ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Harry Potter fanfic:- พลิกตำนานปราสาทกาลเวลา

    ลำดับตอนที่ #1 : ความเจ็บปวด

    • อัปเดตล่าสุด 7 ม.ค. 55


    ...เด็กหนุ่มไม่สามารถกรีดร้องอะไรออกมาได้...

    เบื้องหน้า  คือชายกลุ่มหนึ่งที่มองเค้าราวกับหมาป่ากระหายเหยื่อ  เด็กหนุ่มรู้สึกถึงเหงื่อเย็นเยือกที่ไหลไปทั่วร่าง แต่ไม่สามารถขยับได้เนื่องจากโซ่ที่รัดอย่างหนาแน่น ขณะที่พ่อมดผู้หนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับตราประทับที่ถูกไฟลนจนแดงจัด มันเหมือนหัวกะโหลกที่งูเลื้อยออกจากปาก และคำพูด "มันจะเรียบร้อย เจ้าหนู" ดังก้อง  แล้วเค้าก็กรีดร้องโหยหวนเมื่อความเจ็บปวดพุ่งแทงที่แขนข้างซ้าย

    "กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!!!!!"

    "นายท่านครับ ตื่นเทอะคับ, นายท่านลูเซียสของกรีส"

    "ไม่! ได้โปรด! ไม่!" เค้าดิ้นรนต่อสู้กับแรงเขย่า "ได้โปรด..." เสียงของเค้าเบาลง  น้ำตาไหลไม่ขาดสาย  เมื่อลืมตาขึ้นแล้วเห็นเอลฝ์ประจำบ้าน--กรีส ผู้รับใช้ที่สนิทกับเค้ามากที่สุด  แต่ไม่นานเค้าก็ต้องเผชิญหน้ากับความจริง นั่นคือทีมานี่  ไม่ใช่กรีส กรีสตายไปแล้ว เพราะลูกชายบ้าๆ เฮงซวยที่อยากเป็นไทมากซะจนทำให้พ่อต้องตาย กรีสตายเพราะความพยายามของด๊อบบี้ที่จะออกจากบ้านไป พวกมันหายไปในพายุ และเช้าวันต่อมาเค้าพบศพของกรีส  ลูเซียสมองไปเห็นด๊อบบี้ที่ยืนข้างหลังแม่ของมัน สำหรับเพื่อนคนเดียวที่เค้ามี  ไม่ว่ากรีสจะตายเพราะพายุหรือตายเพราะอะไร  เค้าไม่มีวันยกโทษให้ด๊อบบี้เด็ดขาด ไม่มีวัน เค้าไล่สองแม่ลูกออกจากห้องแล้วร้องไห้ตามลำพัง

    คงไม่มีอะไรที่จะสร้างความกดดันให้กับเค้าได้มากเท่ากับการเป็นผู้นำตระกูลมัลฟอย, เมื่อเค้าได้รู้ว่าเบริฟอท มัลฟอย--ผู้ชายที่เลี้ยงเค้ามาจนโตแท้จริงแล้วไม่ใช่พ่อแต่เป็นน้องชายของปู่  อัสลันเทีย มัลฟอยผู้ซึ่งไล่ลูกชาย--ผู้เป็นว่าที่ผู้นำตระกูลมัลฟอยออกจากบ้านเพราะเค้าได้ทำลายชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลด้วยกันมีความสัมพันธ์กับเด็กผู้หญิงรุ่นน้อง  พวกเค้าร่วมปกปิดการตั้งครรภ์จนกระทั่งแม่ของเค้าคลอดเค้าและน้องสาวฝาแฝดที่หอคอยกริฟฟินดอร์  แม้ปู่จะไล่พวกเค้าไปแต่ก็ขอสำหรับผู้นำตระกูลรุ่นต่อไปที่จะอยู่ที่นี่ เมื่อปู่ตาย, เบริฟอทรับเค้าไว้เป็นลูกบุญธรรม และเค้ากลายเป็นผู้นำตระกูลต่อจากอัสลันเทียทั้งที่ยังแบเบาะและทำให้เค้าต้องเรียกปู่น้อยว่าพ่อ... ปู่น้อยที่แก่พอๆ กับอาจารย์ประจำบ้านของเค้า

