แสงไฟยามค่ำคืนที่ดูเงียบเหงายามปลายฤดูหนาว สาดส่องกระทบพื้นถนนที่บางเบาจากรถราและผู้คน
    ฉัน
จิทามายะ  ซูนาโกะ
เด็กสาววัยสิบเจ็ดปี
นั่งมองผ่านกระจกใสออกไปนอกรถ
ทว่าสายตาไม่ได้จับจ้องอยู่ที่สรรพสิ่งข้างทางเลยแม้แต่น้อย
ความคิดของฉันล่องลอยออกไปไกลกว่านั้น
   
อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันวาเลนไทน์แล้วสินะ
ปีนี้ตรงกับวันเสาร์ก็ดีเหมือนกัน เราจะได้อยู่กับบ้านเงียบๆ
    และแล้วภาพของใครบางคนก็ผุดขึ้นในความคิดของฉันเช่นเคย ราวกับเป็นเงาตามตัวตลอดเวลา
   
ทาคุมิ  นาโอรุ
เด็กหนุ่มผิวเข้ม สวมแว่นสายตา ผู้ซึ่งฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาคนนี้จะเข้ามาอยู่ข้างในใจ อยู่ในห้วงความทรงจำที่ชัดเจนของฉันตั้งแต่วันเวลาแรกที่พบ
    ฉันรู้จักกับนาโอรุได้ปีกว่า
ตลอดเวลาที่ได้รู้จักกัน นาโอรุได้เข้ามาอยู่ในใจของฉันทีละน้อยๆ จนฉันแทบไม่รู้ตัว
ความผูกพันก่อเกิดขึ้นมากมาย
แม้ตลอดเวลาฉันจะพยายามบอกกับตัวเองว่าระหว่างฉันกับนาโอรุเป็นเพียงเพื่อน เพื่อนที่ดีต่อกันเท่านั้น
แม้ว่าใครๆจะถามหลายครั้งหลายครานักว่าฉันคิดยังไงกับเขา ฉันก็ตอบได้เพียงว่าเขาเป็นเพื่อนชายที่พิเศษกว่าเพื่อนคนอื่นก็เท่านั้น
แต่แล้วยิ่งนานวัน ฉันก็ยิ่งรับรู้หัวใจตัวเอง
และไม่สามารถปฏิเสธสิ่งที่ใจบอกได้เลย
   
นาโอะจังจะจำวันวาเลนไทน์ปีที่แล้วได้บ้างมั้ยนะ
    ความรู้สึกต่างๆที่อยู่ในใจ พร้อมจะบีบคั้นให้ฉันน้ำตาไหลออกมาได้เสมอ
ทว่าบางคราภาพใบหน้าและรอยยิ้มอันอบอุ่นของนาโอรุนั้นก็กลับทำให้ฉันรู้สึกดี
เผลอยิ้มกับตัวเองคนเดียวได้เช่นกัน
   
ไม่ได้
เราจะร้องไห้ออกมาตอนนี้ไม่ได้นะ
----------------------------------------------
    ยามสาย
แสงแดดอันแรงกล้าสาดทอกระทบมวลสรรพสิ่งโดยรอบดูราวอบอุ่นทว่าเยือกเย็น
    กลุ่มเด็กสาวในชุดนักเรียนมัธยมปลายสวมทับด้วยเสื้อกันหนาวหลากสีสัน นั่งสนทนากันที่โต๊ะหินอ่อนข้างๆตึกมุมหนึ่ง
ฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
    “จะวาเลนไทน์แล้วสินะ
อามิจังจะทำอะไรให้คารุคุงเหรอจ๊ะ?” ฉันเอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงใส
หากมีใครรู้ไม่ว่าฉันรู้สึกร้าวลึกข้างในใจ
    “คิดว่าจะซื้อโคมไฟแขวนน่ะจ้ะ ซื้อแบบที่เป็นแฮนด์เมดน่ะ
แล้วอามิจังก็จะห่อเอง คารุคุงคงจะชอบ” เด็กสาวร่างสูง ผมสั้นกล่าวยิ้มอย่างมีความสุข
    “ซื้อของแต่ละปีนี่ก็
หวานเชียวนะ ปีที่แล้วก็ซื้อเทียนนี่นา
” เสียงหนึ่งดังขึ้น กล่าวกับอามิ
   
