ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เฮฮาประสาประวัติศาสตร์--ภาคVlad_Tepes

    ลำดับตอนที่ #14 : เก็บกวาดขยะรอบแรก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 352
      2
      6 ก.ค. 58

    เก็บกวาดขยะ


    หลังจากโปรดให้จับกุมเหล่าขุนนางคอรัปชั่นแล้ว พระเจ้าวลาดที่สามก็เสด็จไปที่โรงเลี้ยงในคืนเดียวกัน ซึ่งวันนั้นพระองค์ได้โปรดให้เชิญบรรดาขอทาน หัวขโมย และคนไม่มีอันจะกินทั้งหลายในเมืองไปเพื่อเลี้ยงอาหารด้วย ซึ่งมีคำสั่งไว้เช่นกันว่า "หลังจากสามชั่วโมงนับแต่งานเลี้ยงเริ่ม ให้นำเด็ก คนชรา และคนพิการออกไปให้หมด" ซึ่งเมื่อพระองค์เสด็จมาถึงบรรดาคนชรา เด็กและคนพิการก็อยู่นอกอาคารกันหมดแล้ว พวกเขามองพระองค์อย่างงุงงขณะที่พระองค์เสด็จเข้าไปในโรงเลี้ยง เนื่องจากความสงสัยว่าพวกเขาทำผิดอะไรพระราชาจึงไม่โปรดให้พวกเขาเข้าเฝ้าพระองค์พร้อมกับคนอื่น เพราะพวกเขาพิการและดูน่าสมเพช? แต่องค์กษัตริย์มีท่าทางเย็นชาทุกคน พระองค์เข้าไปแล้วกวาดตามองคนที่ยังเหลืออยู่ในห้อง แล้วก็ตรัสเรียบๆ ว่า

         "พวกเจ้าทุกคนที่อยู่ในนี้ไม่ได้พิกลพิการหรือชราจนไม่สามารถทำอะไรได้ ทำไมไม่ไปหาอาชีพทำ ทำไมจึงปล่อยให้ตัวเองอดอยากจนต้องไปขอทานหรือไม่ก็ไปเป็นขโมย แล้วสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น--กลายเป็นภาระของประเทศ ทั้งๆ ที่ประเทศเราก็ยากจนขนาดนี้" เงียบสิครับ.. เมื่อไม่มีใครอ้าปากซักคน วลาดเลยถามต่อไปว่า "ตั้งแต่วันแรกที่ครองราชย์ ข้าพเจ้าประกาศปาวๆ ว่า ใครที่ไม่มีอันจะกิน-ไม่มีอาชีพ ให้มาติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อขอรัฐจัดสรรอาชีพให้ ทำไมไม่แม้แต่หนึ่งคนที่โผล่หัวมา?" ไม่มีคำตอบครับ มีแต่เสียงแซดๆ ที่ฟังไม่รู้เรื่อง... วลาดก็เลยตรัสถามอีกว่า "ขอถามอีกครั้ง ทำไมไม่คิดจะทำงานหาเลี้ยงตัวเองบ้าง พวกเจ้าไม่มีศักดิ์ศรีบ้างรึไง?"
         "ขอเดชะ..." มีผู้กล้าหาญตอบแล้วในที่สุด "เราเป็นเพียงคนต่ำต้อยที่หนีจากการเป็นทาสติดที่ดินเข้ามาในเมือง ไม่มีทั้งความรู้และสติปัญญาที่จะทำอะไร ถ้าจะขอรับงานจากภาครัฐก็เกรงว่าจะไม่มีความสามารถที่จะทำได้พะย่ะค่ะ"
         แต่วิธีที่มึงตอบโคตรฉลาดเลย (-_-) วลาดพยักพระพักตร์แล้วถามว่า "คนอื่นๆ ล่ะ? ไม่มีปัญญาที่จะทำงานทำการอะไรรึไง?" ปรากฏว่าคนอื่นก็เริ่มตอบตามกันหมดเลยว่า 'ป๋มไม่มีปัญญาทำงานอะไรได้...' วลาดก็เลยถามอีกว่า "แม้แต่ว่ามันเป็นคำขอของข้าซึ่งเป็นกษัตริย์ของพวกเจ้า ที่จะต้องพึ่งพาแรงกายแรงใจเท่าที่พวกเจ้าจะสามารถมอบให้ได้ เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็ยังไม่คิดจะทำอะไรเพื่อข้า?" เงียบอีก "ถ้าเช่นนั้นข้าขอถามหน่อย.. ถ้าข้าบอกว่า หากพวกเจ้าไม่คิดจะทำงานจริง ข้าจะยอมให้พวกเจ้าอยู่กับกองอาหารพวกนี้ตลอดไปก็ได้ พวกเจ้าจะพอใจมากกว่า? แม้ว่ามันหมายถึงการอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรีและไร้ค่า?" พวกเขาเหล่านั้นก็ตอบว่า พวกเขายินดีจะอยู่อย่างงี้ตลอดไป(แหม... หน้าด้านมาก) วลาดจึงพูดว่า "เช่นนั้น ก็จงอยู่กับกองอาหารพวกนี้ตลอดไปเถอะ แต่ถ้าใครยังมีศักดิ์ศรีมากพอที่จะทำงานจนเหงื่ออาบหน้าเพื่อจะมีชีวิตอยู่ในประเทศนี้อย่างภาคภูมิ โปรดตามข้ามา"

