ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    exo | cries : angst story of lumin (SF)

    ลำดับตอนที่ #2 : GONE 02__ คนหนึ่งยอมทิ้งทุกอย่าง อีกคนอยากรักษามันเอาไว้

    • อัปเดตล่าสุด 28 เม.ย. 57


     

    2

    คนหนึ่งยอมทิ้งทุกอย่าง อีกคนอยากรักษามันเอาไว้

     

    ถ้าลูกไม่เลิกยุ่งกับเด็กคนนั้น แม่จะจัดการด้วยวิธีของแม่เอง แล้วอย่ามาหาว่าแม่ใจร้ายก็แล้วกัน

    ประโยคเด็ดขาดและชัดเจนของคนเป็นแม่ทำให้มินซอกตระหนักได้ว่าเขากำลังจะต้องประสบพบเจอกับปัญหาใหญ่ และเขาจะไม่เครียดมากมายขนาดนี้หากปัญหาที่ว่านั้นไม่ได้มีลู่หานรวมอยู่ในนั้นด้วย มินซอกนั่งคิดนอนคิดว่าควรจัดการเรื่องนี้อย่างไร แต่ยิ่งคิดเท่าไหร่ก็เจอแต่ทางตัน

    มินซอกเป็นแค่เด็กมัธยมปลายที่ยังต้องพึ่งพาเงินทองจากพ่อแม่ เขายังไม่อาจหาเงินเองได้ ดังนั้นความคิดที่ว่าจะพาลู่หานหนีไปจึงต้องพับเก็บไปอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าเขาทำแบบนั้น ไม่ใช่แค่เขาที่ลำบาก แต่ลู่หานก็จะลำบากตามไปด้วย มันเป็นความคิดชั่ววูบที่ผุดมาจากสมองของเขาก็เท่านั้น ลู่หานพบเจอกับความทุกข์ทรมานมามากพอแล้ว และเขาไม่ต้องการให้ลู่หานต้องลำบากไปมากกว่านี้

    “ผมควรทำยังไงครับคุณย่า” ได้แต่เอ่ยถามคนที่ไม่ได้มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้แล้ว

    มินซอกรู้ดีว่าเขาจะไม่มีวันได้คำตอบ เพราะคุณย่าไม่ได้อยู่ข้างกายเขาเหมือนตอนเด็กอีกแล้ว ไม่มีใครคอยช่วยแก้ปัญหา ไม่มีใครมาคอยใส่ใจว่าเขาต้องพบเจอปัญหาอะไรบ้าง เขาต้องจัดการมันตามลำพัง

     

    / / /

     

    ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา มินซอกยังคงไปหาลู่หานเหมือนอย่างทุกวัน ลู่หานซึมเศร้าและดูหงอยลงกว่าเดิมมาก ไม่ว่ามินซอกจะพร่ำขอโทษไปกี่ครั้ง ลู่หานก็จะแค่บอกกลับมาว่าไม่เป็นไรซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่มินซอกรู้ว่าในคำว่าไม่เป็นไรนั้นมันมีความเจ็บปวดแฝงอยู่มากมายเพียงไหน ดวงตาของลู่หานหม่นลง บ่อยครั้งที่มินซอกแอบเห็นน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ในดวงตากลมโตไร้แววนั้น และบ่อยครั้งที่เขาแอบได้ยินเสียงสะอื้นไห้เบาๆ ดังมาจากบ้านหลังเล็ก

    ลู่หานเป็นคนเข้มแข็ง แต่ต่อเข้มแข็งมากแค่ไหนมันก็ต้องมีขีดจำกัด ไม่มีใครหรอกที่จะทนกับปัญหามากมายที่รุมเร้าเข้ามาขนาดนี้ได้ ลู่หานต้องแบกรับความเจ็บปวดในการสูญเสียแม่ไป แบกรับความทรมานที่ต้องสูญเสียการมองเห็น แบกรับคำครหานินทาว่าร้ายถึงความพิกลพิการที่เขาไม่เคยคิดอยากจะเป็น ลู่หานต้องรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งหมดไว้

    เหตุการณ์ยังคงเป็นปกติ ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ จากคนเป็นแม่ที่ประกาศคำขู่ไว้ มันปกติเสียจนมินซอกกลัวว่าบางทีความเงียบสงบนี้อาจจะนำพาพายุลูกใหญ่มาโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว และก่อนที่จะทันได้ทำอะไรเขาอาจจะต้องสูญเสียลู่หานไปแล้วก็ได้

     

    มินซอกนั่งอยู่หน้าเปียโนหลังเดิมที่ใช้อยู่แทบทุกวัน วันนี้ไม่ได้มีชั่วโมงฝึกซ้อมกับลุงของเขา แต่วันนี้มินซอกพาลู่หานมาที่นี่แทน เขาอยากให้ลู่หานได้ฟังเพลงที่เขาเล่น ตอนแรกลู่หานคัดค้านไม่ยอมมาท่าเดียว ลู่หานคิดว่าตัวเองไม่ควรเหยียบย่างเข้ามายังเรือนใหญ่นี้ ที่ซึ่งมีไว้สำหรับคนสูงส่งเท่านั้น ไม่ใช่คนด้อยค่าอย่างลู่หาน แต่ความดื้อรั้นของมินซอกก็ทำให้ลู่หานยอมมาจนได้