เทียนเหรอ
สะกิดใจเราไม่น้อยเลยนะ
    “แล้วซูนะจังล่ะ?
จะทำอะไรให้นาโอรุ
” เมงูมิที่นั่งเงียบอยู่ เอ่ยถามฉันด้วยความอยากรู้
    ฉันซึ่งนั่งยิ้มอยู่ในทีแรก ค่อยๆคลายยิ้มลงโดยไม่รู้ตัว  ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มค่อนข้างเศร้า
ยิ้มปลอบใจตัวเอง
    “เค้าอยู่ไกล
อย่างมากก็คงได้แค่ส่งอีการ์ดหรือเขียนนิยายส่งไปให้น่ะ
” น้ำเสียงของฉันบางเบาเหลือเกิน
ราวกับมันจะจางหายไปในสายลมหนาว
    “เรื่องของซูนะจังกับนาโอรุนี่ ดูจะยากลำบากเหลือเกินนะ เดี๋ยวคนโน้นกลับ เดี๋ยวคนนี้ไป
ฉันยังสงสัยอีกเลยว่า แล้วหลังจากที่เจอกันปีนี้เมื่อนายนั่นกลับมา แต่พอเธอไป หลังจากนั้นจะทำยังไง
จะเจอกันยังไง
เหอะๆ” ไทโยโกะกล่าวบ้าง โดยไม่รู้ว่าคำพูดนั้นสะเทือนใจฉันไม่น้อย
    “อืม
ไม่รู้เหมือนกันแฮะ แต่ที่รู้คือ ฉันไปปีนึง ถ้าโชคดีฉันก็คงจะได้กลับมาเจอกับนาโอะจังอีก
ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันกับเรื่องราวของเราสองคนในอนาคต
” ฉันพยายามยิ้มกลบเกลื่อนความเศร้าแท้จริงภายในใจ
    “แล้วทำไมถึงรักนาโอรุได้ล่ะ?” เพื่อนอีกคนในกลุ่มถามฉันต่ออีก
    “อืมมมม
ก็
ตอนแรกก็ไม่ได้คิดไม่ได้รู้สึกอะไรหรอกนะ พอเวลาผ่านมาก็รู้สึกว่าเค้าไม่เหมือนใครคนอื่น มีอะไรคล้ายๆกัน เค้าพิเศษ คนแบบเค้าหาได้ไม่ง่ายเลย  เค้าเป็นคนดี มีน้ำใจ และเค้าก็เข้าใจฉันมากกว่าใคร เป็นคนที่ฉันยอมเปิดเผยตัวตนมากที่สุด และเค้าก็ทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีความหมายกว่าแต่ก่อน รู้สึกว่ามีคนห่วงใย เทคแคร์ฉัน แม้ว่าเค้าอาจจะไม่ได้รักฉันเหมือนที่ฉันรักเค้าตอนนี้ก็ตาม
  แต่เค้าก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉันโดยไม่รู้ตัวจริงๆ
และทุกครั้งที่ได้เจอกันอีก ฉันก็รู้หัวใจตัวเองว่าห่วงเค้า รักเค้า
” ฉันเงียบไปพักหนึ่ง พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเองให้นิ่งที่สุด
เหมือนว่าน้ำตามันจะท่วมท้นอยู่ในใจจนหลั่งไหลออกมาแผ่ไปทั่วทั้งร่าง
แต่ไม่อาจปลดปล่อยออกมาจากดวงตาได้ตรงนี้
ทำไม่ได้
    เพื่อนๆทั้งสี่คนนั่งนิ่งเงียบ จ้องมองฉัน อย่างรอฟังต่อ
    “ยิ่งตอนที่รู้ว่าเค้าจะไปอเมริกา ใจก็ยิ่งบีบคั้นบอกว่ารักเค้า บอกว่าทรมานไม่อยากให้เค้าห่างไปไกล
และอยากจะบอกความในใจออกไป แต่ก็ไม่กล้า
เพราะกลัวเวลาที่จะต้องเจอหน้ากัน ไม่กล้าเผชิญหน้า
รอจนกว่าเค้าจะไปถึงจะบอก
บางเวลาเหมือนฉันพอจะนิ่งเฉย ทำใจได้บ้าง คิดว่าตัวเองเข้มแข็ง
แต่แล้วพอโทรศัพท์ไปหา แค่ได้ยินเสียงเค้าก็แทบร้องไห้ ไม่รู้ว่าทำไม
