ชายในความฝัน - ชายในความฝัน นิยาย ชายในความฝัน : Dek-D.com - Writer

    ชายในความฝัน

    สิ่งที่ไม่คาดคิดกำลังจะเกิดขึ้นกับหญิงสาว... เรื่องราวจะเป็นอย่างไรโปรดติดตาม...

    ผู้เข้าชมรวม

    1,008

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    1K

    ความคิดเห็น


    15

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  13 มิ.ย. 46 / 19:20 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ชายในความฝัน

          ...หญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นจากภวังค์ มองไปรอบๆห้องที่มีเพียงความมืดมิดและความว่างเปล่า
          … “ทำไมฉันถึงตื่นขึ้นมาตอนนี้ได้นะ” หล่อนคิด พลางเอามือเกาหัวตัวเองแกรกๆ  …จากนั้นหล่อนก็พยายามข่มตาให้หลับลง… แต่…วารีก็ไม่สามารถจะดึงตัวเองให้กลับเข้าสู่ภวังค์แห่งความหลับใหลได้… เมื่อเสียงอันแหบและเบาแฝงไว้ด้วยความน่ากลัวของใครคนหนึ่ง แว่วเข้าสู่โสตประสาทของหล่อน…
          “วารี… วารี… ฉันอยู่นี่” …เสียงอันน่าสะพรึงกลัวนั้นดังเป็นระยะๆ อยู่สองสามครั้ง แล้วก็เงียบหายไป…
          “ให้ตายสิ! ฉันคงหูแว่วไปแน่ๆ จะมีใครมาเรียกฉันในยามดึกเช่นนี้ได้” วารีพึมพำกับตัวเองเบาๆ … หล่อนนอนพลิกตัวไปมา และพยายามทำใจให้สงบ…
          … ขณะที่วารีกำลังจะเคลิ้มหลับไปนั้น …หญิงสาวก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นอีกครั้ง …เสียงฝีเท้าของใครบางคนที่ถูกลากกับพื้นบ้านดังขึ้น และ ดังขึ้นเรื่อยๆ…ใกล้เข้ามาที่ประตูห้องของหญิงสาว… หล่อนตกอยู่ในอาการตกใจระคนหวาดกลัว เพราะทั้งบ้านมีวารีอยู่เพียงลำพัง … เสียงนั้นยังคง ใกล้เข้ามาๆ… เหงื่อไหลออกมาจนท่วมใบหน้าและร่างกายของหญิงสาว ทั้งๆที่เครื่องปรับอากาศภายในห้องนอนยังคงทำงานอยู่…
          …”ตายล่ะ… ฉันจะทำอย่างไรดี…ใครกัน…ใครอยู่ที่ประตู… มันกำลังจะมาฆ่าฉันใช่มั้ย… ฉันต้องตายแน่แล้วใช่มั้ยนี่…” ความกลัวได้เข้าครอบงำจิตใจของหญิงสาวอย่างที่หล่อนไม่เคยรู้สึกมาก่อน  หล่อนทั้งกลัว และสับสนจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นอนนิ่งงันอยู่บนเตียง… รอเวลา และ รอ…ให้เหตุการณ์ร้ายๆเกิดขึ้น…  วารีพยายามเรียกสติตนเองคืนกลับมา หล่อนพยายามคิดว่าหล่อนคงจะหูแว่วไปเอง หรืออาจคิดมากไป… หล่อนลุกขึ้นจากเตียงเพื่อเดินไปกดสวิตช์ไฟที่ข้างๆประตูห้อง… แสงไฟฟ้าภายนอกบ้านที่เล็ดลอดเข้ามาในห้องยังคงเพียงพอสำหรับที่หญิงสาวจะสามารถลุกเดินไปกดสวิตช์ไฟโดยไม่ชนข้าวของอะไรภายในห้องได้…  และ… ทันทีที่ห้องสว่าง…
