ตอนที่ 37 : ตอนที่ 34....เผชิญหน้า
ตอนที่ 34....เผชิญหน้า
ณ เชิงเขา สำนักเทพกระบี่
-ฟู่ววว-
เสียงสายลมพัดผ่าน ยอดไม้และกลุ่มชาวยุทธ บริเวณเชิงเขา ตรงทางขึ้นของสำนักเทพกระบี่ อย่างแรง ทำให้เกิดใบไม้ปลิวหมุนวนหลายๆ จุด และพอพายุลมหยุดลง ก็มีแต่ความเงียบสงัด ไม่มีแม้แต่เสียงร้องของสัตว์และแมลง
เบื้องหน้าของ หลี่เฉิน ที่ก่อนหน้านี้มีแต่ศิษย์ของสำนักเทพกระบี่ ที่นอนบาดเจ็บกันหลายคน บัดนี้ กลับมีกลุ่มคนจาก สำนักเทพกระบี่ ที่เฟยหยางได้ส่งลงมากู้สถานการณ์เพื่อรอให้ทางสำนักได้จัดเตรียมกำลังชุดหลักไว้ ให้มีความพร้อม
เฟยอิงสุ่ย ผู้อาวุโสหนึ่ง (สำนักเทพกระบี่ มีผู้อาวุโสสองคน คือท่านที่หนึ่งและสอง มีศักดิ์ฐานะคือ ลุง ของเจ้าสำนักเฟยไป๋) ที่ได้รับการเชิญให้ออกจากการกักตนฝึกวิชาเพื่อมาช่วยรับมือกับพรรคมาร เป็นการเฉพาะ เพราะทั้งสองคนนั้น มีระดับการฝึกฝนขั้นลมปราณ ราชันมหาราช ซึ่งเป็นระดับเดียวกับ เฟยหยาง เพียงแต่ช่องว่างของระดับลมปราณ ห่างกัน หลายช่วง โดย เฟยหยาง พ่อของ เฟยไป๋ จะอยู่ในระดับราชันขั้นปลาย ส่วนอาวุโสทั้งสอง จะอยู่ที่ระดับราชันขั้นต้นและกลาง ตามลำดับ และการยกระดับของทั้งสองคนที่กักตนฝึกฝนกับ เฟยหยาง มาตลอดเวลา หลังจากที่ เฟยหยาง จากลากับหลี่เฉินในครั้งก่อนนั้น นั่นเอง
เฟยอิงสุ่ย ที่มาพร้อมกับศิษย์สายตรงอีกห้าคนที่แต่ละคนล้วนบรรลุขั้นลมปราณดจักรพรรดิทั้งสิ้น โดยที่ศิษย์สายตรงที่เหลืออีกสี่คน คอยตั้งรับอยู่ในสำนักเทพกระบี่กับเจ้าสำนัก
เมื่อเห็นการปรากฎตัวของ ผู้อาวุโสของสำนัก แรกเริ่มเหล่าศิษย์ของสำนักต่างก็มีขวัญและกำลังใจดีขึ้นมาในทันที เพียงแต่ว่า วาจาที่ เฟยอิงสุ่ย กล่าวออกมาหลังจากที่มาถึงก็ทำให้หลายคนต้องมีสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม
“ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม ยังมีพวกมันที่หลบอยู่ในป่าด้านหลัง ของมันอีกหลายคน”
“อะไรนะ !?” ศิษย์สำนักเทพกระบี่ทุกคนต่างก็ร้องอุทานออกมาแทบจะพร้อมๆ กัน
ตัวตนระดับราชัน เฟยอิงสุ่ย ที่แม้จะเพียงขั้นต้น แต่หากเทียบกับระดับมหาราชนั้น ต่างกันราวฟ้ากับดิน จิตสัมผัสของ เฟยอิงสุ่ย เมื่อมาถึงก็สามารถสัมผัสได้ถึงการคงอยู่ของเหล่าพรรคมารที่แอบคอยผู้นำของพวกตนอย่างเงียบเชียบเพื่อคำสั่งบุกสำนักเทพกระบี่
ความเงียบสงบที่เกิดขึ้นไปพักใหญ่ๆ กลับปรากฎเสียงหัวเราะดังสนั่นขึ้นมาแทรกทำลายในเวลาต่อมา
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
เสียงหัวเราะดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ไม่นานก็ปรากฎคนๆ หนึ่งที่ลอยมาจากบนท้องฟ้าด้วยความรวดเร็ว
-ตุ๊บ-
เสียงฝ่าเท้ากระทบกับพื้นดินดังกึกก้อง ปรากกฎภาพชายวัยกลางคนในชุดเกราะสีดำทมิฬทั้งตัว ในมือถือกระบี่ยักย์พาดไว้ตรงบ่า มันผู้นี้ก็คือ เจ้าตี้อัน หัวหน้าฝ่ายวิชายุทธด้าน กระบี่หนัก เป็น 1 ใน 6 หัวหน้าฝ่ายวิชายุทธของพรรคเทียมฟ้า มีระดับการฝึกวิชายุทธขั้นลมปราณ ราชันมหาราช ขั้นกลาง
และเมื่อการมาถึงของคนผู้นี้ กลับค่อย ๆ มีเหล่าลูกน้องของพรรคเทียมฟ้า หรือที่พวกฝ่ายธรรมมะเรียกขานว่าพรรคมาร ทยอยเดินออกมาจากขอบชายป่า ทีละคน ๆ จนกระทั่งครบทั้ง ยี่สิบ คน
“ฮ่า ๆ ๆ ท่านคงจะเป็น เฟยอิงสุ่ย ผู้อาวุโสหนึ่งของสำนักเทพกระบี่ ที่มีผู้คนกล่าวยกย่อง ว่าเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านกระบี่มากที่สุดในสำนักเทพกระบี่ ชื่อเสียงเทียบเทียมเท่าแดนศักดิ์ทั้งสาม” เจ้าตี้อัน เอ่ยปากกล่าวขึ้น เนื่องด้วยตัวมัน สัมผัสถึงตัวตนระดับราชันจาก เฟยอิงสุ่ย นั่นเอง
“ถูกต้อง เป็นข้าเอง ท่านหัวหน้าวิชายุทธที่เชี่ยวชาญด้าน กระบี่หนัก เจ้าตี้อัน ที่เลื่องชื่อเป็นอย่างยิ่ง” เฟยอิงสุ่ย กล่าวตอบไปด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียดเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากระดับลมปราณของฝ่ายตรงข้ามนั้น เหนือกว่ามันอยู่หนึ่งช่วงใหญ่ ๆ เลยทีเดียว
“ฮ่า ๆ ๆ ท่านช่างรอบรู้เป็นอย่างดียิ่งนัก ถูกต้อง เป็นข้าเอง” เจ้าตี้อัน กล่าวตอบด้วยอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก ที่มีคนรู้จักชื่อเสียงของมัน จึงหัวเราะอย่างเสียงดัง และในขณะนั้นเอง มันก็ต้องเงียบเสียงลงพร้อมขวมหัวคิ้วเข้าหากันแน่น เมื่อสายตากวาดมองไปยังชาวยุทธหนุ่มธรรมดา ๆ คนหนึ่ง แต่เมื่อมันสำรวจกลับไม่สามารถระบุระดับของการฝึกยุทธของมันได้
“เจ้าหนุ่ม เจ้าเป็นใคร ใช่คนของสำนักเทพกระบี่ หรือไม่”
“เอ๋ !....” คนของสำนักเทพกระบี่ต่างก็อุทานด้วยเสียงแปลกใจ เมื่อเห็น เจ้าตี้อัน ถามแบบนั้น พวกมันเองกลับคิดว่า หลี่เฉิน จะเป็นพวกเดียวกับพรรคเทียมฟ้า ก่อนหน้านี้จึงได้รุมโจมตีอย่างสุดแรงของพวกมัน แม้แต่ เฟยอิงสุ่ย เองก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน
เมื่อเห็นอาการของคนสำนักเทพกระบี่ เจ้าตี้อัน ก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่คนสำนักเทพกระบี่ แต่การที่มันปรากฎตัวที่แห่งนี้ มันคงจะเป็นมิตรสหายกับคนใดคนหนึ่งในสำนักแห่งนี้อย่างแน่นอน