    มินซอกเลือกเพลงแรกที่เขาหัดเล่นมาใช้ นิ้วเรียวบรรจงบรรเลงเพลงไปตามจังหวะและท่องทำนองที่แสนนุ่มนวลอ่อนหวาน ลู่หานนั่งอยู่ข้างๆ เขาบนเก้าอี้ยาวตัวเดียวกัน ซึมซับบทเพลงแสนหวานนี้ไว้

    ...ลู่หานยิ้ม

    ...มินซอกก็ยิ้ม

    นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มินซอกเล่นเปียโนด้วยความรู้สึกจริงๆ

     

    “อยากลองเล่นไหมลู่หาน” มินซอกถามขึ้นเมื่อจบเพลง

    “ฉันจะเล่นได้ยังไงล่ะ” แน่นอนว่าลู่หานเล่นเปียโนไม่เป็น เขาไม่มีทักษะหรือพรสวรรค์ด้านดนตรีอย่างมินซอก และที่สำคัญคือเขามองไม่เห็น คงยากที่จะเล่นได้

    “ได้สิ ลองดูนะ” แต่มินซอกกลับไม่คิดอย่างนั้น

    มินซอกจับมือของลู่หานวางบนเปียโนและวางมือตัวเองซ้อนทับลงไป นิ้วเรียวของมินซอกกดทับลงบนปลายนิ้วของลู่หาน เสียงเปียโนดังขึ้นที่ละโน้ตไล่ไปเรื่อยๆ มันออกจะทุลักทุเลอยู่พอสมควรแต่ลู่หานก็รู้สึกดีเพราะว่าอย่างน้อยเขาก็ได้จับได้สัมผัสในสิ่งที่มินซอกเป็น ได้ทำอะไรเหมือนที่มินซอกทำ ลู่หานรู้สึกว่าความหดหู่ใจก่อนหน้านี้เริ่มเลือนหายไปบ้างแล้ว... ทั้งคู่สนุกกับเปียโนสีเข้มอยู่นานก่อนที่มินซอกจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้

    “ลู่หาน อาทิตย์หน้าฉันมีแข่งเปียโนด้วยนะ”

    “จริงเหรอ มินซอกต้องชนะแน่เลย เล่นเก่งออกอย่างนี้”

    “แน่อยู่แล้วสิ ลู่หานอยากไปดูฉันแข่งไหม เดี่ยวฉันขอพ่อให้” มินซอกพูดขึ้นพรอมกับดวงตาที่ส่องประกาย

    “อย่าลำบากเลย ฉันรอยินดีอยู่ที่นี่ดีกว่านะ”

    “แต่ฉันอยากให้ไปนี่นา นะๆๆ” มือเรียวเล็กถูกส่งไปจับเข้าที่แขนแกร่งของลู่หาน ออกแรงเขย่าเบาๆ เป็นการอ้อนวอน ไม่เพียงแค่นั้น ลู่หานยังรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่อยู่ใกล้ใบหูเขาด้วย มินซอกยื่นหน้าเข้าไปใกล้ แผ่นอกบางใต้เสื้อเชิ้ตแนบชิดกับแขนของลู่หานพร้อมแรงเขย่าน้อยๆ มันทำให้ลู่หานรู้สึกแปลกอยู่ไม่น้อย

    แน่นอนว่าหากใช้วิธีอ้อนแบบนี้ เป็นใครก็คงต้านทานไม่ไหว..

    “ขอคุณท่านให้ก็แล้วกัน”

    มินซอกยิ้มกว้างทันทีที่ลู่หานตอบตกลง มันทำให้มินซอกรู้สึกอยากทำการแสดงในครั้งนี้ให้เต็มที่ที่สุด ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเฉยเมยกับมันเสียด้วยซ้ำไป เขาอยากแสดงด้านต่างๆ ของเขาให้ลู่หานได้รับรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

     

    มินซอกจับจูงลู่หานกลับเรือนเล็กหลังจากเวลาล่วงเลยจนท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี ตอนที่ออกมาจากห้องโถงใหญ่นั้นมินซอกพบว่ามีแม่บ้านคนหนึ่งซึ่งเป็นคนสนิทของแม่เขายืนอยู่ สายตาที่จ้องจับผิดถอดแบบเดียวกับมากับเจ้านายแทบไม่ผิดเพี้ยน มันให้มินซอกรู้สึกขนลุก ร่างเล็กรั้งลู่หานให้เดินผ่านไปอย่างเร่งรีบจนลู่หานเองนึกแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป ทั้งคู่เดินผ่านตัวบ้านหลังเล็กไปยังม้านั่งหลังบ้านตัวเดิม มินซอกกดไหล่คนสูงกว่าให้นั่งลงก่อนจะหย่อนก้นตามลงไปนั่งข้างๆ บ้าง เสียงลมพัดใบไม้ให้พลิ้วไหวดังแว่วมา

    ปกติมินซอกร่าเริง และมักจะสรรค์หาเรื่องมาคุยจ้อได้ไม่หยุด แต่ตอนนี้ลู่หานรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เขาได้ยินเสียงผ่อนลมหายใจยาวลอดมาจากคนข้างกายด้วย ลู่หานนั่งนิ่งอยู่ครู่ใหญ่จึงได้ตัดสินใจเอ่ยถามสิ่งที่คาใจออกมา

