ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : งอน-ง้อ ( ครบค่ะ)
" ดวงใจข้า เจ้าร้องไห้เรื่องอันใด "
" ฮึก!.. "
เสียงทุ้มกระซิบบอกอย่างอ่อนโยน กว่าจะรู้ตัวอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นก็กอดหมับดึงผมเข้าไปรัดเต็มวงแขน ขุนนางและเหล่าแม่ทัพนายกองทั้งหลายต่างอุทานออกมาอย่างลืมตัวที่เห็นภาพตรงหน้า ผมจึกทึ้งเสื้อไป๋หูไว้แน่น น้ำตามากมายไหลพลั่งพรุราวเขื่อนแตกเปียกชุ่มผ้าเนื้อดีเป็นดวงกว้าง
" ข้า ข้าขอโทษ ฮือ.. "
" แค่เจ้ากลับมา นานนับปีจนชั่วนิรันด์ข้าก็รอ"
น้ำเสียงที่ชวนให้ใจสั่นเสมอแหบพร่า ซุนชิวซบหน้าลงที่ซอกคอเนียน ได้ยินเสียงเขาสูดหายใจเอากลิ่นกายผมเข้าปอดอย่างคำนึงหา
" เจ้า..ฮึก! ข้าขอฮือ..โทษ ที่ไม่รักษา..สัญญา "
" อย่าร้องเลย อาเฟิง ไม่ว่าภพนี้หรือภพไหนข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไปจากข้าอีกแล้ว คนดี.. "
" ฮึก..ซุนชิว. "
ผมร้องไห้โยเยเหมือนเด็กๆ ซุนชิวผละออกห่างเพียงนิดแล้วเอื้อมมือหนาช่วยเช็ดน้ำตาให้ผมแผ่วเบา นัยต์ตาตาคมสวยมองมบผมด้วยความรักสุดหัวใจ
" ข้าคงมิต้องบอกสิ่งใดให้มากความ ซูเฟิงหลิงชายหนุ่มผู้นี้คือคนที่ได้ช่วยชีวิตข้าไว้เมื่อหลายปีก่อน และนี้คงเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิตที่ทำข้าได้พบกับเขาอีกครั้ง ข้าและอ๋องอวี่ซุนชิวได้เห็นสมควรที่จะรับเขามาเป็นน้องบุญธรรม มีใครจะคัดค้านพูดอะไรหรือไม่ "
จุนกวางเอ่ยขัด ดวงตาเรียวกลับเย็นเยียบจนน่าพิศวง ใบหน้าหล่อเหลามองเหล่าขุนนางที่ก้มหัวตอบเป็นเสียงเดียวกันโดยพร้อมเพียงทั่วห้องโถง
" หากฝ่าบาทและท่านซุนชิวอ่องเห็นสมควร พวกข้าก็มิกล้าล่วงเกินหรือไม่ยอมรับในตัวท่านอวี่เฟิงหลิงหรอกพะยะค่ะ! "
" ได้เช่นนั้นดีแล้ว เอาละ ซุนชิวอ๋องเจ้าจะกอดน้องเล็กอีกนานหรือไม่ "
คำพูดเชิงหยอกเอินนั้นไม่ได้ทำให้ซุนชิวหันไปสนใจคนที่นั่งบนบัลลังค์เลยสักนิด ดวงตาคู่คมมองจดจ้องแค่ใบหน้าผมคนเดียว
ต่อค่ะ
ต่อค่ะ
" เฟิงหลิง ชื่อของเจ้าสินะ "
ฝ่ามือขาวเนียนลูบไล้ใบหน้าผมด้วยความคิดถึง
" อะ อืม เจ้า..คือช่วยปล่อยข้าก่อนเถิด "
ผมก้มหน้างุดๆเมื่อรู้สึกถึงสายตาใครหลายคนที่แอบแหล่มองมา ร่างสูงค่อยๆดันตัวผมออกอย่างทนุทนอม จมูกโด่งแกล้งเฉียดแก้มขาวทำเอาผมร้อนหน้าวูบวาบกับสัมผัสอุ่นละมุนนั้น
" ข้าคิดถึง..กลิ่นกายเจ้าเหลือเกิน อาเฟิง "
ซุนชิวปล่อยมัดฮุกด้วยรอยยิ้มพิฆาตที่ทำเอาตาผมพร่าเลือนไปชั่วขณะ ผู้ชายคนนี้เวลายิ้มทีแมร่งฆ่าคนได้เลยนะเนี่ย!
