คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : NICE BODY : 09
9
Have a Feeling
นี่เป็นบทเรียนแรกสำหรับผมในกรุงโซล
ว่าที่นี่ไม่มีใครชอบคนอ้วน... แบบผม
เช้าวันอาทิตย์ในแรกเดือนเมษาควรจะเป็นวันมีอากาศที่ดีที่สุดในรอบปี แต่ทว่าวันนี้ท้องฟ้ากลับหม่นหมองกว่าทุกๆวัน ผมเดินออกมาหยุดอยู่ที่ระเบียงห้องพร้อมกับบัวรดน้ำต้นไม้ขนาดเล็ก เดินไปรดน้ำให้กับทุกๆต้น ต้นละเท่าๆกัน กระถางต้นไม้ที่เรียงรายนั้นแขวนเอาไว้ตามช่องว่างของระเบียง และมีช่องขวามือเพียงหนึ่งเดียวที่ว่างเปล่าเพราะว่าผมดันปากระถางต้นไม้อัดเข้ากับกระจกของชานยอลไปแล้ว
ระเบียงห้องของชานยอลตอนนี้มันว่างเปล่าเพราะเจ้าของที่แท้จริงอาจจะกำลังหลับอยู่ในห้อง ผมหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง ก่อนจะลากเก้าอี้ตัวเล็กกลับออกมาด้วย เพื่อนำมาเป็นที่เหยียบ ผมมองมันอย่างชั่งใจก่อนจะก้าวข้ามราวเหล็กกั้นไปยืนอยู่ที่ระเบียงห้องของชานยอล ผมมองดอกดาลเบิร์กเดซี่ที่มีบางส่วนแหว่งไปด้วยหัวใจที่เหม่อลอย
ครั้งหนึ่งชานยอลเคยกระชากมันมาง้อผมที่หน้าห้องและแอปเปิ้ลลูกใหญ่ไซต์จัมโบ้ที่เขาอุ้มมาเต็มอ้อมแขนผมไม่รู้ว่าที่เขาทำแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง แต่ว่ามันชอบมันนะ...ผมชอบทุกสิ่งที่ชานยอลทำเหมือนว่าเขาตั้งใจทำเพื่อผม ผมรดน้ำให้มันทุกต้น ไม่เว้นแม้กระทั่งแคคตัสบนชั้นวางไล่ระดับ
“แคคตัสบางต้นก็ไม่ได้ชอบน้ำมากขนาดนั้นหรอกนะ”
ผมสะดุ้งโหยงไปทั้งตัวเมื่อน้ำเสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นจากด้านหลังโดยไม่มีสัญญาณบอกก่อน ไม่ทันที่ผมจะได้หันไปมองเจ้าของห้อง มือใหญ่ของเขาก็คว้าเข้าที่ข้อมือของผมเบาๆเป็นเชิงให้ผมหยุดให้น้ำต้นไม้ของเขาได้แล้ว “ถ้าให้มากๆ มันจะตายเอา”
“ชะ..ชาน”
“ถ้าจะให้น้ำก็ให้ครั้งเดียวจนชุ่มถึงก้นกระถาง พอดินแห้งก็ค่อยมาเติมใหม่” น้ำเสียงราบเรียบของชานยอลก้องไปทั้งหูพร้อมกับลมหายใจเพียงอุ่นของเขารดรินตรงช่วงลำคอจนผมรู้สึกวูบวาบในสัมผัสนั้น มือใหญ่ดึงบัวรดน้ำจากมือของผมไปถือเองก่อนจะรดซ้ำให้กับแคคตัสที่กำลังออกดอกสีโอรส
“ทำไมถึงปลูกล่ะ ไม่เห็นจะน่ารักเลย” ผมบุ้ยปากเมื่อมองหนาแหลมคมที่พุ่งออกมาจากลำต้นสีเขียวอวบน้ำของมัน ชานยอลหัวเราะออกมาราวกับชอบใจในคำถาม พอโดนผมค้อนใส่วงใหญ่เขาก็รีบกลั้นขำเอาไว้ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มจนน่าหมั่นไส้ “ตอนต้นเล็กๆน่ารักนิดนึงก็ได้”
“มึงนี่...เหมือนคนแก่แถวบ้านกูเลย”
“ย่าห์!”