          …“แอ๊ด…” ประตูห้องค่อยๆถูกใครบางคนแง้มเปิดออกอย่างช้าๆ…
          …วารีตกใจสุดขีด…
          …เมื่อประตูถูกเปิดออก…ภาพของชายร่างสูงใหญ่ สวมเสื้อโค้ชสีดำตัวหนา พร้อมด้วยกางเกงสีดำ และรองเท้าบู๊ตหนังสีดำก็ปรากฏขึ้นแก่สายตาหญิงสาว… วารีไม่อาจทราบได้ว่าชายผู้นั้นคือใคร และมีหน้าตาเป็นเช่นไร เพราะชายน่ากลัวผู้นั้น สวมหน้ากากโลหะปิดบังใบหน้าที่แท้จริงเอาไว้… แต่นั่นก็อาจเป็นการดีกว่าที่ชายผู้นั้นจะเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงที่ถูกอำพรางเอาไว้ ซึ่งมันอาจน่าเกลียดน่ากลัวยิ่งกว่านี้เสียอีกหลายเท่าก็ได้…  วารีอยู่ในอาการช็อก …ชายผู้นั้นสวมถุงมือหนังสีดำ และถือเลื่อยไฟฟ้าอยู่ในมือ… กลิ่นคาวเลือดที่คลุ้งกระจายไปรอบๆ จากชายคนนั้นชวนให้หญิงสาวรู้สึกคลื่นไส้ และสะอิดสะเอียนยิ่งนัก…
          …เสียงเลื่อยไฟฟ้าดังขึ้น… เมื่อชายผู้นั้นควบคุมให้มันเริ่มทำงาน… วารียังตกอยู่ในอาการนิ่งงัน…  ชายผู้นั้นค่อยๆเงื้อมือที่ถือเลื่อยไฟฟ้าขึ้น…
          “กรี๊ด!…” วารีกรีดร้องสุดเสียง… แต่ไม่ทันที่วารีจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากใบเลื่อยไฟ้ฟ้าที่กำลังจะกรีดเฉือนลงบนเนื้อของหล่อน … หล่อนก็รู้สึกเหมือนว่าภาพเหตุการณ์ในเวลานั้นค่อยๆเลือนหายไป… และเหมือนมีอะไรบางอย่างมากระตุกหล่อนออกจากภวังค์…
          “ฉันฝันไปหรือนี่” วารีตกใจตื่นขึ้น ซึ่งครั้งนี้ไม่ใช่ความฝัน  หล่อนตื่นขึ้นจากภวังค์แห่งฝันร้ายจริงๆแล้ว … ความสับสน…อาการตกใจ…ความหนักอึ้งในอกของหล่อนหายไป… เหลือเพียงแค่ความหวาดกลัวที่ยังคงฝังรากลึกอยู่ภายในจิตใจของหญิงสาว
          “เฮ่อ… ช่างเป็นความฝันที่น่ากลัวจริงๆ… แต่มันก็แค่ความฝันนี่นะ… คงเป็นเพราะเมื่อวานฉันดูเรื่องเจสันแน่ๆ…ใช่ล่ะ…ใช่แล้ว…ฉันคงเก็บมันมาคิดมากไปหน่อย…” หล่อนพึมพำกับตัวเองในความมืดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ …ใบหน้าของวารีซีดเผือดและชุ่มไปด้วยเหงื่อ… หญิงสาวลุกไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา …หล่อนดูนาฬิกา และพบว่าเวลานั้นเป็นเวลาตีสาม หล่อนตัดสินใจเข้านอนต่อ… ครั้งนี้หญิงสาวไม่ต้องใช้ความพยายามในการดึงตัวเองเข้าสู่ภวังค์แห่งความหลับใหลมากนัก… วารีหลับได้อย่างสนิทด้วยความอ่อนเพลีย  จนกระทั่งถึงเช้าวันใหม่…
