เวลาเย็น
หลังจากที่ฉันและเพื่อนๆได้ซ้อมการแสดงที่จะมีขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
เราทั้งหมดต่างนั่งพักและพูดคุยไปเรื่อยเปื่อยอย่างทอดอารมณ์รอให้ผู้ปกครองมารับ
ในใจของฉันตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ รู้สึกไม่อยากให้เวลามันผ่านไป แต่ขณะเดียวกัน
อีกส่วนหนึ่งของความรู้สึก ฉันกลับรู้สึกดีใจที่ฉันกำลังจะจบการศึกษาในระดับมัธยมแล้ว
วันจบการศึกษาก็คือวันที่ฉันเคยเฝ้ารอคอยมานานไม่ใช่หรือ
แต่เมื่อมาถึงวันนี้
ทำไมฉันถึงรู้สึกไม่อยากให้วันนี้ที่มีอยู่ผ่านพ้นไปเลย
    “วิ
อีกไม่นานเราก็จะไม่ได้เรียนที่เดียวกันแล้วสินะ
” แหวนกล่าวขึ้นมาระหว่างที่เรานั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยไร้สาระ
    “อืมม์
นั่นสินะ
จริงๆเราก็ยังติดต่อกันได้ไม่ใช่เหรอ?
แต่ก็ยังใจหายอยู่ดีเนอะ
” ฉันกล่าวเสริม
    “แล้วตกลงจะเลือกคณะอะไรจ๊ะ
ป่านนี้แล้ว
ไม่เอาโควต้า
แสดงว่าจะเอาคะแนนเอนท์ไปยื่นล่ะสิ
ตัดสินใจได้แล้วนะ
กอล์ฟ
” เสียงใสๆของฝันดังขึ้นมาหลังจากที่เด็กสาวนิ่งคิดอะไรอยู่พักใหญ่
    “อ๋อ
คิดว่าจะเลือกวิศวะ จุฬาฯนั่นแหละ
โควต้าที่ได้เราก็เสียดายนะ
แต่แม่เราอยากให้เข้าวิศวะ จุฬาฯ ทำไงได้ล่ะ
” กอล์ฟสีหน้าดูเครียดๆ
เป็นธรรมดาของเขา  เด็กหนุ่มที่ค่อนข้างเครียดง่ายกับเรื่องทั่วๆไป
    “อ้าว
แล้วเคยฝันอยากเป็นอะไรบ้างล่ะ?
” มินท์เอ่ยขึ้นมาบ้าง
    “ก็
หลายอย่างเหมือนกันนะ
ตอนเด็กๆเคยฝันอยากเป็นทหาร ดูเท่ดีน่ะ
แต่พอโตมาแล้วดันผิดกันเลย
  รู้สึกว่าชอบอะไรแบบอิสระๆ สบายๆมากกว่า เลยอยากทำธุรกิจส่วนตัวน่ะ
แต่ก็
” เสียงของกอล์ฟขาดช่วงไป
เขาก้มหน้าลงนิดๆ ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
    “อย่าเครียดไปเลยนะ
ทำใจสบายๆล่ะ
ยังไงก็พยายามเข้าแล้วกัน
ทำอะไรก็ตามนะ
พยายามและตั้งใจให้ถึงที่สุดเอาไว้ก่อน ผลจะออกมาดีเอง  แล้วพอผลออกมาดีเราก็จะชอบในสิ่งที่ทำเองแหละ
อันนี้สำหรับกรณีที่เลือกไม่ได้น่ะนะ
” บีกล่าวให้กำลังใจกอล์ฟด้วยเหตุผล
กอล์ฟดูสบายใจขึ้นมาก เขาหันมายิ้มให้บีโดยไม่ได้พูดอะไร
    “เราเองก็เคยฝันอยากเป็นหมอนะ
แต่ตอนนี้ปลงแล้วล่ะ
ทำไงได้ล่ะ คนมันไม่เก่งนี่นะ
หัวไม่ให้แต่ใจรัก
ทำไงมันก็ไม่ติดอยู่ดีแหละ
เรียนวิทยาศาสตร์นี่ก็คงคล้ายๆหมอแหละเนอะ
วิ” มินท์พูดถึงความฝันตัวเองบ้าง
    “โอ๊ะ
แน่นอน
ก็มันเป็นไปทางวิทยาศาสตร์นี่
ยิ่งเป็นสาขาชีวะก็ยิ่งคล้ายๆกับหมอแหละ
ต่อไปก็ต่อโท แล้วก็ต่อเอกเลย จะได้เห็นนักวิทยาศาสตร์สาวชื่อดังอีกคน แถมยังเป็นเพื่อนเราอีกด้วย
” ฉันกล่าวสนับสนุน พร้อมกับเสนอแนวทางให้มินท์
    “แหม
วิก็เหมือนกันแหละน่า
อีกหน่อยก็จะมีเภสัชสาววิรัชนี ผลิตยาวิเศษกินแล้วสวย หุ่นดี ไม่แก่
ดังไปเลยทีนี้
” ฝันกล่าวออกมาทีเล่นทีจริง
เสียงหัวเราะคิกๆของเพื่อนๆดังขึ้น สร้างความครึกครื้นให้บรรยากาศมากขึ้น
    “เวอร์จ้ะ
เวอร์เลย
เราคงทำไม่ได้ขนาดนั้น
อย่าว่าแต่เราเลย
คงไม่มีใครจะทำได้หรอกมั้ง
”
    “มันก็ไม่แน่หรอก
ของอย่างนี้
ว่าแต่
ดังแล้วจะลืมเพื่อนรึเปล่านี่สิ
” ฝันกล่าวต่อด้วยคำพูดที่ขัดหูฉันขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ฉันไม่อยากให้ฝันพูดแบบนี้เลย
    “นี่ๆ
เราไม่ใช่คนอย่างงั้นสักหน่อย
จะได้ลืมเพื่อน
จะมีก็แต่พวกเธอนั่นแหละ จะลืมเราน่ะสิ
” ฉันกล่าวออกไปด้วยความไม่พอใจ
แต่
เมื่อพูดออกไปแล้ว
ฉันกลับรู้สึกแย่เอามากๆที่ตัวเองเผลอพูดออกไปแบบคนพาล
    “ไม่เอาน่าวิ
พวกเราจะไม่ลืมกันหรอก
ไม่มีทาง
โดยเฉพาะวิน่ะ
วิคนเก่งของพวกเรา
” แหวนยิ้มหวานให้ฉัน เอื้อมมือแตะแขนฉันเบาๆ
ใบหน้าของแหวนเป็นใบหน้าอ่อนโยนที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความสดใสเสมอๆ
    “นั่นน่ะสินะ
จะลืมวิได้ไงล่ะ
” บีกล่าวเสริม ยิ้มให้ฉันอีกเช่นกัน
   
