[SF] ...Forget Me Not... [HoHyun] - [SF] ...Forget Me Not... [HoHyun] นิยาย [SF] ...Forget Me Not... [HoHyun] : Dek-D.com - Writer

    [SF] ...Forget Me Not... [HoHyun]

    ช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ หากสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขา...ยิ่งใหญ่นัก "ความรัก"

    ผู้เข้าชมรวม

    1,297

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    1.29K

    ความคิดเห็น


    13

    คนติดตาม


    5
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  14 ส.ค. 55 / 22:14 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

     

    ...Forget Me Not...

     

    สวัสดีค่ะ เจอกันอีกแล้วนะคะ ^^~

    อะแฮ่มม แนะนำตัวนะจ๊ะ

    ชื่อมิ้งค์ค้าบบบ อายุ 14 เมื่อต้นปีนี่เองค่ะ!

    อยู่ม. 3 ตอนนี้ก็กำลังจดๆจ้องว่า น้ำจะท่วมมั้ย =[]=!!

    เป็นช็อตฟิคเรื่องแรกในชีวิต ที่ปั่นมาด้วยความรีบอย่างที่สุด

    มันเลยออกมาแปลกๆ แปร่งๆ ขออนุญาตให้ติ-ชมกันหน่อยนะคะ~

     

    คำเตือนก่อนอ่าน

    น้ำเน่ามากกกกกกกก!! โปรดระวังตัวไว้ - -++

     

     ขอขอบคุณธีมบทความสวย ๆ จาก
    Free Theme Mouse ❥Season II


     

     เปิดเรื่อง :: 31/10/11 เวลา 0.00 น.
    แก้ไข :: 14/08/12 เวลา 21.35 น.

     
    ((จิ้มฟังเพลงคลอเวลาอ่านก็ดีนะคะ ^^))

    +❥ Free theme mouse.naru
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
       



       Title : ...Forget Me Not…

      Couple : HoHyun

      By : Energetic 

      Talk : SF เรื่องแรกเลยจ้ะ  ฉลองรับเทศกาล Halloween ห่วยบรมมากกกกกก ใครอยากได้สเป..ขอเสียงหน่อยนะเออจะพิจารณาว่าจะเขียนหรือไม่เขียนดี ^^

      Warn : น้ำเน่ามากกกกกกกกก = =!!!!

      Theme Song : A thousand years - The Piano Guys

       

       

       

       

       

      ผมไม่เข้าใจ...ความรักของพวกเรามันผิดมากขนาดนั้นหรือ?

      คิมจงฮยอน...คุณตอบผมได้ไหม?



      .



      .



      .

                      แสงสว่างจากโคมไฟตั้งโต๊ะถูกดับลง...

                      เป็นเวลาเดียวกับที่นาฬิกาลูกตุ้มที่ถูกตั้งไว้นอกห้องตีบอกเวลาเที่ยงคืนพอดิบพอดี ร่างสูงโปร่งภายใต้ความมืดมิดนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะทำงานอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนจะผละจาก มุ่งหน้าสู่เตียงนอนนุ่มๆอุ่นๆตามปกติ ทอดกายลงบนผืนเตียงกว้าง ขยับผ้าห่มผืนหนาขึ้นคลุมกาย ปิดเปลือกตาลงอย่างอ่อนล้า

                      มินโฮขยับกระสับกระส่ายบนเตียงกว้าง พยายามข่มตาหลับลงให้ไวที่สุดเพื่อที่จะตื่นเช้าๆในวันรุ่งขึ้นทว่านอกจากจะไม่มีท่าทีของความง่วงแล้ว ตาของเขายังสว่างเต็มที่อีกต่างหาก

                      สุดท้ายก็จำใจลุกขึ้นจากเตียงนอนเมื่อเห็นว่านอนต่อไปก็คงไม่มีประโยชน์

                      แสงสีอมส้มของโคมไฟหัวเตียงสาดแสงสลัวพอให้มองเห็นสภาพรอบห้องเล็กๆเก่าๆ เอื้อมแขนยาวไปคว้าวิทยุเทปคาสเซ็ทรุ่นคุณปู่ที่ทำท่าจะพังแหล่ไม่พังแหล่ขึ้นประคองอย่างทะนุถนอม แน่สิ...ก็เขาไม่มีเงินพอที่จะซื้อเครื่องใหม่ได้หรอก

                      ปลายริ้วเรียวกดปุ่มเล่นเทป สักพักเสียงไวโอลินถึงค่อยๆดังลอดออกมาจากลำโพงขนาดเล็ก มินโฮยิ้มให้มันนิดหน่อยก่อนจะค่อยๆเอนกายลงพิงหัวเตียง หลับตาพริ้ม

                      อย่างน้อยๆ เสียงไวโอลินที่ดังสอดรับกับเสียงเปียโนใสกังวานนั้นก็ไม่ได้ทำให้ค่ำคืนนี้น่าเบื่อมากไปนัก

                      ค่ำคืนแรกในอังกฤษ...ค่ำคืนแรกในกลอสเตอร์...

                      แต่ไม่ใช่ค่ำคืนแรกที่ผมอยู่คนเดียว...

                      ผมชินเสียแล้วล่ะ...กับการที่ต้องอยู่คนเดียว

                      มินโฮยกแขนขึ้นก่ายหน้าผาก มีเพียงแสงไฟสลัวและเสียงเพลงหวานจากไวโอลินและเปียโนที่ยังคงคลอเคล้าเป็นเพื่อนข้างกายในยามดึกสงัด หรือเปล่า...?

                      ฮึก...ฮือ...

                      ไม่...มันยังมีบางอย่างที่ทำให้ค่ำคืนแรกในกลอสเตอร์ของผมมีสีสันมากกว่านั้น

                      เสียงสะอื้นลอยแว่วมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะๆ ทุกอย่างเริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อมินโฮตัดสินใจเอื้อมแขนยาวไปกดปิดวิทยุ เรียกความสงบกลับคืนสู่ห้องนอนอีกครั้ง

                      ชายหนุ่มลอบระบายลมหายใจหนักหน่วงก่อนจะเอนตัวลงนอน ปิดไฟหัวเตียงเรียบร้อย ตัดสินใจแล้วว่าต้องเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างจริงๆจังๆเสียทีก่อนที่พรุ่งนี้เช้าจะลืมตาไม่ขึ้น

                      แต่เสียงสะอื้นนั้นก็ยังแว่วตามมาอยู่ดี...

