ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เฮฮาประสาสามก๊ก

    ลำดับตอนที่ #55 : LE BASIlICขอมา-เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างเล่าปี่กับโจโฉซับซ้อนกว่าที่คิด

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.65K
      10
      13 ต.ค. 55

    LE BASIlICขอมา.- เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างเล่าปี่กับโจโฉซับซ้อนกว่าที่คิด

    เมื่อพูดถึงเล่าปี่ย่อมนึกถึงบุรุษแสนอ่อนไหวฉายา "ราชันย์เจ้าน้ำตา" ส่วนโจโฉเป็นจอมอำมหิตที่ฆ่าคนได้เพียงแค่ระแวง(ทั้งๆ ที่บทเจ้าน้ำตาโจโฉก็มีไม่น้อย) เป็นไปได้ยังไงที่เล่าปี่จะเป็นฝ่ายคุกคามโจโฉ ก่อนอื่นผมขอออกตัวก่อนว่าหากไม่จิ้นเตลิดท่านจะมองเห็นแต่เล่ห์กลแห่งการชิงอำนาจ แต่หากมองให้เป็น "Y" ความสัมพันธ์ระหว่างเล่าปี่และโจโฉก็มีพื้นที่ให้ท่านจิ้นกว่าที่ท่านจะคาดคิด... ในศึกเตียวก๊ก เล่าปี่เป็นหัวหน้าทหารรับจ้างที่เรียกตนเองว่า "มังกรสวรรค์"  มีเกร็ดเล็กๆ อธิบายอย่างโลดโผนว่าโจโฉมาขอเป็นเสนาธิการให้เล่าปี่ ก่อนจะพบกันอีกครั้งตอนศึกโตเกี๋ยม  อันนี้มีข้อขัดแย้งกันมากบ้างก็ว่าโตเกี๋ยมไว้ใจคนผิดทำให้พ่อโจโฉตาย บ้างก็ว่าโตเกี๋ยมจงใจฆ่า และยังมีบันทึกว่าโตเกี๋ยมให้ร้ายโจโก๋จนโดนตั๋งโต๊ะลงโทษประหารทั้งตระกูล โจโฉ-โจหยิน-โจหองหนีรอดไปได้ ทั้งสามจึงก่อตั้งกองทัพธรรมมาล้างแค้นและตามไปล้างแค้นโตเกี๋ยม(คราวนี้กูจะเชื่อบันทึกไหนดีวะ) แต่ไม่ว่าเรื่องจริงจะเป็นยังไง แต่สิ่งที่ตรงกันในบันทึกคือโตเกี๋ยมเป็นพวกตั๋งโต๊ะ และเล่าปี่ก็กระโดดมาช่วยเพราะเค้าจ้างมารบ(ไม่ได้เป็นพ่อพระ) แต่ทั้งเล่าปี่และโจโฉต้องเลิกรบกันเพราะม้าเท้ง-หันซุนยกทัพมาฉวยโอกาส

    หลังจากนั้นไม่นานเล่าปี่ก็ตัดสินใจไปเคาะประตูบ้านโจโฉซึ่ง ทันทีที่มาทุกคนกระซิบกรอกหูโจโฉว่าเล่าปี่ไว้ใจไม่ได้ ต้องรีบๆ เก็บซะ แต่สงสัยว่าเล่าปี่คงกำลังเกาคางให้ โจโฉจึงแค่หมุนหูไปตามเสียงเรียกตามประสาแมวทั่วไปที่เรียกแล้วมักไม่หัน พอเล่าปี่ไปแล้วกุยแกจึงเข้าไปบอกว่า "เล่าปี่เป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง หากปล่อยไว้ต้องสร้างปัญหาให้ท่านแน่ๆ ทว่า นี่ยังไม่ใช่เวลาที่จะฆ่าเขาเพราะเล่าปี่มีชื่อเป็นวีรบุรุษ" โจโฉก็ว่าเรื่องนั้นรู้อยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายหนีร้อนมาพึ่งเย็นจะให้ทำร้ายได้ยังไงกัน" แล้วก็จัดสรรค์ที่อยู่ให้อย่างสุขสบายทำให้เล่าปี่  แต่เล่าปี่ก็ไปมีเรื่องกับลิโป้จนทิ้งลูกทิ้งเมียหนีมาพึ่งโจโฉอีกรอบพร้อมกับให้เดินทัพไปตีลิโป้ด้วยกัน พอโจโฉจับลิโป้ได้ก็เกิดขี้สงสารเหมือนเดิม เล่าปี่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบคว้าตัวน้องแมวไปโอ๋ในห้องสองต่อสองแล้วสั่งคนไปฆ่าลิโป้ที่ทำท่าจะเป็นมารหัวใจ หลังจัดการเสี้ยนหนามเล่าปี่ก็ย้ายสำมะโนครัวไปอยู่กับโจโฉ จึงมีโอกาสได้ข้าเฝ้าฮ่องเต้และออกมาอ้างว่าตัวเองเป็นสมเด็จพระเจ้าอา
    น้องแมวตัวแสบ