          …เช้าวันต่อมา วารีตื่นขึ้นแต่เช้า รีบอาบน้ำแต่งตัว และหล่อนก็ออกจากบ้านไปกับรถเก๋งคู่ใจสีดำคันเล็ก โดยไม่ได้ทานอาหารเช้า เพื่อไปยังที่ทำงานซึ่งอยู่ห่างออกไปราวๆ 25 กิโลเมตรให้ทันเวลา  และแน่นอนว่ากว่าวารีจะไปถึงที่ทำงานก็กินเวลาในการเดินทางไปถึงเกือบชั่วโมงเต็มๆ เพราะหล่อนคือชาวกรุง ที่ต้องประสบกับปัญหาการจราจรติดขัดอย่างเลี่ยงไม่ได้…
          …เมื่อ 4 ปีที่แล้ววารีเป็นคนต่างจังหวัด เธอเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ โดยมาเช่าบ้านเช่าอาศัยอยู่เพียงลำพัง หล่อนทำงานเป็นเลขานุการของบริษัทผลิตอะไหล่รถยนต์ขนาดกลางบริษัทหนึ่ง ซึ่งรายได้ของหล่อนอยู่ในเกณฑ์พอประมาณ ไม่ต่ำหรือสูงจนเกินไป… หญิงสาวทำงานอยู่กรุงเทพฯมานาน… โดยที่หล่อนไม่มีภาระให้กังวลหน้ากังวลหลังเพราะหล่อนกำพร้าตั้งแต่เล็กๆ และ ตอนนี้ก็ไม่มีญาติของวารีคนใดที่มีชีวิตอยู่แล้ว…

      …เวลาราวๆ 8 โมงเช้า…รถสีดำคันเล็กแล่นเข้าจอดที่ใต้อาคารสูง 3 ชั้น ซึ่งเป็นสำนักงานกลางของบริษัทอะไหล่รถยนต์ที่วารีทำงานอยู่…
      “อรุณสวัสดิ์ครับ… คุณวารี” เสียงของชายหนุ่มผู้หนึ่งทักหญิงสาว ทันทีที่เธอก้าวเข้าไปภายในสำนักงาน…
      “สวัสดีค่ะ…สมชาย” วารีทักตอบชายหนุ่มผิวขาว สวมแว่นตา ร่างสูงพอประมาณ ผู้ซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานด้านหน้าสุด…
      “ตรงเวลาเป๊ะเลยนะครับ วารี… ผมแหละนับถือคุณจริงๆเลย…” สมชายกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
      “คุณต่างหากล่ะคะ ที่มาก่อนเวลา ฉันควรจะนับถือคุณมากกว่ามั้ง…” วารีโต้กลับเป็นเชิงทีเล่นทีจริง
      “เปล่าเลยครับผม…พอดีวันนี้พี่นาเขาโทรตามผมต่างหากบอกว่ามีเรื่องด่วนเกี่ยวกับบัญชีที่ผมจะต้องมาเคลียร์ด่วน ไม่อย่างนั้นผมเละแน่ๆ…” ชายหนุ่มยิ้มแหยๆ
      “อ้าว…ตายจริง…แล้ว…เอ่อ…ตอนนี้เรียบร้อยแล้วเหรอคะ…บัญชีที่คุณบอกว่าต้องแก้ไขน่ะ” รอยยิ้มของหญิงสาวหายไป สีหน้าแสดงให้เห็นถึงความห่วงใย…
      “ครับๆ…เรียบร้อยแล้ว…ตัวเลขมันผิดไปหลักเดียวเองครับ แค่ตัวเดียวเอง แต่ถ้าผมไม่เคลียร์นะ…รับรอง พรุ่งนี้ผมคงไม่ได้เจอหน้าคุณแน่ๆ…”