                      คิ้วเริ่มขมวดเข้าหากันอย่างหงุดหงิด ขยับลุกขึ้นจากเตียงกว้างด้วยความจำยอม ก้าวไปชิดขอบหน้าต่าง สอดส่องสายตาหาแหล่งเกิดเสียงด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ซึ่งก็คงไม่แคล้วลุงแก่ๆขี้เมาสักคนที่กำลังร่ำร้องคิดถึงบ้านแต่ถึงจะพยายามมองหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอเสียที

                      ไม่เจอทั้งสิ่งมีชีวิตที่กำลังนอนร้องไห้อยู่นอกรั้วบ้าน...หรือแม้กระทั่งภายในบ้าน

                      บางทีผมอาจจะคิดมากไป

                      มันอาจจะเป็นเสียงลมที่พัดหวิวคล้ายเสียงร้องไห้นี่ก็ได้

                      มินโฮหันหลังกลับ หมายก้าวไปสู่เตียงนุ่มๆอุ่นๆอย่างที่เขาสมควรสักที

                      ...!!!”

                      ร่างทั้งร่างพลันเย็นวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท่า ลมหายใจสะดุดกึก นัยน์ตาคมเบิกคิ้วเล็กน้อยมองภาพที่กำลังสะท้อนกระจกตู้หนังสืออย่างตกใจ

                      ร่างโปร่งบางร่างหนึ่งสะท้อนกระจกอยู่ด้านหลังของเขา...นอกหน้าต่างบานนั้น สองขาไม่ได้สัมผัสอยู่กับส่วนของผืนโลก ใบหน้าขาวซีดแลดูถมึงทึง นัยน์ตาสีฟ้าเรียวคมชื้นน้ำกราดมองอย่างโกรธเกรี้ยว ยกปลายนิ้วชี้สั่นระริกขึ้นชี้หน้าผ่านกระจกตู้ ขยับริมฝีปากพึมพำพอจับศัพท์ได้เล็กน้อยว่า...

                      ไสหัวออกไป...

                      มินโฮหันกลับไปดูที่ภายนอกบานหน้าต่างบานนั้นแทบจะทันที ฉันพลันกลับต้องรู้สึกขนลุกซู่เมื่อไม่พบร่างของใครนอกจากภาษาอังกฤษตวัดห้วนๆที่เขียนอยู่บนกระจก

                      DIE...

                      .

                      .

                      .

                      เสียงนาฬิกาปลุกดังเตือนเวลาที่เริ่มล่วงเลย...

                      มินโฮพลิกกายขยับหนีจากอากาศที่ค่อนข้างเย็นกว่าปกติ ตวัดผ้าห่มขึ้นคลุมโปง นอนขดอยู่สักพัก สุดท้ายก็จำต้องพยายามฝืนเปิดเลือกตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า เอื้อมแขนยาวไปควานๆปัดๆหาต้นกำเนิดเสียงก่อนจะกดปิดนาฬิกาปลุกเพื่อให้มันหยุดส่งเสียงรบกวนเสียที

                      ค่อยๆลุกขึ้นจากเตียงอย่างเชื่องช้า อ้าปากหาวหวอดรับยามเช้าสักทีก่อนจะยืดตัวบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยขบที่สะสมอยู่ทั้งคืนออกไป

                      ตัดสินใจใช้น้ำเย็นเฉียบจากก๊อกนำพาความสดชื่นมาแทนที่ความง่วงงุนจากอาการนอนไม่พอ และสาเหตุที่ทำให้เกิดสภาพแบบนี้ก็คงไม่พ้นเรื่องเมื่อคืนที่ยังวนเวียนอยู่ภายในหัว

                      เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอผีจะจะตาก็วันนี้นี่แหละ

                      ไม่คิดว่าชาตินี้จะมีบุญได้เจอกัน -______-;;;

                      บางที...ผมอาจจะต้องหาเวลาว่างสักหน่อย ไปถามหาความจริงจากปากของเจ้าของบ้านเช่า

                      ผมยังจำได้ถึงท่าทางลุกลี้ลุกลนเวลาที่เขานั่งทำสัญญาเช่าบ้านกับผมที่ห้องรับแขก สีหน้าหวาดกลัวเวลาที่พาผมขึ้นเยี่ยมชมห้องต่างๆ ท่าทางที่แทบจะประเคนบ้านหลังนี้ให้ผมฟรีๆ รวมทั้งเอ่ยเตือนว่าพยายามอย่ายุ่งกับสิ่งของภายในบ้านหลังนี้สุ่มสี่สุ่มห้า

                      บางที...อาจเป็นเพราะเด็กผู้ชายเมื่อคืน...

                      แต่ก็นะ ผมไม่ใช่คนขี้กลัวด้วยสิ

                      เวลากำลังจะหมด...

                      มินโฮเหลือบมองนาฬิกาข้อมือเรือนเก่าๆที่กำลังบอกเวลาว่าเริ่มสายมากแล้ว หากเขาออกจากบ้านหลังนี้สายกว่านี้บางทีอาจจะไม่ทันกับงานเล่นดนตรียามเช้าที่บ้านพักคนชราในเมือง ขยับจัดแต่งเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อย มือใหญ่เอื้อมคว้ากล่องที่บรรจุไวโอลินตัวโปรดมาถือ ก้าวออกนอกห้องโดยที่ไม่หันกลับมามอง

                      ไม่ทันเห็น...ตัวอักษรภาษาอังกฤษสามตัวที่เคยตราตึงอยู่บนกระจกบานใหญ่นั้นค่อยๆเลือนหายไป

                      และร่างเล็กของคนคนหนึ่งที่ยืนทอดมองร่างสูงโปร่งที่กำลังเดินออกไปด้วยสายตาที่ไม่อาจคาดเดา

                      .

                      .

                      .

                      ปลายดินสอแหลมกำลังถูกขีดเขียนลงบนโน้ตเพลง

                      ชเวมินโฮเป็นเพียงเด็กผู้ชายที่หนีออกจากบ้านมาตั้งแต่อายุสิบหกยันตอนนี้อายุปาเข้าไปยี่สิบสองแต่ยังไม่เคยที่จะกลับไปเหยียบบ้านเลยสักครั้ง

                      ความสุขของเขาคือการที่เห็นคนอื่นได้ฟังเสียงไวโอลินที่เขาเล่นแล้วมีความสุข ไม่ใช่การที่ต้องมานั่งจดๆจ้องๆกับตำราเรียนกองหนา ตั้งหน้าตั้งตาท่องกฎหมาย คิดคณิตไวยิบเพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารที่พ่อกับแม่ยัดเยียดให้

                      ประโยคสุดท้ายที่ทำให้เขาตัดสินใจหันหลังออกจากบ้านหลังนั้นโดยไม่คิดหันหลังกลับอีกเลยคือ

                      ถ้าแกยังจะเล่นมัน แกก็ไม่ใช่ลูกชายฉัน!’