    ลองนึกตามนะครับ "สมมติว่ามีคนขายรองเท้าคนหนึ่งมาบอกท่านเขาเป็นลูกหลานของพระอนุชาองค์ในรัชกาลที่สอง และตัวเองเป็นสมเด็จพระเจ้าอาของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้า(องค์ปัจจุบันเรานี่แหละ)" ท่านรับได้แค่ไหน? นี่แค่เบาะๆ นะไม่ถึงสิบรุ่นด้วยซ้ำ แต่เล่าปี่นี่ล่อไปสิบหกรุ่นยังมีหน้าเอามาอ้าง(คนอ่อนน้อมประเภทไหนฟะ?)แต่กลับไม่มีใครหมั่นใส้เล่าปี่เลย ซ้ำยังชักชวนให้ร่วมแผนพิฆาตโจโฉ แสดงให้เห็นถึงความตกต่ำของราชวงศ์ฮั่นที่พระเจ้าแผ่นดินโดนหมิ่นพระบรมเดชานุภาพปานนี้แล้วไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทันทนได้ โจโฉเองก็พอกันที่นอกจากไม่กระโดดเตะปากเล่าปี่แล้วยังตั้งให้มันเป็นพระยา(เหา)อีก นับว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่ทำหน้าที่ปกป้องสถาบันได้ห่วยมากๆ คนหนึ่ง สมควรแล้วที่จะถูกกล่าวหาว่าคิดล้มเจ้า! บรรดาที่ปรึกษาโจโฉทั้งหลายจึงได้แต่เอามือลูบหน้าอย่างอ่อนเพลียละเหี่ยใจว่าทำไมเจ้านายตนจึงใสซื่อได้ปานนี้... อันนี้ผมไม่ได้พูดเล่นนะครับ โจโฉใสซื่อจริงๆ เพราะกุยแกนั่นแหละเป็นคนออกปาก และซุนฮิวก็เคยพูดว่า "ดีแล้วที่คนทั้งหลายคิดว่านายท่านขี้ระแวง เพื่อพวกเขาจะได้ไม่กล้าทำร้ายท่าน เพื่อท่านจะได้ปลอดภัย"
    เล่าปี่เริ่มแทะทิ้งแล้วยังไม่รู้ตัวอีก

    เสียดายที่เล่าปี่เป็นคนที่มองอะไรทะลุปรุโปร่ง เขาค้นพบอย่างรวดเร็วว่าโจโฉที่แสนฉลาดปราดเปรื่องนั้น เนื้อแท้แล้วเป็นคนที่ไม่มีเล่เหลี่ยมและไม่คิดร้ายกับใคร เขาเที่ยวบอกคนอื่นไปทั่วว่าโจโฉโหดร้าย-ขี้ระแวงเพื่อประโยชน์ของเขาเอง แต่เมื่อเตียวหุย-ที่ปรึกษาคนสนิทที่เตือนว่าให้ระวังอันตรายจากโจโฉเขาก็พูดอย่างเปิดอกว่า "โจโฉนั้นอ่อนโยนและไร้เดียงสา ข้าเลยติดใจและอยากอยู่เล่นด้วยอีกซักพัก" จากนั้นเล่าปี่ก็อยู่กับโจโฉนานเกือบสองปี(ซักพักบ้านแกดิ!) แค่นี้สาววายก็จิ้นเตลิดไปไหนต่อไหนแล้ว... แต่สำหรับคนไม่จิ้นท่านคงเริ่มจับประเด็นอะไรได้เหมือนกันว่า "เล่นด้วย" นี้เล่นอะไร? ตลอดเวลาที่ผ่านโจโฉต้องเดือดร้อนสาหัสขนาดมีเรื่องกับเหี้ยนเต้และเกือบเอาชีวิตไม่รอด(แต่ผมจำเป็นต้องบอกท่านมั้ยเนี่ยว่าในประวัติศาสตร์ไม่มีหมอ "เกียดเป๋ง" เดินแกว่งไข่มาจับโจโฉกรอกยาพิษ) ถึงขนาดต้องขอเคลียร์กันตัวต่อตัวว่า "วีรบุรุษมีแค่เราสองคนเท่านั้น" มีปัญหาอะไรไปตีกันหลังวัด อย่ามาทำให้คนอื่นเค้าลำบาก ไอ้บ้า!

