ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เฮฮาประสาประวัติศาสตร์--ภาคVlad_Tepes

    ลำดับตอนที่ #15 : พระราชาแบบนี้มีองค์เดียวในโรมาเนีย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 437
      5
      17 ก.ค. 58

    คราวที่แล้วเราพูดคุยเกี่ยวกับการเก็บกวาดขยะครั้งใหญ่ของวลาดซึ่งออกจะรุนแรงมากเกินไปหน่อยและปฏเสธไม่ได้ว่าเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม แต่บางครั้ง เราต้องเข้าใจเช่นกันว่าเราไม่สามารถเอามาตรฐานทางศีลธรรมของเราไปใช้ตัดสินคนในอดีตได้ โดยเฉพาะยุคนั้นการลงโทษแบบตาต่อตาฟันต่อฟันเป็นสิ่งที่ยอมรับกันได้ และคนส่วนใหญ่ก็คาดหวังว่าพระเจ้าแผ่นดินที่มีความยุติธรรมจะสามารถตัดสินโทษผู้กระทำผิดโดยวิธีการเช่นนั้นด้วยเหมือนกัน เช่นคนลักขโมยก็ต้องถูกตัดมือ คนบุกรุกเข้าบ้านคนอื่นก็ถูกตัดเท้า ฯลฯ พูดง่ายๆ คืออวัยวะใดใช้ทำบาปก็ต้องตัดทิ้งด้วยว่าดีกว่าจะทำให้วิญญาณทั้งดวงต้องตกนรกไปด้วย และถ้าเป็นความผิดที่รุนแรงมากเช่นการขบถหรือการสังหารผู้อื่น การลงโทษประหารชีวิตก็ย่อมเกิดขึ้น ปัญหาคือต้องใช้วิธีประหารเช่นใดจึงจะสาสมกับความผิดที่ก่อลงไป

    ฉะนั้น.. ในยุคที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ วลาดไม่ได้โหดมากไปกว่ากษัตริย์องค์ใดในยุคกลาง และถ้าว่ากันอย่างยุติธรรมแล้ว พระองค์ทรงปกครองบ้านเมืองด้วยวิธีการที่นิ่มนวลอย่างยิ่ง! ตามที่ได้บอกไปในตอนแรก พระองค์ได้ทรงปรับบทลงโทษมากมายให้ลดลงมาจนเหลือเพียงแค่การเฆี่ยนตี และโทษประหารก็ใช้เพียงวิธีการเดียวคือการเสียบประจาน ยิ่งไปกว่านั้นคือวลาดทรงเลือกที่จะนั่งบัลลังก์พิพากษาโดยพระองค์เองด้วยเหตุผล "หากทุกสิ่งผิดในสายพระเนตรของพระเจ้า ข้าพเจ้าจะขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว" และพระองค์จะสืบหาความจริงอย่างไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น หากหลักฐานความผิดไม่เป็นที่ประจักษ์ภายใน 5 วันพระองค์ก็จะปล่อยตัวจำเลยโดยไม่ลังเลด้วย ซึ่งแค่มองตามนี้พระองค์โหดน้อยกว่ากษัตริย์ไทยเกือบทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์อยุธยาแล้วด้วยซ้ำไป! แต่อย่างไรก็ตาม มีคนมากมายที่มองว่าพระองค์โหดร้ายเพราะการที่พวกชนชั้นสูงซึ่งปกติไม่มีใครกล้าแตะต้องยังถูกเสียบประจานและโชว์ในที่สาธารณะได้ ทำให้คนภายนอกมองด้วยความเข้าใจผิดว่า "ถ้าคนมีอำนาจยังปกป้องตัวเองจากกษัตริย์ผู้โหดเหี้ยมองค์นี้ไม่ได้ แล้วประชาชนตาดำๆ จะเอาตัวรอดได้อย่างไร?" เป็นงั้นไป...(-*-)