จริงอยู่ ที่ตอนนี้เราทุกคนต่างรู้สึกว่าจะไม่ลืมกัน
  แต่
เวลา
คือเหตุผลของการจากกัน
เวลาทำให้คนเราต้องจากกัน ไม่ใช่แต่เพียงแค่กายเท่านั้น แต่ใจคนเราก็จากกันด้วยเหตุผลของวันและเวลา รวมทั้งระยะทางด้วย
ยิ่งไกล
ใจก็ยิ่งห่าง
วันหนึ่งอาจจะอีกเนิ่นนานหรือในไม่ช้านี้ก็ตาม
เพื่อนอาจจะลืมฉันก็ได้
ความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอน
   
แต่ตอนนี้
สิ่งเดียวที่ฉันรู้คือ
ฉันมีมิตรภาพที่ดีๆจากเพื่อนๆในเวลานี้ และ มันจะอยู่ในความทรงจำที่ดีๆของฉัน
เมื่อใดที่ฉันเหงา เมื่อใดที่ฉันอ่อนล้า ไม่มีใคร หรือหากฉันคิดถึงวันเวลาเก่าๆ ฉันก็สามารถจะขุดเอาความทรงจำที่มีอยู่ในใจฉันนี้ออกมา นึกถึงภาพวันเวลาที่ดีๆ ระหว่างเราทั้งหกคนได้เสมอ
  แม้ว่าวันหนึ่งมันจะเป็นเพียงอดีตก็ตาม
   