      “เอ่อ…คุยไปคุยมานี่แปดโมงสิบห้าแล้วนี่นา… ฉันคงต้องขอตัวก่อนนะคะ แล้วเจอกันตอนกลางวัน…” หญิงสาวกล่าวทิ้งท้ายก่อนเดินเข้าลิฟต์ขึ้นชั้นสองเพื่อไปยังห้องทำงานที่ถูกจัดแยกส่วนจากพนักงานทั่วๆไปสำหรับผู้จัดการบริษัท รองผู้จัดการ เลขานุ-การ และผู้บริหารฝ่ายต่างๆ โดยเฉพาะ…

      …เย็นวันนั้นหลังจากที่วารีกลับถึงบ้าน และอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ไม่นานนัก ก็มีโทรศัพท์จากที่สำนักงานดังขึ้น…
      “ฮัลโหล… วารีพูดค่ะ…” หญิงสาวกรอกเสียงใส่ลงในหูโทรศัพท์
      “วารี… นี่พี่นาเองนะจ๊ะ… เห็นข่าวรึยัง?…” เสียงของวัณนาที่ผ่านสายโทรศัพท์มานั้นสั่นเครือ…
      “ข่าว…เอ่อ…ข่าวอะไรคะพี่นา…” วารีเริ่มรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีขึ้นมา เมื่อได้ฟังน้ำเสียงของวัณนา
      “คือ…คุณเจนภพน่ะ… เขา…เขาเสียชีวิตแล้วนะ พี่เองไม่อยากจะพูดอะไรมากไปกว่านี้เลย…เพราะว่ามันน่าสลดใจมาก คุณเจนภพเขาออกจะเป็นคนดี และเป็นคนคุ้นเคย ถึงแม้ว่าเขาจะเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นานก็ตาม… ไม่น่าเลย” วัณนาสะเทือนใจเป็นยิ่งนัก
      “…เป็น…เป็นไปได้ยังไงคะ… เมื่อเช้า…ก็เมื่อเช้ารียังเห็นเขาอยู่เลย…แล้วเขาเสียชีวิตด้วยสาเหตุอะไรเหรอคะ?…” วารีรู้สึกสะเทือนใจตามไปด้วย และสงสัยถึงสาเหตุที่เจนภพเสียชีวิต…
      “มีคนพบศพคุณเจนภพแถวๆ ซอยอะไรน้า… ซอยที่เปลี่ยวๆ ก่อนจะถึงบ้านของหนูไปหน่อยนะจ้ะ…ส่วนสาเหตุของการเสียชีวิตน่ะวารีลองเปิดโทรทัศน์ดูเอาเองนะจ๊ะ… ตอนนี้น่ะกำลังเป็นข่าวสดๆร้อนๆเลย…”
      “หา!… ที่ซอยใกล้ๆบ้านรี…” วารีอุทานออกมาด้วยความรู้สึกประหลาดใจและกลัวอย่างบอกไม่ถูก
      “เดี๋ยว… เดี๋ยวพี่ต้องออกไปข้างนอกแล้วล่ะนะ… งานสวดศพคุณเจนภพจะเริ่มคืนพรุ่งนี้นะ…” วัณนาพูดตัดบทและวางหูโทรศัพท์ไปในทันที… ไม่ทันที่หญิงสาวจะได้โต้ตอบอะไรกลับ…
      …วารีรีบจัดแจงเปิดโทรทัศน์ดู …ภาพข่าวปรากฏขึ้นเร็วทันใจหญิงสาวอย่างไม่น่าเชื่อ…
      “…ที่คอของผู้ตายมีลักษณะเป็นบาดแผลใหญ่เนื่องจากของมีคม ซึ่งจากการสันนิษฐานคาดว่าเป็นใบเลื่อย …และจากการชัณสูตรศพพบว่าผู้ตายเสียเลือดมากเนื่องจากถูกใบเลื่อยตัดที่เส้นเลือดแดงใหญ่ที่ต้นคอ…”
      ………………….