รู้แค่ว่าห่วงเค้าแทบทุกวินาทีเลยแหละ ตอนที่เค้าจะเดินทางไปอเมริกาน่ะ” ฉันยิ้มกับเพื่อนๆอย่างเศร้าๆ  ไทโยโกะยิ้มให้ฉันอย่างเห็นใจ  ขณะที่อามิมีสีหน้าเข้าใจอย่างชัดเจน แต่ก็แค่เข้าใจในรักที่ฉันมี
แต่คงไม่มีใครรู้ถึงน้ำตาที่มันพาลจะไหลออกมาได้ทุกเมื่อ
ไม่มี
    “นี่เป็นรักแรกของซูนาโกะจังเลยซี่
” อามิกล่าวแซวฉัน ฉันยิ้มจางๆ
    “อือ
คิดว่าน่าจะใช่ เมื่อก่อนเคยแค่ชอบคนบางคน ตอนนั้นก็คิดว่ารัก แต่ไม่นานก็ลืมได้ เลยคิดว่าคงไม่ใช่ความรัก
แต่คราวนี้มันไม่ใช่
มันต่างกันจริงๆ
รักแรก
รู้แล้วจริงๆว่ารักเป็นยังไง
สำหรับใครจะคิดยังไงเกี่ยวกับนาโอะจังฉันไม่สนใจ ฉันรู้แต่ว่าสำหรับฉัน นาโอะจังน่ารักเสมอ
”
    “ไปอยู่เมืองนอกแล้ว เธอจะยังรอเค้ามั้ย?” ไทโยโกะถาม
    “เหอะๆ
ไม่
ไม่รู้สิ
ฉันไม่รู้ว่าเค้าเองจะเป็นยังไง ถึงตอนนั้นเค้าจะรู้สึกยังไงกับฉันบ้าง
เป็นเรื่องของอนาคตน่ะ
ส่วนฉันก็ไม่ชอบนิสัยของคนฝรั่ง ฉันอาจจะไม่แต่งงานก็ได้ชีวิตนี้
”
    “อย่าพูดอย่างนั้นสิจ๊ะ
บางทีอาจจะเจอฝรั่งหล่อๆแถวโน้นโดนใจเธอก็ได้นะ
หรือไม่ก็ นาโอรุก็อาจจะรอเธอนะ ซูนะจัง
นาโอรุจะรอนักเรียนแพทย์บ้างไม่ได้หรือไง
” เมงูมิกล่าวปลอบใจฉัน
    “ฉันคิดว่าฉันคงไม่เจอใครเหมือนเค้าแล้วล่ะ คนหล่อคนน่ารักน่ะคงมีเยอะ มองแล้วรู้สึกดีๆน่ะมีถมไป
แต่ใครคนที่จะพิเศษเหมือนเค้า จนทำให้ฉันรักได้แบบนี้
อาจจะไม่มีอีกแล้ว
”ฉันบอกกับเพื่อนจากความรู้สึก และอะไรๆที่ฉันมองมาตลอด พยายามเปิดใจมาตลอด
แต่ก็ไม่เคยมองเห็นใครคนไหนที่จะแทนที่นาโอรุได้
    “มองโลกแคบเกินไปรึเปล่า
” เมงูมิกล่าว ก่อนที่ไทโยโกะจะแทรกต่อ ไม่ทันให้ใครได้พูดอะไร
    “เราว่าเราต้องได้แต่งงานเป็นคนสุดท้ายแน่เลย
ดูซิ ทุกๆคนมีคนที่ชอบหมดแล้ว
” ไทโยโกะกล่าวรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองยังโดดเดี่ยว ไม่มีคนพิเศษ
ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอดี
จากที่ได้คุยกันและได้อ่านไดอารี่ของเธอ
ฉันเองก็เคยเป็นแบบนั้น
    “ไม่หรอก ไทโยจังน่ะน่ารักจะตาย ฉันว่าไทโยจังสวยนะ ฉันต่างหาก ต่อไปก็ไปไกล ไม่ได้เจอใครเลย เจอแต่ฝรั่ง
และเราก็ไม่ใช่คนมีเสน่ห์
ที่สำคัญคือฉันมีนาโอะจังอยู่ในใจตลอด” พูดไปพูดมาก็ไม่เคยพ้นเรื่องนาโอรุไปได้สักที
ก็เขาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉันจริงๆนี่นา
    “แย่แล้ว  นี่เรากำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่เนี่ย
ติวหนังสือกันดีกว่ามั้ง” ฉันเปลี่ยนเรื่องพูดทันที
    “ก็ใครเริ่มก่อนล่ะจ๊ะ
?” อามิกล่าวค่อนขอด ขำอย่างอารมณ์ดี
    “อ๊ะ
โอเคฉันผิดเองแหละ ยอมรับก็ได้
แต่เอาเป็นว่าเรามาติวฟิสิกส์กันดีกว่านะ เหอะๆ”
-------------------------------------
   