“คนเรามีความชอบไม่เหมือนกันแต่ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะคล้ายๆกัน อืม...เว้นกูไว้คนนึงละมั้ง” สายตากรุ้กริ้มของชานยอลมองผมตั้งแต่ต้นประโยคไปจนจบเขาก็ยังไม่สายตาไปจากผม ร่างกายของผมมันร้อนขึ้นมาดื้อๆจนต้องยกมือขึ้นมาพัดๆที่หน้าแก้เขินอาย ชานยอลเลยแกล้งทำเป็นจะรดน้ำลงมาที่หัวผม ด้วยความตกใจผมรีบตะครุบมือของชานยอลเอาไว้ด้วยสองมือ
แต่หารู้ไม่ว่าผมเหยียบกับดักเขาเข้าเต็มเปา ผมไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าเราใกล้กันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ มารู้ตัวอีกที ผมก็ถูกแขนยาวรั้งเข้าหาแผ่นอกกว้างเสียแล้ว ถูกตะกรองกอดแบบนั้นจนใบหน้าเห่อร้อนขึ้นริ้วแดง ยามที่ชานยอลวางบัวรดน้ำแล้วเขาก็ยิ่งเอาแต่ใจ รั้งแต่จะกอดผมให้แน่นขึ้นทั้งๆที่ตัวผมก็ออกจะใหญ่ขนาดนี้
“...”
“ตอนเด็กๆจำได้ว่าคุณยายเคยแบ่งต้นกล้าให้กูกับพี่สาวอย่างละชนิดโดยที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ในเดือนแรกต้นกล้าของพี่สาวย้ายเอาไปปลูกลงในแปลงได้แล้วแต่กับของกูมันไม่แบบนั้น ต้นกล้ากูยังงอกออกมายาวๆกลมๆบางอันก็เขียวสีอ่อนซะจนกูเริ่มใจไม่ดี เข้าสู่เดือนที่สองต้นไม้ของพี่โตเต็มแปลงแล้ว ส่วนต้นของกูโตขึ้นมาเยอะมากแต่บางต้นก็แตกยอดออกมาแปลกๆกูเลยวิ่งเอาไปให้ยายดู”
“แล้วยายว่ายังไง” ผมถามเขาอย่างลุ้นระทึกไปด้วย
“ยายบอกว่าเก่งแล้วที่ปลูกได้ขนาดนี้แล้วก็ทำการแยกกระถางให้กู จากตอนแรกได้กระถางเดียวตอนกลับไปได้สักหกเจ็ดกระถางจะได้ แต่ยายก็ยังไม่บอกอยู่ดีว่าต้นที่กูได้มันคืออะไร”
“...”