    และตอนนี้คำว่า "ลิ้มรส" เริ่มปรากฏ... เรามักได้ยินคำว่าลิ้มรสบ่อยๆ เช่น "จงลิ้มรสกระบี่ของข้า" หรือ "ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสฝ่ามือ..." อะไรประมาณนี้ จึงตีความได้ว่าลิ้มรสในภาษาจีนเป็นสำนวนที่หมายการรับการโจมตี แต่นั่นก็ต้องดูบริบทด้วย เพราะเล่าปี่นั้นโปรดปราณการ "ลิ้มรสโจโฉ" มากกว่ากิจกรรมอื่น โดยฮั่นชู่กล่าวถึงการตีจากของเล่าปี่ที่มีชั้นเชิงอย่างมาก(ไม่ได้หัวซุกหัวซุนอย่างในนิยายและในฉบับเฉินโซ่ว+จดหมายเหตุง่อและวุ่ยว่าไว้) โดยกล่าว "หลังจากได้ลิ้มรสโจโฉจนพอพระทัยแล้ว ฮ่องเต้(เล่าปี่)ก็ได้ทรงจากมาพร้อมกับทหารมากมาย" แปลว่าการลิ้มรสในครั้งนี้ไม่ใช่การรับการโจมตี แต่เป็นการหลอกล้อ เหมือนผู้ใหญ่เล่นกับเด็ก และ "การลิ้มรสจนพอใจ" ย่อมแปลว่าเล่าปี่ได้สนุกกับโจโฉหลายครั้งหลายหนจนอิ่มหนำ ซึ่งหลังจากทั้งหมดโจโฉถึงกับออกปากเลยว่า "เล่าปี่นั้นน่ากลัวที่สุด" และเมื่อเราเอาทั้งหมดมารวมกัน กลายเป็นว่าเล่าปี่เหนือกว่าโจโฉมากแม้จะไม่มีแผ่นดินให้อาศัยแม้แต่ตารางนิ้วเดียว! เล่าปี่ไม่ได้ทิ้งลูกเมียเพราะโดนอำนาจโจโฉบีบให้ทิ้ง แต่ทิ้งเพราะรู้ว่าโจโฉไม่ทำอะไรคนพวกนั้นโดยไม่จำเป็น กล้าทิ้งกวนอูเพราะรู้ว่ากวนอูไม่มีวันแปรพักตร์ ลองอ่านขาดซะขนาดนี้ก็ต้องถือว่าเล่าปี่ยอดๆๆ ยิ่งกว่าใครแล้ว
    เห็นอย่างงี้ โคตรเก่งเลย

    แต่เล่าปี่ก็ไม่เคยลืมโจโฉเลย หากเราจะเชื่อจดหมายเหตุเกงจิ๋วและพงศาวดารง่อที่บันทึกตรงกันแต่เฉินโซ่วไม่ยอมรวบรวมไว้ในงานสามก๊กฉบับหลวง(อาจจะเห็นว่าไร้สาระเกินไป) คือระหว่างที่อยู่กับเล่าเปียว ภรรยาสาวที่เด็กกว่าภรรยาทั้งหมดของเล่าปี่(เล่าปี่มีเมียหลายคน)สงสัยว่าทำไมบางคราวเล่าปี่ใจลอยไม่สนใจตน(คิดจะมีเมียใหม่อีกสินะ?) เล่าปี่จึงบอกเธอว่า "อย่าเข้าใจผิด ข้าคิดถึงแต่เรื่องโจโฉเท่านั้น" ซึ่งเธอคงไม่คิดอะไรจนกระทั่งเล่าปี่ทิ้งลูกเมียหนีโจโฉอีกรอบ โจโฉจับลูกสาวและเมียสวยได้ ด้วยความแค้นก็คงจะหมายจะรีไซเคิลเมียเล่าปี่ให้หายแค้น ตอนนั้นเองเมียน้อยคนสวยได้เห็นโจโฉก็ร้องไห้ด้วยความเจ็บใจ พร่ำพรรณาว่าเธอเกลียดเล่าปี่ โจโฉอ่อนไหวกับน้ำตาสาวๆ อยู่แล้วก็เลยเข้าไปโอ๋ เจอจึงพ่นออกมาต่อหน้าทุกคนว่าเธอ "เกลียดเล่าปี่ทีรักแต่โจโฉ" ทำให้ทหารทั้งหลายแห่เข้ามาอย่างตกใจ พอซักไซ้จึงรู้ว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด  ทำไมไปอยู่ในพงศาวดารง่อ? คำตอบคือตอนนั้นสายสืบของจิวยี่ไปได้ยินเข้าพอดีเลยเอาไปรายงานจิวยี่ แต่คงไม่ได้รายงานด้วยว่าเป็นความเข้าใจผิด จิวยี่จึงไม่ยอมไปพบเล่าปี่ด้วยตนเองเพราะกลัวโดนลากขึ้นเตียง... ท่านผู้อ่านก็ไม่ต้องไปนำพากับมันมากนะครับ คิดซะว่าผมเอามาคลายเครียดเฉยๆ