ฉันนั่งพิมพ์ข้อความบางอย่างอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์
    ถ้อยความที่ปรากฏบนจอ เป็นถ้อยความที่เรียบเรียงเป็นนิยายซึ่งฉันเตรียมจะส่งให้นาโอรุได้อ่าน เนื่องในเทศกาลวาเลนไทน์ที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้
ฉันทำเหมือนกับปีที่แล้ว เพราะไม่รู้จะให้อะไรเขาได้นอกจากนี้จริงๆ
นาโอรุอาจจะเบื่อที่จะอ่าน
แต่ฉันก็ทำได้แค่นี้
    ชั่ววูบหนึ่ง ถ้อยความในจดหมายและการ์ดวาเลนไทน์ที่นาโอรุเขียนและฝากเพื่อนมาให้กับฉันเมื่อวาเลนไทน์ที่แล้วก็ชัดเจนขึ้นในความทรงจำ
นาโอรุให้ฉันด้วยมิตรภาพเช่นเดียวกับเพื่อนคนอื่นๆของเขา
ของขวัญที่เขาซื้อให้นั้นก็ในฐานะที่ฉันพิเศษกว่าคนอื่น.. แต่ฉันก็รู้ว่าสำหรับเขา ฉันยังเป็นเพียงคนพิเศษ
ไม่ใช่คนรัก
ฉันรู้และบอกกับตัวเองเสมอ
หากแต่สิ่งที่เขาทำให้ในวันวาเลนไทน์คราวก่อน ก็ทำให้วันวาเลนไทน์เหงาๆของฉันกลายเป็นวันวาเลนไทน์ที่สดใส งดงาม และอบอุ่นเท่าที่เคยผ่านมา
อย่างน้อยก็รู้ว่ามีคนๆหนึ่งที่มีความรู้สึกพิเศษๆให้นี่นะ
.
    แต่ตอนนี้ความรู้สึกมากมายกลับทับทวีอยู่ในใจ จนไม่อาจเก็บเอาไว้ได้
น้ำตาไหลออกมาบนใบหน้าฉันเพราะคิดถึงเขาเหลือเกิน
แม้อีกไม่กี่เดือนเขาก็จะกลับมา แต่พอเขากลับมาก็ได้เจอกันไม่นาน ฉันก็จะต้องไป
อยากอยู่กับเขานานๆ
อยากอยู่ไปตลอด
แต่เป็นไปไม่ได้
และฉันคงไม่อาจเหนี่ยวรั้งใจเขาให้อยู่กับฉันได้เลย
ฉันรู้ตัวมาตลอด
    ความคิดฟุ้งซ่านพาลเอาน้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสาย
    เสียงหวีดหวิวของสายลมข้างนอกยามปลายฤดูหนาวเช่นนี้ชวนให้ความเหงาเข้าแทรกซึมเกาะกินหัวใจได้ทุกเมื่อที่ไร้คนเคียงข้าง
อากาศภายนอกคงจะเย็นพอควร
แต่ก็คงไม่เท่ากับที่ที่นาโอรุอยู่ตอนนี้
คงจะหนาวเย็นมากกว่านี้หลายเท่า
-----------------------------------------
    “ซูนะจัง! รอนานมั้ย?” เสียงทุ้มอันอบอุ่นดังขึ้นจากทางด้านหลังฉัน
หัวใจของฉันเต้นเร็วจนควบคุมไม่ได้ รู้สึกงกๆเงิ่นๆทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาชั่วขณะ
    ฉันหันไปตามเสียงนั้น ก่อนจะเผยรอยยิ้มให้คนตรงหน้าด้วยรอยยิ้มที่อวลไปด้วยความรัก ความคิดถึง ความจริงใจ และ ความรู้สึกทั้งหมดที่มี
   