“ย่างเข้าเดือนที่สี่ทุกคนในบ้านพากันแห่แหนไปดูดอกเดซี่ของพี่กันหมดเพราะว่าออกดอกเต็มแปลงหมดแล้ว ในขณะที่กูนอกจากที่จะโตบวมๆรูปร่างประหลาดแล้วยังมีหนามงอกออกมา บางต้นที่ไม่มีหนามก็มีใบกลมๆหนาๆตันๆซ้อนกันหลายชั้น บอกตามตรงเลยว่าโคตรจะน้อยใจ กูเลยกะว่าจะรื้อทิ้งแล้วปลูกใหม่”
“แล้วถ้ารื้อทิ้ง จะปลูกอะไรแทน”
“กุหลาบ...แต่ก็ไม่กล้าทำอยู่ดี เพราะว่าสี่เดือนที่ผ่านมานี้กูคอยเฝ้ามองเฝ้าดูแลมันตลอดเวลาจนรู้สึกผูกพันเข้าเต็มๆ ถึงแม้ว่ามันจะไม่สวยเท่าขอพี่ก็เถอะแต่ว่า มันก็ให้รางวัลกับกูโดยการโตในแบบของมันเอง ไม่จำเป็นต้องเหมือนใครและเติบโตอย่างเข้มแข็ง หลังจากนั้นไม่กี่เดือนทุ่งดอกเดซี่ของพี่ก็ตายเรียบเพราะว่ามันเป็นพืชอายุสั้น”
“แล้วรู้รึยังนายได้ต้นอะไร คุณยายบอกอะไรมั้ย” ผมรบเร้าถามชานยอลอีก ส่วนชานยอลก็ก้มมองลงมาที่ผมพร้อมกับรอยยิ้มนิดๆ
“เป็นแคคตัสกับกุหลาบหินน่ะ ตอนออกดอกครั้งแรกมันสวยมากเลยล่ะ ถึงแม้ว่าดอกจะไม่สวยเท่าดอกเดซี่แต่ก็ถือว่าเป็นรางวัลให้แก่ความพยายามของคนเลี้ยง ถึงมันจะเป็นพืชที่ทนทานต่อทุกสภาพอากาศแต่กว่าจะถึงตรงนั้นได้ก็ต้องใช้ความพยายามในการปลูกอย่างมากเลยทีเดียว ให้น้ำก็ไม่ต้องบ่อยขอแค่เฝ้ามองมันในทุกๆวันก็พอ”
“ทำแบบนี้มันจะดีหรอ มันคงน้อยใจแย่ที่ได้น้ำแค่ตอนที่ไม่มีน้ำแล้วจริงๆ”
“แต่มันก็รู้แล้วกันว่าเจ้าของไม่เคยทิ้งมันไปไหนในเวลาที่ต้องการ”
“ดีจัง...” ผมครางเบา “ฉันรอเท่าไหร่ก็ไม่เห็นมีใครมาเลย.”
“แบคฮยอน”
“จริงสิ! วันนั้นนายมาหาฉันนี่ ว้าว นี่ถ้าไม่ได้นายมาหาฉันคิดว่าคงจะต้องรอเก้ออยู่ที่หน้าโรงหนังจนดึกแน่ๆ” ผมพูดติดตลก แต่ทว่าเขาไม่ได้ตลกด้วย ผมเลยขืนตัวออกจากการเกาะกุมของชานยอล “แต่บางทีฉันเองก็คิดว่า ถ้าปล่อยให้ฉันรอเก้ออยู่ที่นั่นมันอาจจะดีกว่านี้ก็ได้”
“กูขอโทษ” ชานยอลเอ่ยแทรกเข้ามาในความรู้สึกก่อนจะสืบเท้าเข้ามาใกล้ผมกว่าเดิม ครั้งที่มือหนาทำท่าว่าจะคว้าตัวผมเอาไว้อีกครั้ง ร่างกายของผมมันก็รีบกรูถอยออกห่างจากเขาเหมือนเป็นการป้องกันตัวเองกับความรู้สึกแปลกประหลาดที่ค่อยๆเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
“...”