    ถ้ามีเรื่องนั้นในหนังคนคงหมดอารมณ์ดูทีเดียว แต่สาววายจะกรี๊ดลั่นโรง

    ชู่ฮั่นนั้นยังซูฮกเล่าปี่อย่างน่าเกลียด(แต่ก็อาจจะเป็นความจริงได้เหมือนกัน)ว่าเล่าปี่อ่านออกว่าโจโฉจะต้องถอนทัพ โดยแบ่งทัพเป็นหลายๆ ส่วนเพื่อล่อหลอกจิวยี่ และโจโฉจะคุมทัพทหารป่วยด้วยตนเอง จึงให้เตียวหุย-กวนอูอยู่เฝ้าบ้าน ส่วนตัวเองนำกองทัพไปดักฉุดโจโฉและทำสำเร็จ(อะไรนะ!?) แต่ก็โดนทหารโจล้อมซ้อนไว้ แต่ทหารโจไม่กล้าทำอะไรเพราะโจโฉเป็นเชลยในมือเล่าปี่ ส่วนทหารเล่าปี่ก็ไม่กล้าแตะโจโฉเนื่องจากเล่าปี่สั่งห้าม เพราะอีกฝ่ายมีเยอะกว่า ถ้าโจโฉเป็นอะไรไปต่อให้มีสิบจูล่งก็ไม่รอดจากวงล้อมแน่(เล่าปี่พาจูล่งมาด้วย) เล่าปี่จึงทราบความจริงว่าที่โจโฉเปิดเพลงรบช้าผิดปกติไม่ใช่เพราะบาดเจ็บ แต่โจโฉโดนวางยาพิษระหว่างแล่นเรือมาและตอนนี้ก็ยังไม่หายดี จึงยอมให้ท่านหมอโชมารักษา แล้วก็ไล่กลับ โจโฉอยู่ในมือเล่าปี่นานเจ็ดวัน จิวยี่ก็ยกทัพตามแย่งโจโฉ ทำให้เป็นช่องให้ฝ่ายโจชิงตัวท่านนายกรัฐมนตรีกลับไปได้ เรื่องนี้จ๊ก(ฮั่นชู่)โทษว่าเป็นความผิดง่อ ส่วนง่อก็แก้ลำว่าเรื่องนี้ไม่จริง เล่าปี่ไม่ได้จับโจโฉได้ ตามไม่ทันด้วยซ้ำ จิวยี่ต่างหากที่เกือบจับได้ ส่วนฝ่ายวุ่ยไม่กล่าวถึงเลย