" ข้าน้อย แม่ทัพใหญ่ข่างหลี่ยู๋ขอดื่มให้กับพระอนุชาอวี่เฟิงหลิงพะย่ะค่ะ "
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่มีผิวกรานแดด ใบหน้าดูทะมึงทึงแลดูน่ากลัวจ้องมองผมด้วยดวงตาเรียวยาวคล้ายเหยี่ยวเวลาจะออกล่าเหยื่อ
" ขอบใจท่านมาก ท่านแม่ทัพ "
ผมยกจอกตัวเองขึ้นจิบบ้าง ประสานสายตากับแม่ทัพใหญ่ของแคว้นอย่างไม่หลบเลี่ยง
" บุรุษที่นั่งถัดจากแม่ทัพใหญ่คือหลินเสวี่ยซาน แม่ทัพรองของแคว้นเรา "
อ๋องหนุ่มเขยิบเอียงมาทางผม มือหนาดันจอกในมือที่ผมกำลังจะจิบลงบนโต็ะช้าๆ
" แล้ว...แม่ทัพใหญ่นี่เก่งมากไหม.. "
" เก่ง ฝีมือเชิงดาบเขาถือว่าหาตัวจับได้ยากทีเดียว เจ้าจะประลองกับหลี่ยู๋หรืออาเฟิง "
ร่างบางกลืนน้ำลายดังเอือก ผมยิ้มแหยให้ร่างสูงที่มองมาด้วยสีหน้าอ่อนใจ
" ซุนชิว อย่าบอกนะว่าท่านอ่านสายตาแม่ทัพแคว้นท่านไม่ออก "
สายตาคมปลาบที่คอยจ้องผมไม่วางตาตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องโถง ดูแวบเดียวก็รู้.. อย่าลืมซิว่าแต่ก่อนผมนะชอบถูกหาเรื่องเป็นประจำเกือบทุกวันจนต้องไปเรียนมวยมาป้องกันตัวเนี่ย!
" เจ้าดื่มมากเกิน คนดีพอเถิด... "
ก่อนที่เขาจะพูดมากกว่านี้ ผมรีบคว้าตะเกียบบนโต็ะคีบเนื่อเป็ดสีน้ำตาลทองดูน่ากินยัดเข้าปากซุนชิวลวกๆ ใบหน้าหล่อเหลางดงามชะงักชั่วครู่
มุมปากบางยกยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ทำให้คนดูเสียวสันหลังวาบ..
กว่าจะรู้ตัวว่าผมได้ทำผิดมหันต์ก็ตอนที่ลมหายใจร้อนๆเป่ารดพวงแก้มอิ่ม พร้อมน้ำเสียงทุ้มเนิบนาบที่กระซิบบอกอย่างสื่อความนัย
" อาเฟิง ข้าว่าเจ้าคงลืมไป..ข้าเคยให้สัญญากับเจ้าเมื่อสามร้อยปีที่แล้วว่าข้าจะไม่กินเนื้อสัตว์ทุกชนิด... "
ลมหายใจผมกระตุกถี่เมื่อได้ยินประโยคถัดมา
" แต่ถ้าเจ้าอยากให้ข้ากินเนื้อ งั้นข้าขอลอง 'กิน' เนื้อของเจ้าได้หรือไม่ "
คะ..ใครอยากจะให้เขา'กิน'กัน บ้าที่สุด!!
ต่อค่ะ
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา..
จ๋อม...
ควันสีขาวหม่นล่องลอยเต็มห้องอาบน้ำ ผมวักน้ำขึ้นมาราดตัวเองอย่างสบายใจ กลีบดอกไม้หอมที่โรยไว้จนเต้มถังไม้บดบังร่างกายส่วนล่างของผมจนมิด
ผมหลับตาพริ้มกางแขนออกกว้างให้สายน้ำช่วยชำระล้างความเหนื่อยล้าออกไป
หลังจากจบงานเลี้ยงต้อนรับ ผมก็รีบตรงดิ่งกลับตำหนักทันทีแล้วออกปากให้ไต่มู่เตรียมน้ำอาบด่วนที่สุดเพราะดูเหมือนว่าสุราของที่นี้จะแรงเกินขาด อาการวิงเวียนชวนอ้วกจู่โจมลำคอผมจนเกือบอ้วกแตกกลางทาง..