                “มินซอกเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไงเงียบจัง”

    “เปล่าหรอก”

    มินซอกปฏิเสธออกไป แต่ในใจนั้นกำลังว้าวุ่น ตอนที่ได้เห็นสายตาแม่บ้านคนนั้นมินซอกก็พาลนึกไปถึงคำพูดของคนเป็นแม่ ไม่แน่ว่าหลังจากนี้หลายๆ อย่างอาจจะถึงคราววิกฤติ มินซอกยังไม่พร้อมรับมือเลย ที่เขามั่นใจในตอนนี้คือความรักที่มีต่อลู่หาน แต่เขายังไม่เคยรู้ความรู้สึกของลู่หานเลย มินซอกอยากรู้เหลือเกินว่าคนที่เขารักนั้นรู้สึกเช่นเดียวกับเขาไหม เขาอยากได้ความชัดเจน

    ถ้าหากลู่หานคิดเช่นเดียวกับเขา ต่อให้เขาต้องเจอขวากหนามมากมายแค่ไหนเขาก็พร้อมจะฝ่าฟันไป

    แต่หากไม่... มินซอกก็คงต้องยอมปล่อยมือ เพื่อที่ลู่หานจะได้ไม่ต้องมีปัญหาใดๆ

    “ลู่หาน” เสียงนุ่มเอ่ยเรียกคนที่กำลังนั่งนิ่งอยู่ข้างกาย

    “หืม?”

    “ฉันรักลู่หาน..”

     

    มือเล็กจิกเกร็งอยู่บนขอบม้านั่ง มันเป็นการบอกรักที่ออกจะกะทันหันไปหน่อย แต่เขาอยากรู้ความรู้สึกของลู่หาน แต่ในเมื่อเขาเองก็ยังไม่เคยบอกความรู้สึกออกไปตรงๆ เลยนอกจากการแสดงออกผ่านทางการกระทำซึ่งเขาไม่รู้เลยว่าลู่หานจะรับรู้มันได้หรือไม่ มินซอกจึงตัดสินใจบอกความรู้สึกของตัวเองออกไปก่อน

    อยากรู้ใจเขา ก็ต้องเปิดใจเราก่อน เปิดให้เห็นทุกสิ่งในใจ...

    ลู่หานตะลึงงันไป ไม่มีถ้อยคำตอบรับหรือปฏิเสธใดๆ เขายังคงนิ่งอยู่อย่างนั้น รู้สึกว่ามือตัวเองเริ่มสั่นขึ้นมาเฉยๆ พยายามบีบนวดมือตัวเองเพื่อให้หยุดสั่นเทาแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล ประโยคสั้นๆ แต่ชัดถ้อยชัดคำนั้นทำให้ลู่หานรู้สึกราวกับฝันไป เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้ยินคำนี้จากมินซอก คนที่อยู่สูงอย่างมินซอกหลงรักคนที่แสนต่ำต้อยอย่างเขาอย่างนั้นหรือ?

    ลู่หานดีใจเหลือเกิน แต่มันเป็นความดีใจที่ปะปนมาด้วยความเศร้า..

    ถ้อยคำดูถูกเหยียดหยามจากคนอื่นๆ ดังก้องอยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมา ตอกย้ำให้ลู่หานยอมรับความจริงว่าเขากับมินซอกไม่มีทางที่จะเดินร่วมเส้นทางเดียวกันได้

    ลู่หานล่ะ รักฉันบ้างไหม?

    รักสิ..รักมาก ได้แต่ตอบในใจเท่านั้น ลู่หานไม่คู่ควรกับคำว่ารักของมินซอกเลย เขาต่ำต้อยเกินไป... ความเงียบปกคลุมอยู่ชั่วครู่ ลู่หานกลั้นใจตอบออกมา..มันเป็นคำตอบที่ตรงข้ามกับความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง

    “ฉันไม่เคยคิดอะไรแบบนั้นกับมินซอกเลย”

    ราวกับโดนค้อนเหล็กทุบลงบนหน้าอก มินซอกหลับตาลงอย่างนึกสมเพชตัวเอง

    “กำลังโกหกอยู่ใช่ไหม? เพราะเรื่องความเหมาะสมบ้าบอนั่นใช่ไหม? ลู่หาน”

    ลู่หานส่ายหน้าช้าๆ สองสามครั้ง เขาไม่ได้ปฏิเสธมันเลย มินซอกพูดถูกทุกอย่าง แต่เขาส่ายหน้าให้กับชีวิตตัวเอง ชีวิตที่ไม่มีอะไรเลย มันน่าเวทนาเหลือเกินที่แม้แต่ความรักก็ไม่อาจจะมีได้ ลู่หานคิดน้อยใจตัวเองจนกระทั่งได้ยินเสียงสะอื้นไห้จากคนข้างตัว

    มินซอกร้องไห้หรอ?มินซอกไม่ได้ตอบแต่เสียงสะอื้นที่ดังขึ้นกว่าเดิมเป็นคำตอบได้อย่างดี

