ชายในความฝัน
    ...หญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นจากภวังค์ มองไปรอบๆห้องที่มีเพียงความมืดมิดและความว่างเปล่า
   
“ทำไมฉันถึงตื่นขึ้นมาตอนนี้ได้นะ” หล่อนคิด พลางเอามือเกาหัวตัวเองแกรกๆ 
จากนั้นหล่อนก็พยายามข่มตาให้หลับลง
แต่
วารีก็ไม่สามารถจะดึงตัวเองให้กลับเข้าสู่ภวังค์แห่งความหลับใหลได้
เมื่อเสียงอันแหบและเบาแฝงไว้ด้วยความน่ากลัวของใครคนหนึ่ง แว่วเข้าสู่โสตประสาทของหล่อน
    “วารี
วารี
ฉันอยู่นี่”
เสียงอันน่าสะพรึงกลัวนั้นดังเป็นระยะๆ อยู่สองสามครั้ง แล้วก็เงียบหายไป
    “ให้ตายสิ! ฉันคงหูแว่วไปแน่ๆ จะมีใครมาเรียกฉันในยามดึกเช่นนี้ได้” วารีพึมพำกับตัวเองเบาๆ
หล่อนนอนพลิกตัวไปมา และพยายามทำใจให้สงบ
   
ขณะที่วารีกำลังจะเคลิ้มหลับไปนั้น
หญิงสาวก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นอีกครั้ง
เสียงฝีเท้าของใครบางคนที่ถูกลากกับพื้นบ้านดังขึ้น และ ดังขึ้นเรื่อยๆ
ใกล้เข้ามาที่ประตูห้องของหญิงสาว
หล่อนตกอยู่ในอาการตกใจระคนหวาดกลัว เพราะทั้งบ้านมีวารีอยู่เพียงลำพัง
เสียงนั้นยังคง ใกล้เข้ามาๆ
เหงื่อไหลออกมาจนท่วมใบหน้าและร่างกายของหญิงสาว ทั้งๆที่เครื่องปรับอากาศภายในห้องนอนยังคงทำงานอยู่
   
”ตายล่ะ
ฉันจะทำอย่างไรดี
ใครกัน
ใครอยู่ที่ประตู
มันกำลังจะมาฆ่าฉันใช่มั้ย
ฉันต้องตายแน่แล้วใช่มั้ยนี่
” ความกลัวได้เข้าครอบงำจิตใจของหญิงสาวอย่างที่หล่อนไม่เคยรู้สึกมาก่อน  หล่อนทั้งกลัว และสับสนจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นอนนิ่งงันอยู่บนเตียง
รอเวลา และ รอ
ให้เหตุการณ์ร้ายๆเกิดขึ้น
  วารีพยายามเรียกสติตนเองคืนกลับมา หล่อนพยายามคิดว่าหล่อนคงจะหูแว่วไปเอง หรืออาจคิดมากไป
หล่อนลุกขึ้นจากเตียงเพื่อเดินไปกดสวิตช์ไฟที่ข้างๆประตูห้อง
แสงไฟฟ้าภายนอกบ้านที่เล็ดลอดเข้ามาในห้องยังคงเพียงพอสำหรับที่หญิงสาวจะสามารถลุกเดินไปกดสวิตช์ไฟโดยไม่ชนข้าวของอะไรภายในห้องได้
  และ
ทันทีที่ห้องสว่าง
   
“แอ๊ด
” ประตูห้องค่อยๆถูกใครบางคนแง้มเปิดออกอย่างช้าๆ
   
วารีตกใจสุดขีด
   
เมื่อประตูถูกเปิดออก
ภาพของชายร่างสูงใหญ่ สวมเสื้อโค้ชสีดำตัวหนา พร้อมด้วยกางเกงสีดำ และรองเท้าบู๊ตหนังสีดำก็ปรากฏขึ้นแก่สายตาหญิงสาว
วารีไม่อาจทราบได้ว่าชายผู้นั้นคือใคร และมีหน้าตาเป็นเช่นไร เพราะชายน่ากลัวผู้นั้น สวมหน้ากากโลหะปิดบังใบหน้าที่แท้จริงเอาไว้
แต่นั่นก็อาจเป็นการดีกว่าที่ชายผู้นั้นจะเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงที่ถูกอำพรางเอาไว้ ซึ่งมันอาจน่าเกลียดน่ากลัวยิ่งกว่านี้เสียอีกหลายเท่าก็ได้
  วารีอยู่ในอาการช็อก
ชายผู้นั้นสวมถุงมือหนังสีดำ และถือเลื่อยไฟฟ้าอยู่ในมือ
กลิ่นคาวเลือดที่คลุ้งกระจายไปรอบๆ จากชายคนนั้นชวนให้หญิงสาวรู้สึกคลื่นไส้ และสะอิดสะเอียนยิ่งนัก
   
เสียงเลื่อยไฟฟ้าดังขึ้น
เมื่อชายผู้นั้นควบคุมให้มันเริ่มทำงาน
วารียังตกอยู่ในอาการนิ่งงัน
  ชายผู้นั้นค่อยๆเงื้อมือที่ถือเลื่อยไฟฟ้าขึ้น
    “กรี๊ด!