ดีที่ผมวิ่งเตลิดกลับเข้าตำหนักได้ก่อน..
ไม่งั้นขายหน้าเขาแย่..
ตึก..ตึก..ตึก..
เสียงฝีเท้าหนักๆมาพร้อมกับฝ่ามือใหญ่ที่บีบนวดหัวไหล่มนให้ผ่อนคลาย ผมครางอืออึงในลำคอด้วยความสบาย ใบหน้าหวานก้มลงเพียงนิดเพื่อให้เด็กชายตัวเล็กบีบนวดได้ถนัดขึ้น
" เจ้านวดเป็นหรือไต่มู่ ข้าไม่ยักรู้"
" .... "
หัวคิ้วขมวดมุ่นเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับอย่างเคย ผมยึดตัวขึ้นนั่งดีๆ น้ำใสที่อยู่ระดับไหปลาร้าลดลงเหลือแค่ปริมตรงช่วงอก ฝ่ามือนุ่มที่เคยบีบๆนวดๆกลับหยุดชะงักลงกลางคัน
" ภพก่อนเจ้ารักเขา อีกชาติมารักข้า แล้วภพนี้หนนี้เจ้าจะเลือกปักใจไว้ที่ผู้ใด "
เปลือกตาบางลืมโพลง ผมหันไปมองด้านหลังอย่างรวดเร็ว ใบหน้าหล่อเหลาร้ายกาจบัดนี้ดูเรีบยเฉยราวรูปสลัก หากแววตาคู่คมก็ฉายแววตัดพ้อระคนน้อยใจออกมาแบบไม่ปิดบัง
ผมอ้าปากพะงาบๆกำลังจะพูดแก้ต่างให้ตัวเอง แต่สัมผัสเย็นชื้นจากปลายนิ้วซุนชิวที่ลากไล่ตามรอยสักรูปมังกรที่อยู่กึ่งกลางแผ่นหลังทำเอาผมกลืนน้ำลายดังเอื้อก
ในใจร่ำร่องว่า
แย่แล้วๆ..
ผมหันไปมองร่างสูงที่หยุดปลายนิ้วไว้ที่ต้นคอขาว ความเงียบเริ่มเข้ามาปกคลุมเราทั้งสองทีละนิด
ต่อค่ะ
ซุนชิวจ้องตาผมที่กำลังก้มหน้างุดๆหนีสายตาเขาเหมือนไม่แนบเนียน เสียงถอนหายใจดังขึ้นเบาๆอย่างเหนื่อยใจ
" เอาเถิด ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ประสามาแต่ไหนแต่ไร.. ชำระร่างกายให้เสร็จเสีย แล้วค่อยมาคุยกันนะอาเฟิง "
สัมผัสอุ่นๆของฝ่ามือหนาที่ลูบหัวผมด้วยความอ่อนโยนทำเอากระบอกตาคู่หวานกระพริบปริบๆมองอีกฝ่ายอย่างงงงวย
ตึก..ตึก..ตึก..
เสียงหัวใจเต้นกระหน่ำเป็นกลองชุด ผมหน้าแดงวาบเมื่อซุนชิวยกยิ้มเพียงเล็กน้อยมาให้ร่างสูงจูบขมับมนแผ่วเบา...ทิ้งค้างสัมผัสอุ่นๆไว้ชั่วครู่..ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ผมไถลตัวลงนั่งนิ่งดังถูกสาป ปล่อยให้ใบหน้ากว่าครึ่งจมลงไปในถังไม้ ภายในใจยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อกับเรื่องราวสุดพิสดารแปลกประหลาดนี่..
ส่วนลึกภายในยังคงมีคำถาม...ว่าอาการแปลกๆทั้งหลายแหล่มันเป็นเพราะว่าตัวผมเองที่ดันไม่เจียมตัวตกหลุมพรางเผลอใจไปชอบซุนชิวหรือว่านี่คือ..เศษเสี้ยวความรู้สึกของฉิงเทียนที่ยังหลงเหลือกันแน่..