    ลู่หานยกมือขึ้นค่อยๆ เลื่อนไปจนสัมผัสแก้มนุ่มของมินซอกด้วยความลังเล เขากอบกุมใบหน้ามินซอกไว้ด้วยมือทั้งสอง วาดนิ้วหัวแม่มือลงเพื่อซับหยาดน้ำตาบนใบหน้านวลเนียนนั้น เขาไม่อยากให้มินซอกร้องไห้ แม้ไม่ได้เห็นใบหน้าที่แสนเศร้าของมินซอกแต่เขาก็รู้ดี เขาสัมผัสได้ว่ามินซอกกำลังเสียใจมากเพียงใด เสียงสะอื้นที่ได้ยินราวกับเป็นใบมีดนับร้อยนับพันกรีดลงมาบนหัวใจของเขาจนมันเป็นแผลเหวอะหวะ และสัมผัสเปียกชื้นบนใบหน้านั้นก็ราวกับน้ำกรดที่กัดกร่อนหัวใจของเขา

    “ฉันรักลู่หานนะ และฉันก็ไม่สนด้วยว่าลู่หานมีหรือไม่มีอะไร ฉันสนแค่หัวใจของลู่หาน เพราะงั้นลืมเรื่องความไม่เหมาะสมไม่คู่ควรอะไรนั่นทิ้งไปเถอะ ขอแค่ให้ฉันได้อยู่ข้างๆ ลู่หานเหมือนอย่างทุกวันฉันก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว”

    มินซอกเว้นช่วงเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงก้อนอะไรบางอย่างที่ตีตื้นขึ้นมาอีกครั้ง เขาพยายามกลืนมันกลับลงไป เลื่อนมือไปคว้ามือหนาของลู่หานมาจับไว้ในขณะที่ลู่หานยังคงมองตรงไปข้างหน้า ความรู้สึกอบอุ่นถูกส่งผ่านถึงกัน อาจเพราะสูญเสียประสาทในการมองเห็นไปจึงทำให้ลู่หานสามารถรับรู้ทางการสัมผัสได้ชัดเจนขึ้นกว่าตอนที่ยังคงมองเห็น มันอบอุ่นจนเขาแทบลืมไปเลยว่านี่คือช่วงฤดูหนาว

    “ลู่หาน ฉันเชื่อนะว่าลู่หานก็รู้สึกแบบเดียวกันกับฉัน ลู่หานไม่จำเป็นต้องปิดกั้นตัวเอง”มินซอกพยายามเค้นคำพูดออกมา พยายามหว่านล้อมให้ลู่หานเปิดใจ เสียงสะอื้นดังเล็ดลอดออกมาไม่ขาด

    ลู่หานทนฟังไม่ได้อีกต่อไป เขายืดตัวขึ้นจุมพิตแผ่วเบาบนหน้าผากมนด้วยหวังว่าจะปลอบประโลมอีกคน ค่อยๆ ไล้ลงมาเรื่อยๆ ยังปลายจมูกได้รูป และสุดท้ายคือริมฝีปากอวบอิ่ม มันไม่ใช่จูบที่ดูดดื่มหรืออะไรทำนองนั้น ไม่มีการรุกล้ำใดๆ มันเป็นเพียงจูบอ่อนโยนที่ทำให้หัวใจของทั้งคู่เต้นผิดจังหวะ

    เสียงสะอื้นของมินซอกหยุดลง ทั้งคู่ผละออกจากกันอย่างอ้อยอิ่ง เป็นอีกครั้งที่ลู่หานรู้สึกเสียดายที่เขาไม่อาจมองเห็นใบหน้าที่คงจะแดงก่ำของมินซอกได้

    “รัก..เหมือนกันนะ”

     

    / / /

     

    พรุ่งนี้จะถึงวันแข่งขันเปียโนซึ่งเป็นงานระดับประเทศแล้ว หากชนะเลิศในครั้งนี้ก็จะมีสิทธิ์ได้ไปเข้าร่วมประกวดในระดับโลกอีกครั้งที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ถือเป็นเวทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของมินซอก ทั้งพ่อและแม่ต่างคาดหวังเอาไว้มากมาย มินซอกไม่รู้เลยว่าเขาจะทำได้ดีหรือไม่ เขาไม่มั่นใจสักเท่าไรนัก แต่เพียงแค่นึกขึ้นได้ว่าคนที่เขารักอย่างลู่หานจะไปร่วมชมการแสดงในครั้งนี้ด้วยแล้ว มินซอกก็มีกำลังใจขึ้นมากเลยทีเดียว

    ตั้งแต่วันที่มินซอกและลู่หานต่างได้รู้ความความรู้สึกของอีกฝ่าย มันทำให้ทั้งคู่มีความสุขเหลือเกิน แต่แน่นอนว่าในความสุขเหล่านั้นก็มีสิ่งอื่นปะปนมาด้วย