    เค้าจำพ่อแม่และน้องสาวไม่ได้ แต่เค้ารู้ว่าเจตนาของพ่อกับแม่คืออะไร  ชื่อของเค้าคือลูเซียส  มันแปลว่า "แสงสว่าง" เป็นชื่อที่ดีเกินกว่าจะจับคู่กับนามสกุลอันมีความหมายค่อนข้างชัดเจนว่า "คนชั่ว" ตอนที่พ่อกับแม่คิดชื่อนี้ให้เค้ามันชัดเจนถึงความคาดหวัง--แสงสว่างที่จะส่องทางให้กับทุกคน  แต่ทั้งหมดกลับถูกแทนด้วยความมืดมนที่เรียกว่า "ผู้เสพความตาย" เมื่อลอร์ด โวลเดอร์มอร์ปรากฏตัวราวกับฝันร้าย "ลูกชายของน้องชายฝาแฝดของอาเทน่ มัลฟอย, ลูกของเอรีส มัลฟอย กับอะโฟดิตี้ โพทาเรียส" เสียงสูงที่ไพเราะอย่างไม่น่าเชื่อพูดขึ้น "ชั้นหวังว่าเธอจะได้ความสามารถอันโดดเด่นของพ่อและป้าของเธอมาด้วย เด็กน้อย"

    ทันทีที่ตรามารถูกกดประทับลงบนผิวกายของเค้า... เค้ารู้ว่าชีวิตตนจะไม่เหมือนเดิมอีก...

    ความทรมานจากการถูกตราประทับทำให้เค้าดิ่งลึกลงในความทรงจำ

    แต่แล้วแสงสว่างก็ฉาดฉายเข้ามาในใจของเด็กหนุ่ม  เค้าลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าและรีบออกจากห้อง เจอกับทีมานี่ยืนคอย "นายท่าน นี่ตีสามนะเจ้าคะ ทีมานี่อยากให้นายท่านกลับไปนอนก่อน"

    "ชั้นมีธุระ  แกไม่ต้องมายุ่งหรอกนะ ไปเอาขนมพายที่เหลือในเมื่อตอนเย็นมาให้ชั้นหน่อย เร็วเข้า"

    ทีมานี่ไม่ขัดขืน หล่อนกลับมาอีกครั้งพร้อมกับขนมพายสี่ชิ้น  ลูเซียสเอามันใส่ห่อผ้าแล้วออกจากบ้านไปทันที










    เค้ามีแสงสว่างอยู่ดวงหนึ่ง  ขณะที่เค้ายังเป็นเด็ก  พี่สาวของปู่และพ่อเลี้ยงของเค้า--ไดอาน่า มัลฟอยได้นำเค้าไปพบกับครอบครัวครอบครัวหนึ่ง  ครอบครัวที่อ่อนโยน... ผู้ชายที่มีผมและดวงตาสีดำสนิทที่มักอยู่ในชุดสีดำเสมอ  เค้าขาเสียข้างหนึ่ง  ส่วนภรรยาของเค้า  ผู้หญิงที่สวยและใจดี  ตาสีทอง  เธอชอบทำอาหารให้เค้ากินเสมอ  ทั้งคู่เป็นเหมือนที่ปรึกษาที่เค้าสามารถพูดทุกสิ่งได้โดยไม่ต้องปิดบัง  ลูเซียสไม่เคยเห็นลูกสาวของพวกเค้า  แต่ก็รู้สึกดีใจที่เค้าได้รับการต้อนรับราวกับเป็นสมาชิกในครอบครัวมาตลอด

    ไม้กวาดหยุดที่คฤหาสหลังใหญ่ของตระกูลพ่อมดศาสตร์มืดที่เก่าแก่  ลูเซียสเดินผ่านเข้าไปในประตูใหญ่อย่างถือวิสาสะ  ตอนนี้พึ่งจะตีสามกว่าๆ แต่คงไม่เป็นอะไร  เพราะคุณนายพริ้นซ์จะตื่นขึ้นมาทุกๆ ตีสามเพื่อคนยาที่ต้มไว้  ยาตัวนี้จะถูกนำส่งที่เซนต์มังโกลและโรงพยาบาลอื่นๆ อีกทั่วทั้งอังกฤษ  แม้จะไม่รู้ว่าเธอเรียนจบจากที่ไหน  แต่เป็นที่รู้กันในหมู่โรงพยาบาลว่ายาที่เธอปรุงเป็นยาที่ดีที่สุดทั้งราคาและคุณภาพ  ไม่มีพ่อมดแม่มดคนไหนจะสามารถปรุงยาชนิดนี้ได้ถ้าไม่ชำนาญจริงๆ มันคือยาสำหรับมนุษย์หมาป่าที่ช่วยให้ผู้ที่เป็นมนุษย์หมาป่ามีสติในช่วงที่กลายร่างและควบคุมตัวเองได้  อีกทั้งยังฟื้นฟูพลังอย่างยอดเยี่ยมด้วย  แต่เท่าที่เค้ารู้  แม้จะมีการเผยแพร่วิธีปรุงยาแล้วก็ยังมีพ่อมดแม่มดไม่ถึงสิบคนในอังกฤษที่สามารถปรุงยานี้สำเร็จ