“ข้านามว่า หลี่เฉิน เพียงแค่จะมาเยี่ยมเยือนสหายเก่าที่สำนักแห่งนี้”
หลี่เฉิน กล่าวบอกไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง และก็ยิ้มให้กับ เจ้าตี้อัน อย่างไม่เกรงกลัวต่ออำนาจ ตัวตนระดับชนชั้นราชันของมันแม้แต่น้อย จึงทำให้ เจ้าตี้อัน รู้สึกขัดใจไม่น้อย
“หึ หากเป็นจริง หวังว่าเจ้าคงจะไม่สอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวระหว่างข้ากับสำนักเทพกระบี่หรอกนะ”
เจ้าตี้อัน รู้ดีว่าหลี่เฉินนั้นคงจะมีระดับพลังเหนือล้ำกว่ามันเป็นแน่ แต่มันก็คิดว่า คงจะไม่ห่างชั้นกันมากสักเท่าใด หากอีกฝ่ายสอดมือเข้ามายุ่ง มันก็คงจะสามารถรับมือได้ แม้จะตึงมือ แต่ด้วยเหตุที่มัน ก็มีอาวุธที่ไม่ธรรมดา อย่างกระบี่หนัก ที่มีน้ำหนักถึงหนึ่งตัน หากฟาดฟันใส่เต็มกำลัง คงจะสามารถ ต่อสู้ขับไล่อีกฝ่ายให้จนมุมได้อย่างแน่นอน หากเพียงแต่ ตัวมันเอง ก็คงจะหมดสภาพไม่ต่างกัน และคงจะเป็นโอกาสให้ เฟยอิงสุ่ย สังหารมันได้อย่างง่ายดาย ในตอนนี้ การหลีกเลี่ยงกับหลี่เฉิน ในครั้งนี้ ถือว่าเหมาะสมที่สุด
เป้าหมายหลักในครั้งนี้คือ การประเมินกำลังของอีกฝ่าย ดังนั้น จึงไม่จำเป็นจะต้องปะทะถึงขั้นแตกหักแต่อย่างใดให้เสียกำลังคนไปเสียเปล่า
ต่างจากความคิดของหลี่เฉิน ซึ่งมันนั้นย่อมไม่ยอมให้พรรคเทียมฟ้า ลงมือทำลายศิษย์ของสำนักเทพกระบี่อย่างแน่นอน
“เสียใจด้วยนะ ข้าคงให้ท่าน ลงมือกับศิษย์ของสำนักเทพกระบี่ได้หรอก” หลี่เฉิน กล่าว
“พ่อหนุ่ม เจ้าเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงพูดแบบนั้น ทั้งๆ ที่ตอนแรก ก็ลงมือทำร้ายศิษย์ของเรา” เป็นเฟยอิงสุ่ย ที่เอ่ยถามหลี่เฉิน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่าย ออกตัวปกป้องพวกตนทั้งที่เมื่อครู่ก่อนหน้านี้นั้น ก็ได้ลงมือทำร้ายศิษย์สำนักเทพกระบี่จนบาดเจ็บสาหัสไปหลายคน
“ท่านอาวุโส ไว้ไล่พวกมารนี้กลับไปได้แล้ว ผู้เยาว์ จะบอกกับท่านอย่างแน่นอนครับ” หลี่เฉิน กล่าวด้วยน้ำเสียงที่สำรวม แตกต่างจากที่กล่าวกับ เจ้าตี้อัน
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ดี ! ย่อมได้ อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าเจ้าจะเก่งสักแค่ไหน ถึงกล้าพูดคำว่า ไล่ พวกข้ากลับไปได้” เจ้าตี้อัน ตะโกนลั่น พร้อมสั่งให้บรรดาลูกน้องของตนนั้น บุกจู่โจมทันที
ฝ่ายเจ้าตี้อันที่กำลังจะทะยานเข้าหาหลี่เฉินทันที ฝ่ายทางด้าน เฟยอิงสุ่ย เห็นเช่นนั้น ก็พุ่งเข้าไปขวางทางทันทีเช่นกัน
“ท่านจะไปไหน คู่มือท่าน คือข้าต่างหาก ไม่ใช่พ่อหนุ่มนั่นหรอกนะ”
