ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Harry Potter fanfic:- พลิกตำนานปราสาทกาลเวลา

    ลำดับตอนที่ #2 : เพื่อนสนิท

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 946
      17
      14 ม.ค. 55

    ลูเซียสไม่แน่ใจว่าเค้าเห็นอะไร   เค้ายืนอยู่ในความหวาดกลัวเมื่อเห็นว่าซาร่าพริ้นซ์ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ต่อหน้าเค้าเพื่อสังเวยแก่ร่างที่ดูราวกับเทวดาบนสวรรค์  ในความมืดมัวนั้นเอง  ลูเซียสแทบจะอาเจียนออกมาเว้นแต่ว่าเค้าไม่ได้กินอะไรก่อนหน้านั้น  และหลังจากนั้น  เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ คนนั้นค่อยๆ ขยับตัว  แล้วจากนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้น  หลังจากนั้นไม่นานลูเซียสก็ได้ทราบว่าโลกิและพี่น้องน้องทั้งหมดถูกสาปและตายไปทีละคน  ในที่สุดก็เหลือเพียงโลกิที่กำลังจะตาย  พ่อแม่ของเค้ายอมใช้เวทย์สุดอันตรายเพื่อรักษาชีวิตเค้าไว้ ผลจากทั้งหมด  โลกิต้องกลายเป็นลูกกำพร้า เพราะแม่ของเค้าสละชีวิตเพื่อเค้า  เพราะพ่อของเค้าตายด้วยน้ำมือของมือปราบมาร

    มือปราบมารที่ฆ่าพ่อของโลกิก็คือพ่อของโอดิน!

    ด้วยคำๆ นี้  อาจจะเพราะต้องการชดเชยให้กับเด็กที่ต้องขาดพ่อแม่  พ่อแม่ที่ยอมเป็นปีศาจเพราะรักมากขนาดนั้น เพราะงั้น  เค้าให้โอดินมาเป็นเพื่อนกับโลกิ  เพื่อนเพียงคนเดียวที่โลกิมี  จนกระทั่งวันหนึ่ง  เพื่อเห็นแก่เพื่อนที่ต้องถูกคนอื่นๆ ทอดทิ้ง หรืออาจจะเพราะคิดเอาเองว่าโอดินไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับตนจริงๆ แต่เพราะคำสั่งของพ่อ...  เพราะการเป็นเพื่อนกับลูกชายของพ่อมด-แม่มดที่ก่อคดีน่ากลัวขนาดนั้น  โลกิยอมที่จะไม่มีเพื่อนโดยเดินหนีไปจากโอดิน

    โอดินเคยคิดมาตลอดว่าตัวเองเติมเต็มโลกิ แท้จริงแล้วเค้าถูกโลกิเติมเต็มมาตลอดต่างหาก...

    ลูเซียสไม่คิดจะดูต่อ  เพราะเค้าต้องการเวลา สำหรับการยอมรับหน้าที่ไม่เข้าท่านี่... หน้าที่แอบดูความทรงจำของคนอื่น...










    "ขอโทษค่ะ"

    เสียงใสๆ ดังขึ้น และเด็กหนุ่มหันไปมอง  คือเด็กผู้หญิงผมสีแดงกับเด็กผู้ชายผอมบางร่างเล็ก  วินาทีนั้นลูเซียสเหมือนจะซ๊อกไปชั่วครู่  เพราะเด็กผู้ชายคนนั้นดูเหมือนกับโลกิในวัยเด็กตอนที่เค้ากำลังจะตาย  ผอมบางและซีดเซียวเหมือนกัน  ผมสีดำกับตาดำขลับคู่เดียวกัน  เค้ามองเด็กตัวเล็กๆ คนนั้นราวกับถูกสะกดจิต ก่อนจะตื่นจากภวังค์เพราะเสียงของเด็กผู้หญิง

    "ขอพวกเรานั่งด้วยได้มั้ยคะ  พอดีเราไม่รู้จะไปที่ไหน"

    "ได้..." ลูเซียสตอบแทบไม่มีเสียง "ได้สิ!"