“กูไม่ได้ตั้งใจจะให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ กูแค่ไม่อยากให้มึงรอยัยโซยูอยู่คนเดียวแบบนั้น คิดว่าพอมึงโกรธแล้วกูจะได้ชวนมึงไปกินซุปเนื้อด้วยกัน แล้วเที่ยวกันอีกนิดหน่อยก่อนกลับหอ” นัยน์ตาสีน้ำตาลของเขาหนักแน่นเช่นเดียวกับน้ำเสียงที่เปล่งออกมา อ่อนโยน และอบอุ่นวูบวาบในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก เขาเอาแต่จ้องจนผมไม่รู้ว่าควรวางมือเอาไว้ที่ไหนดี ริมฝีปากก็แห้งผากราวกับปลาขาดน้ำ
“ฮ่ะๆ เห็นฉันเป็นตัวแดกงั้นหรอ ดีใจก็แดก โกรธก็แดก อกหักก็ยังแดก”
“อะไรก็ได้ขอแค่มึงไม่ร้องไห้”
ชานยอลรุกคืบเข้ามาอย่างไม่มีทางหยุดยั้ง เมื่อผมถอยอีกก้าวแผ่นหลังก็แนบสนิทไปกับกระจกบานที่พึ่งเปลี่ยนใหม่เสียแล้ว และครั้งนั้นเองที่ผมได้รู้ว่า ผม...ไม่มีทางที่จะหนีรอดไปจากเงื้อมือของชานยอลได้อีกแล้ว มีแต่จะต้องเผชิญหน้ากับดวงตาสีน้ำตาลที่ทำผมหวั่นไหวทุกครั้ง
“ชะ ชานยอล นี่มันเกย์มากๆนายก็รู้”
“เกย์ช่างแม่ง”
“ช่างแม่งอะไรล่ะ มีเหตุผลหน่อยสิ!”
“กับเรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลหรอก กูรู้ว่ามึงก็รู้สึกในความเปลี่ยนไป หรือว่ามึงจะเถียงล่ะว่าไม่รู้สึกอะไรเลยตอนที่เรากอดกัน” ผมพึ่งมารู้สึกก็วันนี้นี่เองว่าเสียงทุ้มต่ำของชานยอล เวลากระซิบเข้าที่ข้างหูมันเซ็กซี่เอามากๆ ชานยอลกักขังตัวผมเอาไว้ด้วยแขนแกร่งที่คร่อมไว้กับกระจกไม่ให้หนีไปไหนอีก
“...”
“มึงรู้แก่ใจดีแบคฮยอน”
“รู้สึกเกย์ล่ะสิไม่ว่า”
“ปล่อยให้มันเป็นไปตามหัวใจไม่ได้รึไง หรือมึงชอบโดนผู้หญิงหักอกปล่อยๆล่ะ แบคฮยอน?”
เขามันร้ายกาจ!
เอาแต่เบียดชิดใช้จมูกคลอดเคลียไปตามเส้นผมของผมพร้อมกับน้ำเสียงแหบพร่าแบบที่ไม่ว่าใครหน้าไหนมาได้ยินต่างก็ต้องใจอ่อนทั้งนั้น ผมรู้ว่าชานยอลหมายความว่ายังไงในประโยคนั้น แต่ว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ยิ่งเกิดกับผมแล้วด้วยยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปกันใหญ่ ชานยอลเป็นผู้ชายที่น่าอิจฉาคนนึง และเขาเองก็มีคนมาให้เลือกมากมาย คนที่ดูดีและพร้อมที่จะเดินเคียงข้างเขา
ขนาดเรื่องของโซยู ผมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเลยด้วยซ้ำแล้วนับประสาอะไรกับเรื่องของผมกับเขาที่มองเห็นอุปสรรคตั้งแต่แรกเริ่ม ผมไม่อยากเสียใจอีกแล้ว ส่วนหนึ่งผมยอมรับว่ามันเกิดมาจากเรื่องของโซยูที่ทำให้ผมไขว้เขว และไม่เป็นตัวของตัวเอง
แต่ผมยังเหมือนเดิม ยังเป็นไอ้อ้วนคนเดิมที่หลงตัวเอง
ผมไม่อยากจะเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้คนอื่นมารักผมอีกแล้ว อยากจะให้เขารักในสิ่งที่ผมเป็น ไม่มีใครบังคับให้ผมหยุดกินได้เพราะขนาดตัวผมเองยังทำไม่ได้ โลกนี้มันโหดร้าย เพราะว่าคนเรามันเลือกเกิดไม่ได้ แต่ถ้าเลือกได้ผมก็ยังอยากเกิดมาเป็นแบบนี้อยู่ดี แต่ผู้คนเอาแต่ประณามและทำลายความสุขที่ผมสร้างขึ้นมาอย่างไร้อารยะ
“ฉันทำไมได้”
“ทำไมล่ะแบคฮยอน”
“นายต่างหากที่ต้องพูดชานยอล ว่าทำไมนายถึงเลือกฉัน” ชานยอลชะงักงันเมื่อผมถามสวนกลับเขาบ้าง ลมหายใจของเขายังคงรินรดอยู่ที่ขมับของผมโดยที่ปล่อยให้กลิ่นกายอันอบอุ่นเช่นผาสูงชันเข้าโอบล้อมผมเอาไว้ในทุกทิศทางและหากใกล้ชิดเขามากกว่านี้ ผมคงต้องละลายเพราะความรุ่มร้อนนี้แน่นอน
“...”
