ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [exo] 'NICE BODY' || CHANBAEK #แบคฮยอนอ้วน

    ลำดับตอนที่ #2 : NICE BODY : 01 (Ep. NEW)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 11.7K
      84
      6 เม.ย. 58

    01

    New Neighbor












     

     




     

    “เฮ้ออออออ เอาจริงๆเลยนะ ฉันน่ะชอบตัวเองแบบนี้ที่สุด” ว่าแล้วก็ดูดน้ำหวานเย็นๆลงคออึกใหญ่ ตามด้วยแซนวิซแฮมที่เพื่อนทำมาให้

     

     

    “ฉันรู้”

     

     

    “แต่แม่อ่ะนะก็ชอบเอาแต่มาว่าฉันอ้วนบ้าง หน้าบานบ้าง ไม่ดูแลตัวเองบ้าง โดยที่ไม่รู้เลยว่าลึกๆแล้วแม่ทำให้ฉันเสียเซลฟ์กับคำพูดเหล่านั้นมากแค่ไหน ใครมันเป็นเกณฑ์ในการตัดสินความอ้วนล่ะ หื้ม? เอาตรงๆแล้วคนพวกนั้นเองนั่นแหละที่ผอมเกินไป อย่างฉันเนี้ยสมส่วน”

     

     

    “ฉันเข้าใจ”

     

     

    “ฉันชอบตัวเองมากๆจริงๆนะคยองซู นี่ถ้าแต่งงานกับตัวเองได้ฉันคงทำไปแล้ว”

     

     

    “นายพูดแบบนี้ทุกครั้งเวลาแม่นายโวยวายเรื่องน้ำหนัก” ผมยู่หน้าลงทันทีเมื่อถูกคยองซูพูดดักคอเอาไว้ก่อนจะบ่นออกมาอีกรอบ

     

     

    “เฮ้ออออออ เอาจริงๆเลยนะ ฉันน่ะชอบตัวเองแบบนี้ที่สุด” ว่าแล้วก็ดูดน้ำหวานเย็นๆลงคออึกใหญ่ ตามด้วยแซนวิซแฮมที่เพื่อนรักทำมาให้

     

     

    “แล้วตกลงว่านายจะย้ายไปอยู่ที่โซลคนเดียวจริงๆน่ะหรอ”

     

     

    “ช่ายยยย แล้วคยองซูล่ะ สนใจไปด้วยกันมั้ย” ผมยิ้มหวานพลางเอียงหน้าเอียงตาหว่านล้อมเพื่อนหน้านิ่งของตัวเอง แต่คำตอบก็พึงประจักษ์อยู่ตรงหน้า ไอ้ตัวจ้อยส่ายหัวไปมาอย่าเถรตรงจนผมต้องแอบเบะปากใส่

     

     

    “ฮึ ก็เราจะขึ้นม.6 แล้ว อีกแค่ปีเดียวยังไงก็ต้องได้ย้ายเข้าไปเรียนมหาลัยในโซลอยู่ดี” คยองซูให้เหตุผลพลางดันแก้วน้ำหวานของตัวเองมาด้านหน้าของผม ซึ่งผมเองก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธน้ำใจอันดีงามของคยองซูหรอกนะ

     

     

    พูดก็พูดเถอะ คยองซูนี่จัดได้ว่าเป็นคนที่ตัวเล็กมากจริงๆ ไหล่ก็แคบ เอวก็บาง กินอะไรก็ไม่อ้วนเหมือนท้องของเขาเป็นหลุมดำที่เวลากินอะไรเข้าไปแล้วก็จะถูกดูดไปยังอีกมิติหนึ่ง แถมยังรักสุขภาพเป็นที่หนึ่ง เอ่อจะพูดยังไงดีล่ะ...ถ้าให้ผมจำกัดความเกี่ยวกับคยองซู ผมเองก็คงจะพูดได้อยู่คำเดียวว่า คยองซูน่ะ บ้า

     

     

    ลืมเรื่องเบ้าหน้า และรูปร่างของคยองซูไปได้เลย เพราะเขาน่ะบ้ากายออกกำลังกายมากเลยล่ะ ทุกเช้าคยองซูจะต้องออกไปวิ่งที่สวนสาธารณะ วันไหนที่ไม่ได้วิ่งเขาจะรู้สึกกังวลเป็นพิเศษ เหมือนกับว่าน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นง่ายๆ แถมเวลากินขนมแต่ละอย่างก็จะต้องคำนวณปริมาณแคลลอรี่ที่ได้รับต่อวันด้วย

     

     

    ฟังดูบ้ามากใช่มั้ยล่ะ

     

     

