Good Morning
“อรุณสวัสดิ์ คุโด้”
“อรุณสวัสดิ์ ฮัตโตริ”
.
.
.
ปิ๊งป่อง
เสียงกริ่งดังขึ้นก่อนที่ประตูสำนักงานนักสืบโมริจะเปิดออกด้วย
แล้วเสียงร่าเริงของสองสาวที่ทักทายกันก็ดังผ่านหูของคนที่ยืนพิงกำแพง
ปีกหมวกถูกดึงลงมาปิดใบหน้ากว่าครึ่งเพื่อบดบังดวงตาที่ใกล้จะปิดมิปิดแหล่
เด็กหนุ่มผิวเข้มยกมือปิดปากหาวหวอดเป็นรอบที่เก้านับจากตอนที่ลงจากชินคันเซ็นมา
“เฮย์จิ เลิกทำตัวเป็นคนอดนอนแล้วมาทักทายรันจังซะสิ”
เพื่อนสมัยเด็กของเขาหันมาทำตาดุใส่ทำให้ ฮัตโตริ เฮย์จิ
นักสืบม.ปลายชื่อดังจากตะวันตกต้องละทิ้งทำเลดีๆ(?)ในการงีบออกมาทักทายลูกสาวของเจ้าของบ้านอย่างง่วงงุน
“ไม่ใช่ทำเป็น แต่ฉันอดนอนจริงๆต่างหากล่ะ”เขาแย้งตอบคาซึฮะ
“ก็ใครใช้ให้นายอยู่ทำคดีดึกๆเองล่ะ
ถ้านายรีบๆไขคดีไม่ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกคุณพ่อก็ไม่ต้องอดนอนจนเกือบตื่นสาย
นี่ถ้าฉันไม่ไปปลุกถึงบ้านมีหวังได้พลาดรถไฟแน่ๆ”คาซึฮะสวนกลับเป็นชุด
“คดีมันไม่ใช่แค่บอกให้ไขก็ไขได้สักหน่อย ฉันว่าที่ผิดปกติมันเธอต่างหาก
กลับบ้านก็กลับพร้อมกันไม่มีทางที่เธอจะนอนเร็วกว่าฉันสักเท่าไหร่
แล้วทำไมตื่นเช้ามาในวันอากาศน่านอนอย่างนี้ถึงได้ร่าเริงนักเล่า”
“ก็ฉันมีความรับผิดชอบต่อตัวเองพอยังไงล่ะ
อีกอย่างวันนี้จะได้มาเจอรันจังทั้งที เนอะ”
“จ้าๆ แต่พวกคาซึฮะจังมาเช้ากันจริงๆนั่นแหละ
โคนันคุงกับคุณพ่อก็ยังไม่ตื่นเหมือนกัน เมื่อวานกว่าจะได้กลับบ้านก็ดึกทีเดียวล่ะ
นั่งรอกันตามสบายนะ เดี๋ยวฉันไปเรียกสองคนนั้นก่อน”
“เดี๋ยวก่อนอาเจ๊ ยังไงวันนี้พวกเธอก็กะจะไปช้อปปิ้งกันใช่มั้ยล่ะ
ไปกันแค่สาวๆคงจะสนุกกว่าเดี๋ยวฉันอยู่กับคุ… เอ้ย อยู่กับเจ้าหนู
ว่าจะให้พาเที่ยวสักหน่อย”เขาร้องห้ามเมื่อเห็นว่ารันกำลังจะเดินขึ้นไปข้างบน
“เอ๋? เอาอย่างนั้นจะดีเหรอ”รันมีสีหน้าไม่มั่นใจแล้วหันไปขอความเห็นจากคาซึฮะ
“ดีสิ”เขาพยักหน้าหงึกหงัก
อย่างน้อยๆเขาก็ได้มีโอกาสนอนงีบอีกสักหน่อยระหว่างรอคุโด้ตื่นล่ะนะ
“เอาอย่างนั้นก็ได้ ถ้าอย่างนั้นพวกฉันก็ขอตัวล่ะ
เชิญไปนอนตามสบายเลยย่ะ”คาซึฮะแขวะอย่างรู้ทันแล้วดึงตัวรันไป
“อารมณ์เสียอะไรของเขา
ให้ไปเดินตามพวกเธอเดินช้อปปิ้งแบบนั้นไม่เห็นน่าสนุกเลย”เขาบ่นแล้วก็เดินขึ้นบันได
จังหวะที่กำลังจะเปิดประตูนั้นเอง…
ผัวะ
“ทำดีมากเจ้าหนูคันไซ ทีนี้ฉันก็ไปสนามม้าได้อย่างสบายใจแล้ว
ฝากดูเจ้าเด็กแว่นด้วยล่ะ ฮ่าๆ”
โมริ
โคโกโร่เปิดประตูผัวะออกมาแล้วก็วิ่งตึกตักลงบันไดพร้อมพูดตะโกนไล่หลังโดยไม่รอแม้คำตอบรับหรือหันมาดูอาการคนที่นั่งยองๆมือทั้งสองกุมดั้งจมูกที่โดนประตูกระแทกเข้าไปอย่างจังเลยแม้แต่น้อย
“อูย”ฮัตโตริร้องโอดโอยในใจนึกต่อว่าคุณลุงหนวดแต่ก็ทำอะไรได้นอกจากนวดคลึงจมูกรอให้ความเจ็บเจือจางแล้วเดินเข้าไปผ่านประตูที่เปิดค้างเอาไว้
สองเท้าก้าวไปยังห้องนอนตามภาพในความทรงจำ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามานอนค้างเสียหน่อย ยังไงก็ของีบสักแปบเหอะ
ประตูห้องนอนเปิดอ้าเอาไว้ไม่ต้องเป็นยอดนักสืบก็รู้ว่าเป็นฝีมือเจ้าของห้องที่เพิ่งวิ่งออกไปเมื่อครู่
แค่เห็นเตียงนอนเขาก็แทบจะกระโดดเข้าใส่ถ้าไม่ติดว่ายังคนนอนอยู่ล่ะก็นะ
จะว่าไปอาเจ๊คนนั้นก็บอกเหมือนกันว่าคุโด้ยังไม่ตื่น
ช่างเถอะ
เขาคิดแล้วก็เดินอ้อมไปยังอีกฝากของเตียงเลิกผ้าห่มขึ้นแล้วก็ล้มตัวลงนอนแทนที่คุณลุง
มือข้างหนึ่งดึงปีกหมวกให้ต่ำลงมาเพื่อบังแสงอาทิตย์ที่ลอดเข้ามาผ่านหน้าต่าง
ไม่นานเปลือกตาหนักๆก็ปิดสนิทลง
……………………………………….