ขณะที่ฉันกำลังเดินหาโต๊ะว่างภายในโรงเรียนเพื่อนั่งอ่านหนังสือคนเดียวเงียบๆนั้น
ที่มุมหนึ่งของตึกวิทย์ มีเด็กผู้หญิงร่างสูง ผมสั้น แต่ก็ยาวพอที่เธอจะรวบมันได้
ฉันเห็นเธอคนนั้นนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ ท่าทางเหมือนกำลังร้องไห้
   
ฉันตัดสินใจเดินเข้าไปทางด้านหลังของเด็กผู้หญิงคนนั้นอย่างเงียบๆ
แล้วก็จริงอย่างที่ฉันคาดเอาไว้
เสียงสะอึกสะอื้นดังออกมาเบาๆ
ไม่ทันที่ฉันจะได้ตัดสินใจทำอะไรต่อ
  เด็กคนนั้นก็เงยหน้าขึ้น
แล้วฉันก็ต้องรู้สึกกึ่งตกใจกึ่งสลดใจ ที่เด็กผู้หญิงคนนั้นก็คือ คนคุ้นเคยที่ฉันรู้จักมานาน
ลูกน้ำ
จริงๆด้วย
ลูกน้ำนี่เอง
   
ลูกน้ำคนที่ฉันเคยสนิท ตอนม.หนึ่ง เป็นเด็กสาวร่างสูงท้วม ใบหน้าไม่ร่าเริงสดใสเท่าที่ควรนัก
แต่ก็ไม่มีแววซูบซีดปรากฏให้เห็น
แล้ววันหนึ่ง ฉันกับลูกน้ำก็มีเรื่องไม่เข้าใจกัน
ทำให้ลูกน้ำเป็นฝ่ายตัดสินใจจากฉันไป
ลูกน้ำไปคบกับเพื่อนกลุ่มใหม่
แล้วเรื่องราวบาดหมางเล็กๆน้อยๆของเราก็จางไปในที่สุด
ทั้งที่ยังไม่เข้าใจกัน
แต่เราก็พบปะพูดคุยกันแบบเพื่อนธรรมดาโดยปกติ
   
ตอนเปิดเทอม ม.สี่ ฉันจำได้ดีถึงรูปลักษณ์ใหม่ของลูกน้ำ ลูกน้ำกลายเป็นคนผอม รูปร่างดี ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขและความสดใส อาจเป็นเพราะลูกน้ำไม่มีปมด้อยเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว
ไม่มีคำว่า ‘ยัยหมูอ้วน’ จากปากของใครต่อใครที่ซ้ำเติมลูกน้ำอีกต่อไป
   
แต่
ลูกน้ำคนที่ฉันเห็นในวันนี้
กลับดูซูบซีด เศร้าหมอง
ไม่มีแววความสดใสอยู่เลย
ดวงตาของลูกน้ำแดงก่ำ มีคราบน้ำตาบนใบหน้าของลูกน้ำอย่างเห็นได้ชัด
ลูกน้ำคนที่สองหายไปไหนนะ
ฉันได้แต่คิด
ภาพลูกน้ำในวันนี้ ที่ฉันเห็นตอนนี้ ทำให้ฉันแทบจะทำอะไรไม่ถูก
    “ลูกน้ำ
ร้องไห้ทำไม
ไม่สบายใจอะไรรึเปล่า
บอกเราได้นะ
” ฉันกล่าวด้วยน้ำเสียงห่วงใย
เสียงนั้นออกมาตามความรู้สึกของฉันจริงๆ
    “วิ
” ลูกน้ำกล่าวเสียงหลง น้ำเสียงนั้นฟังดูเหมือนกับคนที่กำลังเสียขวัญหรือต้องการใครสักคนเป็นที่พึ่ง
คำเพียงพยางค์เดียวหลุดออกมาจากปากของลูกน้ำ ราวกับว่าจะมีน้ำตาออกมากับคำพูดนี้ด้วย
   