" ไต่มู่ เจ้าเห็นซุนชิวอ๋องหรือไม่ ข้าเดินวนหาเขาจนทั่วตำหนักแล้วนะ "
" อ่า ท่านอ๋องอยู่ศาลามชมฟ้าด้านหลังขอรับ ให้หม่อมชั้นนำทางไปไหมท่านเฟิงหลิง "
ไต่มู่เสนอตัวด้วยความหวังดี ผมส่ายหน้าเป็นเชิงบอกปัดแล้วเดินไปด้านหลังที่ถูกปูตกแต่งด้วยพื้นลายหินอันงดงามเพื่อให้สะดวกแก่การเดินไปยังตำหนักที่สร้างกันต่างทิศ
เหล่าทหารยามที่ยืนเฝ้าต่างก้มหัวให้ผมทุกครั้งที่เดินผ่านทำเอาผมส่งยิ้มเจื่อยๆไปให้เพราะไม่ชินกับท่าทีพวกเขาสักครา
สายลมเย็นพัดผ่านชวนให้รู้สึกสบายใจได้มากโข หมู่นกน้อยที่บินเล่นอยู่บนท้องฟ้ากว้างชั่งแตกต่างกับภพที่ผมจากมาราวฟ้ากับเหว..ผมหรี่ดวงตาสีดำของตัวเองลงนิดๆ ยกมือบังแสงแดดยามเย็นที่ส่องกระทบเปลือกตายามที่กลุ่มก้อนเมฆน้อยใหญ่เคลื่อนผ่าน
' อ่า ท่านอ๋องอยู่ศาลามชมฟ้าด้านหลังขอรับ '
ฉับพลันเสียงไต่มู่ก็ดังแทรกเข้ามาในโสตประสาท ผมขมวดคิ้วมุ่น นึกตงิดๆกับคำพูดนั้น..
ศาลาชมฟ้า..งั้นเหรอ..
รู้สึกว่าซุนชิวท่าจะรักฉิงเทียนมากถึงขนาดตั้งชื่อศาลาคล้ายเป็นชื่อชายหนุ่มคนนั้นเลย..
เหมือนเขาไม่เคยลืมและไม่อยากลืมมาตลอด
ฉิงเทียน แปลตามตัวก็หมายความว่าฟ้าใส
ศาลาชมฟ้า..
ผมเป็นบ้าอะไรกัน!!
ทำไมจู่ๆนึกน้อยใจขึ้นมาซะงั้น
" เป็นเอามากวะเรา "
ใบหน้าหวานส่ายศีรษะเพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากสมอง เรือนกายบอบบางหมุนตัวเดินไปข้างหน้า แต่จุดหมายปลายทางกลับเป็นทางออกจากตำหนักที่ตนพักอยู่....
สองขายาวเดินมาหยุดอยู่ตรงสะพานไม้ เบื้องหน้าของผมคือสระน้ำใสกระจ่างขนาดใหญ่ที่เบ่งบานด้วยดอกบัวหลากสีสันดูงดงาม กลิ่นหอมอ่อนจางจากดอกไม้นานาชนิดที่ปลูกเรียงรายรอบขอบสระมันทำให้ผ่อนคลายได้อย่างน่าประหลาด
ผมถอดรองเท้าที่ใส่อยู่ออก เหวี่ยงมันไปใต้ร่มต้นไม้ใกล้ๆ บรรยากาศที่นี้เงียบสงัดมีเพียงเสียงจากธรรมชาติที่กระทบก้องหู ราวกับว่าสวนกว้างใหญ่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมานอกเขตวังหลวงทั้งๆที่มันอยู่เยื่องมาจากตำหนักผมไม่ไกลสักเท่าไร
ร่างสูงโปร่งทรุดตัวลงนั่งบนสะพาน พลางหย่อยเท้าเปลือยเปล่าทั้งสองข้างให้สัมผัสกับสายน้ำเย็นเหยียบ เรียวแขนเนียนท้าวไปด้านหลังเพื่อรองรับน้ำหนักตัว
สายลมเอื้อยพัดผ่านนำเอากลิ่นดอกไม้จากในสวนให้ฟุ้งกระจายจนผมเผลอเอนตัวลงนอนราบกับพื้น ขายาวแกว่งไกวไปมาในสระใหญ่ด้วยความเผลิดเพลิน..
หลังจากออกมานอกตำหนัก ความว้าวุ่นในจิตใจเกี่ยวกับเรื่องของไป่หูมันทำเอาผมคิดไม่ตกและหงุดหงิดใจไม่น้อย...
กว่าจะรู้ตัวอีกทีผมก็มาหยุดอยุ่ที่สวนนี้ตอนไหนก็ไม่รู้...
ยังแทบจำทางมาไม่ได้ด้วยซ้ำ...