” วารีกรีดร้องสุดเสียง
แต่ไม่ทันที่วารีจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากใบเลื่อยไฟ้ฟ้าที่กำลังจะกรีดเฉือนลงบนเนื้อของหล่อน
หล่อนก็รู้สึกเหมือนว่าภาพเหตุการณ์ในเวลานั้นค่อยๆเลือนหายไป
และเหมือนมีอะไรบางอย่างมากระตุกหล่อนออกจากภวังค์
    “ฉันฝันไปหรือนี่” วารีตกใจตื่นขึ้น ซึ่งครั้งนี้ไม่ใช่ความฝัน  หล่อนตื่นขึ้นจากภวังค์แห่งฝันร้ายจริงๆแล้ว
ความสับสน
อาการตกใจ
ความหนักอึ้งในอกของหล่อนหายไป
เหลือเพียงแค่ความหวาดกลัวที่ยังคงฝังรากลึกอยู่ภายในจิตใจของหญิงสาว
    “เฮ่อ
ช่างเป็นความฝันที่น่ากลัวจริงๆ
แต่มันก็แค่ความฝันนี่นะ
คงเป็นเพราะเมื่อวานฉันดูเรื่องเจสันแน่ๆ
ใช่ล่ะ
ใช่แล้ว
ฉันคงเก็บมันมาคิดมากไปหน่อย
” หล่อนพึมพำกับตัวเองในความมืดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ
ใบหน้าของวารีซีดเผือดและชุ่มไปด้วยเหงื่อ
หญิงสาวลุกไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา
หล่อนดูนาฬิกา และพบว่าเวลานั้นเป็นเวลาตีสาม หล่อนตัดสินใจเข้านอนต่อ
ครั้งนี้หญิงสาวไม่ต้องใช้ความพยายามในการดึงตัวเองเข้าสู่ภวังค์แห่งความหลับใหลมากนัก
วารีหลับได้อย่างสนิทด้วยความอ่อนเพลีย  จนกระทั่งถึงเช้าวันใหม่
   
เช้าวันต่อมา วารีตื่นขึ้นแต่เช้า รีบอาบน้ำแต่งตัว และหล่อนก็ออกจากบ้านไปกับรถเก๋งคู่ใจสีดำคันเล็ก โดยไม่ได้ทานอาหารเช้า เพื่อไปยังที่ทำงานซึ่งอยู่ห่างออกไปราวๆ 25 กิโลเมตรให้ทันเวลา  และแน่นอนว่ากว่าวารีจะไปถึงที่ทำงานก็กินเวลาในการเดินทางไปถึงเกือบชั่วโมงเต็มๆ เพราะหล่อนคือชาวกรุง ที่ต้องประสบกับปัญหาการจราจรติดขัดอย่างเลี่ยงไม่ได้
   
เมื่อ 4 ปีที่แล้ววารีเป็นคนต่างจังหวัด เธอเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ โดยมาเช่าบ้านเช่าอาศัยอยู่เพียงลำพัง หล่อนทำงานเป็นเลขานุการของบริษัทผลิตอะไหล่รถยนต์ขนาดกลางบริษัทหนึ่ง ซึ่งรายได้ของหล่อนอยู่ในเกณฑ์พอประมาณ ไม่ต่ำหรือสูงจนเกินไป
