โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
ความโชคดีของพสกนิกรชาวภูฎานก็คือพวกเขาเพิ่งได้เฉลิมฉลองในการพระราชพิธีราชาภิเษกของกษัตริย์หนุ่มรูปงามเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2551
ที่ มากกว่านั้นจะเป็นกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย ที่มีวาระเกษียณเมื่อพระชนมายุ 60 พรรษา และเปิดช่องในกฎหมายให้วิพากษ์วิจารณ์ได้ โดยกระทำผ่านสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงพระราชประเพณีครั้งสำคัญในโอกาสที่พระราชวงศ์วัง ชุกปกครองประเทศบนเทือกเขาหิมาลัยครบ 100 ปี
“ข้าพเจ้า จะปกครองแผ่นดินโดยธรรม และจะปกป้องจารีตประเพณีของภูฏานไว้ ตราบชั่วลูกชั่วหลาน โดยดำเนินตามหลัก ความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross National Happiness) อย่างไรก็ดี สิ่งที่ข้าพเจ้ากังวลใจที่สุดก็คือ ประเทศ ภูฏานและประชาชนของเรา อาจต้อง สูญเสียค่านิยมอันดีงาม เพราะทนแรงยั่วยุจากสิ่งต่างๆในโลกภายนอกไม่ได้...ขอให้เชื่อมั่นว่า ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังปกครองประเทศนี้ แม้โลกจะเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วเพียงใด แต่ภูฏานจะยังคงเป็นประเทศที่คำนึงถึงคุณภาพชีวิตเป็นอันดับแรก และข้าพเจ้าขอรับประกันว่า ลูกหลานรุ่นต่อๆไปจะมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างมี ความสุข และสงบร่มเย็น อันเป็นหลัก ยึดปฏิบัติเรื่อยมาของบรรพบุรุษเรา”เป็นปฐมบรมราโววาทของสมเด็จพระราชาธิบดี จิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก กษัตริย์องค์ที่ 5 ของราชอาณาจักรภูฏาน
ภูฎานในมุมที่คนไทยยังไม่รู้จักข่าว ที่จะพระราชทานประชาธิปไตยให้ประเทศ ทำให้ชุมชนนานาประเทศตื่นเต้นเคลิ้มตาม ทว่าสำหรับผู้ลี้ภัยชาวภูฏานที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้อพยพที่ประเทศเนปาล พวกเขาคงไม่รู้สึกเป็นรสชาติสักเท่าไร ในทัศนะของ ราฏาน กัจเมอร์ ผู้นำคนหนึ่งของกลุ่มผู้ลี้ภัย พระราชโองการของกษัตริย์เป็น “เพียงการดึงม่านขนสัตว์บังตาชุมชนนานาประเทศ ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อว่าจะมีระบอบประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง”
แรงกด ดันเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงก่อตัวสะสมขึ้นมาทั้งภายในและภายนอกประเทศ ภูฏาน ประชาชนชาวภูฏานร่ำร้องหาระบอบประชาธิปไตยและเสรีภาพมานานแล้ว ประเทศเนปาลที่เป็นบ้านใกล้เรือนเคียงก็กำลังใคร่ครวญถึงอนาคตของระบอบ กษัตริย์ และอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตยเช่นกัน ดังนั้น กษัตริย์ภูฏานจึงดูเหมือนต้องการประทานระบอบประชาธิปไตยแบบจำกัดให้แก่ ประชาชนเสียก่อน ก่อนที่ชาวภูฏานจะลงมาเรียกร้องบนท้องถนนตามอย่างชาวเนปาล แผนการของพระองค์คือการนำระบอบประชาธิปไตยแบบชี้นำ และมีสองพรรคมาใช้ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการร่างมา เนิ่นนานแล้ว