      ทันทีที่หญิงสาวได้ฟังและดูข่าวดังกล่าว หญิงสาวรู้สึกขนลุกชัน… และชาวาบไปทั้งตัว… ภาพแห่งความฝันที่หญิงสาวลืมเป็นปลิดทิ้ง บัดนี้มันได้หวนคืนกลับมาตอกย้ำความรู้สึกหญิงสาวอีกครั้ง…
      …คืนนั้นหญิงสาวนอนหลับๆตื่นๆด้วยความรู้สึกวิตกอันเนื่องมาจากข่าวเกี่ยวกับการตายของเจนภพ  รองเลขานุการคนสำคัญคนหนึ่ง… ซึ่งวารีคุ้นเคยกับเขาดี…
      …รุ่งเช้า วารีแต่งชุดดำออกไปทำงานตามปกติ …ทันทีที่วารีเข้าไปในห้องทำงาน ก็พบว่าที่โต๊ะของเจนภพได้มีการขนย้ายข้าวของบางอย่างออกไป และมีข้าวของชิ้นใหม่ซึ่งหญิงสาวรู้สึกคุ้นตาดี เข้ามาแทนที่ของที่มีอยู่เดิม…
      “สวัสดี…วารี…คุณทราบข่าวเจนภพแล้วใช่มั้ย?” เสียงของผู้จัดการบริษัทดังขึ้นแทรกเข้าสู่ความคิดของวารีที่กำลังสับสน มึนงง และสงสัยในสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น…
      “เอ่อ…สวัสดีค่ะ…ดิฉัน ซะ…ทราบแล้วค่ะ…” วารีตอบด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก จนอีกฝ่ายรู้สึกได้…
      “ผมเองก็เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนกับคุณน่ะนะ…แต่ว่าบางทีเราก็ต้องทำใจเหมือนกัน… ชีวิตคนเราเนี่ยมันไม่มั่นคงแน่นอนหรอก…” ชายวัยกลางคนกล่าวปลอบใจหญิงสาว…
      “ใช่สิ…คุณคงแปลกใจอยู่ใช่มั้ยว่า ตำแหน่งที่ว่างไปเนี่ยจะให้ใครมาแทน… ผมจัดการให้สมชายเขาเข้ามาทำหน้าที่แทนเจนภพแล้วล่ะ… พอดีผมเห็นสมชายเขาเป็นคนซื่อๆอยู่แล้ว ดูตรงไปตรงมา แล้วอีกอย่างเขามาทำงานพร้อมๆกับคุณด้วยซ้ำ… คิดว่าเขาเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ที่สุดแล้วล่ะ… คุณก็คงจะทำงานได้สะดวกอยู่แล้ว ผมเห็นคุณกับสมชายสนิทกันดี…” ผู้จัดการบริษัทกล่าวกับวารี และยิ้มให้ก่อนที่จะเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานและเซ็นเอกสารที่กองอยู่บนโต๊ะ…
      “อรุณสวัสดิ์ครับ… วารี” เสียงทักทายแบบเดิมๆ ที่หญิงสาวคุ้นเคยดีดังขึ้นภายในห้องทำงาน
      “สวัสดีค่ะ… ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะคะ” วารีกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ และฉีกยิ้มเล็กน้อย
      “เราก็ร่วมงานกันอยู่แล้วนี่ครับ… เพียงแต่ใกล้ชิดกันมากขึ้นก็เท่านั้นเอง… จริงๆแล้ว… ผม… ผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้เลยนะครับ… คุณเจนภพเขาทำงานตรงนี้ก็ดีอยู่แล้ว… ผมเองยังไม่ชินกันงานนี้ด้วยสิ… งานเก่าของผมดีกว่าอีก…” ชายหนุ่มมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก …แววตาของเขาแสดงให้เห็นถึงความเสียใจกับการจากไปของเพื่อนร่วมงาน
      “คนเราก็ต้องมีการก้าวเดิน… ไม่ใช่หยุดอยู่กับที่นี่คะ… ชีวิตคนเราก็เหมือนกันต้องมีขึ้นมีลง มีเกิดแก่เจ็บตาย…” หล่อนพูดประโยคหลังด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาลง
      “แต่มันก็ไม่น่าเกิดขึ้นแบบนี้เลยนะครับ… ไม่ยุติธรรมเลย” ชายหนุ่มวางแฟ้มเอกสารในมือลงบนโต๊ะทำงานใหม่ของเขา