หญิงสาวทำงานอยู่กรุงเทพฯมานาน
โดยที่หล่อนไม่มีภาระให้กังวลหน้ากังวลหลังเพราะหล่อนกำพร้าตั้งแต่เล็กๆ และ ตอนนี้ก็ไม่มีญาติของวารีคนใดที่มีชีวิตอยู่แล้ว
เวลาราวๆ 8 โมงเช้า
รถสีดำคันเล็กแล่นเข้าจอดที่ใต้อาคารสูง 3 ชั้น ซึ่งเป็นสำนักงานกลางของบริษัทอะไหล่รถยนต์ที่วารีทำงานอยู่
“อรุณสวัสดิ์ครับ
คุณวารี” เสียงของชายหนุ่มผู้หนึ่งทักหญิงสาว ทันทีที่เธอก้าวเข้าไปภายในสำนักงาน
“สวัสดีค่ะ
สมชาย” วารีทักตอบชายหนุ่มผิวขาว สวมแว่นตา ร่างสูงพอประมาณ ผู้ซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานด้านหน้าสุด
“ตรงเวลาเป๊ะเลยนะครับ วารี
ผมแหละนับถือคุณจริงๆเลย
” สมชายกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“คุณต่างหากล่ะคะ ที่มาก่อนเวลา ฉันควรจะนับถือคุณมากกว่ามั้ง
” วารีโต้กลับเป็นเชิงทีเล่นทีจริง
“เปล่าเลยครับผม
พอดีวันนี้พี่นาเขาโทรตามผมต่างหากบอกว่ามีเรื่องด่วนเกี่ยวกับบัญชีที่ผมจะต้องมาเคลียร์ด่วน ไม่อย่างนั้นผมเละแน่ๆ
” ชายหนุ่มยิ้มแหยๆ
“อ้าว
ตายจริง
แล้ว
เอ่อ
ตอนนี้เรียบร้อยแล้วเหรอคะ
บัญชีที่คุณบอกว่าต้องแก้ไขน่ะ” รอยยิ้มของหญิงสาวหายไป สีหน้าแสดงให้เห็นถึงความห่วงใย
“ครับๆ
เรียบร้อยแล้ว
ตัวเลขมันผิดไปหลักเดียวเองครับ แค่ตัวเดียวเอง แต่ถ้าผมไม่เคลียร์นะ
รับรอง พรุ่งนี้ผมคงไม่ได้เจอหน้าคุณแน่ๆ
”
“เอ่อ
คุยไปคุยมานี่แปดโมงสิบห้าแล้วนี่นา
ฉันคงต้องขอตัวก่อนนะคะ แล้วเจอกันตอนกลางวัน
” หญิงสาวกล่าวทิ้งท้ายก่อนเดินเข้าลิฟต์ขึ้นชั้นสองเพื่อไปยังห้องทำงานที่ถูกจัดแยกส่วนจากพนักงานทั่วๆไปสำหรับผู้จัดการบริษัท รองผู้จัดการ เลขานุ-การ และผู้บริหารฝ่ายต่างๆ โดยเฉพาะ
เย็นวันนั้นหลังจากที่วารีกลับถึงบ้าน และอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ไม่นานนัก ก็มีโทรศัพท์จากที่สำนักงานดังขึ้น
“ฮัลโหล
วารีพูดค่ะ
” หญิงสาวกรอกเสียงใส่ลงในหูโทรศัพท์
“วารี
นี่พี่นาเองนะจ๊ะ
เห็นข่าวรึยัง?