แต่กษัตริย์จิกมี ไม่ได้มีดำรัสอะไรเลยถึงการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัย ซึ่งขัดแย้งกับการโฆษณาภาพพจน์ของภูฏานว่าเป็นราชอาณาจักรที่สงบและสันติสุข
สถานการณ์ของผู้ลี้ภัยราชอาณาจักรมังกรของประเทศภูฏานอวดโอ่ถึงการมี “ความสุขมวลรวมประชาชาติ” ในอัตราสูง แต่ชาวภูฏานจำนวนมากคงไม่เห็นด้วย พวกเขาโต้แย้งด้วยเหตุผลว่า ประเทศที่ประชากรถึง 1 ใน 6 ต้องอพยพไปอาศัยนอกประเทศในฐานะผู้ลี้ภัย คงไม่ใช่ประเทศที่มีความสุขในระดับสูงเป็นแน่
เต็ก นาธ รียัล เคยเป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์จิกมี สิงเย (พระราชบิดาที่สละราชสมบัติให้ราชโอรสสืบพระราชบัลลังก์) เขาถูกจำคุกและถูกทรมานถึง 9 ปี เพราะการเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน รียัลเขียนลำดับความไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติ Nirvasan (ลี้ภัย) ถึงการที่กษัตริย์ทรงบดขยี้ขบวนการด้านประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนที่เพิ่ง ก่อตัวขึ้นเพื่อยึดอำนาจให้อยู่มือ ขั้นแรก รัฐบาลในนครหลวงธิมปูจำกัดสิทธิของชุมชนชาวเนปาลในการเคลื่อนย้ายและถือครอง ทรัพย์สิน จากนั้น รัฐบาลยัดเยียดภาษา, การแต่งกายและวัฒนธรรมของชาวทิเบตที่เป็นชนชั้นปกครองแก่ชุมชนเชื้อชาติอื่น ซึ่งมีอยู่ถึงเกือบสองในสามของประชากรภูฏาน
การประท้วงปะทุขึ้นใน ช่วงทศวรรษ 1980 และรัฐบาลใช้มาตรการปราบปรามอย่างรุนแรง รัฐบาลเปลี่ยนกฎหมายสัญชาติใน ค.ศ.1988 ถอนสัญชาติของผู้ประท้วงและเนรเทศออกนอกประเทศ เนื่องจากผู้ถูกเนรเทศส่วนใหญ่มีเชื้อสายเนปาล พวกเขาจึงรอนแรมมาอาศัยอยู่ในเนปาล และมีประชาชนอพยพตามออกมาอีกเพราะถูกคุกคามหรือเพราะความกลัว
ทุก วันนี้ มีผู้อพยพลี้ภัยเกือบ 120,000 คน อาศัยอยู่ในประเทศเนปาล นั่นเป็นจำนวนเกือบหนึ่งในหกของประชากรภูฏาน ผู้อพยพส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในค่ายที่อยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ผู้ลี้ภัยจำนวนไม่น้อยต้องอาศัยอยู่ในค่ายอพยพมาถึง 16 ปีแล้ว ชาวเนปาลท้องถิ่นกล่าวโทษผู้อพยพเหล่านี้ว่าเป็นตัวการทำให้ค่าจ้างแรงงานตก ต่ำลง ทำลายสิ่งแวดล้อม และสร้างปัญหาสังคมรอบบริเวณค่าย ชุมชนนานาประเทศเริ่มมีอาการเบื่อหน่ายที่จะบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือเลี้ยง ดูผู้ลี้ภัยเหล่านี้
ตอนนี้ยังมองไม่เห็นเลยว่า จะมีหนทางคลี่คลายแก้ไขปัญหาอย่างไร ภูฏานบอกกล่าวแก่หุ้นส่วนทางด้านการพัฒนาของตนว่า เพื่อรักษาเอกลักษณ์ทางด้านชาติพันธุ์ไว้ ภูฏานจึงไม่สามารถรับผู้ลี้ภัยกลับเข้าประเทศ ภูฏานยังบอกเนปาลว่า ควรมีการวางหลักเกณฑ์ในการส่งผู้อพยพกลับถิ่นเดิม และจัดประชุมระดับรัฐมนตรีมาแล้ว 15 รอบในประเด็นนี้ตั้งแต่ ค.ศ. 1993
ความ สำเร็จที่เป็นรูปธรรมเพียงประการเดียวของกระบวนการทวิภาคีนี้ก็คือ การร่วมมือระหว่างสองประเทศเพื่อพิสูจน์สัญชาติของผู้อพยพในค่ายหนึ่งจากที่ มีอยู่ทั้งหมด 12 ค่าย การพิสูจน์พบว่า กว่า 76% ของผู้ลี้ภัยสามารถกลับถิ่นเดิมได้ทันทีโดยไม่ต้องอาศัยเอกสารยืนยันหรือการ สอบสวนเพิ่มเติมอะไรอีก นับแต่นั้นมา ภูฏานก็หลีกเลี่ยงการเจรจาระดับรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ
ส่งไปอเมริกาดีไหม?สหรัฐ อเมริกาประกาศในเดือนตุลาคม สหรัฐฯ จะรับผู้ลี้ภัยชาวภูฏานจำนวน 60,000 คน จากค่ายของ UNHCR ในช่วง 3-4 ปีต่อจากนี้ ผู้อพยพชาวภูฏานพอใจกับท่าทีในเชิงมนุษยธรรม รัฐบาลที่ธิมปูก็ถอนใจโล่งอกด้วยความเชื่อผิดว่า ผู้ลี้ภัยคงคว้าข้อเสนอของรัฐบาลอเมริกันไว้โดยไม่ก่อเรื่องเดือดร้อนต่อไป อีก แต่รัฐบาลภูฏานดูเหมือนลืมไปว่า ผู้ลี้ภัยที่เลือกไปตั้งหลักแหล่งในอเมริกาอาจส่งเงินกลับมาสนับสนุนขบวนการ ต่อต้านระบอบกษัตริย์ในภูฏานให้เติบใหญ่ขึ้น เพื่อที่เพื่อนร่วมชาติในประเทศบ้านเกิดจะได้ลิ้มรสเสรีภาพแบบเดียวกับที่ พวกตนได้รับในประเทศอุปถัมภ์
การผสมกลมกลืนไปกับประชากรท้องถิ่นใน ประเทศที่สองและย้ายไปตั้งหลักแหล่งในประเทศที่สาม อาจเป็นทางเลือกสำหรับผู้ลี้ภัยเหล่านี้ เพราะพวกเขามองไม่เห็นวี่แววจะได้กลับบ้านในอนาคตอันยาวไกล หรือไม่ก็อาจต้องเผชิญกับอันตรายอุกฤษฏ์หากเสี่ยงกลับถิ่นเกิด แต่การผสมกลมกลืนหรือการย้ายไปตั้งหลักแหล่งไม่ควรใช้วิธีคัดสรร การคัดสรรมักสร้างผลร้ายต่อผลประโยชน์ส่วนรวมในชุมชนผู้ลี้ภัย เพราะวิธีการนี้เท่ากับปล้นบุคลากรที่ดีที่สุดและเก่งที่สุด ทั้งที่คนเหล่านี้สามารถโน้มน้าวความคิดเห็นของสาธารณชนเพื่อสร้างหลัก ประกันให้ผู้อพยพทั้งหมดได้กลับบ้าน และผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในประเทศบ้านเกิด
นอกจากนั้น การส่งผู้ลี้ภัยกลับถิ่นเดิมควรเป็นแนวนโยบายหลักในการแก้ปัญหาวิกฤตการณ์ ผู้ลี้ภัยในเกือบทุกกรณี เพราะทั่วโลกทุกวันนี้มีผู้ลี้ภัยเกือบ 21 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศยากจน ประเทศเหล่านี้ไม่สามารถรองรับผู้ลี้ภัยไว้โดยไม่ต้องเผชิญกับปัญหาทาง เศรษฐกิจและต้นทุนทางการเมืองอย่างใหญ่หลวง ส่วนประเทศที่สามก็สนใจเพียงแค่ให้หลักแหล่งแก่ผู้อพยพจำนวนหยิบมือเดียว และมักคัดสรรเฉพาะคนที่ดีที่สุดไปเสียด้วย ดังนั้น ไม่ว่าการผสมกลมกลืนในประเทศที่สองหรือย้ายไปตั้งหลักแหล่งในประเทศที่สาม ย่อมไม่ใช่ทางเลือกที่พึงปรารถนาทั้งสิ้น
บทบาทของโลกภายนอกตาม สนธิสัญญาทวิภาคี ค.ศ.1949 อินเดียเป็นผู้รับผิดชอบนโยบายต่างประเทศและการป้องกันประเทศของภูฏาน อินเดียยังเป็นประเทศที่ให้การพักพิงประเทศแรกแก่ผู้ลี้ภัยเหล่านี้ เนื่องจากเนปาลกับภูฏานไม่มีพรมแดนประชิดกัน แต่อินเดียไม่ยอมช่วยหาหนทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น บางทีอาจเพราะกริ่งเกรงจะเป็นการผลักไสรัฐบาลภูฏานให้ไปซบอกประเทศจีนแทน ผู้ลี้ภัยแสดงความไม่พอใจที่อินเดียอนุญาตให้ชาวภูฏานเดินทางจากประเทศไป ค่ายผู้อพยพในเนปาล แต่ไม่ยอมเปิดเส้นทางให้เดินทางกลับ