    มานาเกีย พริ้นซ์สามารถปรุงยานี้ได้อย่างไร้คู่ต่อกรขณะที่ศาสตราจารย์สลักซ์ฮอลไม่เคยสามารถที่จะทำได้สำเร็จ

    แต่วันนี้มีบางอย่างผิดปกติไป  จนป่านนี้ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับ  นี่มันอะไรกัน  กลิ่นคาวแปลกๆ คล้ายกลิ่นเลือด...? ลูเซียสมองไปรอบๆ ในความมืด  สิ่งแล้วเค้าเห็นศพของเอลฝ์ประจำบ้านนอนตายอยู่บนพื้นสี่ตัว  ตอนนั้นใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ปกติก็ซีดอยู่แล้วยิ่งซีดจัดเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น  เค้ารีบวิ่งเข้าไปในบ้านเพื่อจะพบภาพที่ทำให้อากาศมากมายหายออกไปจากปอดของเค้า

    "โลกิ!!!" เด็กหนุ่มกรีดร้องสุดเสียงก่อนจะถลาเข้าไปหาร่างผอมสูงที่นอนนิ่งอยู่กับพื้นห้องรับแขก "โลกิครับ! โอ้! ในนามแห่งเมอร์ลิน! ไม่นะ! โลกิ! ทำใจดีๆ ไว้ครับ! โลกิ!" ลูเซียสร้องครางขณะประคองร่างของโลกิ พริ้นซ์ที่นอนจมกองเลือดขึ้นมาในอ้อมแขน  เค้าเห็นว่าที่อกของโลกิเหมือนจะถูกบางสิ่งที่ใหญ่ขนาดท่อนแขนแทงจนทะลุออกไปข้างหลัง  เค้าชักไม้กายสิทธิ์ออกมาแล้วพยายามร่ายเวทย์มนตร์  แต่มันไม่เป็นภาษา  ยากมากที่จะรวบรวมสมาธิ "ได้โปรด! อย่าตายนะ! พื้นขึ้นมาเถอะ! โอ้! ข้าแต่เมอร์ลิน!" แต่เค้าไม่สามารถทำได้ เค้าค่อยๆ วางร่างของโลกิที่ไม่มีลมหายใจแล้วลงกับพื้น  เค้าคิดว่าต้องตามหามานาเกียก่อน  แต่เค้ากลับพบเธอนอนตายที่หลังโซฟา ตาสีทองเบิกกว้าง  ที่คอของเธอคือเลือดที่ไหลเป็นทางจากบาดแผลที่เหมือนถูกฟันจนเกือบขาดด้วยมีด!?  เด็กหนุ่มผมสีเงินค่อยๆ ทรุดลงกับพื้น  คลานไปที่เตาผิงแล้วคว้าคนโทเหนือเตา  แต่มันหลุดจากมือและตกลงมากระแทกพื้นแตกกระจาย  ลูเซียสค่อยๆ โกยผงจากคนโทแตกแล้วโยนเข้าไปในเตาผิงที่ยังมีก้อนแดงๆ อยู่ "เลขที่สี่ทับเจ็ด--อาณาจักรแห่งทวยเทพ" นานมากกว่าจะมีเสียงงัวเงียปนหาวดังขึ้น

    "โลกิเหรอ...?"