    เด็กผู้หญิงรีบมานั่งตรงข้ามกับเค้าอย่างวิสาสะตามมาด้วยเด็กผู้ชาย "ลิลี่ เอฟเวนส์ค่ะ! นี่เซเวอรัส สเนป--เพื่อนของหนู! คุณเป็น.. เอ่อ...?"

    "ปีเจ็ด--สลิธีรีน, ลูเซียส มัลฟอย"

    "คุณนั่งเดียวเหรอฮะ" เซเวอรัสถามเบาๆ ท่าทางเค้าโล่งใจเมื่อรู้ว่าเด็กที่โตกว่าเป็นใคร "ไม่มีใครอยู่ด้วยเหรอฮะ"

    "ไม่.... ชั้นชอบอยู่คนเดียวมากกว่า...."

    "...ไม่มีเพื่อนเหรอ?"

    คำถามใสซื่อ  แต่เหมือนดาบแหลมแทงเข้าที่หัวใจ  ลูเซียสมองตรงเข้าไปในดวงตาของเด็กทั้งสองก่อนจะตอบอย่างแผ่วเบา "ไม่รู้สิ" จากนั้นก็ถามเบาๆ "พวกเธอเป็นลูกมักเกิ้ลเหรอ... ชั้นดูจากเสื้อผ้า"

    "พ่อผมเป็น  แต่แม่เป็นแม่มด... แต่แม่บอกว่าผมสามารถเข้าบ้านสลิธีรีนได้"

    "แล้วเธอคาดหวังอะไรในสลิธีรีน"

    "ไม่รู้สิ  เห็นแม่บอกว่า  เป็นที่สำหรับคนที่หวังจะมีเพื่อนแท้ซักคน" เซเวอรัส สเนปหันไปที่หน้าต่าง  เค้าดูเหมือนเด็กที่ถูกทอดทิ้ง  แต่มันมากกว่านั้น  ภายใต้เสื้อผ้าที่สวมใส่  เหมือนจะเห็นรอยช้ำจางๆ ที่ข้อมือ "แม่บอกว่า ผมต้องเลือกระหว่างสิ่งที่ต้องการที่สุด  เพื่อนที่ดีที่สุด กับ การเป็นคนที่ดีที่สุด..."

    "แล้วเธอหวังอะไร...?"

    "การเป็นคนที่ดีที่สุดไม่ใช่ประเด็น  แต่การที่จะมีเพื่อนแท้ซักคนน่ะยาก  ผมอยากให้เพื่อนที่ผมรักที่สุดอยู่กับผมตลอดไปมากกว่า"

    "งั้นก็เจอกันที่สลิธีรีน"

    "หา?"

    "ไม่มีอะไรหรอก" ลูเซียสกระซิบ  การเป็นคนที่ดีที่สุดนั้นอยาก แต่ก็มีคนมากมายที่หวังเช่นนั้น  และฮัฟเฟิลพัฟคือที่สำหรับคนพวกนั้น "เธอจะนั่นอยู่นี่จนกระทั่งถึงก็ได้นะ..." เค้าพูดพลางยกมือขึ้นถูที่ต้นแขน--ตำแหน่งที่ตรามารประทับ  เหมือนไม่รู้สึกตัว "ชั้นไม่ใครมานั่งด้วยเหรอ"

    "ขอโทษค่ะ! ขอนั่งด้วยได้มั้ยคะ  ถ้าไม่รังเกียจ" คราวนี้คนที่มาเป็นเด็กผู้หญิง และเธอพูดอย่างรวดเร็ว "คุณเป็นพรีเฟ็คนี่ ทำไมไม่นั่งกับพวกพรีเฟ็คล่ะคะ...?" จากนั้นหันไปยังเด็กที่แต่งตัวเหมือนมักเกิ้ลสองคน "พวกเธอเป็น  ลูกมักเกิ้ลเหรอ"