อรุณสวัสดิ์ ฮัตโตริ
เสียงดังขึ้นในหัวฉุดสติของเขาออกจากห้วงนิทรา
เขายกหมวกออกจากหน้าหยีตาเมื่อดวงตาต้องแสงอาทิตย์ยามสายแบบกะทันหัน
หัวสมองนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า
เขานั่งรถไฟมาโตเกียวกับคาซึฮะซึ่งตอนนี้ออกไปช้อปปิ้งกับรัน
คุณลุงโมริฝากเด็กแว่นไว้กับเขาขณะที่ตัวเองไปลั้ลลาที่สนามม้า
เด็กแว่น?
“เด็กแว่นก็คือคุโด้นี่หว่า ตอนเข้ามายังนอนอยู่ ส่วนตอนนี้…”
หันไปมองข้างๆ
เด็กชายในชุดนอนแขนยาวขายาวสีเหลืองอ่อนนอนตะแคงข้างหันหลังให้เขา
คาดว่าน่าจะเป็นการหลบแสงโดยสัญชาตญาณ
“ตอนนี้ก็ยังไม่ตื่น”
ถ้าสังเกตจากแสงอาทิตย์ เขาว่าเขานอนไปนานเหมือนกันนะ
แต่เจ้าคนเด็กแค่ตัวนี่ชักทำตัวเหมือนเด็กเข้าไปทุกทีแล้ว
ถ้าไม่ปลุกมีหวังยาวกกว่านี้แน่
คิดแล้วก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ เขายื่นหน้าไปใกล้
ลอบมองเสี้ยวหน้าของเด็กชาย
จะว่าไป พอนอนแล้วนายก็เหมือนเด็กจริงๆเลยแหะ
“อรุณสวัสดิ์ คุโด้”เขาส่งเสียงกระซิบแผ่วข้างหูของคนที่อยู่ในห้วงนิทราพร้อมเป่าลมหมายจะแกล้งให้สะดุ้งตื่น
“อรุณสวัสดิ์ ฮัตโตริ”
เด็กชายวัยประถมที่ยังคงหลับตาอยู่บนเตียงพึมพำตอบเสียงกระซิบที่ข้างหู
สร้างความประหลาดใจให้กับเขาไม่น้อยที่เสียงของเด็กชายไปซ้อนทับกับเสียงที่ดังในหัวซึ่งเขาให้เหตุผลง่ายๆว่าคิดไปเอง
เรื่องที่พูดชื่อเขาถูกก็เหมือนกัน
แต่เจ้านี่คงไม่ได้รู้จักคนที่พูดสำเนียงโอซาก้ามากเท่าไหร่ล่ะมั้ง
“ฮัตโตริ!?”
เสียงเรียกชื่อที่ผสมความประหลาดใจทำให้เด็กหนุ่มโอซาก้าเจ้าของนามยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ
สายตาที่มองไปยังผู้ที่เรียกตนนั้นเต็มไปด้วยความขบขันแม้ว่าเมื่อครู่จะสะดุ้งเล็กๆเพราะมัวแต่คิดนู่นคิดนี่อยู่
“นายมาที่นี่ได้ยังไงกัน”
“นั่งรถไฟมา”
คนผิวเข้มตอบอย่างอารมณ์ดี
เขารู้สึกสนุกเป็นอย่างยิ่งที่ได้แกล้งเด็กชายแม้ว่าจะรู้อยู่เต็มอกว่าร่างจริงนั้นเป็นนักสืบหนุ่มม.ปลายไม่ต่างกับเขาเลย
“โดนคาซึฮะลากมาสิท่า”
“สมเป็นนายนะคุโด้ พูดได้ถูกเผงเลย”
เด็กชายทำหน้าเอือมๆขณะผุดลุกลงจากเตียง
แล้วหันกลับไปพับผ้าจัดเตียงให้เรียบร้อย
เขานึกย้อนไปถึงคำพูดของคาซึฮะเมื่อสองสัปดาห์ก่อนเรื่องการมาเยือนโตเกียว
เขาค่อนข้างมั่นใจว่าคนที่เพิ่งตื่นนี่น่าจะรู้เรื่องอยู่แล้ว
แต่คงไม่แคล้วลืมเสียสนิทกระมัง
“แต่จะว่าไป นายอรุณสวัสดิ์ตอบฉันได้ถูกโดยที่ไม่ลืมตามองเลยนะ”ฮัตโตริพูดด้วยรอยยิ้มที่ยังไม่คลาย
“คนพูดสำเนียงโอซาก้าที่ฉันรู้จักก็มีอยู่ไม่กี่คนเอง
แล้วนี่รันกับคุณลุงล่ะ?”