    สำหรับลู่หาน มันเป็นความสุขที่มาพร้อมกับคำว่า เป็นไปไม่ได้

    และสำหรับมินซอก มันคือความสุขที่มาพร้อมกับ ความหวาดระแวง

    มินซอกไม่รู้เลยว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับความสัมพันธ์ต้องห้ามนี้ ในเมื่อยังมีสายตาจ้องจับผิดของคนเป็นแม่เฝ้ามองอยู่ การที่เขาฝ่าฝืนคำสั่งมันทำให้ความหวาดระแวงก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่ได้ห่วงตัวเอง แต่เขาห่วงลู่หาน.. แต่ถึงแม้การตัดสินใจนี้อาจจะผิด แต่อย่างน้อยมินซอกก็ได้รับรู้ว่าลู่หานเองก็คิดเช่นเดียวกันกับเขา และเขาสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าต่อให้ต้องเจอปัญหามากมายมาขวางกั้น เขาก็จะต้องพาลู่หานฝ่าฟันไปให้ได้

    มินซอกพาร่างของตัวเองไปยังเรือนเล็ก อากาศในยามบ่ายวันนี้ถือว่าดีพอสมควร ไม่หนาวมากนักจึงไม่จำเป็นต้องสวมเสื้อผ้าหนาๆ มินซอกเดินมาจนถึงม้านั่งตัวเดิม แต่กลับไม่เจอร่างของอีกคนที่มักจะออกมานั่งรับบรรยากาศยามบ่ายเหมือนอย่างทุกวัน ในหัวของมินซอกตีกนวุ่นไปหมด เขากลัว...กลัวว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีกับลู่หาน กลัวว่าแม่ของเขาอาจจะลงมือทำอะไรสักอย่างแล้วก็ได้ มินซอกตัดสันใจเข้าไปในเรือนเล็ก มุ่งหน้าสู่ห้องนอนของลู่หานที่อยู่ริมฝั่งซ้ายของตัวบ้าน กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสเปรย์ปรับอากาศลอยเข้าจมูกมินซอก เป็นกลิ่นที่มินซอกชอบ

    ร่างเล็กๆ ของมินซอกเดินมาจนถึงบานประตูไม้สีขาวซึ่งด้านหลังบานประตูนี้คือที่ที่ลู่หานใช้นอนหลับในทุกค่ำคืน มือเล็กจับลูกบิดประตูบิดช้าๆ และออกแรงผลักเข้าไป ทันทีที่ประตูเปิดกว้างจนเห็นเตียงหนานุ่มที่มีร่างคุ้นเคยนอนพิงหัวเตียงอยู่ด้านบนปรากฏแก่สายตา มินซอกก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

    “มินซอกเหรอ?”

    อย่างทุกครั้งที่ลู่หานจะรู้เมื่อมินซอกเข้ามาใกล้ กลิ่นประจำตัวของมินซอกลอยเตะจมูกลู่หาน มันเป็นกลิ่นที่ไม่เหมือนใคร เพราะดวงตาไม่อาจจับภาพเพื่อแยกแยะว่าใครเป็นใครได้ ลู่หานจึงใช้วิธีการจดจำกลิ่นแทน แต่เอาจริงๆ แล้วคนที่เขาจำได้ก็มีแค่คนเดียวอยู่ดี นั่นก็คือมินซอก

    “ทำไมวันนี้ไม่ออกไปนั่งข้างนอกล่ะ อากาศดีนะ” เอ่ยถามตามที่ตนสงสัยในขณะที่เดินเข้าไปนั่งลงบนเตียงสีขาว

    “ก็รอให้มินซอกมาพาไปไง ไม่อยากออกไปนั่งเหงาคนเดียว” ใบหน้าได้รูปจุดยิ้มที่มุมปากยามเอ่ยตอบออกมา มินซอกเองเมื่อได้ฟังก็อดยิ้มตามไม่ได้ที่ลู่หานก็อ้อนเป็นกับเขาเหมือนกัน

    “งั้นออกไปกันเลยไหม”

    “อืม”

    มินซอกช่วยพยุงลู่หานลุกจากเตียงช้าๆ และพากันจับจูงมายังด้านนอกของบ้าน ม้านั่งสีซีดตัวเดิมถูกเขาทั้งคู่ใช้งานอีกครั้ง ก่อนที่มินซอกจะเริ่มพูดคุยถึงเรื่องราวต่างๆ ของวันนี้เช่นเดียวกับทุกวัน ร่างสองร่างทั้งยิ้ม ทั้งหัวเราะและสนุกไปด้วยกันจนกระทั่งฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี มินซอกไม่ลืมกำชับถึงงานประกวดเปียโนในวันพรุ่งนี้ว่าลู่หานต้องไปให้ได้

    “พรุ่งนี้ฉันจะรออยู่ที่งานนะ อย่าตื่นสายล่ะ ถ้าลู่หานไม่ไปเชียร์ ฉันต้องแพ้แน่ๆ”

    “อื้อ รู้แล้ว อย่าเว่อร์สิ มินซอกเก่งอยู่แล้ว” ลู่หานตอบไปแม้ในใจยังกังวลอยู่ว่าตัวเองจะคู่ควรที่จะเข้าไปยังสถานที่แห่งนั้นหรือไม่

    แน่นอนว่ามินซอกขออนุญาตคุณพ่อเรียบร้อยแล้วและตอนสายของวันพรุ่งนี้จะมีคนมารับลู่หานไปยังสถานที่จัดงาน มินซอกเตรียมการทุกอย่างไว้หมดแล้วรวมถึงชุดสูททันสมัยก็ถูกจัดเตรียมไว้ให้ลู่หานเป็นที่เรียบร้อย มินซอกย้ำกับลู่หานอีกครั้งเพื่อให้คลายกังวล