    "ชั้นเป็น.. แต่เค้าเป็นลูกครึ่ง" ลิลี่เข้าไปช่วยเด็กผู้หญิงที่มาใหม่ถือกระเป๋า เธอน่ารักมาก ผมสีบลอนซ์เกือบจะเป็นสีขาวกับตาสีฟ้ากระจ่าง แก้มของเธอมีสีแดงระเรืองเป็นสีขาวอมชมพู  เป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักมาก "การเป็นลูกมักเกิ้ลมีปัญหามั้ย"

    "ไม่หรอก... เพียงแต่บางคนอาจจะไม่ชอบ" เด็กผู้หญิงคนนั้นตอบพลางเดินไปนั่งข้างลูเซียส

    "เธอด้วยรึเปล่าล่ะ" ลิลี่ถามอย่างกังวล

    "ถ้าชั้นคิดแบบนั้น ชั้นคงหนีไปนั่งที่อื่นแล้ว" เด็กผู้หญิงตอบและยิ้มออกมา  ทำให้ห้องสว่างขึ้น  ทำให้รู้ว่าปกติเธอคงไม่ยิ้มบ่อยๆ และลูเซียสก็ถูกทำให้รู้สึกดีอย่างประหลาดเมื่อเธอพูดประโยคถัดมา "แต่นั่นแหละ  ถึงจะไม่รังเกียจลูกมักเกิ้ล แต่ชั้นคงไม่ค่อยเสวนากับพวกเค้าต่อหน้าเลือดบริสุทธิ์คนอื่นๆ โดยเฉพาะกับพวกคลั่งเลือด  ถ้าเธอจะเข้าใจ  ชั้นไม่อยากถูกลอยแพจากคนที่คิดต่าง  ชั้นชื่อนาซิสซา แบล็ก  เธอล่ะ  ชื่ออะไร  คุณลูกมักเกิ้ล"

    "ลิลี่ เอฟเวนส์ ส่วนอีกสองคนคือเซเวอรัส สเนป กับ ลูเซียส มัลฟอย... เธอดูแตกต่างจากนามสกุลของเธอลิบลับเลย" ลิลี่ยิ้มแฉ่ง เป็นครั้งแรกที่ยิ้มเด็กที่เป็นแม่มดพ่อมดคนอื่นนอกเหนือจากเซเวอรัส "นาซิสซา... เธอมีพี่เข้าเรียนแล้วใช่มั้ย ถึงรู้ว่าเค้าเป็นพรีเฟ็คน่ะ"

    "เบลลาทริกซ์ แบล็ก... เธอเป็นน้องสาวหล่อนเหรอ?" ลูเซียสถามเบาๆ

    "ใช่ค่ะ...!" คุณคือมัลฟอยใช่มั้ยคะ "พี่สาวเคยพูดถึงคุณเมื่อนานมาแล้ว"

    "ตอนนี้หล่อนไม่พูดถึงชั้นแล้วสิ  จะว่าไปเบลลาทริกซ์เปลี่ยนไปมาก  ชั้นอยากจะรู้ว่าเพราะอะไร  ตอนแรกที่เราพบกัน  ชั้นคิดว่าหล่อนเหมือนเธอด้วยซ้ำไป"

    ตอนนั้นนาซิสซายิ้มเศร้า "พี่สาว... ได้สูญเสียสิ่งสำคัญไปน่ะค่ะ"

    "อะไร..."