” เสียงของวัณนาที่ผ่านสายโทรศัพท์มานั้นสั่นเครือ
“ข่าว
เอ่อ
ข่าวอะไรคะพี่นา
” วารีเริ่มรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีขึ้นมา เมื่อได้ฟังน้ำเสียงของวัณนา
“คือ
คุณเจนภพน่ะ
เขา
เขาเสียชีวิตแล้วนะ พี่เองไม่อยากจะพูดอะไรมากไปกว่านี้เลย
เพราะว่ามันน่าสลดใจมาก คุณเจนภพเขาออกจะเป็นคนดี และเป็นคนคุ้นเคย ถึงแม้ว่าเขาจะเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นานก็ตาม
ไม่น่าเลย” วัณนาสะเทือนใจเป็นยิ่งนัก
“
เป็น
เป็นไปได้ยังไงคะ
เมื่อเช้า
ก็เมื่อเช้ารียังเห็นเขาอยู่เลย
แล้วเขาเสียชีวิตด้วยสาเหตุอะไรเหรอคะ?
” วารีรู้สึกสะเทือนใจตามไปด้วย และสงสัยถึงสาเหตุที่เจนภพเสียชีวิต
“มีคนพบศพคุณเจนภพแถวๆ ซอยอะไรน้า
ซอยที่เปลี่ยวๆ ก่อนจะถึงบ้านของหนูไปหน่อยนะจ้ะ
ส่วนสาเหตุของการเสียชีวิตน่ะวารีลองเปิดโทรทัศน์ดูเอาเองนะจ๊ะ
ตอนนี้น่ะกำลังเป็นข่าวสดๆร้อนๆเลย
”
“หา!
ที่ซอยใกล้ๆบ้านรี
” วารีอุทานออกมาด้วยความรู้สึกประหลาดใจและกลัวอย่างบอกไม่ถูก
“เดี๋ยว
เดี๋ยวพี่ต้องออกไปข้างนอกแล้วล่ะนะ
งานสวดศพคุณเจนภพจะเริ่มคืนพรุ่งนี้นะ
” วัณนาพูดตัดบทและวางหูโทรศัพท์ไปในทันที
ไม่ทันที่หญิงสาวจะได้โต้ตอบอะไรกลับ
วารีรีบจัดแจงเปิดโทรทัศน์ดู
ภาพข่าวปรากฏขึ้นเร็วทันใจหญิงสาวอย่างไม่น่าเชื่อ
“
ที่คอของผู้ตายมีลักษณะเป็นบาดแผลใหญ่เนื่องจากของมีคม ซึ่งจากการสันนิษฐานคาดว่าเป็นใบเลื่อย
และจากการชัณสูตรศพพบว่าผู้ตายเสียเลือดมากเนื่องจากถูกใบเลื่อยตัดที่เส้นเลือดแดงใหญ่ที่ต้นคอ
”
.
ทันทีที่หญิงสาวได้ฟังและดูข่าวดังกล่าว หญิงสาวรู้สึกขนลุกชัน
และชาวาบไปทั้งตัว
ภาพแห่งความฝันที่หญิงสาวลืมเป็นปลิดทิ้ง บัดนี้มันได้หวนคืนกลับมาตอกย้ำความรู้สึกหญิงสาวอีกครั้ง
คืนนั้นหญิงสาวนอนหลับๆตื่นๆด้วยความรู้สึกวิตกอันเนื่องมาจากข่าวเกี่ยวกับการตายของเจนภพ  รองเลขานุการคนสำคัญคนหนึ่ง
ซึ่งวารีคุ้นเคยกับเขาดี
รุ่งเช้า วารีแต่งชุดดำออกไปทำงานตามปกติ
ทันทีที่วารีเข้าไปในห้องทำงาน ก็พบว่าที่โต๊ะของเจนภพได้มีการขนย้ายข้าวของบางอย่างออกไป และมีข้าวของชิ้นใหม่ซึ่งหญิงสาวรู้สึกคุ้นตาดี เข้ามาแทนที่ของที่มีอยู่เดิม
“สวัสดี
วารี
คุณทราบข่าวเจนภพแล้วใช่มั้ย?” เสียงของผู้จัดการบริษัทดังขึ้นแทรกเข้าสู่ความคิดของวารีที่กำลังสับสน มึนงง และสงสัยในสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น
