หญิงสาวยืนอยู่บนระเบียงชั้นสี่ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งด้วยความคิดเดียวที่วนวียนอยู่ในหัว
...สูง...ระบียงนี้สูงจากพื้นมากทีเดียว
...สูงจนน่าเชื่อว่ามันจะทำให้เรื่องทุกอย่าง...ความทุกข์ทั้งหมดของชั้นสูญสลายไปได้
...แค่เพียงชั้นกระโดด...กระโดดลงไปเท่านั้น
สายลมที่พัดผ่านอ่อนโยนยามสัมผัสผิวกาย
อ่อนโยนจนไม่น่าเชื่อว่าโลกใบนี้จะมีความนุ่มนวลเช่นนี้หลงเหลืออยู่
หากใครคิดว่าชีวิตตนผจญกับเรื่องหนักหนามามากกว่าใครๆ
หญิงสาวก็อยากจะลองเล่าเรื่องของตนเองให้เขาฟัง เพื่อที่ท้ายที่สุดเข้าจะได้รู้ว่าความทุกข์ยากในชีวิตเขานั้นเทียบกับของหล่อนไม่ได้เลยแม้ปลายเล็บ
พ่อหล่อนตายจากไปเมื่อแปดปีก่อน แม่แต่งงานใหม่กับเพื่อนบ้านที่มีท่าทางไม่น่าไว้วางใจ และลางสังหรณ์ของหญิงสาวก็ถูกต้องเมื่อพ่อใหม่พยายามจะข่มขืนหล่อนในเวลาต่อมา
ผลที่เกิดขึ้นคือเด็กสาวอายุสิบห้าต้องซมซานออกจากบ้าน มี่เงินติดตัว ไม่มีความรู้ติดหัว ต้องหันเข้าหางานในโรงงานเย็บผ้าโหล
หล่อนเป็นคนหน้าตาไม่จัดว่าสวย แต่ก็ผุดผาดสะอาดตา เพือ่นผู้ชายในโรงงานบางคนแสดงเจตจำนงว่าชื่นชอบหล่อน แต่หญิงสาวไม่เล่นด้วย
ประสบการณ์ความหยาบโลนของผู้ชายที่เพิ่งพานพบมาฝากความกลัวไว้ในหัวใจหญิงสาวอย่างแรงกล้า
และแล้ววันนั้น...หล่อนเดินออกจากโรงงานเพื่อกลับไปยังห้องเช่ารูหนูเพื่อซุกหัวนอนเช่นทุกวัน
แต่...อนิจจา...หล่อนไปได้ไม่ถึง
ไม่ถึงจะกระทั่งสายวันต่อมา หล่อนนั่งรถมอร์เตอร์ไซค์ของตำรวจ กลับถึงที่คุ้มหัวซ่อมซ่อด้วยใบหน้าบวมช้ำ เสื้อผ้าขาดวิ่น น้ำตานองหน้าและเนื้อตัวเปรอะเปื้อน...สกปรกจนแม้แต่ตนเองยังไม่อยากสัมผัส
เสียงเพื่อนข้างบ้านที่ลอบมองอย่าเวทนาปนอยากรู้อยากเห็นลอยมาเข้าหู 'ถูกข่มขืน...กว่าตำรวจจะไปเจอเมื่อเช้าก็ยับไม่มีชิ้นดีแล้ว'
ใช่...ยับเยิน...ชีวิตหล่อนไม่มีชิ้นดีแล้ว
ตำรวจที่เดินมาส่งล้วงยื่นผ้าเช็ดหน้าส่งให้หญิงสาว ผ้าเช็ดหน้าสีขาวบริสุทธิ์ ดูสะอาดจนคนอย่างหล่อนไม่ปรารถนาจะแตะต้อง ได้แต่ยืนมองมันนิ่งอยู่อย่างนั้น
"คุณไม่ได้สกปรกเพราะเรื่องแบบนี้หรอก อย่ากังวลไปเลย ชีวิตคนทุกคนเป็นสิ่งมีค่าในตัวมันเองอยู่แล้ว มีค่าโดยไม่ต้องใช้ค่าอื่นๆ มาส่งเสริม" เสียงนายตำรวจนุ่มนวล ปลอบโยนอย่างใจดี ทำให้หญิงสาวเหลือบตามองหน้าเขาเป็นครั้งแรก เขาไม่ได้มีรูปร่างสูงนัก สูงกว่าหล่อนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ค่อนไปทางหนา ผิวคล้ำ หน้าตาไม่ได้หล่อเหลาอะไร แต่จริงใจและดูใจดีเท่าที่คนอายุสามสิบต้นๆ จะเป็นได
้