    ตอนนั้นนาซีสซาไม่พูดอะไร  และไม่มีใครถามอะไรอีก แต่สำหรับลูเซียส  เป็นครั้งแรกที่เค้าใส่ใจว่าทำไม  และเป็นครั้งแรกที่เค้าคุยกับคนอื่นๆ เค้าเริ่มถามเกี่ยวกับโลกมัลเกิ้ลจากเซเวอรัสและลิลี่  และนาซิสซาก็ไม่ต่างกัน  ในที่สุดตลอดทางก็มีแต่เรื่องของโลกมักเกิ้ลนำหน้าเป็นส่วนใหญ่  ทั้งๆ ที่ปกติเค้าจะไม่ถามและไม่แสดงอาการว่าอยากรู้  ต่อหน้าคนอื่น ตระกูลมัลฟอยสูงส่งเกินกว่าจะถามเรื่องของมักเกิ้ล

    เมื่อผ่านการคัดสรร เด็กคนหนึ่งในห้องโดยสารเดียวกับเค้าถูกส่งเข้ากริฟฟินดอร์ แต่อีกสองคนเป็นสลิธีรีนเหมือนเค้า  และครั้งแรกที่เค้าสังเกตอะไรบางอย่างในเบลลาทริกซ์ แบล็กขณะที่เธอกินอาหารข้างๆ น้องสาวของเธอ แอนโดรมีด้าและนาซิสซา อีกสิ่งที่เค้าไม่เคยใส่ใจจนกระทั่งเมื่อนาซีสซาบอก ...เธอสูญเสียบางสิ่ง...

    "เบลลาทริกซ์" เค้าเรียกเธอจากข้างซ้าย  แต่เธอไม่ได้สนใจ  ซึ่งเป็นเรื่องปกติ  หลังๆ นี้เธอหยิ่งจนไม่เห็นใครในสาย ถ้าไม่เรียกเธอให้ดังพอเธอจะไม่สนใจด้วยซ้ำ แต่ด้วยเสียงที่ไม่ต่างกันนัก เธอหันไปยังแอนโดรมีด้าที่ข้างขวา

    ...เธอสูญเสียบางสิ่ง...!?

    "มีอะไร" เธอหันมาถามเค้าหลังจากที่แอนโดรมีด้ากระซิบบอก

    "เธอไม่เผ็ดบ้างเหรอ  ชั้นเห็นเธอกัดโดนพริก"

    "เอ๊ะ เผ็ดสิ! แต่ก็นิดเดียว"

    วินาทีนั้นลูเซียสแทบจะซีดลง  ปกติหล่อนเป็นนักกินและนักทำอาหารชั้นเลิศ แค่ดมก็ยังรู้องค์ประกอบ ด้วยคำๆ นี้ทุกมื้อที่กินเธอจะดื่มด่ำกับกลิ่นและบรรยากาศ แต่ตอนนี้... "นาซิสซาบอกว่าเธอเสียสิ่งสำคัญถึงเปลี่ยนไป" ทันใดนั้นหน้าของเธอซีด มือเธอสั่น

    "ไม่มีพริกซักหน่อย... หลอกชั้นทำไม" เธอพูดกลางปัดอาหารลงจากโต๊ะ แล้ววิ่งออกไปท่ามกลางเสียงโห่ของทุกคนเพราะพริบตานั้นมักกอนนากัลสั่งตัดคะแนนสลิธีรีนถึงห้าสิบคะแนน นาซิสซาและแอนโดรมีด้าวิ่งตามไป จากนั้นไม่นานเซเวอรัสและลิลี่ที่เอาแต่มองหน้ากันเป็นระยะๆ ตั้งแต่ถูกแยกไปคนละบ้านก็ลุกจากที่นั่งพร้อมกัน  ตามด้วยลูเซียสที่ลังเลอยู่นาน ในที่สุดก็ตามไป

    ที่ห้องน้ำหญิง  ลูเซียสได้ยินเสียงกรีดร้องโวยวาย จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นที่เหมือนเสียงหัวเราะของเมอร์ทิลจอมคร่ำครวญ ลูเซียสบุกเข้าไปเพื่อจะพบว่าเซเวอรัสที่เป็นผู้ชายคนเดียวกำลังเข้าขวางตรงกลางขณะที่เบลลาทริกซ์กำลังพยายามทำร้ายนาซิสซา มีลิลี่ที่พยายามเข้าปกป้องนาซิสซาขณะที่แอนโดรมีด้าพยายามฉุดพี่สาวคนโตออกจากเด็กปีหนึ่งสามคน "นังสารเลว!" เธอกรีดเสียง "แกบอกอะไรมัลฟอย! แกบอกเค้าใช่มั้ย!"