    แล้วพระองค์ก็ออกจากโรงเลี้ยงไปโดยไม่มีแม้แต่หนึ่งคนที่จะตัดสินใจตามเสด็จออกมา สำหรับวลาดในเวลานั้น พระองค์รู้สึกแล้วว่าราษฎรของพระองค์เน่าเฟะจริงๆ แต่เพื่อให้เป็นกรณีตัวอย่าง เพื่อที่จะไม่มีคนที่มีความคิดชุ่ยๆ แบบนี้อีก พระองค์โปรดให้ขัดดานประตูและหน้าต่างทั้งหมดเพื่อจะไม่มีใครหนีรอดออกมาได้ แล้วโปรดให้เผาโรงเลี้ยงต่อหน้าต่อตาทารก-เฒ่า-ชรา-คนพิการที่อยู่ข้างนอก ท่ามกลางเสียงกรีดร้องนั้น พระองค์หันไปหาคนที่เหล่าที่กลัวจนตัวสั่น แล้วตรัสว่า "เพียงเท่านี้ประเทศของข้าก็จะไม่มีขอทานและคนที่ทำตัวเป็นภาระของประเทศอีกต่อไป ส่วนพวกเจ้า คืนนี้กลับไปพักผ่อนซะแล้วคิดดูว่าจะทำอาชีพอะไรเท่าที่ปัญญาและร่างกายของพวกเจ้าสามารถทำได้ ใครไม่รู้จะทำอะไรจริงๆ ก็มีทางเลือกสองทางคือออกจากประเทศนี้ไป หรือ ไปรายงานตัวเพื่อขอทำงานให้รัฐ-แลกกับอาหารและที่พัก และโปรดจำไว้ด้วยว่า ข้าเป็นพระราชาของคนที่ซื่อสัตย์และทำงานเพื่อส่วนรวมเท่านั้น ไม่ใช่พระราชาของคนฉ้อราษฎ์บังหลวงที่ชอบเอาเปรียบคนอื่น..." เอาล่ะสิ งานนี้ กลายเป็นว่าไม่มีใครซักคนที่กล้าเป็นขอทานในวันต่อมา เกือบทั้งหมดไปรายงานตัวกับรัฐเพื่อขอทำงานแลกที่อยู่และอาหาร ซึ่งพวกเขาก็ได้งานตามที่สติปัญญาและสภาพร่างกายจะอำนวย เท่ากับว่า วลาดได้แรงงานราคาถูกมาเพียบเลยคราวนี้


    ไม่หมดเท่านั้นครับ ยังเหลือขุนนางคอรับชั่นที่จับไว้เมื่อคืนด้วย วลาดก็จัดการสั่งให้เสียบประจานในอีกวันต่อมา โดยเสียบกันกลางแดดเปรี้ยงๆ นั่นแหละ ให้ทุกคนได้เห็นกันชัดๆ และเนื่องจากการประหารแบบใหม่นี้ต้องใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะเสร็จจนวลาดต้องทรงเสวยพระกายหารพร้อมๆ กับที่บัญชาการเสียบด้วย กลายเป็นที่มาต้องตำนาน 'กินไป ดูเสียบไป' แต่พระองค์ก็ไม่ได้ทรงเสวยเลือดของคนเหล่านั้นตามที่สาวกแวมไพร์มาโมเมเขียนนะครับ เพราะอยากให้ลองคิดตามความจริงด้วย การเสียบประจานต้องดันไม้แหลมเข้าไปทางทวารหนักจนกว่าจะโผล่ทะลุออกจากส่วนใดของร่างกาย สำหรับรายที่โชคดีหน่อยเพราะปลายไม้โผล่ออกทางปากก็จะได้ลิ้มรสอึของตัวเองซึ่งถูกดันขึ้นมาจากลำไส้โดยตรง สรุปคือเป็นการตายที่อุบาทว์ชาติชั่วมาก แล้วผู้อ่านคิดว่าเลือดมันจะไหลออกมาทางไหนถ้าไม่ใช่... ใครอยากกินเลือดตอนนี้ก็กินไปเถอะ แต่สำหรับวลาด ผมเชื่อว่าพระองค์คนไม่อยากเสวย โดยเฉพาะเลือดที่มีอุจจาระปนแบบนั้น... ที่สำคัญ ความตายเช่นนี้นังสร้างความสยดสยองให้กับผู้พบเห็นทุกราย แล้วพระองค์ก็ประกาศออกไปว่าใครที่ทำผิดกฎหมายก็จะมีจุดจบแบบนี้แหละ ครับ... งานนี้ได้เรื่องเลย เพราะอาชญากรรมในวัลลาลดฮวบฮาบลงในเดือนเดียว และ หลังจากนั้นไม่กี่เดือน วัลลาเคียก็ได้อันดับหนึ่งในฐานะประเทศปลอดอาชญากรรม ความปลอดภัยในประเทศนี้สูงมากขนาดว่าหญิงสาวสวยคนหนึ่งสามารถเดินทางข้ามประเทศนี้ได้ในสภาพเปลือยกายโดยไม่มีใครพยายามลักพาเธอไปกระทำชำเรา หรือพูดให้ชัดคือ หลังจากสามเดือนของการไล่ล่าอาชญากรนั้น วลาดไม่ได้สั่งเสียบใครอีกตลอดช่วงเวลาของการครองราชย์(ยกเว้นจะนับการเสียบประจานระหว่างราชการสงคราม) ฉะนั้น ที่ว่าพระองค์เสียบคนในประเทศของพระองค์เป็นหมื่นเป็นแสนนั้นจึงไม่เป็นความจริงเลย