      “เอาเถอะๆ… คุณสองคนช่วยตรวจสอบเอกสารนี่ให้ผมทีสิว่าถูกต้องดีรึยัง…นี่ก็ได้เวลาทำงานแล้วนะ…” ผู้จัดการบริษัทพูดขึ้นเป็นเชิงสั่งและขัดจังหวะการสนทนาของสมชายและวารี… ทั้งสองคนหันไปมองนาฬิกาที่แขวนไว้พร้อมๆกัน เข็มยาวชี้ที่เลขหก และเข็มสั้นชี้ที่ระหว่างเลขแปดและเก้าพอดี…
      …วารีและสมชายกล่าวขึ้นเบาๆพร้อมกัน
      “หา!…แปดโมงครึ่งแล้ว”…
      ……………………………………
      …เวลาได้ผ่านไป 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่เจนภพเสียชีวิต และสมชายได้เข้ามาทำงานในตำแหน่งใหม่ …ทุกคนดูเหมือนจะลืมหรือเลิกสนใจถึงสาเหตุของการเสียชีวิตของเจนภพไปแล้ว ทั้งๆที่ขณะนี้การตายของเจนภพก็ยังเป็นปริศนาคาใจของตำรวจผู้ซึ่งตามหาตัวฆาตกรมาโดยตลอด  แต่ก็หาไม่พบ… ตลอดเวลาที่ผ่านมา วารีและสมชายสนิทสนมกันมากขึ้น… ทั้งคู่มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด และระยะหลังมานี้วารีไม่ต้องขับรถไปที่ทำงานเองอีกต่อไป เพราะสมชายมักจะมารับมาส่งวารีที่บ้านเช่าของหญิงสาวด้วยตัวเองเสมอ…
      …ในเย็นวันหนึ่ง หลังจากเลิกงาน วารีกลับบ้านพร้อมกับสมชาย โดยมีสมชายเป็นผู้ขับรถไปส่งที่บ้าน… ก่อนที่ทั้งคู่จะกลับบ้าน สมชายชวนวารีไปรับประทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารในย่านที่มีคนพลุกพล่านแห่งหนึ่งจนกระทั่งเวลาประมาณทุ่มเศษๆ… สมชายจึงขับรถพาวารีไปส่งที่บ้าน…
      …ขณะที่รถของสมชายกำลังแล่นอยู่ในซอยเปลี่ยว ที่ดูเงียบเชียบ วังเวง ไร้บ้านคน สองข้างทางถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า… ซึ่งซอยนี้เป็นซอยเดียวกับที่มีคนพบศพของเจนภพเมื่อสามเดือนก่อนนั่นเอง… อยู่ๆรถของสมชายก็เกิดดับขึ้นกลางคัน…
      “อ้าว…  เป็นบ้าอะไรขึ้นมาเนี่ย… โธ่…น้ำมันหมดนี่เอง” สมชายมองดูที่หน้าปัดหน้ารถพบว่าขีดระดับน้ำมันอยู่ที่ระดับต่ำสุด…
      “ผมนี่แย่จริงๆเลย …ไม่ได้เช็คดูให้ดีว่าน้ำมันจะหมด… ขอโทษจริงๆนะครับ…วารี… เดี๋ยวผมจะลองวิ่งออกไปหน้าซอยเผื่อจะหาน้ำมันมาเติมได้” แววตาอันอ่อนโยนของชายหนุ่มแสดงถึงความรู้สึกผิด…
      “ไม่เป็นไรค่ะ… คนเราก็ต้องมีผิดพลาดกันบ้างนะคะ… ไปค่ะ…เราไปหาคนมาช่วยลากรถ หรือหาน้ำมันมาเติมกันดีกว่า…” หญิงสาวไม่มีความรู้สึกตกใจใดๆทั้งสิ้น และทำท่าจะเปิดประตูลงจากรถ…
      “เอ่อ…  อย่าดีกว่าครับ  วารี… ผมว่าผมไปคนเดียวจะสะดวกกว่านะครับ… คุณรออยู่ในรถนี้ดีกว่า…  แต่ว่าคุณต้องล็อกรถเอาไว้แล้วกันนะครับ  ผมมาเคาะประตูแล้วถึงจะเปิดนะ” ชายหนุ่มกล่าว
      “ตกลงค่ะ…” หญิงสาวตอบสั้นๆ