    "ไม่มีอะไรมากกว่านั้น!" เซเวอรัสพยายามอธิบาย "ผมกับลิลี่อยู่ด้วยกัน! ไม่มีอะไรมากว่านั้น! สาบานได้!"

    "ไม่จริง! ไม่งั้นเค้าจะรู้ได้ยังไง!" เธอกรีดเสียงแบบบ้าจนควบคุมไม่ได้ "แกบอกเค้าว่าชั้นพิการใช่มั้ย!"

    ตอนนั้นทั้งลูเซียส เซเวอรัส และลิลี่ ทุกคนเหมือนถูกเอาน้ำเย็นสาดใส่  ขณะที่เบลลาทริกซ์ทรุดลงแล้วร้องไห้ ในอ้อมแขนของน้องสาว -แอนโดรมีด้า
    ---------------------------------

    "นั่นเป็นความจริงค่ะ  พี่ของหนูพิการตั้งแต่ตอนนั้น  แก้วหูช้างซ้ายของเธอฉีกขาด  เพราะงั้นถ้าพูดจากด้านซ้ายแล้วเสียงไม่ดังพอเธอจะไม่ได้ยิน  แล้วก็สูญเสียความสามารถในการแยกแยะกลิ่น รวมถึงความสามารถในการรับรู้รสด้วย" ลูเซียสหอบ เป็นครั้งแรกที่เค้ารู้สึกถึงความเจ็บปวดของเพื่อนได้มากขนาดนั้น ขณะที่นาซิสซาพูดต่อไป "นั่นเหมือนทำลายชีวิตของพี่เลยทีเดียว  เพราะพี่ชอบผู้ชายคนนั้นมาก  แต่ก็อายเกินกว่าจะพูด  ที่สำคัญ  เธอไม่มีอะไรที่จะปฏิสัมพันธ์กับเค้าได้ นอกจากความสามารถที่มีอยู่ เธอทำอาหารให้เค้ากับเพื่อนๆ ของเค้าทาน แล้วพยายามที่จะพูดคุยด้วย แล้วเธอก็มีเรื่องราวการดำเนินชีวิตใหม่ๆ มาพูดคุยที่บ้าน เธอมีความสุขมาก จนกระทั่ง เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ใครบางคนใส่ยาอันตรายในอาหารที่เธอปรุงและจะทำเพื่อพวกเค้า แล้วหลังจากนั้น..."

    "เธอชิมแล้วก็รับเคราะห์..." ลูเซียสเดาได้ "แล้วหลังจากนั้นเธอก็เกลียดลูกมักเกิ้ลเหรอ"

    "แต่ว่า ไม่มีหลักฐานอะไรที่บอกว่าเป็นฝีมือของใคร หลังจากนั้นคนหนึ่งที่ดูแย่ยิ่งกว่าเดิมก็คือซิเรียส ไม่แปลกหรอกเพราะว่าซิเรียสไม่ชอบผู้ชายที่เบลล่าชอบ แต่ถ้าเบลล่าต้องพิการแบบนี้ สู้ปล่อยให้รักกันดีกว่า"

    "หรือว่า..." เซเวอรัสพูดเบาๆ ขณะมองดูเด็กสี่คนที่เดินมาทางนี้พอดี "ทั้งหมดเป็นฝีมือของซิเรียส แบล็ก!"