                      เด็กผู้ชายอายุสิบหก ออกตระเวนหางานทำตามร้านสะดวกซื้อ ค่อยๆเก็บหอมรอมริบไปทีละน้อย ทีละน้อย อดมื้อกินมื้อบ้างก็ไม่เป็นไร จนกระทั่งจำนวนเงินที่มีนั้นมากพอ... มากพอที่จะลาจากบ้านเกิดเดินทางตามความฝันที่ตนเองอยากจะทำมัน

                      ตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินมุ่งหน้าสู่เมืองชนบททางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ...กลอสเตอร์

                      เป็นอีกครั้งที่นาฬิกาลูกตุ้มนอกห้องตีบอกเวลาสิบสองครั้ง หากสิ่งที่แปลกไปในวันนี้คงเป็นแสงไฟที่ไม่ได้ดับลงอย่างเคย มินโฮยังตัดสินใจนั่งจมจ่ออยู่กับบทเพลงที่เขากำลังบรรจงสรรแต่งมันช้าๆ

                      และอีกอย่าง...คือการรอที่จะพบกับเด็กผู้ชายคนเมื่อคืน

                      ผมบอกแล้วว่าผมไม่ใช่คนขี้กลัว

                      แต่ไอ้เรื่องที่ผมกับเขาจะคุยกันรู้เรื่องมั้ย...นั่นก็อีกเรื่องนะ =___,=

                      ดูจากสภาพเมื่อวานแล้ว...ทั้งไล่ทั้งสั่งให้ไปตายขนาดนั้น

                      ฮึก...ฮือ...

                      ร่างสูงโปร่งผละออกจากโต๊ะทำงานเดินไปชิดขอบหน้าต่าง อดคิดไม่ได้ว่าหากอีกฝ่ายโผล่มาจ๊ะเอ๋ตรงหน้าเหมือนที่ในหนังเค้าเจอกันมันจะเป็นยังไง

                      คงตกใจดีพิลึก -___-

                      ค่อยๆผ่อนลมหายใจหนักหน่วงเมื่อไม่ได้พบใครภายนอกหน้าต่างอีกเช่นเดิม

                      ฮึก...ฮือ...

                       แต่เสียงร้องไห้กลับชัดขึ้น...?

                      ...!!!”

                      ร่างสูงโปร่งสะดุ้งเฮือกเมื่อหันหลังกลับมาแล้วพบกับเจ้าของเสียงที่ว่า เผลอกลืนน้ำลายฝืดเฝื่อนลงคออย่างยากเย็น ยามที่เห็นอีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้

                      ครืดดด...ครืดดด...

                      โซ่ตรวนขนาดยักษ์ที่คล้องอยู่ที่ข้อเท้าขาวถูกลากมาตามพื้นไม้ ทุกย่างก้าวทับรอยหยดน้ำชื้นที่ร่วงซึมเป็นวง ร่างขาวซีดเลือนรางใต้แสงไฟโปร่งใสคล้ายควัน สิ่งที่ดึงดูดความตกใจทั้งหมดให้หมดสิ้นไปจนไม่พ้น...

                      นัยน์ตาสีฟ้าใสพร่างน้ำคู่นั้น...

                      เจ้า...

                      เสียงนุ่มติดแหบนิดๆตามฉบับเด็กผู้ชายกังวานขึ้นคล้ายพูดอยู่ภายในห้องแคบๆ ร่างโปร่งใสขยับเคลื่อนกายมาหยุดอยู่ตรงหน้า จ้องมองร่างสูงกว่าด้วยสายตาที่ทอดแววอาลัยปนยินดี

                      เป็นเจ้าจริงๆ...

                      มินโฮขนลุกซู่เมื่อสัมผัสถึงความเย็นเฉียบราวกับกระแสลมพาดผ่านผิวแก้มยามที่คนตัวเล็กยกมือขึ้นประคองใบหน้า ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายกำลังทำงานหนัก...หนักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

                      คราวนี้...คุณผีตัวเล็กมาดีแฮะ

                      หยดน้ำใสร่วงเผาะลงกระทบร่องแก้มส่งผลให้มินโฮรู้สึกมือไม้ชักเริ่มหนักขึ้นแปลกๆ อยากจะยกขึ้นเช็ดน้ำตาให้แต่คิดว่าถึงพยายามไปมันก็คงไม่โดน

                      ขนาดเขา...ยังสัมผัสผมไม่ได้เลย

                      คุณครับ

       

                      อย่าร้องไห้เลยนะครับ...

                      .

                      .

                      .

                      ร่างสูงโปร่งอมยิ้มนิดหน่อยยามที่ทอดมองร่างเล็กที่นั่งอยู่ปลายเตียง สองมือเล็กถูกยกขึ้นมาปาดน้ำตาป้อยๆอย่างน่าเอ็นดูจนนึกสงสาร อยากจะเข้าไปปลอบอยู่เหมือนกันแต่ไม่รู้ว่าต้องทำแบบไหนถึงจะดี

                      ให้กอดปลอบก็สัมผัสตัวเขาไม่ได้... ให้พูดปลอบยิ่งแล้วใหญ่...

                      คนอย่างชเวมินโฮพูดปลอบใครเป็นซะที่ไหนล่ะนั่น = =;;

                      นี่คุณ

                      เสียงนุ่มทุ้มเรียกเบาๆ ระบายรอยยิ้มอบอุ่นบนริมฝีปากจนตัวเองยังอดแปลกใจไม่ได้

                      ทั้งๆที่คิดว่าลืมวิธียิ้มไปนานมากแล้ว...

                      สำหรับคุณครับ

                      ดอกไม้ช่อโตที่คนมอบให้ความมันมาจากแจกันข้างเตียงถูกยื่นมาตรงหน้า ทว่าหยดน้ำใสนั้นกลับยิ่งไหลราวกับเขื่อนแตก ก้มลงสะอื้นจนตัวโยน

                      ส่วนคนทำน้ำตาไหล... ก็ไปต่อไม่ถูกเลยน่ะสิ =___=;;

                      คุณตัวเล็กครับ...

                      เจ้าของชื่อ คุณตัวเล็ก ที่มินโฮเรียกพยายามปาดน้ำตาก่อนจะช้อนนัยน์ตาคู่สวยนั้นขึ้นมอง ร้อง หืมในลำคอเชิงถามว่า มีอะไร

                      “น้ำตา...ไม่เหมาะกับคุณหรอกครับ

                      “................

                      คุณน่ะ เหมาะกับรอยยิ้มกว้างๆมากกว่า

                      มินโฮใช้ปลายนิ้วชี้ทั้งสองข้างวางไว้ชิดกันที่กึ่งกลางริมฝีปากตนเองก่อนจะค่อยๆระบายรอยยิ้มออกตามปลายนิ้วทั้งสองที่แยกออกจากกันเป็นรูปครึ่งวงกลม

                      “Smile~”

                      อือ” เสียงหวานติดแหบตอบรับแผ่วๆกึ่งกลั้วหัวเราะในลำคอ เงยใบหน้าซีดขึ้น ริมฝีปากได้รูปแย้มยิ้มกว้างทั้งที่น้ำตาคลอ ยิ้มแบบนี้พอใจไหม?...คุณนักดนตรีคนเก่ง

                      “มากๆเลยครับ คุณตัวเล็ก ^^

                      คุณตัวเล็กย่นจมูกใส่ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปาดน้ำตาอีกครั้ง

                      ขอบคุณนะ...มินโฮ

                      เสียงหวานเอ่ยอ้อมแอ้มอยู่ในลำคอ ก้มใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มกว้างจนคางแทบชิดอก ซ่อยริ้วแดงที่ขึ้นปลั่งเต็มสองแก้มใส

                      คุณรู้จักผมมาก่อนเหรอ?