    "ผม... คือลูเซียส..." เด็กหนุ่มตอบกลับ

    "ลูเซียส  มีอะไร  เช้าขนาดนี้?" แต่เสียงที่ตอบกลับไปหามีเพียงเสียงครางเกือบจะเป็นเสียงร้องไห้ "เกิดอะไรขึ้น"

    "โอ้... ในนามแห่งเมอร์ลิน! โลกิ...!" เค้าพูดพลางกล้ำกลืนน้ำตาที่ไหลเป็นสาย นั่นทำให้ความง่วงหายไปเป็นปลิดทิ้ง  ลูเซียสกำลังร้องไห้  มันเกิดอะไรขึ้น!?

    "ลูเซียส เกิดอะไรขึ้นน่ะ!"

    "โอ... โอดิน" เด็กหนุ่มคราง "เลือด... เต็มไปหมด...! โลกิ!  มานาเกีย!"

    "เลือด..." โอดิน เมอร์กันพยายามป่ะติดป่ะต่อทั้งหมดเข้ากัน "ตายห่า! ลูเซียส! ทำใจดีๆ ไว้! โลกิกับมานาเกียเป็นไงบ้าง!" เด็กหนุ่มไม่ตอบ  มีแต่เสียงร่ำไห้ที่ทวีความรุนแรงขึ้น  นั่นเหมือนจะบอกสิ่งที่น่ากลัวที่สุดให้เค้ารับรู้ "พวกเค้าตาย...?" คราวนี้ลูเซียสคราง "ทำใจดีๆ ไว้นะลูเซียส! ชั้นกำลังจะไปหาเธอเดี๋ยวนี้! อย่าทำอะไรโง่ๆ เด็กขาด! ชั้นจะไปพร้อมกับมือปราบมาร! เข้าใจมั้ย!"

    การติดต่อสิ้นสุด  ลูเซียสคลานออกจากหน้าเตาผิง  แล้วค่อยๆ เดินไปนั่งกอดเข่าที่ข้างศพของโลกิ  ตัวสั่นเหมือนเด็กเล็กๆ...








    เสียงร่ำไห้ดังก้อง  โอดินร้องไห้อย่างหนัก  ร้องไห้มากกว่าที่เคยมาตลอดทั้งชีวิตขณะที่กอดโลกิไว้แนบอก เช่นกันกับครอบครัวเมอร์กันคนอื่นๆ  ไม่นานนักเค้าก็พบครอบครัวพอตเตอร์ที่มาถึงที่หมาย  พวกเค้าพูดคุยเกี่ยวกับการตายที่น่ากลัวของครอบครัวพริ้นซ์ขณะที่มือปราบมารสอบปากคำของลูเซียสที่ไม่พูดอะไรเลยนอกจากคำว่า "ใช่" กับ "ไม่" ไดอาน่า มัลฟอยเดินจับไหล่แล้วพาเค้าออกไปจากที่นั่น  ส่วนทางกับอัลบัส ดัมเบิลดอร์และแมดอายมู๊ดดี้ที่พึ่งมาถึง

    ลูเซียสไม่ได้กลับไปที่บ้านของเค้า  แต่กลับไปที่คฤหาสเล็กของไดอาน่าแทน เธอรินน้ำหวานให้เย็นๆ ให้เค้าซึ่งรับไปดื่มด้วยมือที่สั่นเทา "ลูเซียส... ทำใจดีๆ ไว้นะ" ไดอาน่าพูดเบา

    "คุณย่า..."

    "จ๊ะ?"

    "ขอบคุณที่พาผมมาที่นี่"

    เธอโอบกอดเค้าแล้วปล่อยให้เค้าร้องไห้  ลูเซียสไม่เคยร้องไห้มากขนาดนี้มาก่อนนับแต่วันที่กรีสตาย  จากนั้นก็พาเค้าไปที่ห้องนอน  เด็กหนุ่มนอนอยู่ตามลำพัง  เค้ายกมือขึ้นปิดหน้า  พยายามที่จะไม่ร้องไห้  รู้สึกเจ็บอย่างไม่คาดคิด  และปล่อยให้ร่างกายที่อ่อนเพลียพาลงสู่นิทรา
    --------------------------------------------

    เสียงบางอย่างทำให้ลูเซียส มัลฟอยต้องลืมตาขึ้นมา  เค้ามองตรงไปที่ผู้หญิงหญิงคนหนึ่งที่มีผมสีน้ำตาลกลางและตาสีน้ำตาลหยักเป็นคลื่น  เธอกำลังมองตรงมาที่เค้า นั่นที่ปลายเตียง  ลูเซียสผวาลุกขึ้นแต่ก็ต้องชะงักเมื่อมือเรียวสวยยื่นมาเกือบจะแตะที่หน้าของเค้า "จงอย่ากลัวเลย  บุตรแห่งกริฟฟินดอร์  ชื่อของข้าคือเอมิเรีย--หนึ่งในจตุราชาแห่งโลกเวทมนตร์"

    "ผมไม่รู้จักคุณ  ไม่เคยแม้แต่จะเคยเจอคุณที่ไหน  ที่สำคัญ  ผมเป็นพวกบ้านสลิธีรีนไม่ใช่กริฟฟินดอร์!"