    ^วลาดในจินตนาการของคนทั้งโลก

    ในความเป็นจริง การเสียบประจานมีความเกี่ยวพันธ์กับพิธีกรรมโบราณของชาวเซมิติก นั่นคือ "คนบาปต้องถูกประจานบนต้นไม้จนกว่าร่างกายจะสลายไป บาปจึงจะถูกลบล้าง" หรืออีกนัยหนึ่งมันคือการตรึงการเขนแบบโบราณนั้นเอง ชาวเซมิติกชื่อว่าการเสียบประจานเป็นวิธีประหารชีวิตที่มีเมตตาที่สุดเพราะหมายถึง "คนบาปที่ไม่มีโอกาสได้รับการอภัยบาปจะได้รับการชำระบาปโดยวิธีนี้ และหลังจากนั้น วิญญาณของพวกเขาจะไม่ต้องไปนรก" ฉะนั้น.. เราอาจจะพูดได้ว่า วลาดไม่ได้โรคจิตซะทีเดียว แต่พระองค์อาจจะมีความเชื่อจริงจังเกี่ยวกับการล้างบาปบนหลักประหารของชาวยิวโบราณ หรืออาจจะคิดว่ามันป่วยการที่จะเอาบาทหลวงมาทำพิธีให้ก่อนตาย เพราะไม่รู้ว่าใจคนจะรับการทำพิธีได้หรือไม่เนื่องคนกลังจะตายย่อมตาลีตาเหลือก--บางทีก็สาปแช่งคนสั่งประหารด้วย จิตใจที่ไม่บริสุทธิ์เช่นนั้นย่อมไม่อาจไปสวรรค์หรือแม้แต่ขอรับการชำระจากพระเยซู ผมไม่รู้ว่าวลาดกำลังคิดแบบนี้ระหว่างการสั่งเสียบหรือไม่ ถ้าพระองค์คิดแบบนั้นจริงๆ ก็แสดงว่าพระองค์ได้สนุกสนานที่ได้ดูคนทรมานและตายไปช้าๆ อย่างที่เอามาลือกันแต่พระองค์เลือกวิธีที่ทำให้แน่ใจว่าคนตายจะไม่ต้องตกนรกแม้ว่าพวกเขาจะทำบาปมากมายบนโลก... คำถามที่ตามมาคือ แล้วทำไมต้องเจาะจงเสียบรูตูด? เพราะมันออกจะเซ็กส์ซาดิสเกินไปหน่อย อารมณ์เหมือนถูกข่มขืนจนกระทั่งตาย!! ไม่แปลกใจว่ามันสร้างความขนพองสยองเกล้าให้ผู้พบเห็นยิ่งกว่าเห็นคนถูกเผาทั้งเป็นอีก และหลายคนก็รู้สึกว่าถูกเผาทั้งเป็นยังดีกว่า เพราะการเสียบประจานดูจะเป็นวิธีตายที่ทุเรศและสยดสยองมากเหลือเกิน


    ^วลาดตามที่ปรากฏในหลักฐานทางประวัติศาสตร์(ชาวโรมาเนียรักท่านมากนะครับ มีอนุสาวรีย์ของท่านผุดขึ้นทุกหัวระแหงทีเดียว อย่าทำเป็นเล่นไป)