    "ไม่สุภาพนะเซวี เราไม่ควรมองหาคนผิดทั้งๆ ที่ไม่มีหลักฐาน" ลิลี่รีบกระซิบบอก และตอนนั้นเสียงๆ หนึ่งก็ดังขึ้นมาอย่างล้อเลียน

    "เฮ้! ดูสิ! มีสลิธีรีนตั้งสามคนที่ผ่าเหล่าคบหากับพวกลูกมักเกิ้ลด้วยแฮะ!" ถ้อยคำนั้นทำให้เพื่อนสลิธีรีนทุกคนหันมามองอย่างมีความหมาย เจมส์ พอตเตอร์นั่นเองที่พูดคำนั้น แต่เค้าไม่น่าจะเป็นพวกคลั่งเลือดนี่นา เพราะเฟรยาและเลาเรสจะไม่มีวันสอนลูกแบบนั้น คำพูดนั้นจึงมีเหตุผลเฉพาะ อย่างน้อยก็เพื่อฉีกหน้าของเค้า หรืออาจจะบอกเด็กผู้หญิงที่เป็นกริฟฟินดอร์ด้วยกันให้รู้ว่าไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับพวกสลิธีรีน เซเวอรัสลุกขึ้นทันทีพลางพูดด่ากลับไป

    "แล้วลูกมักเกิ้ลมันไม่ใช่คนรึไงไอ้พวกบ้า! เป็นสลิธีรีนแล้วเป็นเพื่อนกับลูกมักเกิ้ลมันผิดตรงไหนกันวะไอ้พวกเลือดบริสุทธิ์ชั้นเลว! ใช่มั้ยครับลูเซียส!!" แต่ผิดคาด เพราะลูเซียสดูสงบเสงี่ยมและเย็นชาขึ้นมาทันทีทั้งที่เมื่อกี้นี้ดูกันเองมาก "นาซิสซา?" เค้าหันไปขอความช่วยเหลือ แต่เธอก็ไม่แตกต่างกันเหมือนจะบอกว่าที่ทำทั้งหมดทำไปตามมารยาท ลิลี่เดินออกไปจากกลุ่มทันที "ลี่ลี่" เด็กชายตัวเล็กๆ วิ่งตามไป ขณะที่ลูเซียสรู้สึกผิดกับท่าทีของเค้าลึกๆ แต่มันเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะการสวมหน้ากากเป็นเรื่องธรรมดา นาซิสซาก็คงเหมือนกัน และเซเวอรัส น่าสงสารที่เค้าไม่รู้ว่าเค้าจะเจอกับอะไรบ้าง ถ้าเค้าคบหากับลูกมักเกิ้ลเปิดเผยเกินไปทั้งๆ ที่เป็นสลิธีรีน  ความจริงค่านิยมนี่ไม่ใช่สิ่งที่พึ่งเกิด มันมีมานานมาก แต่พึ่งแพร่หลายไม่นานนี้เพราะลัทธิบางอย่างที่นำมาเผยแพร่ถึงสองครั้งติดกัน ครั้งแรกคือกรินเดรวัลล์ และอีกครั้งคือ...! ลูเซียสบีบแขนข้างที่ถูกตรามารประทับอย่างมีความหมาย









    อีกครั้ง ลูเซียสเปิดสมุดบันทึกที่อาเทน่ามอบให้ ทั้งๆ ที่ไม่อยากจะแอบดูเรื่องของชาวบ้าน แต่ตอนนี้เค้าตัดสินใจที่จะอ่านตอนต่อไป สามชั่วโมงแรกที่อยู่ในห้องเรียนว่าง เค้าพบว่าสมุดเล่มนี้มีเงื่อนไขแปลกๆ คืออ่านข้ามหน้าไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่เค้าพยามอ่านข้ามหน้า เค้าจะเปิดไปและพบวันที่ซึ่งเค้าพยายามอ่านข้ามเสมอ อาจจะเพราะมันเป็นสมุดบันทึกที่มอบให้แก่ทายาทของก๊อดริก กริฟฟินดอร์ แม้ว่า ลูเซียส เกล็นเดล กริฟฟินดอร์จะตายไปแล้ว แต่เงื้อนไขมันก็ยังเหมือนเดิม คือความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับเรื่องที่ไม่อยากจะรับรู้!

    แต่... การแอบเข้าไปในความทรงจำของชาวบ้านจำเป็นต้องมีความกล้าเป็นองค์ประกอบด้วยเหรอ?