“เอ่อ
สวัสดีค่ะ
ดิฉัน ซะ
ทราบแล้วค่ะ
” วารีตอบด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก จนอีกฝ่ายรู้สึกได้
“ผมเองก็เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนกับคุณน่ะนะ
แต่ว่าบางทีเราก็ต้องทำใจเหมือนกัน
ชีวิตคนเราเนี่ยมันไม่มั่นคงแน่นอนหรอก
” ชายวัยกลางคนกล่าวปลอบใจหญิงสาว
“ใช่สิ
คุณคงแปลกใจอยู่ใช่มั้ยว่า ตำแหน่งที่ว่างไปเนี่ยจะให้ใครมาแทน
ผมจัดการให้สมชายเขาเข้ามาทำหน้าที่แทนเจนภพแล้วล่ะ
พอดีผมเห็นสมชายเขาเป็นคนซื่อๆอยู่แล้ว ดูตรงไปตรงมา แล้วอีกอย่างเขามาทำงานพร้อมๆกับคุณด้วยซ้ำ
คิดว่าเขาเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ที่สุดแล้วล่ะ
คุณก็คงจะทำงานได้สะดวกอยู่แล้ว ผมเห็นคุณกับสมชายสนิทกันดี
” ผู้จัดการบริษัทกล่าวกับวารี และยิ้มให้ก่อนที่จะเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานและเซ็นเอกสารที่กองอยู่บนโต๊ะ
“อรุณสวัสดิ์ครับ
วารี” เสียงทักทายแบบเดิมๆ ที่หญิงสาวคุ้นเคยดีดังขึ้นภายในห้องทำงาน
“สวัสดีค่ะ
ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะคะ” วารีกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ และฉีกยิ้มเล็กน้อย
“เราก็ร่วมงานกันอยู่แล้วนี่ครับ
เพียงแต่ใกล้ชิดกันมากขึ้นก็เท่านั้นเอง
จริงๆแล้ว
ผม
ผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้เลยนะครับ
คุณเจนภพเขาทำงานตรงนี้ก็ดีอยู่แล้ว
ผมเองยังไม่ชินกันงานนี้ด้วยสิ
งานเก่าของผมดีกว่าอีก
” ชายหนุ่มมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
แววตาของเขาแสดงให้เห็นถึงความเสียใจกับการจากไปของเพื่อนร่วมงาน
“คนเราก็ต้องมีการก้าวเดิน
ไม่ใช่หยุดอยู่กับที่นี่คะ
ชีวิตคนเราก็เหมือนกันต้องมีขึ้นมีลง มีเกิดแก่เจ็บตาย
” หล่อนพูดประโยคหลังด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาลง
“แต่มันก็ไม่น่าเกิดขึ้นแบบนี้เลยนะครับ
ไม่ยุติธรรมเลย” ชายหนุ่มวางแฟ้มเอกสารในมือลงบนโต๊ะทำงานใหม่ของเขา
“เอาเถอะๆ
คุณสองคนช่วยตรวจสอบเอกสารนี่ให้ผมทีสิว่าถูกต้องดีรึยัง
นี่ก็ได้เวลาทำงานแล้วนะ
” ผู้จัดการบริษัทพูดขึ้นเป็นเชิงสั่งและขัดจังหวะการสนทนาของสมชายและวารี
ทั้งสองคนหันไปมองนาฬิกาที่แขวนไว้พร้อมๆกัน เข็มยาวชี้ที่เลขหก และเข็มสั้นชี้ที่ระหว่างเลขแปดและเก้าพอดี
วารีและสมชายกล่าวขึ้นเบาๆพร้อมกัน
“หา!