มือสั่นๆ ของหญิงสาวจึงรับผ้าเช็ดหน้ามากำไว้ หล่อนไม่ได้ขอบคุณเขาด้วยซ้ำเมื่อเดินเข้าบ้านแล้วหับกระตูลงกลอนตามหลัง
ได้ยินเสียงมอร์เตอร์ไซค์ตำรวจสตาร์ท์เครื่องและแล่นจากไปแล้วนั่นแหละ หญิงสาวจึงแบมือ มองจ้องผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดอย่างเลื่อนลอยอยู่จนตกกลางคืน
โชคร้ายที่หล่อนขาดงานไปโfยไม่แจ้งล่วงหน้า หนำซ้ำเมื่อกลับมาก็ยังไม่มีเหตุผลจะแก้ตัวอีก นายจ้างที่เป็นคนตรงเคร่งต่อกฏระเบียบจึงจ่ายเงินค่าแรงรายวันให้ และบอกหล่อนอย่างติดจะฉุนเฉียวว่าไม่ต้องมาทำงานอีก หญิงสาวเดินคอตกกลับห้องพัก กำลังใจน้อยนิดที่พอมีเหลืออยู่ในการดำรงชีวิตปลิวหาย
มีเสียงปี๊ดยาว…และแล้วหล่อนก็เจ็บปวดขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน เจ็บจนสลบไป
มาลืมตาตื่นอีกครั้งที่โรงพยาบาล กระพริบมองเพดานขาวอยู่ได้ไม่นานใบหน้าที่คุ้นตาก็ลอยมาใกล้
"คุณ...เป็นยังไงบ้าง?"
หญิงสาวกลอกตามอง...นายตำรวจหนุ่มนั่นเอง...น่าแปลกที่เสียงของเขาตอนนี้ไม่ได้มีความเข้าอกเข้าใจเหมือนคราวก่อน จะมีก็แต่ความสงสาร เขาคงคิดว่าหล่อนช่างเป็นคนโชคร้ายเสียจริง
หล่อนส่ายหน้า พยายามจะขยับตัวลุก แล้วจึงได้รู้ว่า...โชคดี...ไม่เคยเป็นของหล่อนเลย
นายตำรวจหนุ่มขยับมือเข้ามาช่วยประคองเมื่อแพทย์เดินเข้ามาในห้องเล็กที่กั้นจากม่านสีเขียว น้ำเสียงเป็นการเป็นงานทะลุเข้ามาให้หูหล่อน บาดสมองจนหญิงสาวคิดอะไรไม่ออกอีก
"คุณโชคดีที่รอดมาได้ ถ้าคุณตำรวจพาคุณมาถึงช้ากว่านี้อีกแค่นิดเดียวคุณคงแย่ รถคั้นนั้นเบรกแตกและชนคุณอัดกับต้นไม้ข้างทางแรงมากจนกระดูกขาซ้ายป่น"
สายตาของหญิงสาวค้างอยู่แค่ช่วงขาตนเอง...ขาข้างซ้ายที่ขาดตั้งแต่หัวเข่าลงไป
นายตำรวจหนุ่มคุยซักถามอะไรกับแพทย์เจ้าของไข้อยู่สามสี่คำ แต่หล่อนไม่สนใจ ตาทั้งสองข้างมองแค่ขาที่หายไปของตัวเอง คนที่มีขาข้างเดียวก็ต้องกลายเป็นคนพิการใช่ไหม...คนพิการ
"คุณบอกผมได้ถ้าต้องการอะไรหรืออยากให้ช่วย" นายตำรวจถามหลังจากหมอลับกายไปแล้ว
หญิงสาวส่ายหัว
"อยากให้ผมติดต่อพ่อแม่หรือญาติของให้คุณไหม? ในกระเป๋าสตางค์คุณไม่มีที่อยู่ใครเลย คุณคงต้องบอกให้ผมจด"
หญิงสาวส่ายหัวอย่างอ่อนล้าอีกครั้ง
นายตำรวจหนุ่มถอนใจยาว ตบมือหล่อนเบาๆ
"คุณยังจำคำที่ผมบอกคุณวันก่อนโน้นได้อยู่ไหม ขาคุณไม่ใช่คุณค่าของชีวิตคุณนะ"
คราวนี้หญิงสาวปัดมือเข้าออก แรงที่กระทบค่อนข้างมากจนได้ยินเสียงฉาด สายตาหล่อนที่มองเขาไม่เลื่อนลอยแต่เจ็บปวดและขึงโกรธ
...เขาพูดได้ทุกอย่างเพราะเขาไม่ได้มาอยู่ในสภาพเดียวกันกับหล่อน ไม่ได้เป็นแบบหล่อน!