    ภายนอกคยองซูอาจจะดูเหมือนเด็กน้อยนะ แต่ว่าลึกๆแล้วเขาน่ะบ้ามากกว่าที่หลายๆคนคิด เขาเป็นคนประเภทที่ไร้ความมั่นใจในตัวเองทั้งๆที่หน้าตาก็ออกจะดี(น้อยกว่าผมหน่อย) อีกอย่างเลย...คยองซูน่ะไม่ชอบให้ใครสัมผัสร่างกายตัวเองมากๆ คยองซูเคยสารภาพกับผมหนนึงว่าเขารู้สึกกลัวอยู่เสมอเวลาตัวเขาถูกสัมผัส และที่กลัวไปมากกว่านั้นก็คือเขากลัวว่าคนอื่นจะจับได้ว่าเขาอ้วน

     

     

    แล้วถามว่าทำไมผมกับคยองซูถึงได้มาเป็นเพื่อนสนิทกันในที่สุดนะหรอ ก็อาจจะเป็นเพราะเราเรียนห้องเดียวกันตั้งแต่ป.5 ด้วยส่วนหนึ่ง และอีกส่วนก็คงจะเป็นเพราะผมชอบที่เขาแบ่งขนมหรือนมมาให้กินบ่อยๆเวลาคำนวนแคลลอรี่เกิน ส่วนคยองซู... ไม่รู้สิ เขาบอกกับผมว่าเขาอยากจะรักตัวเองให้ได้แบบเดียวกับที่ผมรัก

     

     

    “นายมันก็คิดแต่แบบเนี้ย ลองออกไปเผชิญโลกกว้างดูสิ ฟังดูแล้วมันน่าสนุกดีออกนะ เหมือนแจ็คผู้ฆ่ายักษ์ไง ถ้าไม่ปีนขึ้นต้นถั่วยักษ์ นายก็จะไม่รู้ว่าข้างล่างเป็นยังไง”

     

     

    “ไม่เอาหรอก ฟังดูน่ากลัวแปลกๆ”

     

     

    “นายไม่คิดบ้างล่ะว่ามันอาจจะเปิดโลกแคบๆของนายให้กว้างขึ้น ไอ้โรคที่ไม่ชอบถูกสัมผัสอะไรนั่นอาจจะหายไปก็ได้นะคยองซู” ผมยักคิ้วท้าทายคยองซูที่เอาแต่ขมวดคิ้วมองหน้าผมอยู่อย่างนั่น ทำไม? หน้าผมหล่อมากงั้นสิ?

     

     

    โถ่ถัง

     

     

    แบคฮยอนนายนี่มันหล่อจนเพื่อนสนิทยังต้องหลงรัก!

     

     

    “เป็นไปไม่ได้หรอกน่า”

     

     

    “ของแบบนี้ไม่ลองไม่รู้” ผมจ้องตาคยองซูนิ่ง ดวงตากลมโตของเขาเหมือนพยายามขังอะไรเอาไว้ข้างใน ยามที่ผมมองตาเขาก็มักจะกลอกกลิ้งลูกตานั่นไปมาเพื่อเก็บความรู้สึกนั้นไว้ ผมมองออกนะว่าเขาอยากจะลองทำอะไรแปลกๆบ้าง แต่ทว่าหัวของเขากลับส่ายไปมาเป็นคำตอบ

     

     

    “ไม่ใช่ว่าฉันกลัวหรืออะไรหรอกนะแบคฮยอน แต่ความรู้สึกนี้มันก็เหมือนกับความรู้สึกตอนที่นายต้องวิ่งรอบสนาม หรือว่างดขนมในห้องใต้บันใดสักซองยังไงล่ะ”

     

     

    “หว่า แย่ขนาดนั้นเชียว”

     

     

    แค่ลองนึกว่าต้องวิ่งรอบสนามมันก็นับว่าแย่แล้วนะ อย่าให้พูดถึงความรู้สึกว่าต้องขาดขนมไปสักซองเลย มันแย่มากจริงๆ แย่แบบที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ อ่า... ฉันเข้าใจนายแล้วล่ะคยองซู

     

     

    “ฉันนี่รักตัวเองน้อยจริงๆ”

     

     

    “ก็นายไม่หล่อนิ ฉันน่ะมันมาดแมนแฮนด์ซั่มก็ต้องรักตัวเองมากๆเข้าใจป่าว” ผมอธิบายให้คยองซูฟังถึงข้อด้อยของใบหน้าน่ารักของเขา ถึงผมจะไม่ค่อยเข้าใจเขาเพราะว่าผมหล่อมากก็ตามที แต่ว่าผมก็ไม่อยากเห็นเพื่อนของตัวเองเศร้าใจไปนานๆหรอก

     

     

    เพราะบางครั้งคยองซูก็น่าสงสารเกินไป โรคกลัวการถูกสัมผัสนั้นทำให้คยองซูมีเพื่อนนับคนได้ อีกทั้งยังโดนคนอื่นๆแกล้งเอาบ่อยๆด้วย

     

     