คำตอบตรงกับข้อสันนิษฐานที่คิดไว้เลย
“พวกนั้นออกไปกันแล้ว ฉันบอกไปว่าจะอยู่รอนายเอง ยังไงนายก็คงไม่อยากไปเดินช็อปปิ้งกับสองสาวนั่นใช่มั้ยล่ะ
ส่วนคุณลุงน่าจะไปสนามม้าน่ะนะ”
“เหรอ”
โคนันขานรับพอเป็นพิธีก่อนจะผลุบหายไปในห้องน้ำ
ทิ้งเขาให้มองตามร่างของเด็กชายไปพร้อมความคิดร้สาระอยู่นั่นเอง
จะว่าไปเราเพิ่งเคยเห็นคุโด้ในร่างเด็กถอดแว่นแบบชัดๆแหะ
……………………………………….
“โอ๊ะ ดูเหมือนว่านายจะเตรียมตัวเสร็จแล้วนะ”
เขาพูดหลังจากมองเด็กชายในชุดเสื้อเชิ้ตสีเขียวอ่อนแขนยาวทับด้วยเสื้อกันหนาวสีเหลืองพร้อมกางเกงขายาวสีเทา
“แล้ว…เราจะไปไหนกัน?”
เด็กชายถามหลังจากเดินออกมานอกสำนักงานนักสืบได้ระยะหนึ่ง
อากาศข้างนอกค่อนข้างเย็นแถมลมก็แรง
แต่เสื้อคอวีขาวทับด้วยเสื้อยีนส์กันหนาวแขนยาวและกางเกงขายาวสีเข้มปิดท้ายด้วยหมวกใบเก่งประจำตัวที่ปัดปีกหมวกไปด้านหลัง
ก็อุ่นพอจะทำให้เขาเดินเที่ยวโตเกียวได้ทั้งวัน
“นั่นนายต้องเป็นคนบอกฉันต่างหากคุโด้
คราวนี้หวังว่าฉันคงจะได้เที่ยวจริงๆแล้วนะ ถึงมีคดีจะสนุกไปอีกแบบ
แต่ถ้าเจอทุกครั้งที่มาฉันคงไม่มีโอกาสเปิดหูเปิดตากับเมืองนี้ซะที…”
“อะไรกันเล่า
ฉันก็ไม่ได้อยากให้มันมีคดีทุกครั้งหรอกน่า ของมันมาเองทำไงได้”
“ฉันว่านายต้องมีดวงดึงดูดคดีแน่เลยคุโด้”
“ไม่ยักรู้ว่าฮัตโตริ เฮย์จิ
นักสืบชื่อดังแห่งคันไซจะเชื่อเรื่องดวงกับเขาด้วย”
อืม เขารู้สึกไปเองรึเปล่าว่าคุโด้กำลังเหน็บเขาอยู่?
……………………………………….
เปรี้ยง!
จะด้วยดวงรึอะไรก็ตาม
ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าคุณนักสืบม.ปลายแห่งภาคตะวันออกคุโด้ ชินอิจินั้นมีพลังดึงดูดคดีได้ไม่ว่าจะอยู่ในร่างไหนก็ตาม
“โอ๊ย”
เสียงร้องของเด็กชายตามหลังเสียงที่เขามั่นใจว่าต้องเป็นเสียงปืนไม่ผิดแน่
“คุโด้ เป็นอะไรรึเปล่า”
เขากรอกเสียงที่ไม่เบานักลงไปในโทรศัพท์มือถือที่ใช้ติดต่อคนที่อยู่ปลายสาย
รู้สึกร้อนรนมากยิ่งกว่าเดิมเพราะสถานการณ์ดูจะเลวร้ายยิ่งกว่าที่คิด
กริ๊ก ตู้ดๆ
เสียงสัญญาณที่โดนตัดไปชวนให้ใจหาย
เขายืนทำหน้าเครียดมองหน้าจอโทรศัพท์ที่แจ้งเตือนแบตเตอรี่อ่อนก่อนจะดับมืดไปอยู่ที่สี่แยกใจกลางเมืองที่เขาไม่คุ้นเคย
ฮัตโตริ เฮย์จิ
แหงนหน้ามองท้องฟ้าที่กำลังเปลี่ยนสีเป็นสีของยามราตรีขณะที่หัวสมองกำลังนึกหาเบาะแส
แต่ใจที่ไม่สงบจากเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่บ่งบอกว่าสถานการณ์เลวร้ายนั้น
ทำเอาคิดอะไรไม่ออก
บ้าจริง คลาดสายตากันนิดเดียวแท้ๆ
นึกย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน
เขากับคุโด้กำลังอยู่ในระหว่างทางกลับสำนักงานนักสืบโมริหลังจากที่เดินเที่ยวมาทั้งวัน
กำลังนึกดีใจอยู่ดีๆฟังก์ชั่นเทพแห่งความตาย(?)ของคุโด้ไม่ทำงาน ก็…
“อา นายรอตรงนี้ก่อนนะฮัตโตริ ฉันขอซื้อกาแฟกินสักหน่อย
จะเอาอะไรมั้ย?”เจ้าเด็กแว่นเอ่ยพร้อมสายตาที่จ้องมองไปตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
“กาแฟ? เป็นเด็กเป็นเล็กกินกาแฟไม่ดีนา”เขาเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงคล้ายผู้ใหญ่ดุเด็ก
“ตลกเหอะ ตกลงจะเอาอะไรมั้ย?”คนโดนแซวขมวดคิ้วตวัดสายตาค้อนขวับ
“อืม…ชานม”เขานิ่งคิดแล้วตอบกลับไป
สังเกตเห็นตาสีฟ้าเข้มของฝ่ายเบิกกว้างเล็กน้อย
“ชานม?”