ลูกน้ำรีบเอามือสองข้างปาดคราบน้ำตาบนใบหน้า แต่ก็ไม่วายที่น้ำใสๆนั้นจะไหลรินออกมาอีกให้ได้
    “ลูกน้ำ
เป็นอะไรไป
กลุ้มใจอะไร
บอกเรามาได้เลยนะ
” น้ำเสียงของฉันเหมือนจะสั่นไปด้วย
ฉันนั่งลงข้างๆลูกน้ำ
    “เรา
เรา
เอ่อ
วิ
เรา
เอ่อ
ฮือ
ฮือ
”  น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาบนใบหน้าของลูกน้ำมากมาย ลูกน้ำได้แต่พูดอึกอักๆ
ฉันเข้าใจลูกน้ำดี เข้าใจความรู้สึกของคนที่กำลังมีความทุกข์ดี มันเหมือนกับน้ำตาและความปวดร้าวที่มีอยู่นั้น ได้แทรกซึมอยู่ในทุกเสี้ยวของความรู้สึก ทุกอณูของลมหายใจ และทุกวรรคทุกตอนของคำพูด
มันท่วมท้นจนบางครั้ง
การที่จะพูดประโยคสั้นๆออกมาก็แสนจะยากเย็นเหลือเกิน
    “ใจเย็นๆ
ใจเย็นๆนะลูกน้ำ
มีอะไรก็ค่อยๆพูด
เอาล่ะ
ก่อนอื่น ลูกน้ำเช็ดน้ำตาซะก่อนนะ
ไม่อย่างนั้นคงเล่าไม่ได้
” ฉันหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อออกมา และยื่นให้ลูกน้ำ
ลูกน้ำรับผ้าเช็ดหน้าจากฉันไปแต่โดยดี
จากนั้นเธอก็ค่อยๆเช็ดน้ำตาทั้งๆที่ยังสะอื้นอยู่
    “เช็ดน้ำตาแล้ว
ลูกน้ำก็หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกลึกๆนะ
จะได้ผ่อนคลาย
” ฉันทำท่าทางหายใจเข้าออกลึกๆให้ลูกน้ำดู แล้วลูกน้ำก็ทำตาม จนลูกน้ำเริ่มควบคุมอารมณ์ได้มั่นคงขึ้น ไม่สะอื้นอีก ฉันจึงกล่าวต่อ
    “ทีนี้
โอเคแล้วนะ
ลูกน้ำทำใจสบายๆแล้วค่อยๆเล่าให้เราฟังนะ
เราไม่ได้ต้องการจะตอกย้ำอะไรลูกน้ำ เพียงแต่เราอยากจะให้ลูกน้ำระบายออกมา หรือเผื่อว่ามีอะไรเราจะได้ช่วยแก้ไขได้บ้าง
หรืออย่างน้อยแค่รับฟังก็ยังดี
”
    “เรา
เอ่อ
อาร์ต
อาร์ต แฟนเราเค้าทิ้งเราไปมีคนใหม่
” น้ำเสียงของลูกน้ำสั่นมาก น้ำใสๆนั้นได้ไหลรินออกมาจากดวงตาของลูกน้ำอีก
ถึงแม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องไม่ควรเกิดขึ้นกับเด็กมัธยมเท่าใดนัก แต่ฉันก็เข้าใจและยอมรับได้
ฉันเข้าใจได้อย่างดี
ความรักเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อคนเราอย่างมากทีเดียว
    “ลูกน้ำ
ฟังเรานะ
ถ้าอาร์ตเค้าเป็นคนดี
ลูกน้ำก็รักต่อไป
การที่เรารักใครสักคนหนึ่ง ไม่จำเป็นเลยไม่ใช่เหรอที่เค้าจะต้องอยู่กับเราและมีใจให้เรา
แค่เราได้รักเค้าก็พอแล้ว
” ฉันกล่าวกับลูกน้ำ สองมือเอื้อมจับไหล่สองข้างของลูกน้ำให้หันมาทางฉัน เพื่อรับรู้ถึงกำลังใจที่ฉันต้องการส่งให้ลูกน้ำรู้สึกเข้มแข็งขึ้น
   
ลูกน้ำดูสงบลงกว่าเดิม
   
“อาร์ตว่าเราแรงด้วย
เราเลย
เลยเสียใจ
มันทิ่มแทงใจเรามากเลยนะวิ
คำที่อาร์ตพูดมาแต่ละคำน่ะ
” เสียงนั้นสั่น
    “แต่
ถ้าหากว่าอาร์ตเค้าไม่ใช่คนดี
ลูกน้ำก็ตัดใจซะเถอะนะ
มันอาจจะยาก
แต่ถ้าฟังที่เราพูด แล้วคิดดูให้ดี
มันน่าจะง่ายขึ้นนะ
เค้าอาจไม่ดีพอที่ลูกน้ำจะรักไงล่ะ
เค้าไม่คู่ควร
ลูกน้ำมีโอกาสที่จะเจอคนที่เค้าดีกว่านี้เยอะนะ
คนที่เค้ารักลูกน้ำมากเหมือนที่ลูกน้ำรักเค้าด้วย
”
   