ทาคุมิ  นาโอรุ
ตอนนี้เขายืนอยู่ตรงนี้ตรงหน้าฉันแล้ว
ไออุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างจนฉันแทบจะละลายได้ทุกเมื่อ
   
เวลานี้ที่เรารอคอยมาถึงแล้ว
จริงหรือ
?
    “นาโอะจัง
” ฉันเอ่ยชื่อเขาออกไปแล้วชะงักไว้เพียงนั้น พูดอะไรไม่ถูก
อยากบอกว่ารักเขามากแค่ไหน
อยากบอกเขาว่ารอวันนี้มาตลอด
อยากบอกอะไรที่กึกก้องอยู่ข้างในใจมากมายออกไป
แต่เขาก็คงรับรู้มันอยู่แล้ว
และถ้าฉันบอกออกไปอีก มันก็อาจไม่มีค่าอะไร
   
รอยยิ้มกับแววตาของนาโอรุช่างมีค่ากับฉันเหลือเกิน
เป็นปีแล้วที่ฉันไม่ได้เห็นรอยยิ้มแบบนี้
    “ดีใจจังที่ได้เจอซูนะจังอีก
” นาโอรุยิ้ม
คำพูดของเขาเพียงแค่นี้ก็มีความหมายสำหรับจิตใจฉันตอนนี้มากแล้ว
    เวลานี้ฉันแทบไม่รู้ว่าเราสองคนอยู่ที่ไหน
และเรานัดเจอกันได้อย่างไร
แล้วทำไมฉันแทบจำวันก่อนๆที่ผ่านมาไม่ได้เลย
เหมือนมันล่วงมาเร็วมาก เร็วเกินไป
   
เวลานี้เหมือนมีแค่เราสองคน ไม่มีใครอื่น
    น้ำตาค่อยๆรื้นขึ้นที่ขอบตาของฉันอย่างไม่ทันรู้ตัว
    คราวนี้คงกลั้นไว้ไม่อยู่
แต่คงไม่ผิดที่จะปล่อยให้มันไหลรินออกมา
เพราะฉันเคยบอกกับตัวเองไว้ว่าจะไม่ร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นนอกจากคนที่ฉันรัก
    “นาโอะจัง
รู้
รู้มั้ยว่าเราดีใจ
ดีใจมากที่สุด ที่การรอคอยสิ้นสุดลงสักที” น้ำตาไหลพรากออกมา
ฉันต้องพยายามควบคุมน้ำเสียงตัวเองไม่ให้สั่น พยายามยิ้มออกไปทั้งน้ำตา
    ยิ้ม
ให้รู้ว่าฉันมีความสุขมากแค่ไหนที่มีวันนี้
    รอยยิ้มจางไปจากใบหน้านาโอรุ เหลือแต่แววตาห่วงหาอาทรภายใต้แว่นตาคู่นั้นที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนฉันรู้สึกได้ถึงความห่วงใยนั้น
    “ถึงแม้วันนี้เราจะยัง
ยังไม่
ไม่ได้รักกัน
แต่เราก็
ก็ดีใจที่มีวันนี้” ฉันพูดไปสะอื้นไปราวกับคนพูดติดอ่าง
    ไม่ทันที่จะตั้งตัว มืออุ่นๆข้างหนึ่งของนาโอรุ ก็สัมผัสเบาๆบนแก้มที่เปรอะด้วยคราบน้ำตาของฉัน แววตาคู่นั้นมีรอยร้าวอยู่ลึกๆ
   