“ชานม”
เขายังคงย้ำคำเดิม ก็ไม่ใช่ของชอบอะไรหรอกก็กินได้แหละนะ
แต่ที่เลือกอย่างนี้ก็แค่อยากดูปฏิกิริยาของเด็กนี่สักหน่อย
“กินอะไรไม่สมกับตัวเลยแหะ”เด็กชายพึมพำ
“เข้าใจแล้ว รอตรงนี้นะ”
เขามองโคนันวิ่งขึ้นไปด้านหน้าเพื่อจะข้ามทางม้าลาย
จะว่าไปคนที่ควรจะไปซื้อคือเขารึเปล่านะ เอาเถอะ
ยังไงเจ้านั่นก็ไม่ใช่เด็กสักหน่อย แล้วมันก็ใกล้แค่นี้เอง
ในตอนนั้นเขาคิดอย่างนั้นและก็เป็นความคิดที่ผิดมหันต์เลย
รถตู้สีขาวที่คาดว่าน่าจะเป็นรถเช่าจอดเทียบที่ฝั่งตรงข้ามตรงจุดที่คุโด้หันหลังให้ขณะกดน้ำ
คนร้ายที่คลุมหน้าด้วยหมวกไหมพรมลงมา
ด้วยความที่ทัศนวิสัยถูกบดบังด้วยรถใหญ่ที่วิ่งสวนผ่านมาพอดีทำให้เขาไม่เห็นเหตุการณ์ต่อจากนั้น
พอจะร้องเตือนก็สายเกินไปเพราะเมื่อทางโล่งรถตู้คันนั้นก็หายไปพร้อมกับเด็กชาย
ชินอิจิ ไม่สิ เอโดกาว่า โคนัน โดนลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตาของเขา
เขาออกวิ่งทันทีไล่ตามรถตู้ที่มองเห็นอยู่ข้างหน้าก่อนที่จะลับสายตาไปเมื่อรถเลี้ยวโค้งไปทางซ้าย
แน่นอนว่าแค่วิ่งตามก็เต็มกลืน ถ้ารอข้ามถนนไปอีกไม่มีทางตามทันแน่
เขาโทรบอกตำรวจและลุงโมริทันทีพร้อมแจ้งป้ายทะเบียนรวมทั้งลักษณะรถไปแล้ว
แน่นอนว่าเขาไม่คิดจะปล่อยให้ตำรวจตามหาอย่างเดียวแน่
มันเป็นความผิดของเขาที่ปล่อยให้คุโด้ไปคนเดียว
ก็อยากจะบอกว่าเป็นอย่างนั้นแหละนะ
แต่เอาเข้าจริงๆเขาก็ไม่แน่ใจว่าไปเพราะเป็นห่วงรึเพราะเลือดนักสืบมันทำงานกันแน่
ครืดๆ
โทรศัพท์สั่นขึ้นมาหลังจากที่เขาเดินสอบถามชาวโตเกียวมาสิบคนว่าเห็นรถตู้ของคนร้ายบ้างมั้ย
พอหยิบขึ้นมาเห็นชื่อที่โชว์ขึ้นมาหัวใจเขาก็พาลเต้นด้วยจังหวะที่ต่างจากปกติ
“คุโด้!?”
“ฮัตโตริ? อา จะเรียกว่าโชคดีมั้ยนะ”ปลายสายพูดพึมพำ
นายไม่เป็นไรสินะ? ก็อยากจะถามอย่างนั้นอยู่หรอกแต่สิ่งที่สำคัญกว่าตอนนี้คือ…
“นายอยู่ที่ไหน?”
“นั่นมันงานของนายที่ต้องหาแล้วล่ะ ฮัตโตริ เฮย์จิ
ฉันโดนยาสลบรู้ตัวก็โดนมัดมือมัดเท้าแถมปิดตาอีกต่างหาก ของก็โดนเอาไปหมดเลย
เหลือแต่โทรศัพท์รูปต่างหูนี่แหละ คงเพราะแรงกระแทกทำให้ปุ่มหมายเลขไม่ทำงาน
ฉันต้องกดโทรซ้ำแทน ยังลุ้นอยู่ว่าจะไปติดที่ใคร
ฉันเดาว่านายคงแจ้งสารวัตรเมงุเระกับคุณลุงแล้วสินะ
ฉันจะบอกเบาะแสเท่าที่รู้ให้ฟัง…”
ด้วยเหตุนี้การตามหาจึงจำกัดวงได้แคบลงเป็นสถานที่สามารถได้ยินเสียงรถไฟ
แต่แม้จะตัดที่ไกลๆเกินกว่าจะพาตัวคุโด้ไปได้ภายในเวลาหนึ่งชั่วโมงออกไป
รางรถไฟในโตเกียวก็ยังเยอะเกินไปอยู่ดี ตอนนั้นเองที่ปลายสายเกิดเรื่องขึ้น
เสียงปืน เสียงร้องของคุโด้ และแบตที่หมดได้ผิดจังหวะมาก
ฟ้าเริ่มมืดแล้วแต่เขายังทำอะไรไม่ได้สักอย่าง
บ้าเอ๊ย
เขานึกอยากจะเตะถังขยะระบายอารมณ์อยู่หรอก
แต่การกระทำกลับถูกสติฉุดรั้งเอาไว้
นึกสิ นึก นึกเข้าฮัตโตริ เฮย์จิ เบาะแส มันต้องมีเบาะแสสิน่า
ฟ้ามืด?