     

    มินซอก.. ฉันว่าเราควรหยุดเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน มินซอกคิดอยู่ตลอดว่าสักวันถ้อยคำเหล่านี้จะต้องหลุดออกมาจากปากลู่หานอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่คิดว่าจะเร็วถึงเพียงนี้ ในเมื่อเขาทั้งคู่เพิ่งได้รู้ความรู้สึกที่แท้จริงของอีกฝ่าย แล้วทำไมถึงต้องพยายามที่จะหยุดและแยกห่างกันไปด้วย

    “อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลยนะ”

    “แต่มินซอก ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่คู่ควรที่จะให้นายลดตัวลงมาเกลือกกลั้วด้วยเลยนะ ฉันไม่มีอะไรเลย แม้แต่จะดูแลมินซอกฉันยังทำไมได้เลย”

    “ไม่จำเป็นหรอก บอกแล้วไงว่าที่ฉันต้องการก็คือหัวใจของลู่หานเท่านั้น อย่าไปสนใจเรื่องอื่นเลยนะ”

    “แต่ฉันก็รู้สึกไม่ดี รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะทำให้มินซอกตกต่ำ”

    “ฉันไม่ได้สูงส่งเลยลู่หาน ฉันยินดีจะทิ้งทุกอย่างที่มีเพื่อลู่หาน ขอเพียงแค่ลู่หานยอมอยู่กับฉันนะ ฉันทำได้ทุกอย่างจริงๆ นะ เพราะฉันอยากอยู่กับลู่หานที่สุด ลู่หานคือความสุขของฉันนะ รู้ไหม?”

    “ไม่!! อย่าพูดแบบนั้นนะ มินซอกไม่จำเป็นต้องเสียสละเพื่อฉันขนาดนั้นหรอก ฉันต่างหากที่ควรทำอะไรเพื่อมินซอกบ้าง”

     

    มินซอกยิ้มโดยที่ไม่รู้ถึงความหมายแอบแฝงของลู่หานเลย เขาแค่ดีใจที่ลู่หานพยายามทำเพื่อเขา แค่พยายามเขาก็ดีใจเกินพอแล้ว มินซอกกดจูบแผ่วเบาและรวดเร็วลงบนกลีบปากของลู่หานก่อนจะลุกหนีไปพร้อมกับใบหน้าที่แดงระเรื่อ

    “บาย พรุ่งนี้ฉันจะรอนะ ลู่หาน” ลู่หานพยักหน้ารับ ยกมือขึ้นจับที่ริมฝีปากที่ยังคงรู้สึกอุ่นอยู่ เขายิ้มอย่างสมเพชตัวเอง

     

    “อาจไม่มีพรุ่งนี้สำหรับเราแล้วก็ได้นะมินซอก

    พรุ่งนี้จะมีแค่วันของมินซอก...ที่ไม่มีฉัน”

     

    / / /

     

    เช้าวันถัดมามินซอกในชุดสูทสีเข้มเตรียมพร้อมสำหรับการประกวดเปียโน เขายืนอยู่ด้านหลังเวทีหรูหราของหอประชุมแห่งใหญ่ในโซล แม้จะบอกว่าเตรียมพร้อมมาดีแล้วแต่ก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้ มินซอกแอบออกมามองหาลู่หานทั่วทั้งหอประชุมแต่กลับไม่พบแม้แต่เงา มือเล็กหยิบโทรศัพท์มือถือราคาแพงออกมากดโทรหาคนขับรถที่เขามอบหมายให้พาลู่หานมาที่นี่ แต่ปลายสายไม่รับ มินซอกกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก เวลาที่กระชั้นชิดเข้ามายก็ยิ่งทำให้เขาประสาทเสีย

    ทำไมป่านนี้แล้วลู่หานยังไม่มานะ?

    ตัดสินใจโทรเข้าเบอร์บ้านแต่หลังจากได้พูดคุยกับแม่บ้านเป็นที่เรียบร้อยก็พบว่าลู่หานนั้นออกเดินทางมาครู่ใหญ่แล้ว แต่ทำไมล่ะ? ทำไมเขาถึงหาตัวลู่หานไม่เจอ.. ทีมงานของกองประกวดเดินออกมาตามมินซอกให้กลับเข้าไปเตรียมตัวด้านหลังเพราะใกล้ถึงเวลาขึ้นแสดงแล้ว เขาจำใจต้องเดินตามกลับไปอย่างเสียไม่ได้ทั้งที่ในใจนั้นว้าวุ่นเกินกว่าที่จะรวบรวมสติแล้ว

    กระทั่งถึงคิวการเสดงของเขาแล้วก็ยังไม่พบตัวลู่หาน มินซอกเดินขึ้นเวทีไปด้วยใจไม่สู้ดีนัก โน้ตเพลงที่เคยคิดว่าจำได้แม่นยำตอนนี้มันกลับตีรวนวุ่นวายไปหมด มินซอกนั่งลงบนเก้าอี้ด้านหน้าเปียโน ชั่วครู่ทีมงานก็ส่งสัญญาณให้เขาเริ่มการแสดงได้ แต่มินซอกกลับไม่เริ่ม สายตาของเขาสอดส่องไปทั่วทั้งหอประชุม เขาเห็นพ่อกับแม่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งที่ดีที่สุดที่จะมองเห็นบนเวทีได้ชัดเจน แต่เขาไม่เห็นลู่หาน