ลูกน้ำยิ้มทั้งน้ำตา
    “ขอบใจนะ
วิ
สำหรับเรื่องนี้
แต่
” เสียงพูดของลูกน้ำขาดหายไป เสียงสะอึกสะอื้นเข้ามาแทนที่อีกแล้ว
น้ำตาไหลพรากบนใบหน้าเรียวนั้นอีก
    “เรา
เรา
เราได้คะแนนเอนท์น้อยมาก
เราจะทำไงดี
เราจะเรียนอะไรเรายังไม่รู้เลย
”
“
ถ้า
พ่อ
รู้
เราก็จะแย่
เรา
ไม่รู้จะทำยังไงดี
” ลูกน้ำสะอื้นมากขึ้นเรื่อยๆ น้ำตายังไหลออกมาไม่ยอมหยุด และ
เหมือนจะถี่กว่าเดิม
    “พ่อ
ด่า
เรา
ก็
เสียใจ
และ อีกอย่าง
เรา
ก็
ไม่อยาก
ทำให้
พ่อแม่ต้องผิดหวังด้วย
”ลูกน้ำพูดไปร้องไห้ไป
    “ใจเย็นๆ
จะทำอะไรคิดให้ดีก่อนนะ
พ่อแม่เค้าให้อภัยลูกได้เสมอแหละ
ค่อยๆพูดค่อยๆจากันนะรู้มั้ย
” ฉันพยายามทำให้ลูกน้ำสบายใจ และสงบลง แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นผล
  ลูกน้ำยังคงร้องไห้ไม่ยอมหยุด
   
ฉันคิดว่าบางที
การที่ฉันให้ลูกน้ำเล่าเรื่องเหล่านั้น และพูดซ้ำไปซ้ำมาอาจจะเป็นการซ้ำเติม ทำให้ลูกน้ำรู้สึกแย่ไปใหญ่
ฉันจึงเปลี่ยนเรื่องพูด
ฉันตัดสินใจพูดสิ่งที่ฉันอยากจะให้ลูกน้ำรับรู้เอาไว้
ก่อนที่บางที
เราอาจจะไม่ได้พบกันอีก
หลังจากจบจากโรงเรียนแห่งนี้
    “ลูกน้ำ
ที่
ที่ผ่านมา
ทุกอย่าง
ถ้าเราทำอะไรผิดพลาดไป
เราขอโทษด้วยนะ
ขอโทษจริงๆ
” ฉันเริ่มรู้สึกว่าน้ำอุ่นๆเอ่อท้นที่เบ้าตาของฉันบ้างแล้ว
    “อ๋อ
ไม่เห็นจะมีอะไรต้องขอโทษนี่
” ลูกน้ำกล่าวยิ้มๆ แต่แววตาเศร้า
    “ก็
เรา
เราสองคนอาจจะมีเรื่องขัดใจไปบ้าง
ยังไงก็นึกว่ามันเป็นฝันร้ายนะ
เรา
เราอยากให้ลูกน้ำรู้นะว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เราอยากเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของลูกน้ำเสมอ
แต่ตอนนี้คงไม่มีโอกาสแล้วมั้ง
” และแล้ว
น้ำใสๆนั้นก็ไหลรินออกมาบนใบหน้าของฉันจนได้
   
ลูกน้ำก็สะอื้น เช่นเดียวกับฉัน
เราต่างกอดกันอย่างเข้าใจ
น้ำตายังคงไหลออกมาไม่หยุดทั้งคู่
    “ไม่เอาสิ
เราต้องไม่ร้องไห้กันแล้วนะ
ลูกน้ำต้องเลิกร้องไห้แล้วนะ
สัญญานะว่าจะไม่ร้องไห้อีกแล้ว
จะไม่มีน้ำตาให้เราเห็นอีกแล้วนะ
” ฉันกล่าวทั้งๆที่กำลังเอามือปาดน้ำตาตัวเองที่ยังไหลไม่ยอมหยุด
ไม่รู้ทำไมฉันถึงได้รู้สึกผูกพันกับลูกน้ำนัก
ทั้งๆที่เราไม่ได้สนิทกันมาหลายปีแล้ว
    “สัญญาจ้ะ
” น้ำเสียงนั้นยังคงสั่น
น้ำตายังคงรินไหลบนใบหน้าเรียวของลูกน้ำ
   