จะว่าไปรถตู้คันนั้นเห็นสารวัตรบอกว่าไม่มีในบันทึกคงจะเป็นป้ายทะเบียนปลอม
รถคันนั้นติดฟิล์มสีดำ ดำเข้ม…ดำเข้ม
เขาพุ่งตัวเข้าไปในตู้สาธารณะต่อสายถึงตำรวจหลังจากที่ติดต่อหาสารวัตรเขาก็พูดเสียงรัวเร็วปนหอบหายใจ(เพราะวิ่งมา)
“สารวัตรหารถตู้ที่ติดฟิล์มดำ เอาค่าที่สูงเกินกว่ากฎหมายห้ามนะครับ
ต้องเป็นรถใหม่ เจ้าของก็ต้องมีโกดังหรือสถานที่จะเก็บตัวประกันได้
สถานที่นั้นต้องอยู่ไม่ไกลจากจุดที่คุโด้โดนพาตัวไปเกินกว่าจะเดินทางในหนึ่งชั่วโมง
และเป็นที่ที่ได้ยินเสียงรถไฟ
ฟังจากที่คุโด้ว่าคนร้ายน่าจะเป็นแก๊งลักเด็กที่เพิ่งออกข่าวไม่นานนี้”
“คุโด้คุง? คุโด้คุงรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ”ปลายสายว่างงๆ
“เอ่อ ผมหมายถึงโคนันคุงน่ะครับสารวัตรคงฟังผิด
ช่วยหาตามที่บอกด้วยนะครับ ด่วนที่สุดเลย
ผมจะถือสายรอพอดีมือถือผมแบตหมด”เขาแก้ตัวเสียงแห้งพร้อมกำชับอีกรอบ
“เข้าใจแล้ว”
อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะคุโด้
……………………………………….
มีบางอย่างไม่ถูกต้อง
ทั้งๆที่เกือบจะรู้ที่อยู่แล้วแท้ๆ แต่ผลที่ได้กลับ…
“เสียใจด้วยนะ ฮัตโตริคุง
เราลองค้นตามที่เธอว่าแล้วแต่ไม่มีใครที่เข้าข่ายเลยสักคน”สารวัตรเมงูเระกล่าวหลังจากที่หายไปนานเกือบครึ่งชั่วโมง
ยังดีที่สมัยนี้ไม่ค่อยมีใครใช้โทรศัพท์สาธารณะนัก ไม่งั้นมีหวังได้ต่อคิวรอกันยาวเหยียด
“สารวัตรเช็คดีแล้วหรือครับ”เขากล่าวอย่างร้อนใจ
ไม่รู้ตอนนี้คุโด้จะเป็นยังไงบ้าง
“เราเช็คกันหลายรอบแล้วฮัตโตริคุง”
หมายความว่าข้อสันนิษฐานเขาผิดพลาดงั้นเหรอ? ต้องกลับไปเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น?
เปรี้ยง!
เสียงปืนดังสนั่นทำให้เด็กหนุ่มผิวเข้มสะดุ้งตกใจจนเกือบทำโทรศัพท์หลุดมือ
เขาหันขวับกลับไปมองอย่างรวดเร็ว และ…
พบกันเร็วๆนี้ในโรงภาพยนตร์
“เกิดอะไรขึ้น!”ปลายสายกล่าวด้วยเสียงตระหนก
นั่นมันโฆษณาหนัง?
“ฮัตโตริคุง!”
“หา? อ๊ะ ครับๆ ไม่มีอะไรแค่เสียงเอฟเฟ็คท์หนังเท่านั้นล่ะครับ”
“อ๋อ หนังฝรั่งเรื่องใหม่น่ะนะ
ทีเซอร์ตัวนี้ทำให้เกิดการเข้าใจผิดมาหลายครั้งแล้ว
เก็อยากจะระงับการออกอากาศอยู่หรอก แต่คงต้องทำเรื่องไปอีกที หลายขั้นตอนน่าดู”
คงไม่ใช่ว่า…
“เอ่อ สารวัตรครับ ช่วยตรวจสอบการปล่อยทีเซอร์เรื่องนี้ว่ามีที่ไหนออกอากาศให้ได้มั้ยครับ”
……………………………………….
ยี่สิบนาทีต่อมาฮัตโตริ เฮย์จิก็มาหยุดอยู่หน้าโกดังร้างแห่งหนึ่ง
ทั้งที่วิ่งมาตลอดทางจนเหนื่อยหอบแต่พอมาถึงที่หมายเขาก็สงบลงได้อย่างประหลาด
อาจจะเป็นเพราะพอจะจับเค้าลางได้แล้วว่าเสียงที่ได้ยินนั้นไม่ใช่เสียงของปืนจริงๆ
นั่นหมายความว่ามีความเป็นไปได้สูงที่คุโด้จะยังปลอดภัย
ฉะนั้นตอนนี้ทางเลือกของเขามีสองอย่าง…
1.บุกเดี่ยวสู้ตายไปช่วยคุโด้กับเด็กคนอื่นๆออกมา
2.รอกำลังเสริมจากตำรวจ
แกรก
“อ๊ะ…”
“แกเป็นใคร!?”