แปดโมงครึ่งแล้ว”
เวลาได้ผ่านไป 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่เจนภพเสียชีวิต และสมชายได้เข้ามาทำงานในตำแหน่งใหม่
ทุกคนดูเหมือนจะลืมหรือเลิกสนใจถึงสาเหตุของการเสียชีวิตของเจนภพไปแล้ว ทั้งๆที่ขณะนี้การตายของเจนภพก็ยังเป็นปริศนาคาใจของตำรวจผู้ซึ่งตามหาตัวฆาตกรมาโดยตลอด  แต่ก็หาไม่พบ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา วารีและสมชายสนิทสนมกันมากขึ้น
ทั้งคู่มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด และระยะหลังมานี้วารีไม่ต้องขับรถไปที่ทำงานเองอีกต่อไป เพราะสมชายมักจะมารับมาส่งวารีที่บ้านเช่าของหญิงสาวด้วยตัวเองเสมอ
ในเย็นวันหนึ่ง หลังจากเลิกงาน วารีกลับบ้านพร้อมกับสมชาย โดยมีสมชายเป็นผู้ขับรถไปส่งที่บ้าน
ก่อนที่ทั้งคู่จะกลับบ้าน สมชายชวนวารีไปรับประทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารในย่านที่มีคนพลุกพล่านแห่งหนึ่งจนกระทั่งเวลาประมาณทุ่มเศษๆ
สมชายจึงขับรถพาวารีไปส่งที่บ้าน
ขณะที่รถของสมชายกำลังแล่นอยู่ในซอยเปลี่ยว ที่ดูเงียบเชียบ วังเวง ไร้บ้านคน สองข้างทางถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า
ซึ่งซอยนี้เป็นซอยเดียวกับที่มีคนพบศพของเจนภพเมื่อสามเดือนก่อนนั่นเอง
อยู่ๆรถของสมชายก็เกิดดับขึ้นกลางคัน
“อ้าว
  เป็นบ้าอะไรขึ้นมาเนี่ย
โธ่
น้ำมันหมดนี่เอง” สมชายมองดูที่หน้าปัดหน้ารถพบว่าขีดระดับน้ำมันอยู่ที่ระดับต่ำสุด
“ผมนี่แย่จริงๆเลย
ไม่ได้เช็คดูให้ดีว่าน้ำมันจะหมด
ขอโทษจริงๆนะครับ
วารี
เดี๋ยวผมจะลองวิ่งออกไปหน้าซอยเผื่อจะหาน้ำมันมาเติมได้” แววตาอันอ่อนโยนของชายหนุ่มแสดงถึงความรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรค่ะ
คนเราก็ต้องมีผิดพลาดกันบ้างนะคะ
ไปค่ะ
เราไปหาคนมาช่วยลากรถ หรือหาน้ำมันมาเติมกันดีกว่า
” หญิงสาวไม่มีความรู้สึกตกใจใดๆทั้งสิ้น และทำท่าจะเปิดประตูลงจากรถ
“เอ่อ
  อย่าดีกว่าครับ  วารี
ผมว่าผมไปคนเดียวจะสะดวกกว่านะครับ
คุณรออยู่ในรถนี้ดีกว่า
  แต่ว่าคุณต้องล็อกรถเอาไว้แล้วกันนะครับ  ผมมาเคาะประตูแล้วถึงจะเปิดนะ” ชายหนุ่มกล่าว
“ตกลงค่ะ
” หญิงสาวตอบสั้นๆ
สมชายลงจากรถ วิ่งหายไปในความมืด
ขณะนี้วารีอยู่เพียงลำพังในรถของสมชาย ซึ่งจอดอยู่กลางซอยเปลี่ยวที่แทบจะไม่มีแสงไฟส่องให้เห็นสิ่งอื่นใดเลย
  หญิงสาวนั่งนิ่งเงียบรอการกลับมาของชายหนุ่ม  แต่ทว่า
เวลาได้ล่วงเลยผ่านไปนานถึงครึ่งชั่วโมงแล้ว
  สมชายยังไม่กลับมาที่รถ
  ความรู้สึกสังหรณ์ใจบางอย่างได้เกิดขึ้นภายในใจของหญิงสาว