    อาจจะ... อาจจะเพราะเค้าได้เลือกที่จะหลบหนีอย่างขี้ขลาด เค้าไม่มีความกล้าพอที่จะอยู่กับความรู้สึกที่ว่าเค้าได้หักหลังเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ชื่อลิลี่ ด้วยการยื่นมิตรภาพให้แล้วกระชากมันออกไป  และตอนนี้  เค้าตัดสินใจที่จะหลบจากความรู้สึกของตัวเองเพื่อหนีไปในความทรงจำของคนอื่น... ความทรงจำของปราสาทกาลเวลา

    เพราะฉะนั้น เค้าจะอ่านต่อไป ทั้งๆ ที่คิดว่าไม่อ่านดีกว่า

    ..................................................

    ............................

    .......................................

    ..................

    ลูเซียสกำลังมองดูเด็กผู้ชายสองคนที่มองดูกันและกันท่ามกลางแสงสว่าง เค้าจำได้ว่าหนึ่งในนั้นเป็นโลกิในวัยเด็ก ส่วนอีกคน ดูคล้ายเจมส์ พอตเตอร์ แต่เป็นเจมส์ พอตเตอร์ที่มีตาสีฟ้า โลกิที่ดูแล้วเหมือนจะมึนงง ขณะที่เด็กชายอีกคนกล้าๆ กลัวๆ และ "นายคือโลกิ พริ้นซ์ใช่มั้ย!?"

    "ใช่... แล้วนายเป็นใคร"

    "ชั้นชื่อโอดิน นายเอ่อ..."

    "โอดินเหรอ เป็นชื่อของเทพเจ้าแห่งสแกนดิเนเวีย... เทพเจ้าในแอสการ์ด  แล้วก็เป็นเพื่อนสนิทของโลกิ แล้วนายมาเป็นเพื่อนชั้นรึเปล่า?"

    "แน่นอน... ชั้้นอยากเป็นเพื่อนกับนาย!" โอดินรีบพูด และ โลกิยิ้ม

    "แล้วชั้นจะเชื่อนาย โอดิน" เค้าลุกขึ้นแล้วเดินมาหา "ชั้นถือว่าเป็นเพื่อนแล้วนะ"

    แล้วหลังจากนั้นความสัมพันธ์ของเด็กสองคนก็เริ่มขึ้น ลูเซียสพบว่าน่าปลื้มใจที่เด็กสองคนนี้เป็นเพื่อนที่ไม่ทิ้งกันและให้ความสำคัญมากต่อกัน เค้าได้เห็นเด็กทั้งสองเติบโตขึ้นในแต่ละวันๆ จนกระทั่งพวกเค้ามีอายุประมาณสิบปี สายสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็มาถึงทางแยกที่เค้าคาดไม่ถึง

    "โอดิน! นายเป็นเพื่อนกับพริ้นซ์เหรอ!"

    "ใช่สิ! เป็นเพื่อนรักกันด้วย!"

    "ทั้งๆ ที่พ่อนายฆ่าพ่อของพริ้นซ์เนี่ยนะ!"

    ลูเซียสตะลึง รึที่สองคนเลิกคบกันในครั้งแรกเพราะ--!?

    "โลกิไม่สนใจหรอกนะ ไม่มีใครมาทำให้เราเลิกเป็นเพื่อนกันได้หรอก!"

    "อ้อ! แล้วนายเคยถามเค้ารึเปล่าว่าเค้ารู้จักนายในฐานะอะไร!"

    เป็นครั้งแรกที่ความมั่นใจในสายสัมพันธ์ของเค้ากับโลกิสั่นคลอนอย่างไม่ต้องสงสัย ดวงตาสีฟ้าหลังแว่นกลมเต็มไปด้วยความลำบากใจ ลูเซียสสามารถชี้เปรี้ยงได้เลยว่าโอดินไม่เคยบอกเลยว่าพ่อของเค้านี่เองที่ฆ่าพ่อของโลกิ! โลกิกลายเป็นลูกกำพร้าจากการตัดสินใจสังหารของมือปราบมารที่นามสกุลเมอร์กัน

    "ความสัมพันธ์ของเรามีความหมาย! และโลกิ! เค้ามีชั้นเป็นเพื่อนคนเดียว! เค้าน่าสงสาร!"