    “ถ้านายไปฉันต้องคิดถึงนายมากแน่ๆ” คยองซูยิ้มกว้างในแบบที่นานๆครั้งจะทำให้เห็นออกมา มือเล็กๆของเขาค่อยๆเลื่อนมือมาวางทับหลังมือของผมเบาๆ ก่อนจะเคาะนิ้วเหล่านั้นลงบนหลังมือของผมเป็นจังหวะเหมือนกำลังเล่นเปียโน

     

     

    “เจ้าบ้าเกย์ชะมัด!” ผมสะบัดมือออกจากการเกาะกุมของคยองซูก่อนจะลูบแขนตัวเองขึ้นลงเหมือนกับว่าหยะแหยงมากแค่ไหน แต่คยองซูไม่ได้คิดมากกับท่าทางของผมเลย มิหนำซ้ำเขายังเอาแต่หัวเราะรวนที่เห็นผมทำท่าทางแบบนี้อยู่ร่ำไป

     

     

    “พูดจริงนี่นา ไม่มีนายแล้วฉันจะเป็นยังไงบ้างน้า” คยองซูเท้ามือเข้ากับคางตัวเอง แต่ว่าประโยคนั้นของเขากลับทำให้ผมนึกไปถึงเวลาสามอาทิตย์ข้างหน้าที่คยองซูจะต้องไม่มีผมอยู่เคียงข้าง ซึ่งมันจะเป็นช่วงเวลาที่โหดร้ายที่สุดในชีวิตของคยองซู ผมเบิกตากว้าง มาคิดได้ตอนนี้มันก็สายไปเสียแล้ว

     

     

    “คยองซู โอ้ ฉันขอโทษ!!!

     

     

    ที่แย่ที่สุดคือผมพึ่งมานึกขึ้นได้ว่านอกจากผมแล้วก็ไม่มีใครในโรงเรียนสัมผัสตัวของคยองซูได้ และลืมนึกไปอีกว่าคยองซูนั้นเป็นคนที่น่าแกล้งด้วยการสัมผัสมากแค่ไหน ผมยกมือปิดปากตัวเองก่อนจะเบิกตากว้างมองคยองซูอย่างไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน

     

     

    “ฉันอยู่ได้น่า ไม่มีใครคิดจะแกล้งฉันแล้วล่ะ”

     

     

    คยองซูยังยิ้มให้กับผมอยู่เหมือนเดิมก่อนจะย้ายตัวเองมานั่งลงข้างๆผมที่ตอนนี้ได้แข็งเป็นหินไปแล้ว เขาเอื้อมมือมาดึงแขนน่ารักๆของผมไปกอดแน่น ผมถอนหายใจก่อนจะยื่นมือไปลูบหัวคนข้างๆตัวเบาๆ ผมจะยอมให้คยองซูกอดผมแบบนี้ไปจนกว่าเขาจะพอใจก็แล้วกัน ถึงแม้ว่าผมจะไม่ชอบให้ใครมาสัมผัสกล้ามเนื้อ(?)น่ารักๆของตัวเองก็ตาม

     

     

    “นี่มันดูเกย์มากจริงๆนะคยองซู”

     

     

    “คิดมากน่า”

     

     

    “ก็มันจริงนี้” ผมบอกเขาอย่างที่รู้สึก ถึงกระนั้นคยองซูก็ไม่ได้ถอนหัวออกไปจากแขนของผมอย่างที่ควรจะทำ เพราะผมรู้ดีว่าถึงแม้คยองซูจะกลัวการถูกสัมผัส แต่เขาเองกลับชอบไออุ่นจากร่างกายของคนอื่น ผมไม่รู้ว่าตอนนี้คยองซูกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ขอเถอะ...

     

     

    อย่าคิดอะไรเกย์ๆเลย

     

     

    “แบคฮยอน”

     

     

    “หื้ม?”

     

     

    “สักวัน ฉันจะต้องรักตัวเองแบบนายให้ได้เลย”

     

     

    “...”

     

     

    “จริงๆนะแบคฮยอน”

     

     

     

     

     

      

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เอาจริงๆแล้วผมยังรู้สึกผิดที่ทิ้งให้คยองซูต้องเหงาแบบนั้นจริงๆนะ แต่ว่ามาแก้ไขตอนนี้มันก็สายไปเสียแล้ว คนเรามันมีชีวิตเป็นของตัวเองและต้องเดินต่อไปข้างหน้า และคยองซูจะต้องเผชิญหน้ากับความจริงนั้นให้ได้ โอเค ผมจะพยายามโทรหาคยองซูบ่อยๆเพื่อที่เขาจะได้ไม่เหงามากก็แล้วกัน

     

     

    “อ้วน มาเอาขนมไปใส่ในตู้เย็นไป” เสียงของแม่ตะโกนมาจากห้องครัวเรียกให้ผมที่กำลังนอนแผ่หลาอยู่บนเตียงนอนต้องลุกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ผมเคี้ยวน้ำลายแจ๊บๆก่อนจะเดินนวยนาดไปหาแม่ที่ง่วนอยู่กับการจัดของเข้าหอให้ผม

     

     

