ด้วยรัก... [Hades & Persephone] - ด้วยรัก... [Hades & Persephone] นิยาย ด้วยรัก... [Hades & Persephone] : Dek-D.com - Writer

    ด้วยรัก... [Hades & Persephone]

    แต่ทำอย่างไรได้ ข้าทนไม่ได้นี่ ครั้งนี้เขาไม่ได้พูดให้นางฟัง แต่โคลงศีรษะกับตัวเองเบาๆ ให้แอบมองเจ้าอยู่หลังต้นไม้ไปตลอดกาลได้อย่างไรเล่า

    ผู้เข้าชมรวม

    2,933

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    17

    ผู้เข้าชมรวม


    2.93K

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    35
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  8 พ.ย. 56 / 16:51 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    Hades & Persephone
     

    ทำไมนางถึงงดงามขนาดนี้

     

    ท่ามกลางทุ่งดอกไม้สีเหลืองทองล้อแสงตะวัน หญิงสาววัยแรกรุ่นคนหนึ่งกำลังหมุนกายร้องรำอยู่กับเหล่าหญิงรับใช้ทั้งหลาย

     

    ทุ่งดอกไม้ช่างสดใส ดวงตะวันส่องสว่างเจิดจ้า หญิงรับใช้หกเจ็ดคนยิ้มแย้มแจ่มใส แต่แม้ทั้งสามอย่างรวมกันก็ไม่อาจเทียบได้กับความสดใสแม้ครึ่งหนึ่งของนาง....

     

    ดังนั้นเขาจึงลักพาตัวนางไป

     

    เพียงเพื่อต้องการให้นางเป็นราชินีเคียงคู่กับเขา

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      Hades & Persephone

       

       

      ทำไมนางถึงงดงามขนาดนี้

       

      ท่ามกลางทุ่งดอกไม้สีเหลืองทองล้อแสงตะวัน หญิงสาววัยแรกรุ่นคนหนึ่งกำลังหมุนกายร้องรำอยู่กับเหล่าหญิงรับใช้ทั้งหลาย

       

      ทุ่งดอกไม้ช่างสดใส ดวงตะวันส่องสว่างเจิดจ้า หญิงรับใช้หกเจ็ดคนยิ้มแย้มแจ่มใส แต่แม้ทั้งสามอย่างรวมกันก็ไม่อาจเทียบได้กับความสดใสแม้ครึ่งหนึ่งของนาง

       

      นางช่างงดงามและสดใส วงหน้าอ่อนเยาว์ นัยน์ตาสีน้ำตาลกลมโต ผิวกายสีขาวทองอร่าม ริมฝีปากงามได้รูปเผยยิ้มอ่อนหวาน ยิ่งต้องแสงตะวันก็ยิ่งส่องสว่าง เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนราวกับสีของผืนดิน นางสวมอาภรณ์สีเขียวอ่อนสะบัดพลิ้วยามหมุนตัวร่ายรำ

       

      แม้แต่มารดาของนางก็ยังงามไม่ได้สักครึ่ง

       

      เขาหลบอยู่ในมุมมืดของต้นไม้ใหญ่ นัยน์ตาสีดำขลับราวกับขนกาจ้องเขม็งไปที่เรือนร่างงดงามของหญิงสาววัยแรกรุ่น นางอยู่ท่ามกลางวงล้อม ยิ่งทำให้นางโดดเด่นกว่าเดิม

       

      เส้นผมสีดำของเขาแทบกลืนไปกับความมืดของร่มเงา นัยน์ตาสีเดียวกันมองดูลึกล้ำไร้จุดสิ้นสุด สวมชุดสีดำเบาบางแต่ปกคลุมถึงลำคอและข้อมือ ทั้งยาวจรดข้อเท้า ผิวกายคล้ำแดดทั้งที่ไม่เคยถูกแดด ใบหน้าเยียบเย็นและไม่ยิ้มแย้ม ร่างกายสูงใหญ่กอดอกอย่างหลวมๆ ด้วยท่าทางเหล่านี้จึงดูน่าเกรงขาม และน่ากลัว

       

      ไม่มีใครสังเกตเห็นเขา แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการ

       