    "เจ้าเป็นบุตรแห่งกริฟฟินดอร์ไม่ผิดแน่นอน มากับข้าเร็วเข้า  บิดาของเจ้ากำลังรออยู่"

    คำๆ นี้เหมือนมีเวทมนตร์--บิดาของเค้าเหรอ!? เมื่อเอมิเรียลุกออกไป  ลูเซียสก็ออกจากที่นอนแล้วรีบตามไป  ท่ามกลางความมืด  เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีวิ่งตามร่างที่วิ่งตัวปลิวไปในความมืด  จนกระทั่งไปหยุดที่กลุ่มคนอีกสามคนที่รออยู่  ท่ามกลางคนสามคนนั้น  ลูเซียสเห็นชัดว่ามีคนตระกูลมัลฟอยยืนอยู่ในกลุ่มนั้น  เพศหญิง--ผมสีเงินตัดสั้นหวีเสยเหมือนผู้ชาย  เธอผอมสูงและอยู่ในชุดของมักเกิ้ล  ทั้งเสื้อยืดแขนยาวคอปิดสีดำ  กางเกงสแล็คสีดำกับเข็มขัดหนังและรองเท้าหนังสีดำล้วน  แต่เธอสวมเสื้อคลุมตัวยาวสีแดงที่กรอมเท้าปลิวสะบัดในความมืด  ส่วนเคียงข้างเธอคือผู้ชายผมทองที่ท่าทางคล้ายผู้หญิงและผู้ชายที่เหมือนโอดิน เมอร์กันมาก

    "พ่อผมล่ะ?" เด็กหนุ่มมองไปรอบๆ  ผู้หญิงผมสีเงินเดินเข้ามาหา  เธอมีท่าทางที่ดูเหมือนผู้ชายอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องพยายาม

    "มาปุบปับคงตกใจ... ชั้นคืออาเทน่า  มัลฟอย,  อาจจะฟังดูแปลก  แต่ชั้นกับพ่อของเธอเป็นเป็นพี่น้องฝาแฝดที่มีความเกี่ยวพันธ์กันอย่างลึกซึ้งทางวิญญาน  หรือพูดง่ายๆ  ลูเซียส, ชั้นเป็นทั้งพ่อและป้าของเธอ..." ลูเซียสผงะออก  แต่ไม่สามารถปฏิเสธแรงดึงดูดที่ไม่มีคำอธิบายนั้นได้ "แต่ชั้นมาที่นี่  ไม่ได้เพื่อบอกเรื่องแค่นี่นะ  ชั้นมาเพื่อบอกเธอให้รู้ว่าเธอต้องเตรียมตัวสำหรับอนาคตด้วย  เพื่อที่เธอจะมีชีวิตอยู่  ใช่!  ชั้นหวังให้เธอมีชีวิตอยู่"

    แล้วลูเซียสก็ต้องทรุดลงกับพื้นแล้วหายใจหอบเมื่อหล่อนพับแขนเสื้อข้างขวาขึ้น  มันดูเหมือนตรามารของเค้าแต่เป็นสีน้ำเงิน "คุณเป็นผู้เสพความตายเหรอ"

    "ข้าแต่ไนจัส--เทวีผู้ครอบครองของข้า" เธอกระซิบ "ชั้นไม่ได้ทำเพราะอยากเป็นสาวกของเค้า  แต่มันเป็นธุรกิจ... กระนั้น  ชั้นก็อยากให้เธอมีชีวิตอยู่  เด็กหนุ่มที่น่าสงสาร... หลังจากที่เธอได้เป็นบุคคลแรกที่พบศพของโลกิและมานาเกีย"

    "คุณรู้ใช่มั้ยว่าใครฆ่าพวกเค้า"