    ครับ ฟังไม่ผิดหรอกวันนี้ผมย้ายของเข้าหอน่ะ เพราะว่าวันพรุ่งนี้โรงเรียนในโซลนั้นเปิดเรียนกันแล้ว ห้องของผมเป็นห้องขนาดกลางๆมีห้องน้ำหนึ่งห้อง ห้องครัวแยกไปอีกด้านหนึ่ง มีระเบียงที่ออกไปสูดอากาศเย็นๆข้างนอกได้เพราะห้องนี้อยู่สูงถึงชั้นห้า และห้องนั่งเล่นของผมเป็นห้องเดียวกันกับห้องนอน

     

     

    ส่วนการเดินทางไปโรงเรียน ผมต้องเดินไปอีกห้าบล็อก หรือถ้าเงินเหลือก็ขึ้นรถประจำทางไปเอาก็ได้มันโอเคนะ แม่ยอมให้ผมได้อยู่ห้องเดี่ยวแบบนี้ก็นับว่าดีมากแล้ว

     

     

    “เอาอะไรใส่มั่ง” ผมถามแม่ที่กำลังเทน้ำตาถุงลงใส่ในขวดโหล และของที่จำเป็นอย่างน้ำตาลและผงโกโก้ แม่ไม่แม้แต่จะหันมาตอบด้วยซ้ำ ได้เพียงแต่บุ้ยปากเป็นการบอกทาง แล้วคิดว่าจะรู้ด้วยมั้ยเนี้ย

     

     

    “นั่นอ่ะ”

     

     

    “นั่นของแม่นี่ไหน”

     

     

    “ก็นั่นไงเป็นเด็กอยู่แท้ๆแต่สายตาสั้นกว่าคนแก่ซ่ะละ ที่กองอยู่บนโต๊ะอ่ะใส่ๆเข้าไปเลย” มนุษย์แม่หันมาโวยวายก่อนจะชี้ๆไปทางถุงพลาสติกที่กองอยู่บนโต๊ะทานข้าว โถ่ะ! พูดแค่นี้ก็จบ มนุษย์แม่อ่ะชอบเป็นแบบนี้ตลอดอ่ะแหละ พูดว่าอยู่นั่นๆแล้วนี่จะรู้มั้ยล่ะว่าอยู่นั่นของแม่มันตรงไหน

     

     

    นี่เหนื่อยมากนะรู้ป่าว -_-

     

     

    ผมย้ายร่างน่ารักๆของตัวเองไปที่โต๊ะก่อนจะยกถุงพวกนั้นขึ้นมาแล้วยัดขนมทุกอย่างที่แม่ไปซื้อที่ซุปเปอร์มากให้ใส่เข้าไปในตู้เย็น อ่า...ไหนๆก็ไหนๆขอกินสักซองเป็นค่าเหนื่อยแล้วกัน ว่าแล้วก็ยื่นมือไปหยิบช็อกโกแลตแท่งขึ้นมาแกะกินให้สมใจอยาก

     

     

    บอกแล้วไงว่าผมน่ะเลยคำว่ากินจุบจิบมาเยอะแล้ว

     

     

    เพี้ยะ!

     

     

    “กินอีกแล้ว”

     

     

    “แม่อ่ะ!!” แขนข้างซ้ายของผมถูกตีเข้าดังเพี้ยะด้วยฝีมือขอมนุษย์แม่ พร้อมกับแรงที่ดันให้ผมออกไปจากตู้เย็น ผมคว้ำปากอย่างไม่พอใจที่โดนตีแบบนี้

     

     

    “บอกแล้วไงว่าให้เก็บเอาไว้กินทั้งเดือน”

     

     

    “มันจะไปพออะไรกัน”

     

     

    “ไม่พอก็ต้องพอ แกจะอ้วนมากไปกว่านี้ไม่ได้นะแบคฮยอน” แม่พูดจบก็คว้าขนมออกจากมือของผมไป พอผมยื่นมือไปแย่งแม่ก็ตีเข้าที่มือของผมเพี้ยะใหญ่

     

     

    “ฮื่อออออออออ”

     

     

    “แบคอยอน”

     

     

    “แล้วไง ผมอ้วนแล้วมันหนักหัวใครอ่ะ!” นี่งอนมากอ่ะพูดเลย ผมไม่ชอบที่สุดเวลาที่แม่บอกว่าผมอ้วนแล้วกดเสียงต่ำเรียกชื่อของผมแบบนี้

     

     

    “ไม่หนักหัวใครหรอก แต่ว่าสุขภาพแกมันจะไม่ดีเอา คิดบ้างสิว่าตอนสิบเจ็ดแกยังน้ำหนักร้อยกว่า แล้วตอนเจ็บสิบแกจะลำบากขนาดไหน ฉันไม่อยากเห็นแกเป็นเบาหวานตายหรอกนะ เชื่อบ้างเถอะแบคฮยอน แกต้องห้ามใจตัวเองบ้าง” แม่จ้องหน้าผมด้วยแววตาที่จริงจัง ว่าคำพูดนี้ผมต้องเชื่อฟัง และไม่สามรถขัดอะไรแม่ได้นอกจากต้องทำตาม

     

     

    ปุ!