      เขามายืนอยู่ที่นี่ทุกวัน นับรวมก็ วันไปแล้ว ไม่คิดเลยว่า ออกมาจากยมโลกเพียงครั้งเดียวก็มีสิ่งที่รั้งเขาไว้จนเขาไม่อยากกลับไป

       

      เหตุใดนางจึงงดงามถึงเพียงนี้

       

      ผิวกายของนางช่างนวลเนียนชวนให้สัมผัส อกอิ่มประชันความงามกันอยู่ใต้ร่มผ้า องค์เอวของนางคอด สะโพกเล็กทว่ากลมกลึง นางยังบริสุทธิ์งดงามดังหญิงแรกรุ่น

       

      กลิ่นกายนางคงจะหอมกรุ่นดังเหล่าดอกไม้ที่นางชื่นชอบ เสียงของนางคงไพเราะเพราะพริ้งจนดอกไม้ยังต้องแย้มบานเพื่อนาง

       

      ชายหนุ่มจ้องมองนางเขม็ง คิดในใจว่าต้องการนาง

       

      นางอาจไม่เหมาะกับการเป็นเทพีน้ำแข็งแห่งยมโลก แต่หากเขาต้องการให้นางเป็น มันจะเป็นอะไรไปเล่า

       

      เพอร์เซโฟนี เทพีแห่งพืชพันธุ์ เหมาะสมจะเป็นราชินีแห่งยมโลกที่สุดแล้ว

       

       

       

       

       

      เพอร์เซโฟนีลืมตาขึ้นท่ามกลางความหนาวเย็นอันไม่คุ้นเคย แขนเรียวเล็กยกขึ้นลูบลำแขนเปล่าเปลือยของตนแผ่วเบา นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกโพลงขึ้นด้วยความตกใจ มองไปรอบด้านเห็นเพียงความมืด

       

      ที่นี่คือที่ใด

       

      นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เกิดอะไรขึ้นกับนาง

       

      จำได้ว่าตนเองเที่ยวเล่นอยู่กับหญิงรับใช้จนค่ำมืด นางสั่งให้พวกเขากลับไปก่อนเพื่อจะได้เตรียมตัวต้อนรับมารดาของนางที่จะกลับมาจากดูแลมนุษย์ในยามเก็บเกี่ยวพืชผลในท้องนา ส่วนตนเองรั้งท้าย เดินตามกลุ่มหญิงรับใช้อย่างอ้อยอิ่งเพื่อเฝ้าดูเหล่าหิ่งห้อยที่บินผ่านไปมา

       

      แล้ว เกิดอะไรขึ้น นางจำอะไรไม่ได้

       

      ที่นี่คือที่ใด แล้วใครเป็นคนพานางมาที่นี่ หญิงสาวลุกขึ้นนั่ง มองรอบด้านยังคงไม่เห็นอะไร


      เพอร์เซโฟนีผู้อยู่ท่ามกลางแสงตะวันอันสดใสเจิดจ้า ไม่คุ้นชินกับความมืดที่เยียบเย็นและเงียบสงบอย่างนี้ นางมักอยู่ท่ามกลางแสงแดดที่สว่างสดใสและอบอุ่น ท่ามกลางเสียงแมลงหวีดหวิว เสียงนกร้องเพลง และเสียงสายลมอ่อนๆ อันแสนรื่นหู ที่นี่ไม่มีสิ่งใดที่เหมือนกับบ้านของนาง ตรงกันข้ามกันเลยก็ว่าได้

       

      เทพีสาวกอดตัวเองด้วยความหวาดกลัว นางงุนงงและไม่เข้าใจสถานการณ์ ขบคิดเท่าไรก็คิดไม่ออกว่าที่นี่คือส่วนใดของผืนโลก บนผืนดินที่แสงตะวันสาดส่องถึงมีที่ที่เหน็บหนาวและน่าสะพรึงกลัวเหมือนที่นี่ด้วยหรือ

       

      หรือว่าที่นี่ไม่ใช่ผืนโลกของมนุษย์

       