    อย่างไรก็ตาม.. เรื่องความโหดก็ต้องถือว่าเป็นของจริง เพราะหลังจากเสียบประจานพวกขุนนางทุจริต แล้ว พระเจ้าวลาดที่สามมีพระราชกรณียากิจที่สำคัญอีกอย่างคือการถอนรากถอนโคนศัตรู เพราะถ้าไม่ทำช่นนั้นจะเป็นภัยของในภายหลัง เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงและจำเป็นมากในประวัติศาสตร์ แม้จะฟังดูโหดร้าย แต่การฆ่าครอบครัวของศัตรูคือสิ่งจำเป็น.. ฉะนั้นวลาดต้องตัดสินพระทัยเรื่องนี้ และพระองค์ก็โปรดให้จับกุมครอบครัวและคนรับใช้ของศัตรูที่ถูกสังหาร เพียงแต่พระองค์ไม่ฆ่าพวกเขาทันที พระองค์มองว่าพวกเขาควรได้รู้ว่าประชาชนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบต้องทุกข์ยากอย่างไร ฉะนั้น พระองค์จึงโปรดให้เกณฑ์คนเหล่านั้นไปที่ป้อมปราการปอยเอนารี่ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำอาเจค แล้วสั่งให้พวกเขาทำงานซ่อมแซมปราสาท โปรดบอกพวกเขาว่าพวกเขาจะเป็นอิสระถ้าผ่านการทดสอบนี้ได้ แล้วพวกเขาก็ต้องทำงานทั้งวันทั้งคืน ในโรมาเนียทีเพลงเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ด้วยครับโดยร้องว่า "พวกเขาต้องทำงาน จนเสื้อผ้าหรูหรากลายเป็นผ้าขี้ริ้ว แต่ก็ยังต้องทำงานต่อไป แม้จะเหลือแต่ตัวเปลือยเปล่า..." ตรงนี้ฟังดูน่าเศร้านะครับ บันทึกกล่าวมีน้อยมากที่สามารถรอดชีวิตจากการทดสอบนี้ได้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือพวกทาสที่ทำงานหนักอยู่แล้ว ซึ่งหลังจากทำงานเสร็จแล้วยังมีชีวิตรอด วลาดก็ปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระตามสัญญา


    ตรงนี้มีเหตุการณ์ที่น่าสนใจนะครับ นั่นคือเรื่องอาหาร คือตอนที่วลาดมาตรวจการสร้างปราสาท พระองค์ตรวจไปถึงอาหารที่คนงานกิน แล้วพระองค์ก็พบว่าอาหารพวกนี้แม้แต่หมูก็คงกินไม่ลง(เนื่องจากพวกทหารก็คงหมั่นไส้ชนชั้นสูงที่ดีแต่กดขี่อยู่ไม่น้อย เลยอยากแก้เผ็ดบ้าง) แต่วลาดเห็นแล้วรับไม่ได้ครับ พระองค์อ้างว่าคนงานต้องมีแรงถึงจะทำงานได้ ทรงโปรดให้เทอาหารทิ้งแล้วปรุงขึ้นมาให้ดีที่สุด และเนื้องจากคนชิมคือพระราชา ใครจะกล้าปรุงกระจอกล่ะ ผลที่ได้คืออาหารสวะกลายเป็นซุปเนื้ออย่างดี แต่ยังไม่พอ เพราะพระองค์เห็นว่าซุปเนื้อไม่สามารถทำให้อิ่มท้อง พระองค์สั่งให้ใส่ข้าวลงไปเยอะๆ แล้วโปรดให้รักษามาตรฐานนี้ไว้ เพราะทรงต้องการแรงงาน พวกเขาต้องทำให้เชลยเหล่านี้มีแรงทำงาน... จบ

    มีมุมน่ารักเหมือนกันนะเนี่ย...!!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×