     

     

    แม่เหวี่ยงช็อกโกแลตลงถังขยะอย่างแม่นยำ ในขณะที่ผมมองเห็นว่าหัวใจของตัวเองกำลังแตกเป็นเสี่ยงๆในภาพสโลว์โมชั่น ผมทำหน้าเสียดายอยู่หน้าถึงขยะอยู่น่าสองนาน โถ่~ อย่างน้อยก็น่าจะให้ผมกินให้หมดก่อนทิ้ง แบบนี้มันเสียของนะรู้เป่า เอามากินได้มั้ยอ่ะ ถังขยะก็ยังใหม่ๆอยู่

     

     

    ผั๊วะ!

     

     

    “ห้ามเอาของที่ทิ้งแล้วมากินอีก” หัวผมสะบัดไปตามแรงจนทั้งร่างล้มลงไปนอนแผ่หลากับพื้นห้อง น้ำตาจะไหลเป็นสายให้ได้ มนุษย์แม่นั้นช่างโหดร้ายเสียยิ่งว่านางยักษ์ ฮื่อออออออออ~

     

     

    “ไม่ได้จะเอามากินอีกซ่ะหน่อย ทำไมต้องรุนแรงด้วยอ่า” ว่าแล้วก็ดีดแข้งดีดขาเหมือนเด็กทั้งๆที่นอนอยู่กับพื้นเนี่ยแหละ แม่ง! คิดจะทำอะไรก็โดนดักทางได้ตลอดเลย นี่แม่หรือหมอดูฟ่ะ

     

     

    “โทษที มือลั่น”

     

     

    “ฮื่อออออ แม่ใจร้าย กับลูกกับเต้าก็จะตบจะตี”

     

     

    “อ้วนขนาดนี้ตีไปก็ไม่เจ็บหรอก”

     

     

    โอ้ย คำพูดแต่ละคำของแม่มันช่างเจ็บจี้ด แค่หนักร้อยกว่าโลนี่มันอ้วนเหรอถามหน่อย พูดก็พูดเถอะที่น้ำหนักมันเยอะนี่ก็เพราะกล้ามเนื้อทั้งนั้น ถ้าไม่เชื่อนี่จะเบ่งกล้ามให้ดูกันจะๆไปเลย มาดแมนแฮนด์ซั่มกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

     

     

    “แม่จะกลับแล้ว”

     

     

    แม่ว่าก่อนจะยื่นเท้ามาเขี่ยๆพุงน้อยน่ารักของผม ผมปัดเท้าแม่ออกอย่างไม่ชอบใจ นี่บอกแล้วไงว่าอย่ามายุ่งกับพุงน่ารักๆของผม แม่เองก็ไม่ได้สนใจเลยว่าผมจะงอนมากแค่ไหน ได้แต่เดินลิ่วๆออกไปก่อน ผมถอนหายใจเฮื้อกใหญ่อย่างสิ้นหวังที่แม่จะหันมาช่วยดึงให้ผมลุกขึ้น

     

     

    โอเค คงต้องพึ่งตัวเองแล้ว

     

     

    อันดับแรกต้องพลิกตัวนอนคว่ำก่อน แล้วก็กระดกก้นขึ้นมา อ่า ฮึบ!

     

     

    “ทุเรศจริงๆ”

     

     

    “เฮ้ ตามความเป็นจริงแล้ว ถ้าแม่ไม่คิดจะช่วยก็ไม่ควรจะพูดแบบนี้นะ” ผมคว่ำปากใส่แม่ที่กอดออกทำหน้าขยะแขยงอยู่ที่ปากประตู “น่ารักก็พูดดีๆ ไม่ใช่มาบอกว่าทุเรศ”

     

     

    “เอ้า ก็ทุเรศลูกกะตาจริงๆนั่นแหละ เห็นแล้วก็ลำบากแทน นี่ๆรู้มั้นว่าตอนแกกึ่งก้นขึ้นมันเป็นยังไง โห~ แม่ไม่อยากจะบรรยาย ก้นแกใหญ่มากกกกกก มากจนน่าตกใจอ่ะ ขนาดพอๆกับหัวเด็กโตสองหัวรวมกันได้ แล้วเหนียงแกนี่ก็พอกันเลยเป็นชั้นๆจนอยากจะเอาไปทำหมูพะโล้”

     

     

    นี่แม่กูจริงๆใช่มั้ยเนี้ย -_-

     

     

    “โห่ แม่อ่า”

     

     

    “เอ้าๆ ไม่ต้องมาทำปากหมู ไปส่งฉันข้างล่างได้แล้ว”

     

     

    “นี่เค้าเรียกว่าคว่ำปากต่างหากเล่า” ผมสะบัดตัวอย่างโดนขัดใจ ในขณะที่แม่เดินเข้ามาจับแขนผมเอาไว้เพื่อลากออกไปจากห้อง ผมเห็นแม่ทำท่าเหมือนกลั้นขำเอาไว้ด้วยล่ะตอนที่กดลิฟต์ลงไปชั้นจี มองหน้าแม่แล้วก็ยังงอนไม่หาย อะไรคือการที่แม่ชอบเอาผมไปเปรียบเทียบกับหมูว่ะครับ!