      เสียงกึงตรงด้านหน้าของนาง เพอร์เซโฟนีสะดุ้ง รีบหดตัวเข้าหากัน นัยน์ตาเบิกโพลงในความมืด เสียงนั้นดำเนินต่อไป คล้ายมีผู้คนกำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ตรงนั้น ที่ที่นางมองไม่เห็น

       

      เสียงแอดคล้ายประตูเก่าถูกเปิด แสงสว่างที่ขุ่นมัวแทรกช่องว่างเข้ามาเป็นเส้นยาว และกว้างขึ้นเรื่อยๆ เมื่อประตูเปิดออกมากกว่าเดิม

       

      แสงตะเกียงสีเหลืองนวลปรากฏสู่สายตา พร้อมทั้งเงาของประตูสีเข้ม ผนัง พื้นห้อง จนกระทั่งถึงขอบเตียงที่นางนั่งอยู่ด้านบน

       

      เพอร์เซโฟนีเพิ่งตระหนักว่าตนเองนั่งอยู่บนเตียงสีขาวที่แน่น แต่ไม่แข็ง นางยังคงอยู่ในชุดสีเขียวอ่อนดังเดิม

       

      เฮดีสหยุดยืนอยู่หน้าประตู จ้องมองหญิงงามด้านในโดยไม่พูดจา

       

      วงหน้างามที่แฝงแววหวาดกลัวและตื่นตระหนกยังคงงดงามไม่เสื่อมคลาย แสงตะเกียงกระทบผิวกายสีเหลืองนวลของนาง ขับให้เนื้อนวลกระจ่างกว่าเดิม ลำแขนเปล่าเปลือยที่ไม่มีอาภรณ์ปกคลุมมองดูสวยงามยิ่ง เขามองดูแล้วลำคอแห้งผาก อยากลองสัมผัสดูสักครั้ง

       

      ที่นี่คือห้องนอนของเขา ในดินแดนยมโลกอันเย็นชืดและไร้ชีวิตชีวา

       

      เพอร์เซโฟนีเห็นหน้าผู้ที่ถือตะเกียงชัดเจนขึ้นเมื่อเขาเดินเข้ามาในห้อง ประตูด้านหลังปิดลงอย่างแผ่วเบาโดยที่ชายแปลกหน้าไม่ได้แตะต้องสักนิดเดียว ราวกับมันมีชีวิตและทำตามที่เขาสั่ง

       

      หญิงสาวเมื่อสบตากับนัยน์ตาสีนิลกาฬอันลึกลับนั้นแล้วก็สั่นเทา คนตรงหน้าคล้ายคนตายก็ไม่ปาน ใบหน้าซีดขาวท่ามกลางแสงตะเกียงอ่อนๆ หน้าตาเย็นชาไร้อารมณ์ นัยน์ตายิ่งคล้ายหลุมลึกที่เดาความรู้สึกไม่ออก

       

      เขาวางตะเกียงไว้ปลายเตียงอย่างเชื่องช้า ก่อนจะยกขาขึ้นคล้ายจะขึ้นมาบนเตียง เพอร์เซโฟนีถอยกรูด ชนเข้ากับหัวเตียงเย็นเยียบราวกับทำจากหินอ่อน นัยน์ตาเบิกโตจับจ้องมาที่เขาอย่างระแวดระวัง สองแขนที่โอบกอดตนเองไว้รัดแน่นเข้าหากันมากขึ้น

       

      เฮดีสชะงักเมื่อเห็นปฏิกิริยาของนาง

       

      “ท่าน ท่านเป็นใคร” นางมีคำถามร้อยพันที่อยากถาม แต่สิ่งที่รวบรวมความกล้าถามออกไปได้ช่างมีน้อยนิดเหลือเกิน

       

      เทพหนุ่มในชุดสีดำได้ยินดังนั้นก็กระดกมุมปากขึ้นเล็กน้อย

       

      รอยยิ้มอย่างนี้ทำให้เพอร์เซโฟนียิ่งขวัญเสีย

       

      “เจ้าเดาไม่ออกหรือ ว่าข้าเป็นใคร”

       

      สถานที่ที่มืดมิดและเหน็บหนาว เทพชุดสีดำกับนัยน์ตาอันแสนน่ากลัว ทั้งยังกล้าลักพาตัวบุตรสาวของซุสอย่างนาง