                      “จะว่าใช่ก็ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ คำตอบที่ไม่ชัดเจนนั้นเรียกรอยยิ้มอ่อนโยนให้ประดับบนริมฝีปากหยัก แอบหัวเราะเสียงทุ้มในลำคอก่อนที่จะส่งเสียงออกมาอย่างเสียดาย

                      ว้า...งั้นก็แย่สิ

                      มินโฮอมยิ้มขำเมื่อเห็นคนตัวเล็กกระวีกระวาดเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความตกใจ

                      ทำไมล่ะ!?

                      ก็ผมยังไม่รู้จักชื่อของคุณเลยนี่ครับ คุณตัวเล็ก” ^^

                      คุณตัวเล็กที่ว่าถลึงตาใส่ด้วยความหมั่นไส้

                      คุณจะไม่ยอมบอกชื่อผมหรือ?

                      “.........

                      .........

                      คิม-จง-ฮยอน เสียงหวานติดแหบนั้นเน้นช้าชัด ก้มใบหน้าหลบสายตาของมินโฮที่ทอดมองไป สองข้างแก้มร้อนผ่าวจนคนตัวเล็กแทบอยากละลาย

                      ครับ?” มินโฮเลิกคิ้วขึ้นเชิงถาม ขยับยิ้มยั่วเย้าคล้ายอารมณ์ดีที่ได้แกล้งอีกฝ่ายเล่น

                      อยากรู้ชื่อข้าไม่ใช่หรือไง

                      แล้วไงต่อล่ะครับ?

                      ข้าไม่รู้ด้วยแล้ว ถลึงนัยน์ตาที่แดงช้ำคู่นั้นใส่ สองแขนยกขึ้นกอดอก พองลมเข้าเต็มแก้ม สะบัดใบหน้านวลหันหนีไปอีกทางพลางร้อง เชอะ!’

                      น่ารัก...

                      โธ่ๆ ล้อเล่นน่ะครับ

                      น่ารักจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างขนาดนี้...

                      จงฮยอน...คิมจงฮยอน

                      หันกลับมาเชิดริมฝีปากขึ้นสูงก่อนจะย่นจมูกใส่อย่างหมั่นไส้

                      เรียกข้าทำไมนักหนา =^=!

                      มินโฮไม่ได้สนใจเสียงประท้วงของอีกฝ่าย เสียงทุ้มยังคงกระซิบเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงนุ่มซ้ำไปซ้ำมา...ซ้ำไปซ้ำมา

                      ชื่อที่ผมคิดว่า...มันไพเราะมากที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา

                      จงฮยอน...คิมจงฮยอน คุณวิญญาณตัวเล็ก

                      .

                      .

                      .

                      29 ตุลาคม

                      เสียงไวโอลินหวีดหวิวดังคลอเคล้ากับสายลมผิวแผ่วกลางฤดูใบไม่ร่วงฟังดูน่าวังเวง...

                      และต้องมี...เสียงหมาหอนเป็นซาวด์ประกอบ?

                      แฮ่!”

                      เสียงใสของไวโอลินสะดุดกึกเหมือนกับสติของเจ้าของร่างที่ใกล้จะหลุดลอยออกจากร่างเต็มที มินโฮค่อยๆดึงหัวใจที่ร่วงลงไปอยู่ตาตุ่มให้กลับขึ้นมาก่อนจะเอ่ยดุอีกฝ่ายอย่างหนักใจ

                      นี่คุณ...เลิกโผล่มาแบบพิเรนท์ๆแบบนี้สักทีเถอะ

                      ก่อนที่ผมจะหัวใจวายตายเข้าสักวัน -______,-

                      ปากเสีย! พิเรนท์ตรงไหนกันออกจะปกติ จงฮยอนเอ่ยว่ากลับ พองลมเข้าเต็มแก้มเมื่อถูกดุในเรื่องไม่เป็นเรื่องแต่โคตรเป็นเรื่องใหญ่สำหรับชเวมินโฮ...

                      ก็ไอ้คำว่า ปกติ’ ของเขากับจงฮยอนมันไม่เหมือนกันน่ะเซ่ - -!!

                      ปกติของเขาอาจจะเป็นการห้อยหัวลงมาจากเพดาน โผล่มาเกาะอยู่บนหลัง ผุดขึ้นมาจากพื้น ลอยมาโบกมือทักทายตรงหน้าต่าง หรืออาจจะเข้าสิงสิ่งของอะไรสักอย่างภายนอกห้องแล้วค่อยทักทาย แต่สำหรับมนุษย์ปกติธรรมดาอย่างชเวมินโฮการมาแบบปกติคือ เดินขึ้นมาแล้วเคาะประตูที่หน้าห้อง!

                      แน่นอนว่า...ต่อให้มินโฮเตือนจงฮยอนกี่ครั้ง เขาก็ไม่ทำตามหรอก = =;

                      แล้วที่ห้อยหัวลงมาแบบนี้ไม่เรียกพิเรนท์ให้เรียกว่าอะไรล่ะครับ? มินโฮส่ายหัวอย่างระอา จริงอยู่ที่เขาไม่ใช่คนขี้กลัว...แต่ถ้าโผล่มาแบบนี้บ่อยๆนี่ก็ไม่ไหวนะ เล่นกายกรรมอยู่หรือไง หืม?

                      จงฮยอนหัวเราะแห้ง ยกมือเรียวขึ้นเกาศีรษะแก้เก้อทั้งที่ยังห้อยหัวอยู่แบบนั้น

                      นี่ยังดีนะหน้าไม่เละ...ถ้าเละอีก ผมได้หัวใจวายตายก่อนวัยอันควรแน่ๆ =_____=!!

                      แหะๆ กายกรรมเขายืนห้อยหัวบนอากาศไม่ได้นะเออ ยังไม่วายหันกลับมาแก้ต่างให้ตัวเองแต่พอเจอสายตาคมที่จ้องเข้าให้แบบนั้น จงฮยอนอดไม่ได้ที่จะเผลอจินตนาการไปว่าตัวเองกำลังหดเล็กลง เล็กลงทุกที

                      สายตาโคตรโหดเถอะ...

                      ขอโทษ จงฮยอนเอ่ยเสียงอ่อย ยอมทิ้งตัวลงมายืนตามปกติฉบับ ชเวมินโฮ’ แต่โดยดี คราวหลังมาแบบปกติแล้วก็ได้...