    "ถ้านายพูดขนาดนั้นแปลว่านายเลือกจะอยู่ฝ่ายมืดสีนะ!" เด็กคนหนึ่งในกลุุ่มใหญ่ตะโกนออกมา

    "นายพูดแบบนี้หมายความว่าไง! ชั้นไม่มีวันอยู่ฝ่ายมืดเด็ดขาด!"

    "งั้นเหรอ แปลว่านายไม่รู้สิว่ากระกูลพริ้นซ์เป็นตระกูลพ่อมดศาสตร์มืด! แล้วโลกิ พริ้นซ์ก็มีชีวิตอยู่มาได้เพราะศาสตร์มืด! พ่อแม่ของหมอนั่นฆ่าพ่อชั้นที่ถูกขังในอัซคาบันเพื่อนำมาใช้ในพิธีกรรม!"

    "พวกนายโกหก!!"

    "โกหกเหรอ... พ่อของชั้นถูกปาดเอากระดูกสันหลังไป!"

    "ก็ตอนนั้นโลกิป่วยมาก การที่พ่อแม่รักลูกมากจนยอมสละชีวิตคนอื่นเพื่อลูก!" เด็กชายพูดอย่างสับสน "พ่อบอกว่ามันไม่ถูกถ้าเราจะเหมาว่าคนๆ หนึ่งจะดีหรือเลวเหมือนทุกคนในตระกูลของเค้า! และพ่อแม่โลกิก็ไม่ใช่คนเลว! พวกเค้าทำเพราะเค้าแค่รักที่มากเกินไปเท่านั้นเอง!" จากนั้นลูเซียสเห็นน้ำตาที่ฉีกอยู่บนแก้มของเด็กชาย "โลกิน่ะ!"

    "โอดิน" เสียงแผ่วๆ ดังขึ้นและทำให้ลูเซียสสังเกตเห็นโลกิที่มาพร้อมกับน้ำหวานสองแก้ว  ก่อนจะส่งแก้วน้ำให้เพื่อนและหันไปมองคนอื่น "ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว นายเป็นคนดี พวกเค้าเข้าใจอยู่แล้ว"

    "ดีนี่! งั้นก็อยู่ในมุมมืดต่อไปเถอะ! เฮ้พวกเรา! ชั้นว่าเราไปดีกว่า!"

    "แล้วนายจะไม่พาเพื่อนของพวกนายไปด้วยเหรอ การที่เค้าเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจคนอื่นไม่ได้แปลว่าเค้าจะเลิกเป็นเพื่อนของนายนี่"

    ลูเซียสตะลึง เหมือนกับเด็กทุกคนที่หันมามอง โอดินถึงกับหน้าเสีย "เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ!"

    "เพื่อนไม่ใช่การสงสาร แต่ก็ขอบคุณที่มาเล่นกับชั้น ตอนนี้นายกลับไปเถอะ เพราะชั้นไม่เหงาหรอก"

    นั่นคือคำตอบสุดท้าย ที่ทำให้โลกิกับโอดินขาดกัน! ลูเซียสมองดูสายสัมพันธ์ที่กระจักกระจายลงกับพื้น แต่เค้าเห็นวูบแรกที่ความช๊อกจางลงขณะที่ถูกเด็กกลุ่มใหญ่พาตัวออกไป โอดินหันไปมองโลกิที่อำลาเค้าด้วยรอยยิ้ม ลูเซียสตระหนักชัดแล้วว่าโลกิจงใจเสียสละเพื่อให้โอดินมีเพื่อนมากๆ แทนที่จะมาจมปรักอยู่กับเค้าตลอดไป






    TBC.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×