“ฉันยอมรับว่าฉันชอบเวลาที่นายเข้าใจฉัน นายเหมือนมีกุญแจไขเข้ามาอ่านใจฉันได้ตลอดเวลา แถมนายยังช่วยฉันมาหลายเรื่องและฉันขอบคุณมาก แต่เชื่อเถอะ...ความรู้สึกเหล่านี้มันไม่ใช่แบบที่คิดๆกันอยู่หรอก”
“หึ ผิดแล้วแบคฮยอน”
“จริงๆนะ เดี๋ยวเดียวมันก็จะหายไปเอง” ชานยอลยิ้มขำเหมือนคำพูดของผมมันเป็นคำพูดของเด็กประถมที่ยังเล่นรถบังคับ นิ้วชี้ของเขายกขึ้นมาไล้แก้มผมไปมา จนร่างกายรู้สึกได้รับพลังงานไฟฟ้าแล่นปลาบราวกับจะต่อต้านสัมผัสที่ได้รับแต่พอเริ่มคุ้นชินกับมันก็เล่นเอาใบหน้าเห่อร้อนแล่นริ้วแดงไปทั่ว
“มึงไม่รู้หรอว่าความรู้สึกเหล่านี้มันเป็นพื้นฐานของทุกๆสิ่ง ...ก็เหมือนกับการจุดไฟนั่นแหละ ต้องทำให้เกิดประกายไฟก่อนไฟถึงจะลุกและกูจะไม่ยอมให้มันมอดดับไปทั้งๆแบบนี้หรอกนะ”
“...”
“กูจะเติมเชื้อไฟจนกว่าเราจะละลายไปด้วยกัน”
ชานยอลเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ ดวงตาของเขาเป็นประกายวิบวับและในขณะเดียวกันนั้นก็แพรวพราวไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม เขารู้ว่าคนแบบผมนั้นควรจัดการด้วยวิธีไหน ชานยอลรู้ทั้งหมดเหมือนกับนักล่ามือฉมัง ในขณะที่ผมนั้นเป็นหมูป่าไม่เจนสนาม เมื่อคราวจนมุมก็เอาแต่หลับหูหลับตารอคอยชะตากรรมของตัวเอง
มันอุ่นนุ่มละมุนละไมเมื่อยามที่ชายยอลแตะริมฝีปากลงมาผะแผ่ว เขากดลงหนึ่งจูบเหมือนลองหยั่งเชิงว่าตัวผมจะมีท่าทีเช่นไรและพอเห็นว่าผมไม่ได้โต้ตอบ เขาก็ยิ่งเหิมเกริมหนักละเลงจูบที่สองลงมาอย่างแนบแน่น ผมเบิกตากว้างอย่างคนที่ไม่คุ้นเคยกับสัมผัสแบบนี้มาก่อน ถึงโพรงปากจะไม่ถูกรุกล้ำเข้ามาแต่ความแนบแน่นนี้ก็ทำเอาร่างกายของผมชาวาบไปทั้งตัวพร้อมกับหัวใจที่เต้นเร็วแรงซะจนแทบหลุดออกมาจากขั้ว
จูบแรกของผมถูกฉกไปง่ายๆโดยนักล่ามือฉมัง
“อะ อื้ม”
ราวกับกำลังดำดิ่งสู่ห้วงทะเลลึกไม่ปาน ยามที่เขาบดเบียดริมฝีปากเข้ามาผมได้แต่ตะเกียดตะกายมือไปทั่วแผ่นอกกว้างเพราะไม่อาจต้านทานความล้ำลึกนี้ได้ ยามที่ชานยอลผละออกไปเหมือนผมได้โผล่ขึ้นเหนือน้ำเป็นครั้งแรก ผมเอาแต่หอบตัวโยโกยอากาศเข้าปอดให้มากเท่าที่จะมากได้ มือทั้งสองก็ขยุ้มเสื้อของชานยอลเอาไว้จนมันยับยู้ยี่ไปหมด ก่อนที่เขาจะปิดท้ายด้วยการแตะจูบเบาๆเหมือนปุยนุ่นอ่อนนุ่ม
“ชะ ชาน..อึก”
“คำว่าชอบของมึง กูขอนะ”
ร้ายกาจ!