                      เห็นหน้าตาท่าทางที่หงอยลงสนิทตา แค่นั้นก็ทำหัวใจเจ้ากรรมอ่อนยวบ

                      ผมไม่โกรธคุณหรอก

                      จริงนะ!” จงฮยอนร้องลั่นด้วยความดีใจ สีหน้าคล้ายเด็กๆเวลาเห็นของเล่นชิ้นใหม่ อยากจะกระโดดกอดคนที่บอกว่าไม่โกรธตัวเองมากที่สุดในสามโลก

                      ผมจะโกรธคุณลงได้ยังไง

                      ยิ่งคุณทำตัวน่ารักขนาดนี้... ต่อประโยคที่เหลือกับตัวเองเบาๆในใจ ริมฝีปากหยักลงลึกกลายเป็นรอยยิ้มอบอุ่น ทอดสายตาอ่อนโยนมองร่างที่ระริกระรี้อยู่เบื้องหน้า

                      ไม่ได้รู้หรอก...ว่าความคิดที่ถูกปิดขังไว้ภายในใจแบบนั้น มันจะสื่อชัดออกมาทางสายตา

                      และทำให้ใครอีกคนที่สบสายตาชัด...

                      หัวใจเต้นแรงเร็วขึ้นมาอีกแล้ว...



                      .

                      .

                      .

                      30 ตุลาคม

                      ร่างสูงโปร่งขยับคล่องแคล่วอยู่บนบันไดอันเล็กที่ใช้สำหรับปีนขึ้นหยิบหนังสือ มือใหญ่จัดเรียงหนังสือเก่าๆไล่จากเล่มใหญ่ไปเล่มเล็กอย่างเป็นระเบียบ บรรจงใช้ไม้ขนไก่ปัดฝุ่นหนาเตอะออกจากชั้น ก้มลงเอื้อมมือคว้าผ้าผืนเก่าชุบน้ำบิดหมาดขึ้นเช็ดชั้นหนังสือไม้จนเงาวับ

                      ร่างสูงโปร่งก้าวลงจากบันไดอันเล็ก ยืนมองผลงานตัวเอง ยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อ

                      มีอะไรให้ช่วยไหม?

                      เสียงหวานของคนตัวเล็กดังทัก ยื่นใบหน้านวลเข้าไปใกล้พร้อมรอยยิ้มอ้อน

                      ตุบ!

                      มินโฮชะงักค้างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หัวใจร่วงวูบไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่ออยู่ๆอีกฝ่ายเกิดโผล่ขึ้นมาจากพื้นต่อหน้าต่อตา ผ้าขี้ริ้วที่กำลังจะถูกนำไปซักน้ำใหม่ร่วงตุบกองกับพื้น

                      ผิดกับจงฮยอนที่เห็นท่าทางของมินโฮกลับลงไปหัวเราะอยู่กับพื้น ไม่ได้สลดเลยว่าที่อีกฝ่ายสติหลุดออกจากร่างไปเป็นเพราะตัวเอง

                      ให้ตายเถอะคุณ...บอกแล้วไงว่าอย่าโผล่มาแบบนี้

                      ดุเสียงเข้ม แต่ดูท่าทางแล้วคนตัวเล็กจะไม่ได้สนใจฟังถ้อยคำนั้นเสียเท่าไหร่ =___=;;

                      น่ามันเขี้ยวจริงๆ...

                      ข้าขอโทษน่า ก็แหม~ มันติดนิสัยแล้วนี่นา

                      ช้อนนัยน์ตาขึ้นมอง เอียงคอนิดๆพร้อมรอยยิ้มอ้อน

                      น่ารัก...

                      เอาเถอะครับ ตัดบทเสียงนุ่ม ค่อยๆระบายรอยยิ้มอ่อนโยนบางเบา คุณไปนั่งรอก่อนเถอะ คุณจับอะไรไม่ได้ไม่ใช่หรือ?

                      จงฮยอนพยักหน้ารัวๆ รับคำในลำคอเสียงใสก่อนจะหายวับไปอีกครั้ง ทิ้งให้มินโฮยืนส่ายหัวน้อยๆอย่างระอาใจ

                      ได้ข่าวว่าเพิ่งบอกไปว่าอย่าทำแบบนี้...หัวใจจะวาย =_____=

                      .

                      .

                      .

       

                      ภายใต้ค่ำคืนที่แสนเงียบสงบ...ทุกๆอย่างกำลังดำเนินไปตามสิ่งที่สมควรจะเป็น

                      ร่างโปร่งบางทอดยาวอยู่บนเตียงนุ่ม ปลายนิ้วเรียวที่แม้เป็นเพียงอากาศธาตุค่อยๆไล้ตามรูปตาคมของคนตัวสูงกว่าที่กำลังปิดสนิท ริมฝีปากบอบบางแย้มยิ้มหวาน

                      รู้ไหม...ว่าข้าดีใจขนาดไหนที่เจ้ากลับมา

                      ไม่มีคำตอบใดๆดังกลับมาอย่างที่ควรจะเป็น จงฮยอนพิศมองใบหน้าคมคายยามหลับใหลราวไม่รู้จักเบื่อ ยินดีเหลือเกินที่ได้อยู่เคียงข้างกันเช่นนี้

                      ข้ารอเจ้ามาเป็นร้อยปีเลยนะ...รู้ตัวไหม

                      กระซิบเสียงหวานผิวแผ่วข้างใบหู มือสั่นเทาพยายามไล้ตามวงหน้าคมให้คล้ายกับตนเองสามารถสัมผัสอีกฝ่ายได้...เพราะในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่

                      จงฮยอนไม่สามารถสัมผัสสิ่งใดในโลกมนุษย์ได้...

                      และไม่มีสิ่งใดในโลกมนุษย์สามารถสัมผัสจงฮยอนได้เช่นกัน...

                      ขยับเคลื่อนกายขึ้นโดยที่พยายามให้เนื้อตัวของตนเองสัมผัสโดนกับของคนตัวสูงกว่าให้น้อยที่สุด โน้มใบหน้านวลลงอย่างเชื่องช้า บรรจงแนบริมฝีปากเย็นเฉียบลงแผ่วเบา หยดน้ำใสไหลปริ่มออกจากหางตาหยดลงกระทบโหนกแก้มของมินโฮก่อนที่จะค่อยๆจางหายไป

                      เสียงนาฬิกาลูกตุ้มตีบอกเวลาสิบสองครั้ง บ่งบอกถึงสัญญาณแห่งวันใหม่ที่กำลังมาถึง...