    เสียงพูดคุยดังอื้ออึงทั่วหอประชุมเมื่อเขายังไม่เริ่มทำการแสดงเสียที แต่มินซอกไม่ได้ใส่ใจเลยเพราะตอนนี้สิ่งสำคัญกับเขาที่สุดก็คือลู่หาน มินซอกไล่สายตาไปทั่วอีกครั้งและหยุดลงที่ดวงตาดุจเหยี่ยวของผู้เป็นแม่ แววตานั้นราวกับมีอะไรบางอย่างแอบแฝงอยู่ และมินซอกรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องดี

    เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าสิ่งที่แม่ของเขาเคยได้ประกาศกร้าวไว้นั้น บัดนี้มันเกิดขึ้นแล้ว บางที่ตอนนี้ลู่หานอาจจะลำบากอยู่ก็เป็นได้ มินซอกส่งสายตาตัดพ้อไปยังคนเป็นแม่ก่อนจะลุกขึ้นเดินลงจากเวทีอย่างรวดรวดท่ามกลางเสียงเรียกของทีมงานและเสียงอื้ออึงที่ดังไม่ขาดสายของผู้ชมในหอประชุม แต่มินซอกหาได้สนใจ ทันทีที่เดินออกมาถึงหน้าหอประชุมเขาก็รีบเรียกแท็กซี่และขึ้นรถโดยไว เป้าหมายคือบ้านของเขา

    “ขอให้ไม่เป็นอะไรนะลู่หาน”

    มินซอกภาวนาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เอ่ยปากเร่งคนขับรถแท็กซี่ให้ขับเร็วกว่าเดิมหลายต่อหลายครั้งจนกระทั่งมาถึงบ้าน มินซอกไม่รอช้าก้าวขารัวๆ ไปยังเรือนเล็กด้านหลัง

    และเขาก็พบว่าคำขอของเขาไม่เป็นผล.. 

       

    ลู่หานไม่ได้อยู่ที่บ้าน ไม่ว่าจะตรงส่วนไหนของบ้าน

    มินซอกพยายามที่จะคิดว่าบางทีตอนนี้ลู่หานอาจจะกำลังเดินทางไปหอประชุม บางทีรถอาจจะติด หรือบางทีเขาอาจจะตาไม่ดีเองก็เลยมองไม่เห็นลู่หาน ลู่หานอาจจะนั่งอยู่ตรงไหนสักที่ในหอประชุมนั้นก็ได้ แต่ความคิดทุกอย่างก็พังทลายลง เขาเจอคนขับรถซึ่งเขามอบหมายให้พาลู่หานไปที่งาน

    คนขับรถคนนั้นยังอยู่ที่นี่...มินซอกปรี่เข้าไปคาดคั้นหาคำตอบ เขาพบว่าเขาต้องผิดหวัง

     

    มีคนเคยบอกว่าความสุขมักจะอยู่กับเราได้ไม่นาน.. และมินซอกเพิ่งตระหนักได้ว่าคำว่า ไม่นานที่ว่านั้น มันสั้นเกินไปจนน่าใจหาย

    ลู่หานถูกพาตัวยังที่ที่หนึ่งซึ่งเขาไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน และไม่ว่าจะพยายามถามหาจุดหมายของที่แห่งนั้นเท่าไหร่ ชายที่ถูกแม่ของเขาสั่งการก็ไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมาเลย...เสียงเครื่องยนต์จากรถราคาแพงดังเข้ามาจากด้านหน้าตัวบ้าน พ่อแม่ของเขาเดินลงมาจากรถด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธจัด

    “แกทำพ่อแม่แกขายหน้านะมินซอก” เสียงของหญิงสูงวัยผู้เป็นแม่ของเขาเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นหน้าเขา แต่มินซอกไม่สนใจ

    “แม่ทำอะไรกับลู่หาน ลู่หานไปไหน?”

    “แม่เตือนแล้ว แต่ใครกันล่ะที่ไม่สนใจฟัง”

    “บอกผม บอกมาว่าลู่หานอยู่ไหน” มินซอกยังคงคาดคั้นในขณะที่พ่อของเขาเดินลงจากรถและเข้าบ้านไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ แต่การไม่พูดอะไรเลยนี่แหละคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของคิมจุนซู

    “แกทำให้พ่อของแกโดนชาวบ้านเขานินทาว่าลูกชายทำตัวไม่เหมาะสม แหกหน้าพ่อของเขากลางงานแบบนั้น แกคิดว่ามันสมควรแล้วหรือ คิมมินซอก”

    “ผมไม่สนหรอก แม่ต่างหากที่ผิด ทำไมต้องมายุ่งกับลู่หานครับ ทำไม?”