ผมพึ่งรู้วันนี้นี่เองว่าคนอย่างชานยอลมันร้ายมากจริงๆ ผมยังคงกอบโกยอากาศที่ขาดหายไปเข้าปอดในขณะที่เขาเอาแต่ยิ้มให้ผมและด้วยระยะแบบนี้แล้วด้วย...นี่เขากะจะเอาผมถึงตายเลยรึไงกับ เลือดที่มีก็แทบจะไม่มีไปเลี้ยงส่วนอื่นเพราะเอามาเลี้ยงหน้าหมดแล้ว!
“ไปจัดการเรื่องมึงกับโซยูซะ วันอาทิตย์แบบนี้ยัยนั่นน่าจะอยู่ที่โรงฝึกเทควันโด้ใกล้ๆโรงเรียน” ดวงตาคลอหน่วยไปด้วยหยาดน้ำทำให้ผมมองทัศนภาพได้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่ พอกระพริบตาอีกทีผมก็ถูกชานยอลลากเข้ามาในห้องเสียแล้ว มือหนาของชานยอลจับไหล่ผมหมุนให้หันหน้าไปทางประตูห้องพร้อมกับส่งแรงผลักเบาๆให้ผมเดินหน้าไป
“แล้วนาย ...นายไม่ได้ด้วย?” ผมหันกลับมาถาม ซึ่งชานยอลก็ทำเพียงแค่ส่ายหัวไปมาเบาๆ
“ไม่ละ มึงไปคนเดียวน่าจะดีกว่า”
“อืม” ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปทางประตูห้อง แต่ครั้งจะได้ออกไปเสียงทุ้มของชานยอลก็ตะโกนรั้งผมเอาไว้อีกครั้ง
“แบคฮยอน!”
“...”
“กูจะรอนะ”
ผมเดินทางมาที่โรงฝึกด้วยรถแท็กซี่ตามที่ชานยอลได้บอกเอาไว้ และผมคิดว่าคงจะมาถูกเพราะแถวๆโรงเรียนเราที่นี่ดีที่สุดและเป็นหนึ่งเดียวมาโดยตลอด ผมมองตึกสูงชั้นแห่งนี้แล้วสูดอากาศเข้าไปให้เต็มปอดเพื่อเป็นการเตรียมใจก่อนจะก้าวดุ่มๆเข้าไปภายใน
ทันทีที่เข้าไปผมก็พบกับโถงกว้างๆสไตล์เกาหลี โดยที่ด้านขวามีที่นั่งแบบย้อนยุคพร้อมกับชั้นหนังสือเหมือนมีไว้สำหรับผู้ปกครองที่มารอลูกหลาน ซ้ายมือมีเคาน์เตอร์ตัวยาวและมีผู้หญิงตัวเล็กๆนั่งใส่ชุดฮันบกประจำการอยู่ ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ เธอจึงเป็นคนแรกที่ผมเดินเข้าไปหา
“โซยูมาที่นี่มั้ยครับ” เธอเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยความตกใจก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักรับเป็นคำตอบให้กับผม
“ค..ค่ะ”
“ฝึกอยู่ห้องไหนครับ”
“ชั้นสองค่ะ ไม่ทราบว่ารู้จักกันระ... อ้าวคุณ!! คุณคะ” พอรู้ว่าเธออยู่ที่นี่ผมก็รีบขึ้นบันไดไปตามหาโซยูโดยไม่ได้สนใจผู้หญิงที่เอาแต่เรียกผมไว้สักนิด ผมขึ้นมาถึงชั้นสองก็ต้องหอบหายใจอย่างหนักหน่วงเพราะความเหนื่อยที่ลิดรอนพลังผมไปแทบหมด ผมก้าวไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูด้วยความรู้สึกกระอักกระอวนที่อัดแน่นเต็มใจ