   
อยากหยุดเวลานี้ไว้นานๆจังเลย
    “ไม่เอาสิ
ซูนะจังต้องไม่ร้องไห้นะ” น้ำเสียงนั้นอบอุ่นและแฝงด้วยความห่วงใยเช่นเคย
    “มัน
  มันห้ามไม่ได้
จริงๆนะ
” ฉันกล่าวเสียงสั่น
   
มันห้ามไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้ว
ตั้งแต่ที่เผลอใจไปรักเธอแล้ว นาโอะจัง
    “อยากอยู่แบบนี้นานๆจัง  อยากอยู่กับนาโอะจังสองคนแบบนี้ไปนานๆ” ฉันค่อยๆพริ้มตาลงทั้งๆที่น้ำตายังไม่หยุดไหล เอามือของฉันจับมือของนาโอรุที่ปาดน้ำตาฉันนั้น แนบที่แก้มนิ่ง
    “ซูนะจัง
” นาโอรุเอ่ยชื่อฉันด้วยอารมณ์บางอย่าง
อาจจะไม่เข้าใจ
อาจจะสงสัย
หรืออาจจะสงสาร
ฉันไม่รู้
รู้แต่ว่าฉันหลับตาอยู่ และสัมผัสจากมือนาโอรุช่างอบอุ่นเหลือคณา
    “เราขอแค่วันนี้ได้มั้ย?
ถึงนาโอะจังจะไม่ได้รักเราก็ตาม แต่เราขอแค่วันนี้ เวลานี้ อยากเก็บเอาไว้ในความทรงจำเสี้ยวหนึ่ง
ให้ได้รึเปล่า?” ฉันพูดทั้งที่หลับตา
บางทีอาจจะดีกว่าที่ต้องเผชิญกับสายตาของนาโอรุ
กลัว
กลัวสายตาเย็นชาจากนาโอรุเหลือเกิน
    “ได้สิ
ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ก็ซูนะจังเป็นคนที่พิเศษยิ่งกว่าเพื่อนนี่นา
” น้ำเสียงนั้นยังคงมีแววห่วงใย
แค่นี้ฉันก็ดีใจแล้ว
    ฉันค่อยๆลืมตาขึ้น น้ำตาไม่จางหายไปสักที
. ดวงตาคู่นั้นมองมาเศร้าๆ
    ฉันคลายมือของนาโอรุออก ก่อนจะโผเข้ากอดร่างสูงของนาโอรุ ซบหน้าลงบนแผ่นอกนั้น
เวลานี้ไม่มีใครจริงๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีแค่เราสองคน
ทำแบบนี้แค่ครั้งเดียวคงไม่ผิดอะไร
ขอแค่มีไออุ่นนี้เก็บไว้ในความทรงจำก็พอ
    น้ำตามากมาย พากันหลั่งไหลท่วมท้นดวงตาของฉัน
นาโอรุโอบกอดฉันเบาๆ
ผิดกับฉันที่โอบร่างของเขาไว้แน่น กลัวร่างนั้นจะหลุดลอยหายไป
    “นาโอะจัง
  สัญญานะว่าจะไม่ทิ้งเรา  แม้ว่านาโอะจังจะไม่รักเราแบบที่เรารักนาโอะจัง
แต่อย่าทิ้งเพื่อนคนนี้ไปนะ
” ไออุ่นในอ้อมกอดนาโอรุนั้นอบอุ่นที่สุดในเวลานี้
    “อืม
สัญญา
เราจะไม่ทิ้งซูนะจัง
จะไม่มีวัน” น้ำเสียงนั้นหนักแน่นด้วยความหมาย
ทว่าสั่นเครือ
เขาคงรู้สึกสะเทือนใจไม่น้อยที่ฉันอ่อนแอขนาดนี้
    “วันหลังถ้าเรามาหา  นาโอะจังต้องต้อนรับด้วยนะ” น้ำตาพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย  จนเสื้อของนาโอรุเปียกชื้น แต่เขาก็ยินดีให้ฉันอยู่ในอ้อมกอดอย่างนั้นนิ่ง
    “แน่นอน
ซูนะจังไม่ต้องกลัวหรอก เราสัญญา
”
   