    "คนที่ประทับตราที่แขนขวาของเราและแขนซ้ายของเธอ" อาเทน่าตอบ "แต่อย่าเลย  เธอไม่กล้าหรือมีความสามารถพอ  และมันไม่ได้อยู่ในแผน  ที่ชั้นเรียกเธอมาเพื่อเตรียมการสำหรับอนาคตของเธอ" จากนั้นก็ส่งสมุดบันทึกเล่มหนึ่งให้กับลูเซียสที่รับไปอย่างกล้าๆ กลัว "สมุดเล่มนี้คือความทรงจำของปราสาทกาลเวลา... และทั้งหมดเป็นเรื่องจริง  ชั้นอยากให้เธออ่านมัน  และหวังว่าจะเธอจะเก็บความลับได้... จนกว่าจะถึงเวลาที่เธอต้องใช้ความทรงจำนั้น"

    "ปราสาทกาลเวลา... มันคืออะไรกัน"

    "มันก็คือฮอกวอร์ต"

    "หา!? ฮอกวอร์ต!?!"

    "พรุ่งนี้เธอต้องไปโรงเรียนแล้วสินะ... เธอจะเริ่มอ่านตั้งแต่ตอนนี้เลยก็ได้"








    ลูเซียสนั่งมองดูสมุดบันทึก  ขนาดเพียงครึ่งหนึ่งของกระดาษเอสี่  ปกสีทอง ไม่หนาไม่บาง ขนาดกำลังดี  ที่ปกคืออักขระรูน เขียนว่า "ขอถวายพระเกียรติแด่ ไนจัส อะโพคาลิฟ เทวีผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก" เค้าเปิดไปหน้าแรกและพบถ้อยคำว่า "สำหรับผู้อื่น มันคือสมุดที่เขียนด้วยถ้อยคำที่ไม่สามารถอ่านได้  แต่สำหรับบุตรแห่งก๊อดริก กริฟฟินดอร์ที่ถูกระบุนามไว้ที่หน้าถัดไป นี่คือประตูสู่ความทรงจำของปราสาทแห่งกาลเวลา" ลูเซียสเกาหัวก่อนจะเปิดไปอีกหน้า  ทีแรกมันคือความว่างเปล่า  จนกระทั่งซักพักเมื่อเค้าวางมือที่กระดาษว่างๆ ทั้งสองหน้า  เด็กหนุ่มต้องตกใจกับตัวหนังสือสีแดงทีปรากฏขึ้นบนกระดาษสีขาวขอบทอง

    ถึง ลูเซียส ลูกชาย ของพ่อ...

    ลูเซียส ชื่อเดียวกับเค้า!?

    มือผอมๆ เปิดไปอีกแผ่นอย่างสั่นเทา  แล้วคราวนี้แสงสีทองก็ปรากฏที่หน้ากระดาษทั้งสองหน้า  ก่อนที่ลูเซียสจะรู้สึกว่าสติหลุดลอย...

    เด็กหนุ่มมายืนที่ฮอกวอร์ต  แต่ไม่คุ้นเคย, ในความมืด... เค้าเห็นผู้หญิงและผู้ชายคู่หนึ่งโอบกอดกันและกันในความมืด ในอ้อมแขนของผู้หญิงมีร่างของเด็ก--อายุไม่เกินเจ็ดขวบ  ดูซีดเซียวและอ่อนแอ  ผู้ชายเอ่ยขึ้น "เรามีครบทุกอย่างแล้ว เหลือแค่อย่างเดียวเท่านั้น" เค้าพูดพลางหอบ "เร็วเข้า, เวลาของโลกิเหลือน้อยเต็มทีแล้ว" แต่ทันใดนั้น  เสียงที่ถูกขยายด้วยคาถาโซโนรัซดังขึ้น

    "เอเดนและซาร่า พริ้นซ์ ฮอกวอร์ตถูกปิดล้อมหมดแล้ว  พวกคุณถูกจับกุมฐานลอบฆาตรกรรมนักโทษในคุกอัซคาบันเพื่อแย่งชิงอวัยวะสำหรับการใช้เวทมนตร์ต้องห้าม จงมอบตัวเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นเราจะส่งมือปราบมารเข้าไปจับกุม และไม่รับรองชีวิตของคุณ"