     

     

    “นี่งอนอะไรฉันอีกล่ะ หื้ม?”

     

     

    “ก็คำพูดแม่ไม่เป็นฟิคชั่นเอาซ่ะเลยอ่ะ ช่วยพูดดีๆแบบ ริมฝีปากหนาแดงสดสีเชอร์รี่อะไรก็ได้ ไม่งั้นก็พูดว่าริมฝีปากน่ารักที่คล้ายกับสุกรก็ได้ ทำไมต้องพูดห้วนๆกับลูกแบบนี้ด้วย แถมยังเอาไปเปรียบเทียบกับหมูอีก แม่เข้าใจป่ะว่าคนฟังมันเจ็บปวดอ่ะ ยิ่งตอนที่แม่ด่าผมว่าอ้วนเป็นฮิปโปอืดตายนะแม่น่ะกระแทกเสียงลงมาเหมือนกับแม่เอาเอ็มสิบหกมากราดยิงผมอ่ะ คำพูดของแม่แม่งโครตจะโจรใต้เลย!

     

     

    พอพูดจบผมก็รีบโกยอากาศเข้าปอดโดยทันที ก่อนจะหอบแฮ่กๆเหมือนพึ่งไปวิ่งสี่คูนร้อยมามาดๆ

     

     

    “แกจะบ่นให้ได้หนึ่งหน้ากระดาษเอสี่เลยมั้ยแบคฮยอน”

     

     

    “ไม่ชอบตอนแม่เรียกชื่อผมด้วย”

     

     

    “เอ้า แล้วจะให้เรียกว่าอะไร ก็นี่ชื่อแก”

     

     

    “เคน ธีรเดธ”

     

     

    -_-

     

     

    “พี่ก้องหรืออะไรก็ได้เรียกๆไปสิแม่ โถ่” ผมโมโหฟึดฟัดจนทั้งหน้าทั้งหูมันแดงไปหมด แม่มองหน้าผมก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮื้อกใหญ่ มือเรียวติดจะเหี่ยวแล้วยื่นมากลูบแขนผมเบาๆ จนผมเผลอยิ้มออกมาด้วยความดีใจเพราะในที่สุดแม่ก็ยอมอ่อนข้อให้กับผมแล้ว

     

     

    “ก็แกมันฮิปโปจริงๆนี่นา”

     

     

    “แม่อ่า!!

     

     

    ตึง~

     

     

    ไม่ทันที่จะได้โวยวายอะไรต่อ ลิฟต์ก็เลื่อนลงมาถึงชั้นจีซะแล้ว แม่เดินนำลิ่วๆออกไปคนแรกในขณะที่ผมได้แต่เดินกระฟัดกระเฟียดตามแม่ไปที่รถ

     

     

    “เป็นเด็กดีนะแบคฮยอน” แม่เปิดประตูรถออกก่อนจะหันมาพูดกับผม ผมยังคงมีสีหน้าที่บึ้งตึงแต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเดินสาวเท้าเข้าไปกอดแม่เอาไว้อยู่ดี เพราะถึงแม้ว่าผมจะงอนแม่ที่ไม่ยอมเรียกผมว่าเคน ธีรเดธก็เถอะ แต่พอคิดว่าจะต้องห่างแม่จริงๆแล้วหัวใจมันก็เบาโหวงอย่างพูดไม่ถูก

     

     

    “งื้ออออ รู้แล้ว”

     

     

    “งดขนมได้ก็ยิ่งดี”

     

     

    “แม่อ่า!” ผมผละอ้อมกอดออกมาจากแม่ทันทีที่แม่วกกลับมาพูดเรื่องนี้อีกครั้ง มันจะจบได้ดีอยู่แล้วเชียวถ้าแม่ไม่บอกให้ผมลดกินขนมแบบนี้ ผมรู้ว่าแม่น่ะรู้ดียิ่งกว่าใครว่าผมไม่สามารถเลิกกินขนมได้ เพราะผมเลยผ่านคำว่าการกินจุบจิบมากนานมากแล้ว “ไม่เอา ไม่พูดแบบนี้แต่ไม่เป็นไรนะ เคนธีรเดธให้โอกาสพูดใหม่”

     

     

    “ทำหน้าแบบนี้คิดว่าหล่อแล้ว”

     

     

    “ฮื่ออออออ”

     

     

    “เออๆ พ่อรูปร่างดี แม่จะกลับบ้านแล้วนะครับ”

     

     

    “ต้องอย่างนี้สิ” ผมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะโน้มตัวไปหอมแก้มแม่ฟอดใหญ่ พอกอดหอมจนได้ที่ผมก็ปล่อยให้แม่เข้าไปในรถ แม่กดกระจกลงแล้วก็จัดการอบรมผมเป็นครั้งสุดท้ายจึงจะขับรถออกไป ในขณะที่ผมเองก็โบกมือบ้ายบายให้กับแม่จนรถเก๋งสีเงินหายลับตาไป

     

     

    1

     

     

    2

     

     

    3

     

     

    เยเฮ้ทททททททททท

     

     

    “ด็อบบี้เป็นอิสระ!!!!