    “แกรู้ดีอยู่แล้ว ว่ามันไม่คู่ควรกับแก”

    “ความคู่ควรอะไรนั่นมันสำคัญมากเหรอครับ เงินทอง ยศถาบรรดาศักดิ์มันไม่ได้ทำให้ผมมีความสุขเลย ผมไม่เคยต้องการมันเลย พ่อกับแม่ก็คิดแค่เรื่องนั้น เคยสนใจความต้องการของผมจริงๆ ไหม เคยคิดไหมว่าผมมีความสุขหรือเปล่า พ่อกับแม่สนใจแค่เรื่องตัวเองเท่านั้นแหละ”

    มินซอกระเบิดอารมณ์ที่อัดอั้นมานานออกมา หยดน้ำใสคลอหน่วยบนดวงตาคมก่อนที่มันจะไหลลงมาตามแรงโน้มถ่วง มินซอกไม่คิดสนใจที่จะเช็ดมันออก ได้แต่ปล่อยให้มันไหลรินออกมาอยู่อย่างนั้น หวังให้มันชำระความเจ็บปวดของตัวเองออกไปบ้างแม้เพียงน้อยนิดก็ยังดี

    “แม่รู้หรือเปล่าครับ ว่าแม่ทำให้ชีวิตของผมน่าเบื่อแค่ไหน ผมลืมไปแล้วความความสุขเป็นยังไงจนกระทั่งได้เจอลู่หาน”

    “...”

    “แม่ไม่เคยให้ความสุขผมได้เหมือนกับที่ลู่หานมอบให้ผม แล้วตอนนี้แม่กำลังจะพรากความสุขไปจากผมอีก!!

    มินซอกทรุดเข่าลงร้องไห้อยู่บนสนามหญ้าหน้าบ้านหลังใหญ่ที่แสนโดดเดี่ยว คนเป็นแม่ยืนมองอยู่อย่างนั้นโดยไม่สนใจจะเข้ามากอดปลอบ ไม่แม้แต่จะเอ่ยคำใดออกมาให้ลูกชายได้รู้สึกดี ไม่มีใครคิดจะทำเลยด้วยซ้ำ บ้านนี้ทั้งบ้านเหมือนมีเขาอยู่เพียงลำพัง

    บ้านที่ไม่มีลู่หาน...

    ไม่มีความรักของเขาอยู่อีกต่อไปแล้ว...

     

    มินซอกนั่งร้องไห้อยู่นานจนผ่านไปราวชั่วโมงกว่า ร่างเล็กตัดสินลุกขึ้น เขามุ่งหน้าไปยังห้องนอนของคนรักของตนที่เรือนเล็ก ใบหน้ายังคงมีคราบน้ำตาแห้งกรังอยู่ มินซอกเปิดประตูเข้าไปทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงหนานุ่มที่ลู่หานเคยใช้นอนทุกวัน มินซอกกอดหมอนสีขาวใบโตไว้แน่น ซึมซับความอบอุ่นและกลิ่นหอมที่ยังคงติดอยู่ไว้ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นลุกขึ้นยืนมองรอบๆ ห้องนอนเล็กๆ นี้ มินซอกพาตัวเองออกจากห้องเมื่อซึมซับความรู้สึกจนพอใจ ม้านั่งสีซีดเป็นจุดหมายต่อไปของเขา

    มินซอกลูบไล้บนขอบพนักพิงของม้านั่งเก่าๆ ตัวเดิม มันเป็นที่แห่งความทรงจำของเขา ที่ที่เขากับลู่หานอยู่ด้วยกันทุกวัน ร่างเล็กนั่งลงแต่ไม่ใช่ฝั่งเดิม เขานั่งลงตรงฝั่งที่เป็นที่ประจำของลู่หาน หลับตาและลูบไล้ม้านั่งตัวเดิมช้าๆ เขาอยากซึมซับความรู้สึกของลู่หานยามที่มองไม่เห็น มันเหน็บหนาวอย่างน่าประหลาด... มินซอกรู้สึกถึงรอยบางอย่างบนพื้นพนักพิง เขาลืมตาและพบว่ามันเป็นรอยที่ขีดไว้ด้วยอะไรสักอย่าง

    ตัวหนังสือไม่กี่ตัวทับซ้อนอยู่บนนั้น มันโดนขีดทับไปมาจนออกจะอ่านยากไปเสียหน่อย แต่ยังพอจับใจความได้

    มันเป็นคำว่า...

    ขอโทษ

    มินซอกรู้ได้ในเดี๋ยวนั้นเองว่า...

    การจากไปของลู่หานในครั้งนี้ บางทีแล้วอาจเป็นความต้องการของลู่หานเองด้วย..








     

     - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

    ตอนต่อไป..

     

     

    คนหนึ่งขอเพียงได้เคียงข้างกัน อีกคนคิดว่าแค่นั้นคงไม่พอ



    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
     

     

    คุยกับแซนแฟนมินซอกสักเล็กน้อย
    แอร้ กว่าจะได้กลับมาปั่นต่อ โฮกฮากกกกกกกก
    คืออยากให้มันดราม่ากว่านี้แต่มันไม่ม่าว่ะ ทำไงดีอ่ะ 
    555

    เวิ่นในทวิตก็ติดแท็ก #ficGONE เอานะ จ๊วบ!! ทวิตเรา @salynnxan
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×