ความกลัวค่อยๆคลืบคลานเข้ามาเกาะกินหัวใจของวารีทีละน้อย ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในความฝันเมื่อสามเดือนที่แล้วปรากฏขึ้น  ภาพการตายของ-  เจนภพได้กลับมาตอกย้ำความทรงจำของหญิงสาวอีกครั้ง
“จนป่านนี้แล้ว
ทำไมสมชายเขายังไม่กลับมาอีกนะ
” วารีคิดพลางหันซ้ายแลขวา หันหน้าไปทางด้านหลัง มองผ่านไปในความมืด ซึ่งหญิงสาวแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย และไม่มีวี่แววของสมชายเลยสักนิด
“หรือว่า
จะเกิดอะไรขึ้นกับสมชาย
” หญิงสาวคิดเรื่องที่เกิดขึ้นกับเจนภพ และ นึกถึงภาพของสมชาย ชายหนุ่มผู้ใสซื่อ ท่าทางเรียบร้อย อ่อนโยนและเป็นสุภาพบุรุษยิ่งนัก
“ไม่เอาน่า
ฉันจะคิดไปทำไมกัน
  สมชายเขาอาจจะออกไปไกลหน่อย
เลยกลับมาช้า
คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาหรอก
” วารีคิดในใจ ทั้งๆที่ยังกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสมชาย
เวลาค่อยๆผ่านไป จนกระทั่งสองทุ่มสี่สิบห้านาที
สมชายเดินกลับมาพร้อมกับแกลลอนน้ำมันใบหนึ่ง
วารีรู้สึกใจชื้นขึ้นในทันที ความกลัวหายไปเป็นปลิดทิ้ง
“ให้ฉันช่วยมั้ยคะ?” หญิงสาวเปิดล็อกที่ประตูรถ และเดินลงจากรถเข้าไปหา  ชายหนุ่มซึ่งใบหน้าของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ ผมเผ้าดูกระเซอะกระเซิง เสื้อยับยู่ยี่
“ไม่ต้องหรอกครับ
คุณน่ะสิรอผมตั้งนาน
ขอโทษจริงๆนะครับ
ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เรื่องมันยุ่งขนาดนี้  นอกจากผมจะไม่ได้เช็ครถให้ดีแล้ว ผมยังทำให้คุณต้องรอนานอีก
”  สมชายกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่
ไม่เป็นไรเลยค่ะ
ไม่เป็นไรเลยจริงๆ ฉันเข้าใจคุณดี คุณน่ะสิคงจะเหนื่อย จริงๆแล้วคุณไม่น่าลำบากเป็นคนมารับมาส่งฉันด้วยซ้ำไปนะคะ
” หญิงสาวกล่าวอย่างเห็นใจ
“เอาเถอะครับ
เอาเถอะ ไหนๆเรื่องร้ายๆก็จะจบลงตรงนี้ซักที แล้วมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องร้ายแรง ถือว่าฟาดเคราะห์ไปแล้วกันนะครับ
ผมว่าคุณขึ้นรถดีกว่า รอผมเติมน้ำมันให้เสร็จ
ข้างนอกนี้ยุงเยอะ แมลงก็เยอะครับ ขึ้นรถเถอะ
” ชายหนุ่มกล่าว แววตาของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวมองเห็นความห่วงใยที่เขามีต่อหญิงสาวยิ่งนัก แม้จะอยู่ภายในความมืด วารีก็สามารถสัมผัสสิ่งที่อยู่ภายในแววตาของเขาได้
หญิงสาวตัดสินใจกลับขึ้นไปนั่งบนรถตามที่ชายหนุ่มบอก  วารีนั่งรอสมชายอยู่ภายในรถอย่างสบายใจ นอกจากเหตุการณ์ร้ายๆกำลังจะผ่านพ้นไปได้แล้ว  หล่อนยังรู้สึกอบอุ่นใจ และ รู้สึกผูกพันกับสมชายมากยิ่งขึ้น ทั้งๆที่เขาสองคนก็คบกันมานานพอสมควรแล้ว
หญิงสาวนั่งเหม่ออยู่พักใหญ่
จนกระทั่งมีเสียงเปิดประตูรถจากทางด้านคนขับ
“
..”