       

      “ฮะ… เฮดีส”

       

      มุมปากยกยิ้มอีกครั้ง “หัวไวดี”

       

      เป็นเขาจริงๆเขาจับนางมาทำไม คิดจะทำอะไรกันแน่

       

      “ท่าน ท่านพาข้ามาที่นี่ทำไม”

       

      เฮดีสเผยยิ้มแบบเดิมอีกครั้ง รอยยิ้มที่สั่นประสาทผู้คน ทำให้หวาดกลัวเสียขวัญ แม้แต่หญิงสาวตรงหน้าก็ไม่มีข้อยกเว้น

       

      “เจ้าจะต้องมาเป็นภรรยาของข้า เป็นราชินีแห่งยมโลก”

       

       

       

       

       

      “ยังหาตัวเพอร์เซโฟนีไม่พบหรือ”

       

      น้ำเสียงกังวลใจดังขึ้น หญิงรับใช้รีบก้มศีรษะด้วยทำงานที่รับมอบหมายไม่สำเร็จ

       

      พวกนางออกตามหาตัวเทพีน้อยมาทั้งคืน ตกเช้าก็ยังกลับไม่ถึงคฤหาสน์ พวกนางตามหาเท่าไรก็ไม่เจอ

       

      เทพีดิมิเตอร์ผู้เป็นมารดาเผยสีหน้าเศร้าโศกที่บุตรสาวอันเป็นที่รักหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย นางทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ไม้สีเข้มหน้าคฤหาสน์ ตรงหน้านางกำนัลหกคนที่ออกตามหาตัวบุตรสาวของนาง

       

      “ข้าไม่เข้าใจ นางจะหายไปที่ใดได้” เทพีกลั้นน้ำเสียงสั่นเครือ “นางจะหายไปที่ใดได้”

       

      หญิงรับใช้มองหน้ากัน ก่อนจะรีบลุกขึ้น

       

      “พวกเราจะไปหาเทพีน้อยอีกครั้งเพคะเทพี” จากนั้นพวกนางก็จากไป

       

      เทพีดิมิเตอร์ถอนหายใจเฮือก คิ้วงามขมวดเข้าหากันอย่างขบคิดไม่แตก เพอร์เซโฟนีหายไปที่ใด

       

      เจ้าหายไปที่ใด แม่เป็นห่วงเหลือเกิน

       

      น้ำตาเอ่อคลอนัยน์ตาสีมรกต แต่นางก็รีบสูดจมูก ไล่น้ำตา และพยายามขบคิดใหม่อีกครั้ง

       

      นางจะไปที่ใดได้ พวกนางมีกันแค่สองคน หากเพอร์เซโฟนีไม่ได้ไปด้วยความตั้งใจของตนเอง ก็ต้องมีคนอื่นพาไป

       

      เทพีลุกพรวดขึ้น ความกลัวแล่นขึ้นจับใจ หากซุสมาทวงบุตรสาวคืน นาง… นางจะอยู่ได้อย่างไร

       

      ดิมิเตอร์รีบเดินทางไปยังโอลิมปัส สถานที่ที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะย้อนกลับไปอีกครั้งหนึ่ง

       

      เทพีสาวถูกเรียกไปร่วมเสวยมื้อเย็นกับเทพผู้ยิ่งใหญ่แห่งยมโลก นางนั่งอยู่บนโต๊ะเสวยอย่างระแวดระวัง ทานอะไรก็ไม่ลงเพราะเดาใจมหาเทพแห่งยมโลกไม่ออก

       

      บนโต๊ะอาหารมีอาหารน่าอร่อยวางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ ยังมีผลไม้ถาดใหญ่ลากสีสัน แต่ทั้งโต๊ะมีเพียงนางกับเขา ช่างอ้างว้างวังเวงเสียจริง

       

      เพอร์เซโฟนีทานอะไรไม่ลงนัก ขบเม็ดทับทิมเล่นอยู่ไม่กี่เม็ด รอจนเฮดีสเสวยอาหารเย็นจนอิ่ม จึงเงยหน้าขึ้นมาสบตานาง

       

