กๆนี้แน่นขึ้นเป็นคำตอบให้แทนซึ่งครูแพคฮยอนก็รู้ดีว่าผมต้องการจะสื่ออะไร เพราะผมไม่ใช่คนพูดอะไรหวานๆเท่าไหร่และมักจะเน้นการกระทำมากกว่า

     

     

                “ไม่ปล่อยแน่นอนครับ”

     

     

                ขืนขาดเขาไปผมก็แย่สิครับ

     

                เขาน่ะ.. เป็นเหมือนดวงอาทิตย์ของผมเลยนะ J

     

     

     

     

     

     

     

     

    END

     

     

     

                                                                                       

    .. TALK ..

    ได้พล็อตมาจากตอนนั่งฟังเพลงนี้ในเช้าวันนึง ส่วนตัวชอบเพลงนี้อยู่แล้วด้วย

    กว่าจะแต่งจบก็นั่งเขินไปหลายรอบกับความหมายเพลง 5555555555

    ตอนแรกก็นั่งคิดว่าจะให้จื่อเทาเป็นอะไรดี นั่งขุดรูปทั้งโฟลเดอร์ดูเผื่อได้ไอเดีย

    สุดท้ายก็ครูจื่อเทามาเพราะรูปพรีเดบิวต์ที่ทำท่าดีดกีต้าร์นั่นแหละคะ - // -








    :)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×