    "ซาร่า... ดูท่าเราจะมากันได้แค่นี่แหละ" ผู้ชายชุดดำพูด เค้ามีผิวขาวซีดจนแทบจะส่องแสงในความมืดกับผมดำเป็นมันเยิ้มและตาสีดำเหมือนอุโมงค์ที่มืดสนิท "ทีแรกผมคิดว่าคุณจะรอดชีวิตเพื่อดูแลเค้าต่อไปโดยไม่มีผมแท้ๆ"

    "ชั้นรู้ค่ะ" ผู้หญิงชื่อซาร่าพูดทั้งน้ำตา "แต่ชั้นไม่กลัวเลยซักนิด  คุณจะถ่วงเวลาให้นานที่สุดขณะที่ชั้นจะไปทำพิธีที่ใจกลางของฮอกวอร์ต  แล้วจากนั้น  เราจะได้พบกันอีกครั้งอยู่ด้วยกันในโลกหลังความตาย... เอเดน"

    เอเดนหันมามองด้วยรอยยิ้ม  ภรรยาของเค้ามีผมสีทองและดวงตาสีเขียวสวยงาม "ฝากจูบลาเค้าแทนผมด้วย"

    สิ้นคำ เอเดนพุ่งออกไปเพื่อการต่อสู้อันยอมสละชีวิต  ขณะที่ซาร่าอุ้มลูกชายหนีไปที่ใจกลางของฮอกวอร์ต  เธอนำของออกมาจากย่ามสีดำอันทำให้ลูเซียสแทบจะอาเจียรเมื่อเห็น มันคือกระดูกสันหลัง หัวใจ สมอง และผิวหนังที่ถูกถลกออกมาอย่างปราณีต วางไว้ที่สี่ตำแหน่ง ก่อนจะวาดวงกลมไสยเวทย์--เวทมนตร์ฝ่ายมืดเก่าแก่ที่หาดูไม่ได้อีกแล้วในโลกทุกวันนี้--การแปรธาตุมนุษย์! และเธอก็วางลูกชายที่กลางวงแหวนนั้น

    "ข้าแต่อะโพคาลิฟ-ฟา  ราชาแห่งความน่าสะพรึงกลัว  ข้ามาเพื่อบวงสรวงแก่ท่าน!" เธอพูดพลางกรีดเลือดจากข้อมือแล้วเดินไปรอบๆ "ข้ามาเพื่อร้องเรียกหาท่าน!"

    เวลานั้นเอง  ลูเซียสได้เป็นพยานการเคลื่อนไหวของมิติอย่างประหลาดและที่เพดานอันมองเห็นท้องฟ้าของห้องโถงกลางได้ปรากฏภาพที่ดูเหมือนร่างขนาดใหญ่ของมนุษย์  แต่มีปีกสยายออกทั้งสองข้างอย่างน่าประหลาด  และเค้าคิดว่า  เค้าเห็นดวงตาสีเขียวที่ส่องประกายจ้าในความปั่นป่วนนั้น

    "นานมากแล้วที่ไม่มีลูกหลานของอีฟเรียกหาข้าอีก  นับแต่วันที่ก๊อดริก กริฟฟินดอร์ โรวีน่า เรเวนครอ เฮก้า ฮัฟเฟิลพัฟ และ ซัลลาร์ สลิธีรีน ได้ปิดทางนี้ไว้  ทั้งๆ ที่ปราสาทกาลเวลาเป็นมหาวิหารที่ราชวงศ์โซเต็กใช้ในการบวงสรวงข้าแท้ๆ แถม..." ร่างนั้นดูราวกับยักษ์เมื่อยืนบนพื้นในที่สุด  ปีกสิบปีก หรืออาจจะสิบสี่ สยายออกอย่างสง่างาม  เหมือนร่างทั้งหมดถูกสร้างจากแสงสว่าง  และ ลูเซียสพึ่งสังเกตเห็นว่ากาลเวลาได้หยุดนิ่งเมื่อร่างนั้นได้ปรากฏ  เค้าทรุดลงเช่นเดียวกับซาร่า พริ้นซ์ด้วยความรู้สึกยำเกรง "แถม... ผู้ทำพิธี  ยังเป็นภรรยาของผู้นำตระกูลพริ้นซ์  ที่หากว่า  ตอนนี้ยังมีกษัตริย์แห่งเวทมนตร์ปกครองล่ะก็  เจ้าก็เป็นราชิณีแห่งเวทย์ทีเดียว"





    TBC.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×