      เจ้าไม่กินหรือ

       

      ข้า… ข้าไม่ค่อยหิว

       

      ประเดี๋ยวเจ้าก็ไม่มีแรง

       

      ไม่มีแรงไม่มีแรงทำอะไร

       

      เพอร์เซโฟนียืดหลังตรง หดตัวเข้าหากันด้วยความระแวดระวัง เฮดีสเห็นนางคล้ายลูกแมวที่

      หวาดกลัวก็จ้องมองนิ่งๆ ด้วยความประหลาดใจ

       

      กินเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปเดินดูดอกไม้ เจ้าชอบไม่ใช่หรือ

       

      ดูดอกไม้?

       

      เพอร์เซโฟนีหน้าแดง ที่แท้นางก็คิดอกุศลไปคนเดียว

       

      “ข้า… ข้าไม่หิวแล้ว”

       

      “ถ้าอย่างนั้นก็ไปเถอะ” มหาเทพแห่งยมโลกลุกขึ้น ก่อนจะเดินนำนางออกจากห้องอาหารไป

       

      เพอร์เซโฟนีละล้าละลังอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบออกวิ่งตามเขาไป อย่างน้อยได้ออกไปเปิดหูเปิดตาก็อาจหาช่องทางหลบหนีได้ ดีกว่าถูกขังอยู่ในห้องเป็นไหนๆ

       

       

       

       

       

      แต่พอเทพีแห่งพืชพันธุ์ได้เหยียบย่างออกจากปราสาทแล้ว นางก็ค้นพบว่า ตนเองไม่มีทางหาทางออกจากที่นี่ได้ เนื่องจากปราสาทอยู่บนแผ่นดินที่ลอยสูงขึ้น ด้านล่างมืดมิดสุดสายตา เว้นแต่ทางขวามือของนางที่เห็นภูเขาไฟปะทุและปล่อยลาวาสีแดงเรืองแสงไหลไปตามพื้นดินสีดำ

       

      ครั้งแรกที่มองเห็นดินแดนสีดำสนิท นางยังแปลกใจว่ายังมีดอกไม้ใดเจริญเติบโตในที่ที่ไม่มีแสงตะวันอย่างนี้ได้อีก แต่ปรากฏว่ามี

       

      นับว่าเปิดหูเปิดตาไม่น้อยที่ราชันแห่งยมโลกพานางเดินชมดอกไม้ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน เช่นในทุ่งแอสโฟเดลที่มีดอกไม้สีขาวห้าแฉก มีลายสีแดงจากเกสรดอกไม้แตกออกไปตามปลายกลีบทั้งห้าแฉก งดงามไม่แพ้ดอกไม้บนโลกเลยทีเดียว

       

      แต่เมื่อเดินทั้งวันนางก็เหนื่อยล้า

       

      เมื่อกลับมาเสวยมื้อเย็นกับเฮดีสนางก็ง่วงแทบตาย ยังไม่ทันหยิบอะไรใส่ปากก็ฟุบหลับเสียแล้ว

       

      เฮดีสหยิบผลไม้ใส่ปาก สายตาสีดำสนิทเหลือบมองหญิงงามที่ซบแก้มเนียนลงกับต้นแขนเนียน นัยน์ตาหลับพริ้ม ริมฝีปากยื่นเล็กน้อย ราวกับเด็กน้อยเอาแต่ใจคนหนึ่ง

       

      ในใจของชายหนุ่มรู้สึกวาบไหวอย่างประหลาด เขาเพิ่งรู้สึกว่ามีสิ่งใด น่ารัก’ ก็ครานี้เอง เขาใช้ชีวิตอยู่มานานแต่ไม่เคยใช้คำนี้มาก่อน

       

      ราชันแห่งดินแดนยมโลกลุกขึ้น ยื่นมือไปหานาง แต่แล้วก็ชักกลับ ทำอย่างนั้นอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือไปช้อนตัวนางขึ้นในที่สุด และพาเดินออกจากห้องไป

       

      ตัวนางเบาหวิว ไม่รู้สึกถึงน้ำหนักใดๆ เลย จริงสิ ตั้งแต่ที่นางมาที่นี่ก็ไม่ค่อยทานอะไรเข้าไปเลย