ดูเหมือนว่าจะมีคนเลือกให้เขาแล้ว
ฮัตโตริวิ่งสุดฝีเท้าแล้วกระโดดพุ่งเข้าใส่เจ้าคนร้ายที่เปิดประตูออกมาเห็นเขายืนลังเลอยู่หน้าประตู
“จับมัน!”
บางทีเขาก็ลืมไปว่าขึ้นชื่อว่าแก๊งแล้วถ้ามีคนร้ายแค่คนสองคนก็เสียชื่อแย่
เขาเหงื่อตกจ้องอาวุธนับสิบที่มีหลากหลายนับตั้งแต่ไม้หน้าสามไปจนถึงมีดในมือของคนร้าย
อืม บางทีบุกเดี่ยวคงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่
อาจจะเป็นโชคเพียงน้อยนิดของนับสืบหนุ่มจากคันไซที่คนร้ายไม่มีปืน
เขาก็เลยใช้แผนที่ง่ายที่สุดที่สมองอันชาญฉลาดคิดได้ตอนนี้นั่นคือ…วิ่งหนี
เขาสปริงตัวลุกขึ้นแล้วโกยหน้าตั้งไม่สนทิศทางเพราะยังไงการโดนล้อมกรอบนั้นก็มีแต่ต้องเสี่ยงชนกับคนร้ายคนใดคนหนึ่งอยู่แล้ว
เขาพุ่งชนคนร้ายแล้ววิ่งต่อโดยมีคนร้ายคนอื่นๆวิ่งตามมาเป็นพรวน
เขาเลี้ยวซ้ายทีขวาทีและ…
หมับ!
ใครบางคนยื่นมือมาดึงเขาหลบเข้าซอกแคบๆ
“อื้อ”
นี่เขา…โดนฉุด?
เขาอ้าปากเตรียมจะกัดเจ้าคนคนนั้นให้เลือดสาดก็…
“ถ้านายกัดฉัน เตรียมออกไปโดนยำเละข้างนอกได้เลยฮัตโตริ”
เสียงนี้มัน…
เขาสะบัดตัวไปมาส่งสัญญาณว่าให้ปล่อยตัว
ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำตามอย่างไม่ขัดข้อง ฮัตโตริหมุนตัวเพื่อมองหน้าคนที่ดึงตัวเขามา
“คุโด้!?”
อย่างที่คิดเลยคนคนนี้คือ คุโด้ ชินอิจิ
นักสืบม.ปลายที่เขากำลังตามหาตัวอยู่ คำถามคือทำไมถึงอยู่ในสภาพนี้?
วิเคราะห์จากรอยเปื้อนบนเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวและคราบฝุ่นที่บริเวณหัวเข่าของกางเกงขาวยาวสีน้ำเงินอ่อน
ฮัตโตริก็เงยหน้ามองสิ่งที่อยู่เหนือหัวตัวเอง
ท่อระบายอากาศ
“นายกลับร่างเดิมด้วยด้วยวิธีการบางอย่างจากนั้นก็หนีออกมาผ่านทางท่อระบายอากาศ…นี่ชักจะเหมือนหนังเข้าไปทุกทีแล้วนะคุโด้”
“แล้วการที่พ่อหนุ่มเลือดร้อนบางคนไม่คิดหน้าคิดหลังบุกเดี่ยวเข้ามาแล้วก็ทำได้แต่เผ่นหนีอย่างเดียวนั่นมันคืออะไรฮัตโตริ”
คุโด้กล่าวด้วยน้ำเสียงดุๆ
“แหะๆ
พอดีมันเกิดเหตุฉุกเฉินนิดหน่อย”เขาหัวเราะเสียงแห้งตอบเสียงอ้อมแอ้ม
"เออจริงสิ นายบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า
ฉันได้ยินเสียงนายร้องโอ๊ยก่อนที่สายจะตัดไป แล้วยังเสียงที่คิดว่าเป็นเสียงปืน
แต่อันที่จริงมันคือโฆษณาใช่มั้ย?"ถึงเขาจะสันนิษฐานไว้อย่างนั้น
และก็เป็นข้อสันนิษฐานนั้นเองที่พาให้เขามาถึงรังโจร
แต่ถ้าอย่างนั้นทำไมคุโด้ถึงต้องร้องโอ๊ยล่ะ
“ก็แค่มีโจรขวัญอ่อนที่อยู่ชั้นลอยตกใจเสียงที่นายว่าจนเผลอปล่อยแก้วลงมาโดนหัวฉันแบบพอดิบพอดีเท่านั้นเอง
ว่าแต่นายคงจะแจ้งตำรวจแล้วสินะ”
“อืม”
“ดี ถ้างั้นเรามาคิดหาวิธีออกจากที่นี่กัน นายมีอะไรติดตัวมาบ้าง?”
……………………………………….