                      31 ตุลาคม

                      ก่อนฟ้าจะสาง...ข้ามีเรื่องๆหนึ่งจะเล่าให้เจ้าฟัง

       

                      ฮัลโลวีน...เทศกาลหนึ่งของชาวตะวันตก หากถามถึงสิ่งที่จะนึกถึงวันฮัลโลวีนคงไม่พ้นการจัดงานปาร์ตี้แฟนซีแต่งตัวเลียนแบบผี หรืออาจจะเป็นลูกฟังทองแกะสลัก

                      แล้วคุณเชื่อหรือไม่...ว่าแท้ที่จริง เทศกาลนี้คือเทศกาลบูชาเทพแห่งความตายของชาวเซลติก

                      แท้ที่จริง...แต่งตัวเลียนแบบผีเพื่อที่ไม่ให้ปีศาจร้ายที่ถูกปล่อยมาจากอีกภพมาสิงสู่ร่าง

                      แท้ที่จริง...หากคนที่ถูกวิญญาณสิงร่าง จะถูกสิงไปหนึ่งปี

                      แท้ที่จริง...มีพิธีจับตัว คนที่ถูกผีสิง มาเผาทิ้งทั้งเป็นเพื่อไม่ให้ทำอันตรายต่อใคร...

                      ในกาลต่อมา การทำพิธีเผาคนที่คิดว่าถูกผีสิงนั้นถือว่าเป็นเรื่องโหดร้าย ถึงได้ค่อยๆเลือนหายไปตามกาลเวลา หากทว่าในสองร้อยปีก่อนก็ยังมีผู้นำตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งแห่งอังกฤษเชื่อตำนานนี้อยู่

                      เขาได้จับเด็กผู้ชายข้างบ้านที่มักแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนลูกชายของเขาเสมอเป็นเหยื่อสังเวยในพิธีนั้น

                      จับขึงตรึงกับไม้กางเขน...สุมกองฟางแห้ง ราดน้ำมันก๊าดแล้วจุดไฟ

                      ว่ากันว่าเสียงกรีดร้องเพื่อขอชีวิตนั้นดังลั่นยามที่เปลวไฟค่อยๆลามเลียเนื้อตัวเด็กหนุ่มช้าๆ มีผู้คนในพิธีนั้นมากมายหากทว่าไม่มีแม้แต่คนเดียวที่คิดจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเด็กชายคนนี้ให้หลุดพ้นจากกองไฟ มีเพียงเสียงสาปส่งขอให้วิญญาณอย่าได้ไปผุดไปเกิด เสียงสาปแช่งให้เอาความอัปมงคลออกไปซะ

                      สาเหตุที่แท้จริง... ไม่ใช่เพราะเด็กผู้ชายคนนั้นถูกผีเข้าสิง

                      แต่เป็นเพราะ ความสัมพันธ์ที่เกินเลยระหว่างเด็กผู้ชายคนนั้นกับลูกชายของผู้นำตระกูลใหญ่

                      ความรัก...ของเด็กผู้ชายสองคนที่ไม่ได้มีความผิดอะไรเลย

       

                      ชเวมินโฮ” จงฮยอนขยับยิ้มขื่น พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้รินไหลตามคำพูดของอีกคนหนึ่งที่ยังอยู่ภายในห้วงนิทรา ยกสองมือเล็กขึ้นปาดน้ำตาที่เริ่มเอ่อคลอทิ้ง นั่นคือชื่อของลูกชายของผู้ดีแห่งอังกฤษ

                      ริมฝีปากกำลังสั่นระริก...พยายามสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อกลั้นสะอื้น

                      ส่วนเด็กผู้ชายที่ถูกเผาคนนั้นคือข้าเอง

                      จงฮยอนไม่รู้...ไม่รู้บุคคลที่เขาคิดว่าอยู่ภายใต้ห้วงนิทรานั้น

                      ความจริงแล้วยังไม่ได้หลับลงอย่างที่ควรจะเป็น...

                      คำสาปแช่งของพ่อเจ้า... เสียงที่หลุดออกมาทั้งสั่นเครืออีกทั้งยังผิวแผ่วไม่ต่างจากเสียงกระซิบ มันต้องอยู่คนเดียวตลอดกาล...หากปีใดมันมีรักครั้งใหม่

                      ยามเวลานาฬิกาตีบอกสิบสองครั้งของวันฮัลโลวีน มันต้องสูญสลายหายจากโลกนี้ไป...ตลอดกาล

                      .

                      .

                      .

                      เวลาเพียงสั้นๆ คุณคิดว่าจะมีเรื่องอะไรที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นได้บ้างเชียว

                      คืนวันฮัลโลวีน ภายในเมืองกำลังครึกครื้นด้วยงานรื่นเริงขนาดใหญ่ ชาวบ้านชาวเมืองต่างแต่งตัวเลียนแบบภูตผีปีศาจมาอวดประชันกันไม่ขาด เด็กๆต่างวิ่งไปเคาะประตูบ้านเพื่อนบ้านพร้อมทั้งร้อง “trick or treat” ขอขนมกันให้วุ่น

                      แต่ที่บ้านเช่าเก่าๆหลังหนึ่งบริเวณชานเมือง ไฟทั้งหมดถูกดับลงในเวลาหัวค่ำ และเจ้าของบ้านนั้นก็เข้านอนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

                      ผมมีอารมณ์สนุกไม่ลง...

      สนุกไม่ลงเมื่อรู้ว่าเทศกาลที่เราเฮฮากันนั้นเคยมีเรื่องเลวร้ายพรรค์นั้นเกิดขึ้นมาก่อน

      ในค่ำคืนนี้เงียบเหงากว่าที่เคย ไม่ได้มีเสียงหัวเราะสดใสของจงฮยอน ไม่ได้มีร่างโปร่งแสงที่ชอบโผล่มาแบบพิเรนท์ของจงฮยอน ไม่ได้มีรอยยิ้มหวานๆที่มักจะส่งให้ก่อนเข้านอนของจงฮยอนมาประดับบรรยากาศวังเวงภายในบ้านหลังนี้อีก

                      มันยากที่จะข่มตาหลับ...ในคืนที่สายลมพัดหวีดหวิวขนาดนี้

                      หรือที่ไม่อาจหลับลง...เพราะยังไม่ได้พบหน้าของจงฮยอนก็เป็นได้

                      มินโฮ...” เสียงหวานคล้ายตั้งใจพึมพำกับตนเองแว่วลอยเข้ามากระทบโสตสัมผัส หลับแล้วหรือ?

                      ร่างโปร่งแสงใต้แสงจันทร์ยวงลอยอยู่นอกหน้าต่าง ร่างนั้นแผ่วบางลงกว่าเดิมจนน่าใจหาย ทันทีที่ร่างสูงขยับลุกขึ้นนั่ง คนตัวเล็กถึงค่อยๆทะลุกระจกเข้ามา

                      แฮ่!”

                      พุ่งพรวดเข้าไปจนใบหน้าชิดใกล้ พยายามทำหน้าตาให้ดูน่ากลัวมากที่สุด

                      มินโฮ...

                      แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ร้องเตือนอย่างเคยว่าอย่าทำแผลงๆ มีเพียงสายตาที่ไม่อาจบรรยายความรู้สึกได้ที่จ้องอยู่ที่ใบหน้านวล เร่งให้สองข้างแก้มใสร้อนผ่าว

                      ผมอยากกอดคุณ

                      หัวใจของร่างสูงเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก...