       

      เขาจับจ้องหญิงสาวที่ซบแก้มลงกับอกของเขาอย่างนิ่งเงียบ ยืนนิ่งอยู่พักใหญ่ทีเดียวก่อนจะเริ่มก้าวขาเดินอีกครั้ง เทพีสาวส่งเสียงงึมงำในอก

       

      “แม่ ท่านแม่

       

      ฝีเท้าของเทพผู้ยิ่งใหญ่หยุดชะงักลง ก้มลงมองสาววัยแรกรุ่นในอ้อมแขนอีกครั้ง

       

      จากนั้นก็ก้าวเดินไปใหม่

       

       

       

       

       

      เพอร์เซโฟนีสะดุ้งตื่นขึ้นแต่ยังไม่ลืมตา ด้วยยังรู้สึกมึนงงว่าตนเองเผลอหลับไปตอนไหน แผนหลังของนางแนบลงกับผ้านุ่มนิ่ม เตียงนอนด้านข้างยุบลงไปคล้ายมีคนนั่งอยู่

       

      นางแน่ใจว่ามีคนนั่งอยู่

       

      แก้มของนางจู่ๆ ก็มีคนมาแตะ เพอร์เซโฟนีไม่กล้าลืมตา ได้แต่นอนหลับตาอยู่อย่างเดิมจนทำให้คนที่นั่งอยู่เชื่อว่านางหลับสนิทไปแล้วจริงๆ

       

      ความรู้สึกของนางบอกว่ามีบางคนโน้มตัวลงมาหานาง แสงไฟริบหรี่ที่มืดมิดลงทำให้นางยิ่งแน่ใจ เฮดีสหรือ เขาตั้งใจจะทำอะไรกับนาง หรือเขาคิดจะทำมิดีมิร้ายตอนนางไม่ได้สติ

       

      เพอร์เซโฟนีพยายามหลับให้แนบเนียนที่สุด โชคดีที่คนในห้องก็ไม่ได้ดูออกแต่อย่างใด

       

      แสงไฟถูกบดบังไปจากดวงตาของนางอยู่นาน ก่อนที่จะกลับคืนมาอีกครั้ง

       

      ได้ยินเสียงถอนหายใจแผ่วเบาอยู่ข้างๆ

       

      “ข้ารู้” เขาถอนหายใจอีกครั้ง “ว่าเจ้าไม่อยากอยู่ที่นี่ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากอยู่กับข้าหรอก”

       

      เฮดีสมองวงหน้างามยามหลับใหลของนาง

       

      แต่ทำอย่างไรได้ ข้าทนไม่ได้นี่” ครั้งนี้เขาไม่ได้พูดให้นางฟัง แต่โคลงศีรษะกับตัวเองเบาๆ “ให้แอบมองเจ้าอยู่หลังต้นไม้ไปตลอดกาลได้อย่างไรเล่า”

       

      แต่นางก็ได้ยินโดยที่เขาไม่คาดคิด

       

      มหาเทพแห่งแดนนรกภูมิลุกขึ้น ก่อนจะเดินออกจากห้องไป

       

      เพอร์เซโฟนีเหลือบนัยน์ตาขึ้นข้างหนึ่ง มองตามแผ่นหลังในชุดคลุมสีดำสนิทของเขาไป ด้านหลังของเขามองเห็นถึงความน่าเกรงขาม และโดดเดี่ยว

       

      นางควรทำอย่างไรต่อไปดี

       

       

       

       

       

      แต่ถึงเพอร์เซโฟนีจะเค้นสมองคิดแทบตายเมื่อคืน เขาก็มีคำตอบให้นางเรียบร้อยแล้ว

       

      “กินให้อิ่ม เสร็จแล้วข้าจะไปส่งเจ้าที่เดิม”

       

      เพอร์เซโฟนีเบิกตากว้าง จอกแทบจะหลุดจากมือและหกลงกับโต๊ะ

       

      “ท่าน… จะไม่ขังข้าไว้ที่นี่อีกแล้วหรือ” นาง จะเป็นอิสระแล้วหรือ

       

      แต่เขา… เขาไม่ต้องการนางแล้วหรือ

       