หลังจากนั้นทุกอย่างก็จบลงด้วยดีอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือนะฮัตโตริคุง”
“อ่า ไม่เป็นไรครับ”
เขาตอบไปอย่างรวดเร็วพลางโบกไม้โบกมือ
เพราะอันที่จริงสิ่งที่เขากับคุโด้ทำก็มีแค่แอบปล่อยตัวเด็กๆออกไปแล้วก็ปล่อยแก๊สยาสลบรมควันเจ้าพวกคนร้ายไว้ในโกดังและรอเวลาที่ตำรวจมาเท่านั้น
ซึ่งแก๊สยาสลบพวกนั้นก็เป็นของที่อยู่ในโกดังตั้งแต่แรกอยู่แล้วซึ่งคุโด้ไปเจอโดยบังเอิญระหว่างที่หลบหนี
“เดี๋ยวที่เหลือพวกเราจะจัดการเอง แล้วนี่โคนันคุงล่ะ?”สารวัตรเมงูเระว่าพลางหันซ้ายหันขวามองหาเจ้าเด็กแว่น
“เอ่อ…เขาไปเข้าห้องน้ำน่ะครับ เห็นว่าอั้นมานาน
เรื่องให้ปากคำผมว่าเลื่อนไปพรุ่งนี้ท่าจะดีนะครับ”เขาบอกเหตุผลออกไปมั่วๆ
เพราะตอนนี้มีโคนันคุงอะไรนั่นที่ไหนล่ะ มีแต่คุโด้
ชินอิจิตัวเป็นๆที่โยนภาระรับหน้ากับตำรวจมาให้เขาแล้วหายตัวจ้อย
“ได้…อ้อ โมริคุงเขาฝากมาบอกว่าต้องไปรับพวกรันคุง
ให้เธอพาโคนันคุงกลับบ้านด้วย”
“เข้าใจแล้วครับ”
เขาตอบคำถามกับตำรวจอีกสองสามคำแล้วก็ขอแยกตัวออกมา
หลังจากที่มองจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครตามมา เขาก็ผลุบหายเข้าไปที่ซอกตึก ณ
ที่ตรงนั้นภายใต้ความมืด มีร่างร่างหนึ่งยืนพิงกำแพง
สองมือซุกกับกระเป๋าของเสื้อกันหนาวสีดำที่คาดว่าเพิ่งไปซื้อมาใหม่
“ไปกันเถอะ คุโด้”
ร่างนั้นใช้มือหนึ่งจับปีกหมวกที่เขาให้ยืมใช้แล้วเดินก้มหน้าก้มตาออกมาเพื่อจะทำหน้าที่ไกด์นำทางมาทัวร์โตเกียวในยามค่ำคืน
.
.
.
“อรุณสวัสดิ์ครับ คุโด้”
เปลือกตาของคนโดนปลุกขยับยุกยิกก่อนจะลืมขึ้น
ดวงตาสีฟ้ากะพริบไล่ความง่วงสองสามที สองตามองไปยังคนที่นอนหันหน้ามาหาตน
แล้วคลี่ยิ้มเอ่ยคำทักทายกลับไป
“อรุณสวัสดิ์ ฮัตโตริ”
“ผมเห็นคุณนอนอมยิ้ม ฝันดีงั้นเหรอ?”
“ฉันฝันเห็นเราสองคน…ในอีกโลกหนึ่ง”
“ผมเดาว่าคุณในโลกนั้นต้องทำให้ผมในโลกนั้นหลงหัวปักหัวปำแน่นอน”ฮัตโตริพูดอย่างมั่นใจพร้อมขยับตัวขึ้นคร่อมอีกคนอย่างรวดเร็ว
“ไม่รู้สินะ ทั้งฉันทั้งนายในโลกนั้นยังเด็กอยู่เลย
และดูเหมือนว่าจะไม่ได้คิดเรื่องอะไรแบบนั้นด้วย”คุโด้พูดแล้วหัวเราะคิกคักด้วยความจั๊กจี้เมื่ออีกคนเริ่มจะเข้าโหมดหื่น(?)เข้ามาซุกไซร้ซอกคอเขา
“ผมเชื่อว่าไม่ว่าจะในโลกไหนผมกับคุณก็หนีกันไม่รอดหรอกครับ”
“แต่ว่าฉันในโลกนั้นชอบผู้หญิงคนหนึ่ง…โมริ รัน อา เธอน่ารักจริงๆนะ”
ฮัตโตริเงยหน้าขึ้นมาทันควัน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน
“นี่คุณกำลังจะพยายามทำให้ผมหึง?”
คำพูดนั้นทำให้คุโด้ ชินอิจิรู้สึกขำ
“นายกำลังหึงตัวฉันในอีกโลกหนึ่งนะ
อีกอย่างนายในโลกนั้นก็ชอบผู้หญิงที่ชื่อคาซึฮะเหมือนกัน”
“ผมไม่สนหรอกว่าคุณในโลกนั้นหรือผมในโลกนั้นจะชอบใคร ที่ผมสนคือ ‘คุณ’ เพิ่งจะชมคนอื่นนอกจากผมว่าน่ารัก”
“อา ฮัตโตริ เฮย์จิ
ตำรวจใหม่ไฟแรงที่เพิ่งเข้าสังกัดหน่วยของฉันนี่ช่างเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยจังเลยน้า”ชินอิจิพูดหยอกล้อ
มือเรียวดึงแก้มแฟนหนุ่มที่ทำหน้าบึ้งตึง
“ใช่ซี่ ใครจะไปเยือกเย็นได้ตลอดเวลาเหมือนหัวหน้าหน่วย คุโด้
ชินอิจิ ล่ะครับ”
“โอ๊ะโอ๋ น้อยใจซะแล้ว”
“ผมว่าเรารีบอาบน้ำแต่งตัวกันก่อนที่จะไปทำงานสายกันดีกว่านะครับ”ฮัตโตริไม่พูดเปล่า
เขาขยับตัวลุกแต่ก็โดนอีกคนรั้งตัวเอาไว้เสียก่อน
“ถามจริง? นายจะรีบไปทั้งที่ตอนนี้เพิ่งจะหกโมงและที่ทำงานก็อยู่ห่างไปแค่บล็อกเดียวนะเหรอ”
“…”
“ก็ได้ ยังไงถ้าไปเช้าฉันก็จะได้ตรวจงานเร็วขึ้นเท่านั้นเอง
ยังไงวันนี้เราก็ต้องเลิกเร็วอยู่แล้ว”
“เลิกเร็ว?”