ความสงบ สันติในเอเชียใต้เป็นความปรารถนาของสหรัฐอเมริกา แต่ภูมิภาคนี้ก็ห่างไกลจากคำว่าสงบสุข ประเทศต่างๆ ตั้งแต่อัฟกานิสถานไปจนถึงศรีลังกาล้วนตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง การเผชิญหน้าระหว่างอินเดียกับปากีสถานยังคงทอดเงาทะมื่นเหนือภูมิภาค อีกทั้งการงัดข้อในเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างจีนกับอินเดีย ซึ่งต่างฝ่ายต่างกำลังก้าวขึ้นสู่ความเป็นมหาอำนาจ เป็นอีกต้นเหตุใหญ่ของความไม่สบายใจ ที่ผ่านมา วอชิงตันพยายามวางตัวอยู่ห่างจากปัญหาในเอเชียใต้ หรือไม่ก็ยังพยายามไม่มากพอที่จะหาทางคลี่คลายให้ดีขึ้น แต่ตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไป ความคลั่งไคล้สุดขั้วในลัทธิต่างๆ, การก่อการร้าย และความหัวรุนแรงของผู้ลี้ภัยที่กำลังขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ในภูมิภาคนี้ ชักจะทำให้อเมริกาหันมาจับตาดูอนุทวีปนี้อย่างใกล้ชิด
ข้อเสนอของ สหรัฐอเมริกาที่จะรับผู้ลี้ภัยชาวภูฏานก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่ผสมปนเป ในด้านหนึ่ง ผู้ลี้ภัยกลุ่มที่มีการศึกษาและมีฝีมือรู้สึกดีใจที่จะได้มีโอกาสไล่ตามความ ฝันแบบอเมริกัน ส่วนอีกด้านหนึ่ง ผู้ลี้ภัยกลุ่มใหญ่วิตกว่า การคัดสรรผู้อพยพไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สามจะทำลายความหวังอันแท้จริงที่ จะได้กลับบ้านและสร้างสังคมประชาธิปไตยขึ้นในภูฏาน
นอกจากนี้ เนปาลยังถูกทิ้งให้จัดการปัญหาที่เหลือต่อไป เนปาลจะต้องรับมือกับผู้อพยพที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งจนกว่าจะมีประเทศไหนก้าว ออกมารับพวกเขาไปอีก รวมทั้งยังต้องต่อกรกับคลื่นผู้อพยพระลอกใหม่ที่จะหลั่งไหลเข้ามา โดยมีโอกาสในการได้ย้ายไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สามเป็นสิ่งล่อใจ
กษัตริย์ จิกมี สิงเย ก้าวลงจากคอนบัลลังก์สูงลิบโดยไม่แก้ไขวิกฤตการณ์ผู้ลี้ภัยที่พระองค์ทรงก่อ ให้เกิดขึ้น ในเมื่อนิวเดลีมีความสำคัญเพิ่มขึ้นหลังจากข้อตกลงนิวเคลียร์สหรัฐฯ-อินเดีย เมื่อเร็วๆ นี้ วอชิงตันน่าจะอาศัยอินเดียให้ใช้อิทธิพลกดดันภูฏาน เพื่อกรุยทางไปสู่การรับผู้ลี้ภัยคืนถิ่น ก่อนที่ผู้ลี้ภัยเหล่านี้จะสิ้นหวังจนตรอก จนกลายเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาค การคลี่คลายปัญหาจะเปิดช่องให้ผู้ลี้ภัยกลับบ้านได้อย่างมีศักดิ์ศรี
กระตุ้นให้ระบอบกษัตริย์คลายมือจากอำนาจ รวมทั้งผลักดันค่านิยมและสถาบันประชาธิปไตยในประเทศภูฏาน..........................................................
ที่มาเรียบเรียงจาก:มูรารี อาร์ ชาร์มา
ภัควดี วีระภาสพงษ์ แปลจาก
Murari R. Sharma, "Shaking Up Bhutan" (Silver City, NM and Washington, DC: Foreign Policy In Focus, December 28, 2006).
http://fpif.org/fpiftxt/3828
มู รารี ชาร์มา เป็นอดีตเอกอัครราชทูตเนปาลประจำสหประชาชาติ เป็นผู้ร่วมเขียนหนังสือชื่อ Reinventing the United Nations ซึ่งออกวางจำหน่ายในเดือนมกราคมปี2551 เขาเคยมีบทบาทในการเจรจาประเด็นปัญหาผู้ลี้ภัยระหว่างเนปาลกับภูฏาน
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น