เสียงตะโกนของผู้ฝึกดังลอดออกมาถึงข้างนอก ผมส่งมือที่สั่นเทาไปด้วยความกลัวของตัวเองยื่นไปจับลูกบิดเอาไว้แน่น ใจหนึ่งก็อยากจะรู้เหลือเกินว่าถ้าโซยูเห็นหน้าผมแล้วเธอจะรู้สึกยังไง แล้วถ้าเกิดว่า...เธอทำเป็นจำผมไม่ได้ล่ะผมควรที่จะทำยังไงดี
ผมชอบนิสัยตรงไปตรงมาของเธอนะ...
แต่หลังจากที่เธอผิดนัดของเรา และทิ้งให้ผมต้องเผชิญกับความเจ็บปวดอันร้ายกาจเพียงคนเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยคิดเอาไว้เกี่ยวกับตัวเองมันก็พังลงไปหมด ผมไม่รู้ว่าผมจะยืนได้รึเปล่าถ้าหากว่าเธอทำเมินผมอีกครั้ง ผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นเลยจริงๆนะ
เสียงตะโกนลั่นดังลอดออกมาอีกครั้งและทำให้ผมมีความกล้าที่จะก้าวเข้าไปเผชิญหน้าความจริงอย่างน้อยๆ ถ้าเกิดครั้งนี้ผมล้มลงมาจริงๆ ผมก็หวังว่าชานยอลคงจะช่วยเยียวยาจิตใจของผมให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกครา
“โซยู”
เมื่อพาตัวเองเข้ามาในห้องได้แล้ว ผมจึงเอ่ยออกไปด้วยนำเสียงนิ่งราบเรียบ ในขณะที่คนภายในห้องเริ่มหยุดทำกิจกรรมของตัวเองไปทีละคนสองคนจนในที่สุดทุกคนก็หยุดชะงักลง ผมสังเกตเห็นเธอแล้ว เธอใส่ชุดเทควันโด้สีขาวคาดเอวด้วยสายดำ และเธอก็มองเห็นผมแล้วเช่นกัน
“พี่..”
ดวงตาของเธอสั่นไหวอย่างชัดเจน ผมสังเกตเห็นและสัมผัสถึงมันได้ทั้งหมด โซยูก้มหัวให้กับครูฝึกผู้หญิงผิวแทนๆคนนึงก่อนจะก้าวออกมาจากแถว คนอื่นๆต่างมองมาที่เราด้วยความอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา “คุยกันข้างนอกนะคะ” โซยูบอกผมก่อนจะเปิดประตูออกไปก่อนจากนั้นผมจึงตามเธอออกไป
ในขณะที่เธอเดินนำไปนั้น พวกเราไม่ได้ปริปากคุยอะไรกันเลยแม้แต่น้อย และผมสัมผัสได้ถึงความอึดอัดแปลกๆที่เราสองคนต่างสร้างมันขึ้นมา จนโซยูหยุดเดินอยู่ที่สุดทางเดินเธอถึงจะหันกลับมาหาผม ใบหน้าของโซยูยังน่ารักเหมือนเดิมแม้จะอยู่ในชุดที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เธอทำใจของผมไขว้เขวไปหมด กลัวว่าคำพูดของเธอจะทำร้ายจิตใจของผมเหลือเกิน
“มาไม่ได้ทำไมไม่โทรบอกกันล่ะ” ผมเลือกถามเธอก่อนที่เธอจะพูดอะไรออกมา โซยูมองหน้าผมก่อนจะหลบตาไปอีกทางอย่างกลัวความผิดของตัวเอง โดยปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมพวกเราเอาไว้ กลืนกินความสุขของพวกเราไปจนหมด
“พี่คะ” น้ำเสียงเธอสั่นเครือเมื่อยามที่พูด
“...”