ตาสีน้ำเงินอมเขียวฉายแววงุนงง
เพราะคำพูดของเจ้านายทำให้เขาลืมที่จะโกรธไปชั่วขณะ ไม่สิ
อันที่จริงแล้วเขาไม่เคยที่จะสามารถโกรธคนคนนี้ได้จริงๆจังๆอยู่แล้ว
แม้ในเวลาที่อีกฝ่ายเอาแต่ใจซึ่งก็มีไม่มากนักหรอก เขาก็ไม่เคยจะขัดได้สำเร็จ
เรียกได้ว่าเป็นคนที่แพ้ทางอย่างสิ้นเชิงก็ว่าได้
“อะไรกัน อย่าบอกนะว่าลืมวันเกิดตัวเองแล้วน่ะ ฮัตโตริ”
“วันเกิด?”
“ก็ใช่น่ะสิ คิดว่าฉันนั่งเคลียร์งานดึกๆดื่นๆเพราะอะไรกัน
ฉันต้องการให้วันนี้ว่างน่ะสิ แต่สุดท้ายก็ว่างได้แค่ครึ่งวัน โทษทีนะ”
ฮัตโตริ เฮย์จิ จ้องหน้าคนที่กำลังพนมมือขอโทษเขาแล้วก็ส่ายหัว
“ขอโทษอะไรกันครับ ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ
ขอโทษที่ทำให้ตาสวยๆของคุณเกิดรอยคล้ำ”เขายื่นมือไปแตะใต้ตาของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา
“ฮัตโตริ”
“คระ…”
โดยไม่ทันได้ตั้งตัวคอเสื้อของเขาก็โดนดึงจนต้องโน้มตัวตามและเขาก็ได้รับของขวัญวันเกิดที่ดีที่สุด
มันไม่ใช่จูบที่ลึกซึ้ง เป็นแค่การแตะปากกันอย่างรวดเร็วภายในเสี้ยววินาที
แต่น่าแปลกที่มันทำให้เขาหัวใจเต้นแรงจนกลัวว่าจะหลุดออกมาจากอก
“สุขสันต์วันเกิดนะ
ฉันดีใจที่คนที่ฉันกล่าวอรุณสวัสดิ์เป็นคนแรกคือนาย”หัวหน้าของเขาพูดโดยไม่มองหน้า
เอาแต่ก้มหน้าก้มตาและด้วยทักษะสืบสวนเขาเชื่อว่าแฟนเขากำลังเขิน
“หัวหน้าครับ หูคุณแดงหมดแล้ว”
“ฉันรู้น่า แล้วมันใช่แค่หูที่ไหนกัน”ชินอิจิพึมพำ
“หัวหน้าครับ ผมไม่ใช่คนที่เชื่อเรื่องการอธิษฐานขอพรสักเท่าไหร่
แต่วันเกิดปีนี้ผมจะอธิษฐาน”
“อธิษฐานว่าอะไร?”
ดูเหมือนว่าความอยากรู้อยากเห็นจะทำให้ความเขินของชินอิจิหายวับไปกับตาราวกับเรื่องโกหก
บางทีมันอาจจะเป็นหนึ่งในทักษะสำคัญที่ทำให้หัวหน้าเขาได้เป็นหัวหน้าหน่วยสืบสวนที่อายุน้อยที่สุด
“อธิษฐานว่าขอให้ผมได้เป็นคนแรกที่กล่าวอรุณสวัสดิ์กับคุณในทุกๆเช้า
ทุกๆวันนับจากนี้ไป”
“…ฮัตโตริ”
“ครับ?”
“ครั้งหน้าที่นายพูดประโยคนี้อย่าลืมแหวนล่ะ”
-จบ-
......................................................................................................................................................................................
คุยกันหน่อย
ก่อนอื่นสำหรับคนที่อ่านแล้วงงก็ต้องขออภัยเพราะพล็อตเรื่องมันมาจากฝันของข้าพเจ้าเอง
มันก็เลยออกมาแหวกเช่นนี้แล ฟิคนี้เป็นคู่เฮย์จิกับโคนันตรงไหน? ตอบตามตรงและเต็มปากเต็มคำเลยว่าความสัมพันธ์ของสองคนนี้ในรูปแบบที่เป็นคนรักนั้นคือคู่
เฮย์จิชินอิจิในอีกโลกหนึ่งถึงเป็นผู้ใหญ่ทำงานเป็นตำรวจทั้งคู่
ส่วนเฮย์จิกับโคนันที่โผล่ออกมาตั้งแต่แรกจนเกือบจบเรื่องนั้นเป็นไปตามแบบเนื้อเรื่องออริจินัล
คือเป็นแค่คู่หูกันเฉยๆ แล้วมันมารวมอยู่ในเรื่องเดียวกันได้เพราะ
ชินอิจิที่เป็นตำรวจฝันเห็นตัวเองกับเฮย์จิในอีกโลกหนึ่งนั่นเอง ใครมีความคิดเห็นยังไงฝากติชมด้วยนะคะ
ป.ล.ส่วนเรื่องราวของหัวหน้าคุโด้กับลูกน้องฮัตโตริอาจมีมาเป็นเรื่องยาวภายหลังนะ
(แต่ก็แค่อาจจะเท่านั้นแหละ เพราะตอนนี้ก็ดองนิยายเรื่องอื่นไว้อยู่)
ทำไมเขินนนนน >////<
เขาพูดครับกันด้วยแหละเธอว์~
//จิกหมอนนนน