     

     

    ผมกระโดดดึ๋งดั๋งด้วยความตื่นเต้นที่ในที่สุดผมก็ได้เริ่มต้นชีวิตแบบวัยรุ่นในโซลสักที ครับ ผมอยู่ที่คยองกีมานานมากๆ มากจนสัมผัสได้ว่าตัวเองเหมือนพวกบ้านนอกเข้ากรุงขนาดไหน แต่เอาเถอะครับ ผมจะเก็บความดีใจสุดซึ้งนี้เอาไว้หลังจากได้กินช็อกโกแลตสักแท่ง ไม่สิ..อาจจะสองแท่ง

     

     

    รออยู่ไม่นานผมก็มาถึงห้องของตัวเองด้วยท่าทางอันเฟี้ยวฟ้าว ล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะกดเปิดเพลงโปรดจนดังลั่นห้อง หมุนตัวในดินแดนของตัวเองก่อนจะหยุดลงเพราะรู้สึกเหนื่อยเกินจะบรรยาย นี่แหละชีวิตที่ผมใฝ่ฝัน นี่อดใจให้ถึงวันพรุ่งนี้ไม่ไหวอยู่แล้ว!!!

     

     

    “กรี้ดดดดดดดดดดดดด”

     

     

    คิดแล้วก็ตื่นเต้น ผมอาจจะได้เข้าแก้งค์คนหล่อของโรงเรียน ดีไม่ดีผมอาจจะได้เป็นเดือนโรงเรียนด้วยซ้ำ และเมื่อผมหน้าตาดีขนาดนี้ ผมอาจจะมีแฟนหน้าตาสวยๆสักคน ไม่น่ารักจิ้มลิ้มก็ต้องเป็นผู้หญิงที่ฮอตปรอทแตก โอ้วววว พระเจ้า! ผมรอชีวิตใหม่ของบยอนแบคฮยอนในวันพรุ่งนี้ไม่ไหวแล้ว

     

     

    ผมหยิบโค้กในตู้เย็นมากินอึกใหญ่ก่อนจะเดินออกไปสูดอากาศที่ระเบียงห้อง โอโห้ นี่ไม่อยากจะคุยเลยจริงๆ อากาศในเมืองศิวิไลซ์แบบนี้แสนจะสดชื่น จนผมแทบจะเอาเก็บอากาศใส่ขวดโหลเพื่อไปฝากคยองซูที่คยองกีจริงๆ

     

    กลิ่นนี้มันเหมือนกับ...

     

    เหมือน..

     

     

    “เชี่ยใครสูบบุหรี่วะ!!” ผมทำจมูกฟุตฟิตเมื่อยามที่ได้กลิ่นอันไม่พึงประสงค์ลอยมาแตะจมูก

     

     

    “กูเอง มึงมีปัญหาเหรอไอ้อ้วน”

     

     

    เอ้า มึง...?

     

     

    “ใครอ้วน กูให้โอกาสมึงพูดใหม่” ผมหันไปทำหน้าเหวี่ยงให้กับเสียงต่ำๆที่พูดกวนตีนมาเมื่อกี้ มันเป็นมนุษย์ที่สันหลังยาวเป็นพิเศษ และที่สำคัญคือห้องมันติดกับห้องของผม ถ้าจะพูดกันตามตรงก็คือเราทั้งสองคนนั้นเป็นเพื่อนบ้านกัน และสิ่งที่ควรจะทำเป็นอย่างแรกเลยคือการแสดงความเป็นมิตร

     

     

    “มึงไงอ้วน ไอ้อ้วน”

     

     

    เชี่ยยยยยยยยยย

     

     

    จี้ดมากนี่พูดเลย ผมกับมันไม่เคยรู้จักกันเลยด้วยซ้ำ แล้วมันมีสิทธิอะไรถึงได้มาด่าว่าผมอ้วนปาวๆแบบนี้! ขนาดมนุษย์แม่ว่ายังโกรธแทบตายอ่ะ แล้วนี่มึงเป็นคร้ายยยยยยยย คิดว่าใช้ตาสวยๆของมึงมาจ้องหน้ากูแล้วกูจะกลัวงั้นหรอ? ตลก ตลกแล้วมึงไอ้มนุษย์ข้างห้อง!