ปานนี้ซุนชิวจะรู้หรือยังนะว่าผมไม่ได้ไปตามนัด
อืม..ถึงรู้ก็คงไม่เป็นอะไรหรอก...มั้ง....
จู่ๆกระแสลมที่เอื้อยเฉื่อยเชื่องช้าดันพัดโบกอย่างรุนแรงจนต้นไม้เหนือศีรษะผมไหวเอียนตามแรงลม เศษใบหญ้า กิ่งไม้เล็กปลิวหว่อนจนผมต้องหลับตาปี๋เพราะกลัวฝุ่นละอองกระเด็นเข้าตา
เสียงลมวูบโหวงพัดผ่านข้างใบหูอยุ่สักพัก
ดูท่าทางฝนคงเตรียมตั้งเค้าอีกแล้ว.. และเหมือนว่าคราวนี้จะเทลงมาหนักกว่าปกติซะด้วยสิ
พอสายลมเริ่มสงบลง เปลือกตาบางค่อยๆลืมทีละนิด ดวงตากลมถลนเบิกกว้างยามที่เห็นร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีดำรัตติกาลยืนอยุ่ด้านบนหัว พลางก้มมองมาที่ร่างบางจนเส้นผมยาวสลวยสีขาวบริสุทธิ์เกือบตกลงมาปรกใบหน้าหวาน
" เฮ้ย! ซุนชิวมาได้ไง "
ผมผุดลุกนั่งทันที พลางชี้นิ้วมือไปที่ร่างสูงตรงหน้าอย่างเสียมารยาท ปากอ้าค้างน้อยๆพยายามนึกสรรหาคำพูดถามคนที่ยืนนิ่งไม่รู้ร้อนรู้หนาว
ซุนชิวสอดมือทั้งสองข้างไว้ใต้แขนเสื้อด้วยท่วงท่าสง่างาม คิ้วเรียวโก่งเลิกขึ้นเหมือนสงสัยกับท่าทีตกใจที่ผมแสดงออก ด้วยความซุ่มซ่ามที่ติดจนเป็นนิสัย ผมกระเทิบก้นตัวเองไปด้านข้างที่ปลายสะพานโดยไม่ระวัง คราวนี้ตาผมแทบถลนถลักออกจากเบ้าเมื่อรู้สึกว่าร่างกายมันเอนลงเรื่อยๆตามแรงโน้มถ่วงของโลก มือบางไขว่คว้าหาที่ยืดจับเพื่อไม่ให้หงายหลังตกไปในสระน้ำเย็นเยียบ!!
ตกแน่! ตกแน่!!!!
หมับ!
วงแขนแกร่งตวัดคว้าเอวคอดเล็กมากอดแนบชิดเพื่อไม่ให้ร่างบอบบางหงายหลังหล่นน้ำ
ดวงตาคมดุถอแววขบขันที่เห็นผมหลับตาปี๋จนแทบกลั้นลมหายใจ
" เหตุใดเจ้าจึงไม่หัดระวังตัวเสียบ้าง "
เสียงนุ่มคุ้นหูเอ่ยปรามๆแต่แฝงแววเอ็นดูแกมตำหนิ ผมรีบลืมตาขึ้นมองคนตรงหน้า เห็นภาพเงาตัวเองสะท้อนอยู่ในนัยน์ตาคู่คม ฝ่ามือขาวเนียนสัมผัสแผ่นอกหนาเต็มๆมือโดยไม่นึกตะหงิดใจ
อุตะ!!เขาหนีแอบมาพรอดรักกันละเทออ์ ♡ >\\\< ♡
ตอนนี้ยาวนิดนุงนะครัช ในที่สุดก็ครบ100%แย้ว
แทบจะอัพเดือนละตอนได้ ก็ทำใจหน่อยนุงต้องเค้นสมองไปแต่งไปแก้แล้วแก้อีก ฮืออToT
พบเจอกันตอนหน้า จงเม้น จงเม้นสาธุ!😄🐷🐷🐷
ฝากอีกเรื่องนะครัช! พึงอัพได้สดๆร้อนๆ
>>บัลลังก์สวาท<< ในเว็บธันวลัย
น้องหมูม้วนแต่งเอง ออกแนวคล้ายอาเฟิงกับพ่อจิ้งจอกอะจ๊ะ ลองไปอ่าน(ไปทวง) ไป(ราวี)กันดูเน่ออ (ภาษามันดีงามมาก กรีดร้องงง😠😠)
😙😙😙🐷🐷🐷
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น