    ตรงนี้.. ศาสตราจารย์แดนแห่งมหาวิทยาลับบูคาเรสได้พบเอกสารที่น่าสนใจ นั่นคือ "จดหมายถึงสุภาพบุรุษแห่งเวนิช" โดยจากถ้อยคำบรรยายในจดหมายนั้น ศาสตราจารย์แดนถึงกับตีความโดยไม่กลัวใครจะครหาเลย(แถมตีพิมพ์ลงในบทความวิชาการด้วย)ว่าในวันที่วลาดไปพบแก๊งค์ขุนนางสามานเพื่อเจรจานั้น พวกมันได้ร่วมกันก่อวีรกรรมวีรเวรกับพระองค์อย่างหนักหนาสาหัส(มอมยาและรุมโทรม!)และแบล็กเมย์ นั่นทำให้วลาดเก็บแค้นฝังอกนี้มาระบายออกในวันอิสเตอร์! แต่บางคนก็มองว่าศาสตราจารย์แกโอเว่อร์เกินไป วลาดอาจจะแค่ถูกลวนลาม หรือถูกบังคับ-ชักจูง-ล่อลวงให้ร่วมทำบาปทางเพศกับพวกบ้านั่นก็ได้!? แต่สรุปคือ ไม่ว่าพระองค์จะสามารถเอาตัวรอดจากการถูกทำอนาจารหรือไม่ เหตุการณ์นี้ก็คงไปปลุกความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดขึ้นมา นั่นคือความทรงจำเกี่ยวกับการถูกข่มขืนกระทำชำเราในวัยเยาว์ขณะทรงประทับที่ออตโตมัน เพราะนักวิชาการส่วนใหญ่ลงความเห็นตรงกันว่า การเสียบประจานโดยการแทงทางทวารหนักของเหยื่อเป็นการบำบัดพระองค์เองในรูปแบบหนึ่งเช่นเดียวกับอาชญากรทางเพศทั่วไปที่มักมีประสบการณ์ถูกล่วงละเมิดทางเพศในวัยเด็ก--พอโตขึ้นมาก็ไปเที่ยวข่มขืนคนอื่น ซึ่งมันเป็นการทดแทนความเจ็บปวดในวัยเยาว์ของพวกเขา และวลาดก็ทำสิ่งเดียวกันกับอาชญากรพวกนั้น คือถูกละเมิดในวัยเยาว์และเมื่อพระองค์เติบโตขึ้นก็ไปเที่ยวข่มขืนคนอื่นด้วยไม้แหลม แม้จะดูรุนแรงแต่มันทำให้พระองค์รู้สึกปลอดภัยมากขึ้นและคนมากมายก็กลัวพระองค์เพราะสิ่งนี้! และความกลัวก็ได้นำอาชญากรรมออกจากประเทศไปจนหมด

    แต่วลาดก็ไม่ได้หยุดเพียงแค่นี้ พระองค์มักปลอมตัวเป็นสามัญชนและเสด็จพระพาสต้นในดินแดนของพระองค์อยู่บ่อยครั้ง แล้วถ้าเห็นใครเดือดร้อนจะต้องเข้าไปยุ่งทันที บางทีก็ทันการบางทีก็พระองค์ก็เจ็บตัว แน่นอนว่าทำงี้บ่อยๆ เข้าประชาชนก็เริ่มจำผมหยองๆ กับตาสีเขียวของพระองค์ได้จนมีเพลงร้องว่า "พระองค์ทอดพระเนตรเราจากที่ซี่งเราอยู่ และพระราชดำเนินไปมาท่ามกลางพวกเรา" แน่ล่ะ วลาดไม่เคยได้เป็นมหาราชย์ในประวัติศาสตร์ แต่สำหรับชาวโรมาเนียพระองค์เป็นหนึ่งในดวงใจเสมอ วลาด--แดร็กคิวล่า ติดอันดับ 12 จากการโหวตทั่วประเทศเกี่ยวกับ "สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโรมาเนีย" แต่ได้ที่หนึ่งในหัวข้อ "กษัตริย์ที่ดีที่สุด" และตามหลักฐานในประวัติศาสตร์พระองค์ก็ยังได้ชื่อว่าเป็น "กษัตริย์ที่ประชาชนรักมากที่สุด" ด้วย... โห.. ชั่งห่างไกลกับแดร็กคิวล่าที่เราเคยรู้จักแบบฟ้ากับเหวทีเดียว!? ครับ.. ประชาชนในยุคนั้นรักพระองค์ด้วยบุคลิกที่แปลกประหลาดด้วย พระองค์เป็นเจ้านายที่ติดดินอย่างไม่น่าเชื่อและเป็นกันเองกับประชาชนมากหรือแม้แต่กับทาส ทรงทำหลายสิ่งที่ทูตในยุคนั้นมองว่าเป็นเรื่องเสื่อมเสียพระเกียรติสำหรับกษัตริย์หรือแม้แต่ไร้สาระสำหรับชาวต่างชาติที่ไม่คุ้นเคย เช่นการสอบสวนนักโทษ การนั่งลงบนพื้นใต้ร่มไม้ร่วมลงกับชาวบ้าน ร่วมโต๊ะเสวยกับสามัญชนและเสวยอาหารที่สามัญชนกิน เดินเท้าลงไปในทุ่งนาและเด็ดรวงข้าวท่ามกลางพวกทาส ก้มลงผูกเชือกร้องเท้าให้องค์รักษ์ หรือแม้แต่การแย้มพระสรวงโดยไม่สงวนท่าที(คือไม่ต้องเขิน จะหัวเราะทั่งทีก็เอาให้สุดๆ ไปเลย) นิทานพื้นบ้านของชาวโรมาเนียบอกเราเยอะมากเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างแดร็กคิวล่ากับประชาชนของพระองค์ ในฐานะมิตรผู้ทรงอำนาจ--เทวทูตผู้ปัดเป่าความทุกข์ยาก เป็นพระราชาที่สุภาพเรียบร้อยน่ารักแต่บางครั้งก็เอาแต่พระทัยเป็นเหมือนกัน