เงียบ
ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบอยู่ชั่วขณะโดยที่วารียังไม่ทันหันไปมองผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆหล่อนเลย
หล่อนรู้สึกถึงความแปลกประหลาดว่าทำไมชายหนุ่มถึงยังไม่ออกรถสักที
วารีหันหน้าไปทางชายหนุ่มผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆหล่อน เพื่อบอกให้เขาออกรถ
ทันทีที่หญิงสาวหันหน้าไป
หญิงสาวก็ต้องผงะ ขนอ่อนที่ต้นคอลุกชัน
เมื่อหล่อนพบว่าชายคนที่นั่งอยู่ข้างเคียงหล่อนไม่ใช่สมชาย แต่เป็นชายน่ากลัว ที่สวมหน้ากากโลหะ ใส่เสื้อโค้ชแขนยาวสีดำ นุ่งกางเกงสีดำและรองเท้าบู๊ตหนังสีดำ ในมือที่สวมถุงมือหนังสีดำของเขานั้นถือเลื่อยไฟฟ้าที่มีคาบเลือดเปรอะเปื้อนอยู่
  ความหวาดกลัวได้เกิดขึ้นภายในจิตใจของหญิงสาวโดยฉับพลัน หล่อนไม่สามารถทำอะไรได้ถูก  ปากสั่น น้ำตาเริ่มไหลรินลงบนใบหน้าอันขาวผ่องนั้น หล่อนรู้สึกเหมือนกับมีมนตร์สะกด หรืออะไรบางอย่างที่ทำให้หล่อนไม่สามารถเขยิบย้าย หรือเปลี่ยนอิริยาบถไปไหนได้เลย
ก็ความกลัว และอาการช็อกอย่างไรเล่าที่เป็นมนตร์สะกดสมองของหล่อนให้ชะงักการทำงานไป
  ภาพเหตุการณ์น่ากลัวหลากหลายเหตุการณ์ปรากฏซ้ำแล้วซ้ำอีกภายในจิตใจหล่อน
“คราวนี้สินะ
คงถึงคราวของฉันแล้ว
ชายคนนี้คงไม่ใช่ผู้ชายที่อยู่เพียงในความฝันของฉันอีกต่อไป
เพราะนี่มันคือความจริง
ความจริงที่ฉันคงไม่อาจรอดพ้นจากความตายไปได้แล้ว
” หญิงสาวนึกในใจ
น้ำตายังคงไหลออกมา
สติของหญิงสาวกลับคืนมาเล็กน้อย
หล่อนพยายามรวบรวมกำลังที่เหลืออยู่ ซึ่งไม่รู้ว่าทำไมมันถึงมีเพียงน้อยนิด
หล่อนเปิดประตูก้าวลงจากรถและพยายามออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต แม้จะมองไม่เห็นอะไรก็ตาม
แต่ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะวิ่งไปได้ไกลจากรถ
ชายผู้นั้นก็กลับมายืนขวางอยู่เบื้องหน้าของหญิงสาว ทำให้หล่อนต้องหยุด
 
ไม่ทันที่วารีจะได้เคลื่อนไหวหรือกล่าวอะไร
เสียงเลื่อยไฟฟ้าดังขึ้น
เมื่อชายผู้นั้นควบคุมให้มันเริ่มทำงาน
วารียังตกอยู่ในอาการนิ่งงัน
  ชายผู้นั้นค่อยๆเงื้อมือที่ถือเลื่อยไฟฟ้าขึ้น
วารีนึกภาพตอนที่สมชายวิ่งกลับมาที่รถ พร้อมด้วยแกลลอนน้ำมันใบหนึ่ง เหงื่อชุ่มไปทั่วใบหน้า ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง และเสื้อของเขายับยู่ยี่
ใช่
เสื้อของเขาที่ยับยู่ยี่นั้นเป็นเสื้อโค้ชสีดำยาว และเขาก็สวมกางเกงสีดำ ใส่รองเท้าบู๊ตหนังสีดำด้วย ซึ่งหญิงสาวไม่ทันได้สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงนั้น
“กรี๊ด!” วารีแผดร้องสุดเสียง
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น