      แล้วทำไมในอกนางถึงไหวหวิวราวกับมีส่วนใดหายไปด้วยเล่า

       

      ชายหนุ่มผุดยิ้มบางเบาที่มุมปาก นางคงดูไม่ออกว่าเป็นรอยยิ้มอันแสนโศกเศร้า

       

      “แค่นี้เจ้าก็ขู่ฟ่อๆ อย่างกับแมว” นางหวาดกลัวเขาอย่างที่คนอื่นๆ เป็นกัน เขาเข้าใจ ดังนั้นจึงไม่อาจรั้งนางไว้ได้อีก “เจ้ากลัวข้า ดังนั้นข้าก็ไม่อาจอยู่ร่วมกับเจ้าสาวที่หวาดกลัวได้หรอก”

       

      เขาพูดคล้ายกับนึกถึงความรู้สึกของนาง แต่นางกลับไม่ดีใจที่เขายอมเมตตาให้นางได้กลับไปสู่แสงตะวันอีกครั้ง

       

      มุมปากของเขาผุดยิ้มอีกครั้ง “ไม่ดีหรือ”

       

      ดีสิ”

       

      ทว่าเฮดีสตัดสินใจช้าเกินไป ดิมิเตอร์แล่นขึ้นสู่โอลิมปัส ขอร้องซุสให้ช่วยหาทางได้ลูกสาวคืนเรียบร้อยแล้ว

       

      เสียงวุ่นวายเกิดขึ้นที่ด้านหน้าปราสาทสีดำทะมึน เทพทั้งสองหันหน้าไปมองตามต้นทาง แต่ยังไม่เห็นอะไร ได้ยินเพียงเสียงโหวกเหวกโวยวายเท่านั้น

       

      จากนั้นก็มีทหารเทพหลายคนเดินทัพเข้ามา ประกาศเสียงก้องว่า

       

      “ท่านเทพแห่งยมโลก มหาเทพ ผู้ถืออำนาจเหนือเทพทั้งมวล มีคำสั่งให้นำตัวท่านขึ้นสู่โอลิมปัสเพื่อลงโทษที่ลักพาตัวบุตรสาวของมหาเทพ โปรดส่งเทพีเพอร์เซโฟนีคืนให้แก่เรา และน้อมรับคำสั่งของมหาเทพแต่โดยดี”

       

      เฮดีสยืนขึ้น ไม่เหลือบมองนางแม้แต่นิดเดียว

       

      แต่นางเหลือบมองเขา เห็นเพียงสีหน้าเย็นชาราวกับน้ำแข็งที่จับจ้องไปยังทหารกลุ่มนั้น

       

      “ข้าอยู่นี่แล้ว”

       

      เพอร์เซโฟนีไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายขนาดนี้

       

      เฮดีสเองก็เช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยอมรับความผิดที่ตนเองก่อขึ้นโดยไม่โต้แย้ง

       

       

       

       

       

      “ท่านแม่ ซุสจะลงโทษเขาอย่างไร”

       

      ดิมิเตอร์เหลือบมองบุตรสาว พวกนางยังอยู่บนโอลิมปัส รอฟังการไต่สวนและลงโทษผู้ร้ายจากมหาเทพ ในห้องพักอันงดงามหรูหราที่ประดับตกแต่งด้วยทองคำจนอร่ามละลานตาไปทั้งห้อง ดิมิเตอร์นั่งอยู่ข้างหน้าต่าง ชื่นชมกับทิวทัศน์ด้านนอก แต่บุตรสาวของนางนั่งได้สักพักก็ต้องลุกขึ้นมาเดิน เดินแล้วก็นั่ง นั่งแล้วก็เดิน เห็นก็รู้แล้วว่าตื่นเต้น

       

      นางก็ไม่กล้าเดาว่าบุตรสาวตื่นเต้นในทางที่ดีหรือไม่ดี

       

      “เจ้ารอฟังนิ่งๆ ไม่ได้หรือ แม่เห็นแล้วปวดหัว”

       