      สมชายลงจากรถ วิ่งหายไปในความมืด … ขณะนี้วารีอยู่เพียงลำพังในรถของสมชาย ซึ่งจอดอยู่กลางซอยเปลี่ยวที่แทบจะไม่มีแสงไฟส่องให้เห็นสิ่งอื่นใดเลย…  หญิงสาวนั่งนิ่งเงียบรอการกลับมาของชายหนุ่ม   แต่ทว่า…เวลาได้ล่วงเลยผ่านไปนานถึงครึ่งชั่วโมงแล้ว…  สมชายยังไม่กลับมาที่รถ…  ความรู้สึกสังหรณ์ใจบางอย่างได้เกิดขึ้นภายในใจของหญิงสาว… ความกลัวค่อยๆคลืบคลานเข้ามาเกาะกินหัวใจของวารีทีละน้อย ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในความฝันเมื่อสามเดือนที่แล้วปรากฏขึ้น  ภาพการตายของ-  เจนภพได้กลับมาตอกย้ำความทรงจำของหญิงสาวอีกครั้ง…
      “จนป่านนี้แล้ว… ทำไมสมชายเขายังไม่กลับมาอีกนะ…” วารีคิดพลางหันซ้ายแลขวา หันหน้าไปทางด้านหลัง มองผ่านไปในความมืด ซึ่งหญิงสาวแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย และไม่มีวี่แววของสมชายเลยสักนิด
      “หรือว่า… จะเกิดอะไรขึ้นกับสมชาย…” หญิงสาวคิดเรื่องที่เกิดขึ้นกับเจนภพ และ นึกถึงภาพของสมชาย ชายหนุ่มผู้ใสซื่อ ท่าทางเรียบร้อย อ่อนโยนและเป็นสุภาพบุรุษยิ่งนัก…
      “ไม่เอาน่า …ฉันจะคิดไปทำไมกัน…  สมชายเขาอาจจะออกไปไกลหน่อย… เลยกลับมาช้า… คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาหรอก…” วารีคิดในใจ ทั้งๆที่ยังกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสมชาย…
      …เวลาค่อยๆผ่านไป จนกระทั่งสองทุ่มสี่สิบห้านาที… สมชายเดินกลับมาพร้อมกับแกลลอนน้ำมันใบหนึ่ง… วารีรู้สึกใจชื้นขึ้นในทันที ความกลัวหายไปเป็นปลิดทิ้ง…
      “ให้ฉันช่วยมั้ยคะ?” หญิงสาวเปิดล็อกที่ประตูรถ และเดินลงจากรถเข้าไปหา  ชายหนุ่มซึ่งใบหน้าของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ ผมเผ้าดูกระเซอะกระเซิง เสื้อยับยู่ยี่
      “ไม่ต้องหรอกครับ… คุณน่ะสิรอผมตั้งนาน… ขอโทษจริงๆนะครับ… ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เรื่องมันยุ่งขนาดนี้   นอกจากผมจะไม่ได้เช็ครถให้ดีแล้ว ผมยังทำให้คุณต้องรอนานอีก…”  สมชายกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
      “ไม่… ไม่เป็นไรเลยค่ะ… ไม่เป็นไรเลยจริงๆ ฉันเข้าใจคุณดี คุณน่ะสิคงจะเหนื่อย จริงๆแล้วคุณไม่น่าลำบากเป็นคนมารับมาส่งฉันด้วยซ้ำไปนะคะ…” หญิงสาวกล่าวอย่างเห็นใจ
      “เอาเถอะครับ… เอาเถอะ ไหนๆเรื่องร้ายๆก็จะจบลงตรงนี้ซักที แล้วมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องร้ายแรง ถือว่าฟาดเคราะห์ไปแล้วกันนะครับ… ผมว่าคุณขึ้นรถดีกว่า รอผมเติมน้ำมันให้เสร็จ… ข้างนอกนี้ยุงเยอะ แมลงก็เยอะครับ ขึ้นรถเถอะ…” ชายหนุ่มกล่าว แววตาของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวมองเห็นความห่วงใยที่เขามีต่อหญิงสาวยิ่งนัก แม้จะอยู่ภายในความมืด วารีก็สามารถสัมผัสสิ่งที่อยู่ภายในแววตาของเขาได้
      … หญิงสาวตัดสินใจกลับขึ้นไปนั่งบนรถตามที่ชายหนุ่มบอก  วารีนั่งรอสมชายอยู่ภายในรถอย่างสบายใจ นอกจากเหตุการณ์ร้ายๆกำลังจะผ่านพ้นไปได้แล้ว  หล่อนยังรู้สึกอบอุ่นใจ และ รู้สึกผูกพันกับสมชายมากยิ่งขึ้น ทั้งๆที่เขาสองคนก็คบกันมานานพอสมควรแล้ว… หญิงสาวนั่งเหม่ออยู่พักใหญ่… จนกระทั่งมีเสียงเปิดประตูรถจากทางด้านคนขับ…
      “……………..”