ถ้าหลับไปตรงนี้ ในอ้อมกอดของนาโอรุแบบนี้ แล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีก ก็คงมีความสุขที่สุดแล้ว
    ฉันบอกกับตัวเองว่านั่นเป็นเพียงความคิดที่งี่เง่าวูบหนึ่งของฉันเท่านั้น
   
    “อยากอยู่แบบนี้นานๆจังเลย
เรามีความสุขที่สุดเลย” ฉันพูดไปทั้งที่ยังร้องไห้
    “ถ้ามีความสุข
  ก็อย่าร้องไห้  แล้วเงยหน้าขึ้นมา  ยิ้มให้เราหน่อยสิ” นาโอรุบอกเบาๆด้วยน้ำเสียงที่ฉันอยากจดจำเอาไว้ไปเนิ่นนาน
    ฉันพยายามหยุดร้องไห้ ก่อนเงยหน้าขึ้นยิ้มทั้งน้ำตาให้นาโอรุ
นาโอรุยิ้มตอบด้วยแววตาแสนอ่อนโยน ก่อนเอามือข้างหนึ่งเกลี่ยเส้นผมที่ระใบหน้าฉันออก
    “ซูนะจังยิ้มแล้วน่ารักมากนะ รู้ตัวรึเปล่า
”
    ฉันได้แต่ยิ้มเงียบๆ ก่อนจะซบหน้าลงบนแผ่นอกนั้นต่อ
   
น่ารักแล้วทำไมไม่รักนะ
    “นาโอะจัง
  เราอยากบอกอีกครั้งว่า เรารักนาโอะจังมากที่สุด  รักมากเท่าที่ผู้หญิงคนนึงจะรักผู้ชายคนนึงได้  รักมากเกินกว่าที่จะพูดให้นาโอะจังได้เข้าใจ
แต่รู้เอาไว้ว่ารักก็แล้วกันนะ
”  ฉันหลับตาซบอยู่ในอ้อมกอดนั้นนิ่ง
    ความรักของผู้หญิงหัวใจอ่อนไหวแบบฉัน
อยากให้เขารู้เหลือเกินว่ามันมากมายแค่ไหน
แต่ผู้ชายจะเข้าใจผู้หญิงได้รึเปล่านะ
โดยเฉพาะผู้หญิงแบบฉัน
   
    จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองอยู่ในที่มืด
มืดมาก
เคว้งคว้างและว่างเปล่า
ไร้ร่างของนาโอะจังอยู่
มีฉันเพียงลำพัง
  แสงสว่างจุดเล็กๆจากทางด้านหนึ่งค่อยๆขยายวงกว้างขึ้นๆเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ
   
ฉันสะดุ้งตื่นขึ้น พบตัวเองนอนอยู่บนเตียงคุ้นเคย ซุกตัวในผ้าห่มผืนสีฟ้าลายการ์ตูน
รอบตัวปราศจากใคร
   
ความสับสนต่างๆเวียนวนอยู่ในความรู้สึก และห้วงแห่งความนึกคิด ก่อนที่จะเข้าใจได้ถึงความเป็นตัวตนของฉัน และ วันเวลาปัจจุบันได้ ก็กินเวลาชั่วครู่
   
วันนี้วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547  นี่เอง
   
ยังรัก และ รอ ทาคุมิ นาโอรุ เหมือนเดิม
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น