    เมื่อก่อนผมไม่ยอมรับข้อมูลนี้ แต่เมื่อโจโฉยอมรับกับทหารว่าแม้ไม่ได้แพ้จิวยี่ตรงๆ แต่กระนั้นก็ได้แพ้เล่าปี่อย่างแท้จริงในศึกผาแดง ได้รับรู้ในอัตตาที่แตกสลายและโดนเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำอีก กระนั้นกลับส่งจดหมายไปหาซุนกวน-บอกเล่าเรื่องที่ตนต้องเผาเรือทิ้งจนจิวยี่ได้ชื่อว่าชนะตน ทำให้ผมรู้สึกทะแม่งๆ ว่าสองเรื่องนี้ไม่ได้ไปด้วยกันเลย เป็นเรื่องจริงที่ว่าในประวัติศาสตร์โจโฉเสียทหารไม่กี่หมื่นคนในผาแดง แต่เมื่อเอาทั้งหมดมารวมกันผมเริ่มสงสัยว่าเล่าปี่อาจจับโจโฉได้จริงๆ งั้นโจโฉมีสภาพอย่างไรในมือเล่าปี่ เจ็ดวันในมือเล่าปี่นี้คงไม่ได้โดนแก้มหอมวันละสองฟอดแน่ๆ นอกจากจิวยี่และอีกคนที่ทำให้โจโฉรอดไปคือข่งเบ้ง เล่าปี่โกรธข่งเบ้งมากที่โจโฉหลุดมือไป เตียวหุยถามว่ายังติดใจอะไรอีก เล่าปี่ก็เลยตอบไปว่า "ยังลิ้มรสไม่สมอยาก" เห็นรึยังว่าเล่าปี่ร้ายกาจเพียงใด นอกจากจะฉลาดเป็นกรดแล้วยังโหดด้วย และที่เรารู้แล้วคือเล่าปี่ไม่เคยคิดกำจัดโจโฉ เพราะมีแต่โจโฉเท่านั้นที่ทำให้เล่าปี่สะใจได้ การที่เล่าปี่บอกว่าโจโฉไร้เดียงสาก็เหมือนบอกแล้วว่าโจโฉไว้ใจเล่าปี่มากเพียงใด--มากจนเล่าปี่เหนือกว่าเลยตอนนี้

    แม้จะไม่เสียหายมากอย่างในนิยาย แต่ในด้านจิตใจอาจจะปราชัยย่อยยัยแล้ว

    หลังจากนั้นโจโฉก็ได้มีโอกาสแก้มือกับเล่าปี่อีกครั้งในฮั่นตง เล่าปี่ได้หวดเจ้งมาเป็นเสนาธิการแล้ว โจโฉทราบแผนการศึกที่แยบคลายแล้วก็ว่า "เล่าปี่ไม่เคยทำการศึกแบบนี้ นี่แปลว่าตอนนี้มีคนเก่งมาร่วมด้วย" เพราะที่ผ่านมาเล่าปี่จะตรงมาเล่นงานโจโฉเป็นหลัก เพราะถ้าโจโฉเสียทีก็จะพังทั้งหมด ซึ่งโจโฉก็ไม่เล่นด้วยจึงให้คนอื่นจัดการแทน จนเมื่อแฮหัวเอียนตาย โจโฉจึงคิดว่าต้องสะสางเรื่องด้วยตนเอง เมื่อทั้งสองพบกันในสนามรบ เล่าปี่ก็ยังพูดกับเตียวหุยว่า "มองจากตรงนี้แล้วแทบไม่แตกต่างไปจากครั้งสุดท้ายที่พบ แม้จะผ่านมามากกว่าสิบปี ดวงตาที่มองมายังไม่เคยยอมแพ้ เห็นแล้วอยากจะลิ้มรสให้หนำใจอีกครั้ง" จากนั้นก็ควบม้าเข้าไปหาและทักทายกันก่อนจะเปิดศึก ศึกนี้โจโฉโดนเล่าปี่แทงที่อกซ้าย(ในนิยายว่าโดนธนูฟันหักไปสองซี่) แต่ก็ยังไม่ถอนกำลัง นอนพักสิบวันก็นำทัพต่อ จนกระทั่งโจโฉเห็นว่าเสียเวลาก็สั่งถอนกำลัง สุมาอี้และเล่าหัวค้านเพราะเริ่มเป็นฝ่ายไล่ต้อนแล้ว แต่โจโฉบอกว่าตนไม่ได้มาเพื่อยึดเมืองแต่มาเพื่อแก้แค้นให้น้อง(แฮหัวเอียน) และตอนนี้ไฟแค้นมันหมดแล้ว เลยยกทัพกลับ พงศาวดารบอกว่าสุมาอี้หัวเสียมากจนพูดกับเล่าหัวว่า "ถ้าคู่ศึกไม่ใช่เล่าปี่จะยอมถอนกำลังมั้ยเนี่ย?" สุดยอดมั้ยครับเล่าปี่ ทำให้โจโฉหมดใจเลย