นายตำรวจหนุ่มมองใบหน้าช้ำด้ายร้อยขีดข่วนและการกระแทกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกเบาๆ
"พรุ่งนี้ผมจะมาเยี่ยมคุณใหม่แล้วกัน" แล้วเขาก็จากไป พร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรูตลอดทั้งคืนของหญิงสาว
สิบวันต่อมาหลังจากฟื้นหล่อนก็ได้กลับบ้าน บ้าน...ที่ไม่ใช่รูหนูซ่อมซ่ออีกต่อไป แต่เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวเก่าคร่ำของข้าราชการระดับล่าง ไม่สวย แต่ก็เป็นบ้าน
นายตำรวจหนุ่มอุ้มหล่อนลงจากรถแท็กซี่ เขายิ้มทั้งปากและนัยตา
"คุณชอบไหม?"
หญิงสาวพยักหน้ารับ
ตลอดสิบวันมานี้นายตำรวจหนุ่มรักษาสัญญาเป็นอย่างดี เขามาเยี่ยมหล่อนทุกเย็น อยู่จนค่ำ แล้วก็ลากลับไป เขามีเรื่องสนุกสนานมากมายมาเล่าให้หล่อนฟังทุกวัน มีของมาเยี่ยมไข้เล็กๆ น้อยๆ ทุกครั้ง
ความเอื้ออารีย์ของเขาทำให้หล่อนถึงกับน้ำตารื้นเมื่อเขาเสนอให้หล่อนมาเป็นแม่บ้านของเขาหลังจากรู้ว่าหล่อนตกงาน
"อย่าดูถูกว่าหลังเล็กเชียว" เขาพูดปนหัวเราะเมื่อวางหล่อนลงบนเก้าอี้หินอ่อนหน้าบ้าน "ลองคุณลงแรงถูกเมื่อไหร่จะรู้สึกว่ามันหลังโตขึ้นมาทันที"
หญิงสาวได้หัวเราะเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนหรืออาจจะหลายปี...หัวเราะไปกับเขา
หล่อนเป็นแม่บ้านข้าพลาสติกที่ทำงานได้เรียบร้อยจนนายตำรวจหนุ่มชมทุกครั้งที่กลับมาถึงบ้าน และมันก็เป็นเช่นนั้นมาสองเดือนแล้ว
สองเดือนของความสงบและสบายใจ เป็นสองเดือนที่หญิงสาวรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นที่สุดในชีวิต
"คุณเป็นแม่บ้านที่วิเศษมาก และก็เป็นแม่ครัวที่เยี่ยมยอดด้วย"
เข้าไม่เคยแสดงอะไรนอกเหนือไปจากนี้ ไม่เคยมีอาการกอร้อกอติกในเชิงชู้สาว นายตำรวจหนุ่มปฏิบัติเหมือนหล่อนเป็นเพื่อนสนิท เป็นคนที่เขาจะดูแลตลอดไป
แต่เมื่อย่างเข้าเดือนที่สาม...เดือนนี้...ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
สายฝนที่เย็นฉ่ำ พรากเขาไปจากหล่อนตลอดกาล
เพื่อนนายตำรวจโทรมาบอกข่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจอย่างที่สุด นายตำรวจของหล่อนมอร์เตอร์ไซค์คว่ำ และขณะนี้เขากำลังอยู่ที่โรงพยาบาลในอาการโคม่า
หญิงสาวกระเผลกออกจากบ้านที่ซ่อนตัวอยู่หลายเดือน โบกรถแท็กซี่ แล้วมุ่งตรงไปโรงพยาบาล
แล้วหล่อนก็ได้รู้ว่า...หล่อนมาไม่ทันแม้จะกล่าวคำอำลาด้วยซ้ำ