      “ท่านแม่” เพอร์เซโฟนีเข้าไปหามารดา จับมือทั้งคู่ของนางไว้ ทรุดลงยืนเข่าอยู่ตรงหน้านาง “เขาไม่ได้ทำร้ายข้า ไม่ได้แตะต้องข้า” ที่อุ้มไม่นับ “เมื่อข้าไม่สมัครใจ เขาก็ตั้งใจจะพาข้ากลับมาส่ง แต่ว่าซุสดันรู้เรื่องเสียก่อน”

       

      ส่วนหนึ่งก็เพราะนาง ดิมิเตอร์รู้ แต่นางเป็นห่วงบุตรสาว ห่วงจนแทบขาดใจ มาลักพาตัวบุตรสาวของนางอย่างนี้ช่างเป็นคนที่แย่ที่สุด

       

      แต่ถึงจะแย่อย่างไร บุตรสาวของนางก็คล้ายเปลี่ยนไปแล้ว

       

      วงหน้าอ่อนเยาว์สดใสมีสีชมพูแต้ม ไม่พบหน้าเพียงสั้นๆ บุตรสาวของนางคล้ายเข้าสู่วัยสาวสะพรั่งอย่างเต็มตัวแล้ว

       

      เพราะมีความรักหรือ

       

      “ตอนนั้นเจ้าไม่สมัครใจ แล้วตอนนี้เล่า”

       

      บุตรสาวของนางเบิกนัยน์ตากว้างด้วยไม่คาดคิดว่าจะถูกมารดาถามตรงๆ อย่างนี้ แก้มสีชมพูของนางยิ่งซับสีเด่นชัดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

       

      “ข้า… ข้า ข้า

       

      “เจ้าพูดไปข้าสามครั้งแล้ว เพอร์เซโฟนี ถ้าเจ้าลำบากใจก็ไม่ต้องตอบแม่หรอก” แค่นี้ก็รู้แล้วว่าบุตรสาวของนางได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ

       

      เพอร์เซโฟนีค้อนเมื่อรู้ว่าผู้เป็นมารดาดูออก

       

      “เจ้าไปเถอะ” ดิมิเตอร์พยายามที่จะไม่ถอนหายใจ ฮึ บุตรสาวนี่นะ โตแล้วก็กลายไปเป็นของคนอื่น “แต่เจ้าต้องให้เวลากับแม่มากกว่าเขานะ”

       

      “ท่านแม่ล่ะก็” เทพีสาวค้อนอีกครั้ง “ข้าต้องรักท่านมากกว่าเขาอยู่แล้ว”

       

      ยังไม่ได้รักเขาเสียหน่อย นางแค่ แค่ แค่อยากลองให้โอกาสเขาเท่านั้น

       

      เขาอาจจะเป็นคนที่ดีกว่าที่นางคิด

       

      เพอร์เซโฟนีหน้าแดงเมื่อคิดถึงเขา ดิมิเตอร์เห็นก็หมั่นไส้บุตรสาวตัวดีเหลือเกิน เมื่อครู่นี้ยังบอกว่ารักนางมากกว่าเทพแห่งนรกที่น่ากลัวนั้นอยู่เลย ครานี้กลับมาหน้าแดงใจลอยคิดถึงเขาเสียได้

       

      “เจ้าไปเถอะ” ผู้เป็นแม่กล่าวอีกครั้ง

       

      เพอร์เซโฟนีลุกขึ้น ส่งยิ้มงดงามให้ผู้เป็นมารดา ในรอยยิ้มนั้นแฝงแววเชื่อมั่นบางอย่าง

       

      “ข้าไปก่อนนะคะ”

       

      “จ้ะ”

       

      เทพีสาวออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว สองมือจับกระโปรงไว้ และออกวิ่ง วงหน้างามเผยรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว

       

      นางไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะถูกลักพาตัว และวันหนึ่งตนเองจะรู้สึกผูกพันกับคนที่ลักพาตัวเช่นนี้ นางต้องบ้าไปแล้วแน่นอน

       

      บ้าไปแล้วแน่นอนเลย

       

      เพอร์เซโฟนีผุดยิ้มมุมปาก เส้นผมสะบัดพลิ้วขณะวิ่ง

       

       

       

       

       

       

       

       

       

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×