และแล้ว
วันจบการศึกษาก็มาถึง
วันนี้เป็นวันที่ทางโรงเรียนจัดพิธีอำลาอาลัยให้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกโดยเฉพาะ  และถือเป็นวันสำเร็จการศึกษาด้วย
  พิธีการที่ทางโรงเรียนจัดขึ้นได้ดำเนินการไปเรื่อยๆตามขั้นตอน
แม้ว่านักเรียนหลายๆคนจะรู้สึกเศร้าและอาลัยที่ต้องจากสถาบันที่เคยอยู่มาหลายปี จากครูอาจารย์ที่อบรมสั่งสอนจนได้ดี และจากเพื่อนๆผู้มีมิตรภาพที่ดีๆให้แก่กันก็ตาม
แต่ความรู้สึกที่มีส่วนใหญ่ก็ถูกเก็บอยู่ภายในใจ
ไม่ค่อยมี นักเรียนคนใดจะเผยออกมาให้เห็นมากนัก
เช่นเดียวกับฉัน
ฉันอยากจะร้องไห้
แต่เนื่องจากพิธีการในวันนี้ออกจะเป็นพิธีที่เป็นทางการ
ฉันไม่สามารถจะร้องไห้ออกมาได้
   
เสร็จพิธีอำลาอาลัยแล้ว
ฉันเดินไปกับกลุ่มเพื่อน ซึ่งได้แก่ แหวน บี กอล์ฟ มินท์ และฝัน
ขณะเดียวกันก็กวาดสายตามองหา ‘ลูกน้ำ’อีกครั้ง ฉันมองหามาทั้งวัน  รู้สึกว่าลูกน้ำจะไม่ได้มาร่วมพิธี
    “กอล์ฟๆ
เห็นลูกน้ำมั่งปะ
วันนี้น่ะ
” ฉันถามขึ้นระหว่างที่เราเดินเล่นไปในสนามด้วยกัน
ทันทีที่ประโยคคำถามของฉันจบ
สีหน้าของกอล์ฟที่ดูเครียดๆอยู่แล้ว กลับดูเศร้าและเครียดยิ่งขึ้น
จนฉันตกใจ
เกิดอะไรขึ้น!
ทำไมกอล์ฟถึงต้องทำหน้าแบบนี้ด้วย
    “เอ่อ
ลูกน้ำ
ลูกน้ำเค้า
” กอล์ฟเงียบไปอีก
ถอนหายใจอีกหนึ่งเฮือก
ฉันไม่รีรอ
หันไปทางบีบ้าง
    “วิ
ลูกน้ำฆ่าตัวตายแล้วเมื่อวันก่อน
” บีกล่าวน้ำเสียงเศร้า
แผ่วเบา
ประโยคที่บีพูดออกมาทำให้ฉันแทบจะยืนต่อไปไม่ไหว
นี่ลูกน้ำจากฉันไปจริงๆแล้วเหรอนี่
    “ฮะ
จะ
จริงเหรอ?
” ฉันรอการยืนยันอีกครั้งทั้งที่รู้สึกปวดที่ขมับ และตื้อไปหมด
    “จริง
” คำตอบสั้นๆ เบาๆ ที่เหมือนจะเชือดเฉือนใจฉันไม่น้อย ได้ออกมาจากปากของมินท์
   
หยดน้ำตาของลูกน้ำในวันนั้น
คงจะเป็นหยดน้ำตาหยดสุดท้ายจริงๆ
อย่างที่เราสัญญากันไว้
ทั้งที่มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำสัญญา
แต่ทำไม
ทำไมมันต้องเป็นหยดน้ำตาครั้งสุดท้ายของลูกน้ำ
ถ้าลูกน้ำจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับฉันจริงๆ
ฉันก็อยากจะเปลี่ยนคำสัญญานั้น
เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ที่ไม่ให้หยดน้ำตาในวันนั้นเป็นหยดน้ำตาหยดสุดท้ายของลูกน้ำ
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น