    เขียนมาขนาดนี้คงมีคนสงสัยแล้วว่าสองคนนี้รูปโฉมชวนจิ้นหรือไม่ เพราะเท่าที่ทราบ เล่าปี่มือยาวถึงเข่า หูยานถึงบ่า เรื่องพวกนี้ผมก็ไม่แนะนำให้ผู้อ่านนำพามากนัก แต่อย่างไรก็ตาม ที่ง่อและวุ่ยระบุไว้นั้น เล่าปี่เป็นคนรูปงาม สูงโปร่ง และท่าทางอบอุ่น หน้าตาเกลี้ยงเกลา(ไม่มีหนวดเครา) ง่อบอกเพิ่มด้วยว่า "แม้จะแก่ลงแต่ก็ยังสง่าน่าเลื่อมใส ดูงามสมวัย" ส่วนวุ่ยนั้นบอกว่า "เล่าปี่เป็นคนเจ้าสำอางค์แต่ก็กล้าหาญและน่ายำเกรง" มีบันทึกมากมายที่บอกว่าเล่าปี่เป็นที่หลงใหลสำหรับคนทั่วไปทั้งชายหญิง ผู้คนส่วนมากมักถูกชะตาทันทีที่พบ แล้วโจโฉล่ะเอาอะไรมาพูดว่าคล้ายผู้หญิง ง่อบอกว่าโจโฉตัวเล็กซะจนแทบจะยืนบนมือของซุนกวนได้ ดูอายุน้อยกว่าเล่าปี่ ฮั่นชูบอกว่าโจโฉดูอ่อนเยาว์กว่าที่เป็นจริงรูปร่างก็เตี้ยเล็กและสูงแค่ไหล่ของโอรสสวรรค์(เหี้ยนเต้) จดหมายเหตุฮั่นตงบอกเล่าว่าครั้งหนึ่งที่โจโฉมายึดฮั่นตงไว้ ผู้คนที่เห็นล้วนบอกต่อกันว่า "ร่างวุ่ยอ๋องบอบบางมากท่ามกลางทหารและฝ่ายบุ๋นทั้งหมด ใบหน้างดงามและอายุน้อยกว่าฝ่าบาท(เล่าปี่)เป็นสิบปี" อ่ะฮ่า... ตอนนั้นโจโฉอายุหกสิบห้าแล้วนะครับแต่เหมือนจะเด็กกว่าเล่าปี่ที่พึ่งห้าสิบเก้าเป็นสิบปี... ฮกฮองเคยแอบเขียนจดหมายถึงบิดาให้ช่วยกำจัดโจโฉ โดยบอกด้วยว่า "อย่าบอกนะว่าท่านกลัวเขา ข้าไม่เห็นจะกลัวซักนิด เขามีรูปร่างไม่ล่ำสันผิดจากพวกท่าน ซ้ำยังตัวเล็กและเตี้ยยิ่งกว่าข้าอีก" แต่ถ้ายังไม่สะใจ อ่านนี่...

    --เรารบกันจนเช้า จนเว่ยหวางปรากฏองค์  เป็นครั้งแรกที่เห็นพระองค์เต็มตา แสงทำให้พระองค์เรืองรองดั่งทรงเกราะทองคำ ทรงงดงามและอ่อนเยาว์อย่างเหลือเชื่อ  ร่างเล็กบางเบาราวกับจะลอยได้ เหมือนกับหญิงงามที่ต้องปกป้อง แต่ก็น่าเกรงขามยิ่งกว่ากองทัพนับแสน ทั้งหมดทำให้เราต้องทรุดกายลง หน้าผากจรดพื้นด้วยความยำเกรง เว่ยเฟิงตะโกนก้องว่า "ดูนั่นสิเขามีเลือดไหล เขามีเลือดเนื้อเช่นเดียวกับเรา เขาคนธรรมดาไม่ใช่เทพเจ้า เขาฆ่าพ่อแม่ของพวกเจ้า ตัดศีรษะเขาซะ" ทว่า ไม่มีใครกล้าแม้แต่คนเดียว-- นี่คือสิ่งที่คนๆ หนึ่งในขบถเว่ยเฟิงเขียนไว้ก่อนตาย สิ่งที่บันทึกไว้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 220, เจ็ดวันก่อนการตายของโจโฉจะปรากฏทั่วทั้งแผ่นดิน ซึ่งแปลว่าภาพนี้คือโจโฉในวัยหกสิบห้าปีที่น่าแก่เกินกว่าจะเป็นภาพติดตราตรึงใจได้ปานนั้น

    ต่อไปผมจะเริ่มลงเรื่องตามใจแล้วนะครับ เว้นแต่จะ "ขอให้เขียน" ผมจึงจะรับไปเป็นการบ้าน เจอกันคราวหน้าครับ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×