                      ทำไมถึงพูดแบบนั้น...

                      เสียงของจงฮยอนไม่ได้ดังไปกว่าเสียงกระซิบ หยดน้ำใสค่อยๆหยดลงอย่างเชื่องช้า หัวใจกำลังบีบรัดแปลกประหลาดอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานานมากแล้ว

                      ตั้งแต่วันที่ชีวิตจบลง...

                      ผมอยากกอดคุณ...คิมจงฮยอน ผมอยากกอดคุณ

                      ...............

                      ได้ยินผมมั้ยว่าผมอยากกอดคุณ

                      ไม่ได้หลุดแม้แต่เสียงสะอื้นให้ได้ยิน

                      เจ้าแตะตัวข้าไม่ได้ เจ้าก็รู้

                      ฝืนพูดทั้งที่ก้อนสะอื้นเคลื่อนมาจุกทีลำคอ น้ำตากำลังไหลริน

                      ผมไม่เข้าใจ...ถ้าหากวันฮัลโลวีนจะเป็นวันสุดท้ายของคุณ ทำไม? ทำไม?

                      ไม่รู้ว่าสิ่งที่มินโฮทำคือการร้องไห้หรือไม่...เพราะมีเพียงหยดน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย ไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้น

                      ทำไม...ทำไมฟ้าต้องส่งเราให้มาพบกันในวันที่สายไปขนาดนี้

                      จงฮยอนสะอื้นหนัก รู้ดีว่ามินโฮรู้ทั้งหมดในสิ่งที่ตนพูดเมื่อวาน...

                      ทำไม...แค่ความรักของผู้ชายสองคน มันผิดมากหรือ? การที่พวกเรารักกันมันผิดจนถึงขนาดต้องนำวัฒนธรรมโบราณขึ้นบังหน้าเพื่อฆ่าคนเชียวหรือ?

                      เข็มของหน้าปัดนาฬิกาบ่งบอกถึงเวลาห้าทุ่มห้าสิบเจ็ดนาที

                      เปลวไฟสีดำสนิทกำลังลามเลียตั้งแต่ข้อเท้าเล็กที่ถูกถ่วงด้วยโซ่ตรวนนั้นช้าๆ ความร้อนกำลังแผดเผาให้ร่างนั้นสลายหายไป...

                      สองแขนเล็กกอดตัวเองแน่น กรีดร้องลั่นเพื่อร้องขอชีวิต

                      จงฮยอน...” มินโฮถลาลงจากเตียง วิ่งเข้าคว้าร่างที่กำลังจะทรุดลงพื้นหวังกอดปลอบประโลมให้คลายเจ็บ ทว่านอกจากจะสัมผัสได้ถึงความร้อนที่แผดเผาแขนทั้งสองข้างกลับไปสามารถคว้าจับร่างที่ทรุดอยู่เบื้องหน้าได้เลย

                      แขนทั้งสองข้างไร้ซึ่งความรู้สึก เต็มไปด้วยรอยแผลพุพองราวกับถูกโยนลงไปในกะทะที่เต็มไปด้วยน้ำมันเดือดๆ

                      ไม่...มินโฮ มันไม่ผิด กัดฟันฝืนทนความรู้สึกปวดร้าวที่กำลังแล่นพล่านในสายเลือด เปลวไฟนั้นกำลังลามมาทั่วทั้งตัว ความรักไม่มีผิด...มีเพียงมนุษย์ต่างหากที่ขีดเส้นกั้นไว้ว่ามันผิด

                      เข็มของหน้าปัดนาฬิกาขยับสู่เวลาห้าทุ่มห้าสิบแปดนาที

                      สองแขนแข็งแรงพยายามคว้าร่างที่กำลังถูกแผดเผาเบื้องหน้าราวกับคนไร้สติ ไม่ได้สนใจว่าทั่วทั้งลำตัวของตนเองกำลังมีแผลเกรียมจากไฟไหม้มากขึ้นทุกที แค่ขอให้ได้แบ่งเบาความเจ็บปวดนี้บ้าง...

                      พอได้แล้ว...เจ้าสัมผัสข้าไม่ได้ เจ้าก็รู้...

                      เข็มของหน้าปัดนาฬิกาบอกเวลาห้าทุ่มห้าสิบเก้านาที

                      ผมอยากกอดคุณ

                      จงฮยอนพยายามส่ายศีรษะช้าๆ ร่างทั้งร่างไร้ความรู้สึกไปเสียแล้ว

                      เจ้าต้องมีชีวิตต่อไป...

      พระเจ้า! ขอร้องเถอะ...ท่านได้ยินผมมั้ย! เอาชีวิตของผมไปก็ได้! ขอแค่เขาปลอดภัย!”

                      เจ้าต้องอยู่ให้ได้เหมือนกับที่เจ้าในอดีตเคยทำ...

                      จงฮยอน...

                      เจ้ารู้อะไรไหม?

                      มินโฮทรุดลงใบหน้าแนบพื้น น้ำตาไหลเป็นสาย

                      ชีวิตของข้าที่ผ่านมามีแค่เจ้าคนเดียว...

                      เสีงยนาฬิกาตีบอกเวลาสิบสองครั้ง...

                      เจ้าคนเดียวที่ข้ารัก...ชเวมินโฮ

       

                      ร่างบอบบางนั้นสลายหายไป...กลายเป็นฝุ่นผงภายในชั่วพริบตาไม่สามารถคว้าจับได้แม้แต่เศษเสี้ยว

                      เหลือเพียงดอกไม้ที่ใกล้จะโรยราเต็มทีกับสมุดบันทึกเล่มเก่าๆเล่มหนึ่งที่ถูกเปิดไว้ที่หน้าสุดท้าย...

                      กระดาษสีเหลืองกรอบถูกบรรจงขีดเขียนด้วยลายเส้นเอกลักษณ์ เป็นรูปดอกไม้ช่อหนึ่งที่มีสภาพคล้ายดอกไม้ที่ตกอยู่ข้างๆไม่มีผิดเพี้ยน ข้างภาพวาดมีลายมือหวัดๆที่แสนคุ้นตาเขียนเอาไว้

                      Forget Me Not...

                      ได้โปรดอย่าลืมฉัน...

       

                      เวลาเพียงสั้นๆของผม...เกิดสิ่งหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมา

                      “ความรัก

                      .

                      .

                      .

                      เสียงพลิกกระดาษเก่าๆดังขึ้นภายในห้องที่เงียบสงบ สองแขนที่เต็มไปด้วยแผลไฟไหม้จนเห็นเนื้อที่สุกเกรียมพยายามประคองสมุดเล่มนั้นให้ได้นานที่สุด

                      สมุดนั้นถูกเขียนด้วยลายมือของจงฮยอนครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นลายมือที่แสนคุ้นตา...