    ^ทุกวันนี้ ที่ซึ่งถูกสันนิฐานว่าเป็นหลุมฝังพระศพ(ซึ่งมีหลายแห่ง)ยังมีการจุดเทียนเพื่อสาการะดวงพระวิญญาณท่านอยู่ และถ้าเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิจะมีการนำดอกไม้สวยๆ มาถวายเต็มไปหมดเลยล่ะ

    วลาดเริ่มต้นการปกครองแบบใหม่ของพระองค์หลังจากเก็บกวาดขยะ นั่นคือพระองค์มองว่าชนชั้นสูงคือ "ลูกจ้างของประชาชน" โห.. ความคิดใหม่มากสำหรับตอนนั้น! "เพราะชนชั้นสูงไม่ได้มีสิ่งใดเป็นของตัวเองแต่เป็นน้ำพักน้ำแรงของประชาชนทั้งสิ้น ไฉนจึงกล้ากดขี่ผู้ที่เลี้ยงดูตนเช่นนี้!? ฉะนั้น ประชาชนเท่านั้นที่ควรจะกำหนดชะตากรรมของประเทศ!" ว่าแล้วก็ประกาศการแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาทันทีโดยคนเหล่านั้นคืออิสระชนที่ได้รับการเลือกจากประชามติของแต่ละชุมชน(โอ มายก๊อด!? ประชาธิปไตยมาก!?) แต่ในยุคกลางคงไม่มีใครเห็นด้วยกับพระองค์มั้งครับ เพราะบันทึกในหนังสือบางเล่ม(แปลเป็นภาษาไทยด้วย!)ระบุเลยว่า 'การที่วลาดทำลายฐานอำนาจของชนชั้นสูงจนหมดแบบนี้ทำให้การปกครองประเทศเป็นไปอย่างมั่วซั่วมาก' แต่วลาดท่านไม่แคร์ใครจริงๆ ขณะที่ทุกคนตะโกนว่าประชาชนโง่เกินกว่าจะเข้าใจอะไรได้ วลาดก็ประกาศยกระดับการศึกษาทั่วประเทศทันที! ซึ่งงานนี้พวกพระถึงกับโวยทีเดียว

    ยกระดับยังไง... รออ่านตอนต่อไป
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×