      …เงียบ… ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบอยู่ชั่วขณะโดยที่วารียังไม่ทันหันไปมองผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆหล่อนเลย… หล่อนรู้สึกถึงความแปลกประหลาดว่าทำไมชายหนุ่มถึงยังไม่ออกรถสักที… วารีหันหน้าไปทางชายหนุ่มผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆหล่อน เพื่อบอกให้เขาออกรถ…
      …ทันทีที่หญิงสาวหันหน้าไป… หญิงสาวก็ต้องผงะ ขนอ่อนที่ต้นคอลุกชัน…เมื่อหล่อนพบว่าชายคนที่นั่งอยู่ข้างเคียงหล่อนไม่ใช่สมชาย แต่เป็นชายน่ากลัว ที่สวมหน้ากากโลหะ ใส่เสื้อโค้ชแขนยาวสีดำ นุ่งกางเกงสีดำและรองเท้าบู๊ตหนังสีดำ ในมือที่สวมถุงมือหนังสีดำของเขานั้นถือเลื่อยไฟฟ้าที่มีคาบเลือดเปรอะเปื้อนอยู่…  ความหวาดกลัวได้เกิดขึ้นภายในจิตใจของหญิงสาวโดยฉับพลัน หล่อนไม่สามารถทำอะไรได้ถูก  ปากสั่น น้ำตาเริ่มไหลรินลงบนใบหน้าอันขาวผ่องนั้น หล่อนรู้สึกเหมือนกับมีมนตร์สะกด หรืออะไรบางอย่างที่ทำให้หล่อนไม่สามารถเขยิบย้าย หรือเปลี่ยนอิริยาบถไปไหนได้เลย… ก็ความกลัว และอาการช็อกอย่างไรเล่าที่เป็นมนตร์สะกดสมองของหล่อนให้ชะงักการทำงานไป…  ภาพเหตุการณ์น่ากลัวหลากหลายเหตุการณ์ปรากฏซ้ำแล้วซ้ำอีกภายในจิตใจหล่อน…
      “คราวนี้สินะ… คงถึงคราวของฉันแล้ว… ชายคนนี้คงไม่ใช่ผู้ชายที่อยู่เพียงในความฝันของฉันอีกต่อไป… เพราะนี่มันคือความจริง… ความจริงที่ฉันคงไม่อาจรอดพ้นจากความตายไปได้แล้ว…” หญิงสาวนึกในใจ… น้ำตายังคงไหลออกมา
      … สติของหญิงสาวกลับคืนมาเล็กน้อย… หล่อนพยายามรวบรวมกำลังที่เหลืออยู่ ซึ่งไม่รู้ว่าทำไมมันถึงมีเพียงน้อยนิด… หล่อนเปิดประตูก้าวลงจากรถและพยายามออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต แม้จะมองไม่เห็นอะไรก็ตาม… แต่ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะวิ่งไปได้ไกลจากรถ… ชายผู้นั้นก็กลับมายืนขวางอยู่เบื้องหน้าของหญิงสาว ทำให้หล่อนต้องหยุด…  
      …ไม่ทันที่วารีจะได้เคลื่อนไหวหรือกล่าวอะไร …เสียงเลื่อยไฟฟ้าดังขึ้น… เมื่อชายผู้นั้นควบคุมให้มันเริ่มทำงาน… วารียังตกอยู่ในอาการนิ่งงัน…  ชายผู้นั้นค่อยๆเงื้อมือที่ถือเลื่อยไฟฟ้าขึ้น…
      …วารีนึกภาพตอนที่สมชายวิ่งกลับมาที่รถ พร้อมด้วยแกลลอนน้ำมันใบหนึ่ง เหงื่อชุ่มไปทั่วใบหน้า ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง และเสื้อของเขายับยู่ยี่… ใช่… เสื้อของเขาที่ยับยู่ยี่นั้นเป็นเสื้อโค้ชสีดำยาว และเขาก็สวมกางเกงสีดำ ใส่รองเท้าบู๊ตหนังสีดำด้วย ซึ่งหญิงสาวไม่ทันได้สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงนั้น…
      “กรี๊ด!” วารีแผดร้องสุดเสียง…

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×