                      ลายมือของเขาเอง

                      ค่อยๆอ่านไล่ไปทีละหน้า...แต่ละหน้ามีเพียงประโยคถูกเขียนอยู่เพียงไม่กี่ประโยค

                      คิมจงฮยอน...คนโกหก” กระซิบโทษเสียงแผ่ว หยดน้ำตากำลังก่อตัวขึ้นอีกครั้ง คนโกหก...

       

                      เด็กที่ไหนไม่รู้มาปีนกำแพงบ้านข้า แล้วตอนดึกๆยังจะมีหน้าปีนกำแพงกลับมาขอโทษอีก...ตัวก็เล็กปานนั้น ไม่กลัวจะตกไปคอหักตายหรือไงกัน

       

                      เค้าชื่อจงฮยอน เป็นลูกครึ่งเหมือนกันกับข้า อ่อ...แล้วยังเป็นพี่ข้าหนึ่งปีเสียด้วยสิ

       

                      จงฮยอนชอบดอกฟอร์เก็ต มี น็อต...ชอบเสียงไวโอลินที่ข้าเล่น เขาแต่งเพลงให้ข้าเป็นของขวัญวันเกิดด้วยล่ะ

       

                      บางทีความรู้สึกแปลกประหลาดนี้ไม่สมควรจะเกิดขึ้น...ทั้งๆที่ข้ามีคู่หมั้นอยู่แล้ว

       

                      ข้ากำลังจะแต่งงาน...แต่กลับต้องเดินทางไปยังเมืองแมนเชสเตอร์เสียก่อนพร้อมกับคู่หมั้นอย่างคุณเบลล่าเสียด้วย แต่ข้าตัดสินใจกลับมาก่อนไม่คิดว่าพ่อจะจัดฉากบังหน้าให้ข้าเดินทางไปแมนเชสเตอร์เพื่อที่จะฆ่าพี่จงฮยอน...

       

                      น้ำมันก๊าดพร้อมแล้ว...อีกไม่นานข้าจะตามพี่ไปแล้วนะ...

       

                      .

                      .

                      .

                      สายลมหวีดหวิวของปลายฤดูใบไม้ร่วงดังผิวแผ่ว คราวนี้ไม่ได้มีเสียงไวโอลินดังคลอเคล้าเช่นเคย

                      ในเมื่อมือของเขา...ไม่สามารถเล่นมันได้อีกแล้ว

                      ดอกฟอร์เก็ตมีน็อตภายใต้ร่มเงาขอต้นโอ๊คใหญ่กำลังเริ่มชูช่อและเมื่ออากาศหนาวเย็นมากกว่านี้สักหน่อยคงเริ่มผลิดอกให้ได้เห็นกัน

                      ไวโอลินคันโปรดถูกวางไว้ข้างโคนไม้ใหญ่ พร้อมกับโน้ตเพลงอีกเป็นปึก

                      รวมถึง ชเวมินโฮ ที่นั่งทอดขายาว ปลดปล่อยใจให้ลอยไปกับสายลม...

                      .

                      .

                      .

                      70 ปีต่อมา...

                      คุณแม่ฮะ! วันนี้ผมไปเยี่ยมคุณตาที่บ้านผีสิงนั้นมาด้วยล่ะ!”

                      ร่างโปร่งของหญิงสาวชาวอังกฤษหันขวับมองลูกชายจอมซนของเธอเองด้วยแววตาดุๆ ก่อนจะรีบเดินเข้ามาสำรวจสภาพร่างกายของลูกชายว่ายังครบปกติสามสิบสอง

                      แม่ห้ามแล้วใช่มั้ยว่าอย่าไปที่นั่น!”

                      ใครๆก็เล่าลือถึงตำนานความน่าหวาดกลัวของบ้านอาถรรพ์หลังนั้น ทุกๆค่ำคืนจะมีเสียงกรีดร้องอย่างทรมานคล้ายขาดใจตายและเสียงสะอื้นดังแว่วมาให้ได้ยินทุกวัน บางครั้งอาจจะมีเสียงไวโอลินเพี้ยนๆดังลอดมาด้วย ทั้งๆที่บุคคลที่อาศัยอยู่ภายในบ้านนั้นมีเพียงคุณตาอายุเก้าสิบสองปีคนหนึ่งเท่านั้นเอง

                      หากเป็นคุณตาธรรมดาๆคงไม่เท่าไหร่หากทว่าคุณตาคนนี้กลับมีหน้าตาหน้าตัวด้วยร่างกายที่ถูกไฟเผาจนแทบทั้งตัวทำให้เกิดแผลเป็นมากมายนั้น...คำล่ำลือยิ่งหนาหูว่าแกโดนคำสาปของบ้านประหลาดหลังนั้น

                      ทุกๆเช้าแกจะออกมานั่งเล่นใต้ต้นโอ๊คขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยดอกฟอร์เก็ตมีน็อต ข้างๆกายมีไวโอลินเก่าๆวางอยู่ แต่แกไม่สามารถที่จะเล่นมันได้เพราะมือทั้งสองข้างที่ถูกไฟเผา

                      ว่ากันว่าคุณตาคนนั้น...เป็นโรคประสาทหลอนเพราะถูกคำสาปของบ้านหลังนั้นทำให้แกไม่สามารถเดินทางออกไปยังสถานที่ใดได้เลย...

                      แต่คุณตาใจดีออกนี่ฮะ! วันนี้ให้ดอกไม้ผมมาด้วย!”

                      เด็กชายตัวน้อยผู้ยังไม่รู้ถึงพิษสงตามที่ชาวบ้านล่ำลือยื่อช่อดอกฟอร์เก็ตมีน็อตช่อสวยให้ผู้เป็นมารดา

                      อ้อ! แล้วจะว่าไป วันนี้คุณตาหลับด้วยล่ะฮะ! ท่าทางมีความสุขมากๆเลย!”

                      เด็กชายตัวน้อยไม่ได้รู้เลยว่าแท้ที่จริงคุณตาที่เขาเล่านั้นกำลังหลับใหล...ตลอดกาล

       

                      คิมจงฮยอน...คุณรู้อะไรไหม?

                      ผมไม่ได้มีชีวิตต่อมาตามที่คุณบอก...

                      เพราะอะไร...เพราะมนุษย์ทุกคนไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้หากไม่มีอากาศหายใจ

                      แล้วชีวิตของผมที่ขาดคุณไป...มันจะดำเนินต่อไปได้อย่างไร?

                      ทั้งชีวิตของผมไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น...นอกจากคุณ คุณคนเดียว...

                      เพราะคุณคือลมหายใจของผม...คิมจงฮยอน

      .

      .

      .

      ไม่...มินโฮ ความรักไม่ผิดหรอก

      แต่คนที่ทำให้มันผิด...คือพวกเราเองที่ขีดเส้นกั้นว่าความรักแบบนี้

      คือสิ่งที่ผิด

       

       

       

       

      …THE END…







       


      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×