     

     

    ปกติแล้วใครดีมาผมก็ดีตอบหมด แล้วผมก็ไม่ได้เป็นคนหยาบคายโดยนิสัยเลยด้วย แต่ว่าถ้ามาว่ากันถึงขนาดนี้แล้วผมคงยอมหยวนๆให้ไม่ได้ วอนๆก็ให้ไม่ได้ ถุ๋ย! ใช่เวลามั้ย

     

     

    “ค-ว-ย”

     

     

    “ใหญ่กว่าของมึงละกัน”

     

     

    “เอ้าาาา ไอ้เหี้ยนี่มึงจะไม่จบใช่มั้ย ไอ้...” ผมเม้นปากแน่นก่อนจะใช้สายตาสำรวจร่างกายของอีกคนเพื่อหาจุดด้อย ซึ่งมองโดยรวมแล้วก็ใช้ได้ ที่ดีๆก็มีแค่ตาสองชั้นสวยๆพร้อมกับนัยน์ตาสะท้อนแสงเป็นประกายวิบวับ ส่วนรูปร่างก็สมส่วนอีกทั้งยังใส่เสื้อกล้ามสีดำได้หล่อมากๆอีกด้วย และแน่นอนว่าต้องใส่กางเกงยีนขึ้นเพราะว่าแม่งสูงมาก แถมกล้ามแขนนั้นยัง....โอ้โห้

     

     

    ใหญ่สัสๆ

     

     

    เชี่ยเอ้ย นี่มันหล่อน้อยกว่าผมไปนิดเดียวเอง แล้วนี่จะเอาอะไรไปด่ามันฟ่ะ ด่ามันก็เหมือนกับว่าด่าตัวเองไปด้วย แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ ด่าแม่งไม่ได้เลย

     

     

    “ไอ้อะไรมึง”

     

     

    “ไอ้กล้ามใหญ่!!” เออ ด่าแม่งแบบนี้แหละจะได้ไม่กระทบกับความหล่อของตัวเอง

     

     

    -_-

     

     

    “กูเตือนมึงด้วยความหวังดีเลยนะไอ้ตัวสูง ถ้ามึงอยากจะมีชีวิตที่สงบสุขมากกว่านี้ล่ะก็ ...กูขอให้มึงเลิกสูบบุหรี่ที่ระเบียง เพราะอากาศมันเป็นของสาธารณะ เป็นสิ่งที่คนทั้งโลกแม่งใช้ร่วมกัน ดังนั้นมึงจะมาสูบบุหรี่ปล่อยอิควันเหม็นๆนี่ออกมาปนในอากาศไม่ได้ เข้าใจมั้ย!!

     

     

    “ไม่”

     

     

    อีกฝ่ายตอบกลับมาพร้อมกับพ่นควันบุหรี่เหม็นๆอัดเข้าเต็มๆหน้าของผม ผมโขลกไอรุนแรงเพราะเผลอสูดเอาควันบุหรี่เข้าไปเต็มๆปอด แถมยังแสบตาแสบหน้า น้ำหูน้ำตาเองก็ไหลลงมาด้วยอย่างช่วยไม่ได้

     

     

    “แค่กๆ ไอ้เหี้ยยยย”

     

     

    “เป็นตัวเหี้ยยังผอมกว่ามึงเลย”

     

     

    อะมึง...นี่มึงด่ากูอ้วนกว่าเหี้ย ....

     

     

    “พ่องงงงงงงงงงงง” ผมด่าไล่หลังอีกคนที่กำลังบี้บุหรี่ลงกับราวระเบียงอย่างหน้าด้านๆ นี่ก็ยังสำลักควันไม่หายแม่งเจ็บใจกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว และก่อนจะที่ไอ้โย่งมันจะกลับเข้าไปในห้อง ก็ได้มีการสะแยะยิ้มออกมาพร้อมกับชูให้กลางให้อย่างน่ารัก ถุ้ยยยย ไอ้ฟรัคเห็ดเอ้ย!

     

     

    “โถ่เว้ยยยยย!

     

     

    ด้วยความโมโห ผมคว้ากระถางต้นไม้ที่แม่ซื้อมาห้อยระเบียงขึ้นมาขว้างไล่หลังอีกคน โดยคิดว่ามันคงจะเข้าไปกระจัดกระจายให้ห้องของอีกคน แต่ทว่าวิถีมันกลับเฉไปทางซ้ายและพุ่งตรงเข้าหากระจกใส่บานล่างสุดของห้อง

     

     

     

    เพล้ง!!!!!!!

     

     

    ชิบหาย...

     

     

     

    กระถางเสือกไม่ใช่พลาสติก

     

     

     

     

     

     

     

     












    กระเทยท้อค

    แบคฮยอนนี่มันหลงตัวเองจริงๆ

    อะไรทำให้มึงหลงตัวเองได้ขนาดนี้ว่ะ..



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×