“ชิ..” เจ้าตี้อัน หงุดหงิดทันที เมื่อมีคนมาขวางทาง ส่วนทางหลี่เฉินนั้น กลับยืนนิ่ง มองดูศิษย์ของสำนักเทพกระบี่ ต่อสู้กับเหล่าลูกน้องพรรคเทียมฟ้า ซึ่งระดับฝีมือของฝ่ายมารจะดูเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด
“พวกนี้มัวทำอะไรกันอยู่นะ ฝีมือห่างชั้นกับพวกมารนั่นเยอะพอควรเลย มีสูสันเพียงไม่กี่คนเท่านั้น” หลี่เฉิน บ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ และเฝ้ามองดูต่อไป
-เพล้ง เพล้ง ควับ-
เสียงกระบี่หนักของเจ้าตี้อันกับกระบี่ของเฟยอิงสุ่ยปะทะกันดังสนั่นต่อเนื่อง และฝ่ายที่เสียเปรียบกว่า ก็คือเฟยอิงสุ่ย ด้วยระดับพลังปราณและด้วยน้ำหนักของกระบี่หนัก จึงทำให้เฟยอิงสุ่ยทำได้แค่เพียง รับและถอยฉากหลบคมกระบี่ของเจ้าตี้อัน แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่ได้เพลี้ยงพล้ำเสียท่าแต่อย่างใด เพราะเจ้าตี้อันเองนั้น ถึงจะเป็นฝ่ายรุกไล่ แต่กลับไม่สามารถ ทำให้เฟยอิงสุ่ยมีบาดแผลได้แม้แต่นิดเดียวเช่นกัน
“หึ เจ้าเฒ่าเฟยอิงสุ่ย พลังปราณเพียงระดับนี้กลับสามารถต้านกระบี่หนักของข้าได้มาถึงตอนนี้ นับว่าสมกับชื่อเสียงที่ชาวยุทธยกย่องจริงๆ แต่ข้าคงต้องเอาจริงสักทีแล้ว” เจ้าตี้อัน เริ่มหมดความอดทน มันได้ถอยร่นออกมาสามก้าว จากนั้นก็ร่ายรำกระบวนท่ากระบี่ที่แปลกพิศดารจากกระบวนท่าที่เคยเห็นทั่วไปยิ่งนัก คล้ายจะมั่วแต่ไร้ช่องโหว่ให้โจมตี อีกทั้ง กระบวนท่าช่างรวดเร็วนัก และเมื่อจบกระบวนท่านั้น พริบตาเดียว ก็ปรากฎเส้นสายของคมกระบี่ฟาดฟันออกไปใส่เฟยอิ่งสุ่ยอย่างรวดเร็ว
-ฟึบ ฟึบ-
เสียงสายลมตัดผ่านม่านกำบังของเฟยอิงสุ่ย มันได้แต่ตะลึงกับพลังโจมตีของเจ้าตี้อันที่ทะลวงกำลังม่านลมปราณของตนได้โดยง่ายดาย ความรู้สึกหวาดกลัว แล่นเข้าสู่ห้วงความคิดทันที มันได้แต่ยืนนิ่งรับความตายที่กำลังมาเยือนเบื้องหน้า “
-ติ๊ง ติ๊ง-
-ตูมมม ตูมมม-
เสียงปะทะดังกึกก้องไปทั่วลานต่อสู้ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงระเบิดขนาดใหญ่หลายๆ ครั้งติดๆ กัน เฟยอิงสุ่ย ได้สติลืมตาขึ้นมาดู เบื้องหน้าของมัน พบกับแผ่นหลังของ หลี่เฉิน ที่เข้ามาขวามปราณกระบี่มรณะของเจ้าตี้อัน
“ท่าน ไปช่วยเหลือศิษย์ของท่าน ทางนี้ผู้เยาว์จัดการเอง” หลี่เฉิน เอียงหน้ากล่าวกับ เฟยอิงสุ่ย
...........................................................................
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

รออยู่นะค่ะไรท์
รีบเอามาลงต่อเร็วๆนะครับ รออ่านอยุ่
ค้างขออีกตอน