หล่อนมองใบหน้าที่คุ้นตาตลอดสองเดือนเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเดินออกมาจากห้องไอซียู ไม่สนใจสียงเรียกของใครๆ เบื้องหลังทั้งนั้น
มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าระเบียงชั้นสี่ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งด้วยความคิดเดียวที่วนวียนอยู่ในหัว
...สูง...ระบียงนี้สูงจากพื้นมากทีเดียว
...สูงจนน่าเชื่อว่ามันจะทำให้เรื่องทุกอย่าง...ความทุกข์ทั้งหมดของชั้นสูญสลายไปได้
...แค่เพียงชั้นกระโดด...กระโดดลงไปเท่านั้น
หล่อนถอดรองเท้าออกทีละข้าง มือชื้อเหงือจับราวบันไดมั่น
...โดด...ขอแค่มีความกล้าที่จะโดดเท่านั้น
และแล้วก็มีเสียง 'แหมะ' ดังขึ้นใกล้ๆ หญิงสาวหันกลับไปมองจึงได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเด็กชายคนหนึ่งที่กำลังชันตัวลุกขึ้น
หล่อนปราดเข้าไปดูด้วยสามัญสำนึกมากกว่าความคิดที่ว่าอยากทำ เด็กน้อยคงวิ่งมาเร็วแล้วลื่นหกล้มค่อนข้างแรง ฟันหน้าของเขาหักถึงสามซี่ หัวเข่ามีเลือดออกซิบแขนถลอกเป็นขุยขาว
แต่เขาก็ยังยิ้ม
หญิงสาวมองอย่างเลื่อนลอยเล็กน้อย สายตาเต็มไปด้วยคำถาม
"ผมโตแล้ว โตมากๆ" น้ำเสียงอวด ภาคภูมิใจ
"ดูสิ เลือดก็ออก ฟันก็หลุด เจ็บเป็นบ้าแต่ผมก็ไม่ร้องไห้เลย"
หญิงสาวยิ้มให้เด็กน้อยอ่อนๆ
"ผมเชื่อที่พวกผู้ใหญ่ชอบพูด พี่สาวรู้ไหม พวกผู้ใหญ่บอกว่าความเจ็บปวดจะทำให้เราโตขึ้น เข้มแข็งขึ้น กล้าหาญขึ้น ปีที่แล้วผมฟันหลุดไปซี่นึงร้องไห้บ้านแทบแตก แต่ปี้นี้ผมโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ผมเข้มแข็ง กล้าหาญ และจะไม่ร้องไห้"
แล้วคำพูดหนึ่งของใครอีกคนหนึ่งที่จากไปแล้วก็ลอยเข้าหูมา
'อย่ากังวลไปเลย ชีวิตคนทุกคนเป็นสิ่งมีค่าในตัวมันเองอยู่แล้ว มีค่าโดยไม่ต้องใช้ค่าอื่นๆ มาส่งเสริม'
ใช่...หญิงสาวกำมือแน่นจนเล็บจิกตนเอง...ชีวิตหล่อนเป็นของมีค่า ผ่านอะไรมามากมาย ทั้งความทุกข์ ปัญหา ความสกปรก เรื่องที่เจ็บปวด เรื่องที่ทำให้เสียใจจนแทบอยากจะหยุดใช้ชีวิต
แต่ชีวิตหล่อนก็เป็นของมีค่า และยิ่งผ่านเรื่องทุกข์ ปัญหา ความสกปรก ความเจ็บปวด ความเสียใจมามากเท่าไหร่ ชีวิตก็ยิ่งมีค่า เพราะมันแข็งแรงขึ้น เติบโตขึ้น!
รอยยิ้มอ่อน กว้างขึ้น มือซีดลูบหัวเด็กชายเบาๆ ยามเมื่อพูดกับว่า
"พี่ก็เห็นด้วย"
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น