“ฉันขอโทษ” โซยูก้มหน้าจนแทบจะชิดคาง ตอนแรกผมก็กะว่าจะดูท่าทีของเธอก่อนว่าจะพูดอะไรต่อ แต่ทว่าผมก็ไม่ได้เป็นคนที่ใจแข็งขนาดนั้นและผมก็ทนดูใบหน้าน่ารักของเธอเศร้าหมองนานๆไม่ได้เลยเดินเข้าไปสวมกอดเธอเอาไว้หลวมๆ ตัวเธอสั่นเทิ้มไปทั้งตัวเมื่อยามที่ผมสัมผัส
“ที่ผ่านมา ที่เธออยู่กับพี่มันจริงใช่มั้ย หรือ...พี่คิดไปเอง”
“ฉะฉัน พยายามแล้ว...ฉันชอบคนแบบพี่จริงๆนะ”
“แล้วทำไม...”
“แต่มันยังน้อยกว่าคนๆนั้น ฉันเสียใจทุกการกระทำของฉันจริงๆค่ะ...ฉันพยายามจะชอบพี่ เริ่มต้นใหม่กับพี่ แต่ว่ากับคนๆนั้นฉันก็ยังชอบอยู่เหมือนเดิม ชอบอย่างที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ วันนั้นฉันเลยตัดสินใจไม่ไปดูหนังกับพี่เพราะมันจะต้องแย่แน่ๆถ้าหากเราก้าวผ่านจุดๆนั้นของเราไป”
“...”
“ฉันชอบพี่แบคฮยอนนะ แต่มันยังน้อยกว่าคนคนนั้น” ผมยิ้มรับคำตอบที่ตรงไปตรงมาของเธอ ถึงแม้จะมีบ้างที่รู้สึกว่ามันเจ็บปวดลึกเข้าไปถึงข้างในแต่มันก็ยังดีกว่าที่เธอจะโกหกผมไปเรื่อยๆ ผมยอมรับมันได้เพราะว่าเธอเองมีเหตุผลของเธอ อย่างน้อยๆแค่เธอชอบผม ผมก็ดีใจมากแล้ว
“แล้วทำไมไม่คบกับคนคนนั้นซะล่ะ”
“เนี้ยแหละปัญหา” โซยูผละตัวออกมาจากอ้อมกอดของผมพร้อมกับก้าวถอยไปเล็กน้อย ส่วนผมก็เริ่มขมวดคิ้วเพราะไม่เข้าใจคำพูดของเธอ
“เป็นปัญหาตรงไหน เธอก็ออกจะน่ารัก”
“คนคนนั้นเองก็สวยมากเหมือนกัน”
“!!!!”
“แถมยังเป็นผู้หญิงด้วย!”
ผมนี่...
อึ้งไปเลยครับ
กระเทยจ่ม
ชิบหาย
คนแบบชานยอลนี่มันพ่อขอลูกจริงๆเลยค่ะ
เห็นแล้วซิลิโคนถึงกันสั่นกันเลยทีเดียว
ช่วงนี้ยุ่งๆเลยมาลงแบบนี้ไว้ให้ก่อน
ถ้าแต่งเสร็จก็ลงทันทีค่ะ ไม่ดองๆ จริงๆนะไม่ดอง
จุ๊บ -3-
ความคิดเห็น