ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    exo | cries : angst story of lumin (SF)

    ลำดับตอนที่ #1 : GONE 01__ คนหนึ่งสมบูรณ์แบบ อีกคนไม่มีอะไรเลย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 747
      1
      28 เม.ย. 57

     

    1

    คนหนึ่งสมบูรณ์แบบ อีกคนไม่มีอะไรเลย

     

    บ่ายวันเสาร์ในปลายเดือนตุลาคม มินซอกกำลังพรมนิ้วเรียวของตนลงบนเปียโนหลังใหญ่ในห้องโถงของบ้านสไตล์คลาสสิกแถบชานเมือง อันที่จริงมันออกจะใหญ่โตเกินกว่าจะเรียกว่าบ้านเสียด้วยซ้ำ มือเรียวยังคงเคลื่อนไหวไปตามจังหวะของเพลงแม้ว่าจะไม่ได้มีอารมณ์ร่วมไปกับมันเลยก็ตาม

    เขาเคยหลงใหลเปียโนมาก ไม่สิ เขารักมันเลยต่างหาก มินซอกในวัยเด็กมักจะขลุกตัวอยู่กับเปียโนไม้สีขาวหลังเก่าที่ได้รับจากคุณย่าของเขา หญิงสูงวัยกับใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มคอยพร่ำสอนเปียโนให้มินซอกตัวน้อยอย่างใจเย็น มินซอกมีความสุขกับช่วงเวลาเหล่านั้น เขาจำได้ดีถึงบทเพลงต่างๆ ที่ผู้เป็นย่าของเขาเสนอมาให้ลองหัดเล่น ทุกเพลงล้วนไพเราะจับใจ

    หลานมีพรสวรรค์ทางด้านนี้จริงๆ คนเก่งของย่า

    เสียงแหบพร่าตามแบบฉบับคนสูงวัยมักจะเอื้อนเอ่ยออกมาเสมอในยามที่เขาหัดเล่นเพลงใหม่ได้สำเร็จ มินซอกรู้ตัวดีว่าที่เขาทำได้ดีนั้นเป็นเพราะคุณย่าของเขาที่เป็นเหมือนแรงบันดาลใจ เป็นกำลังใจ และอะไรอีกหลายๆ อย่างที่เขาได้รับจากผู้เป็นย่าบ่มเพาะให้เขาเป็นคนอ่อนโยนและอบอุ่นเช่นเดียวกันกับคุณย่าของเขา

    ทุกปีมินซอกจะได้รับคำชื่นชมมากมายในวันคริสต์มาสซึ่งรวมบรรดาญาติพี่น้องมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน เป็นเทศกาลเดียวของปีที่ครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้ากัน เขามีความสุขที่ทุกคนชื่นชอบเปียโนของเขา ชื่นชอบบทเพลงที่เขาได้บรรเลง

    แต่เมื่อมินซอกอายุได้ 9 ขวบ คุณย่าของเขาก็จากไปยังที่ที่เขาไม่อาจตามไปได้..

    หลังจากนั้นมินซอกก็ตระหนักได้ว่าความโดดเดี่ยวเป็นเช่นไร ไม่มีการจัดงานคริสต์มาสที่บ้านอีก ไม่มีการรวมญาติ ราวกับว่าที่นี่ไม่มีใครให้บรรดาญาติพี่น้องของเขามาหา ไม่มีคุณย่าที่เป็นเหมือนจุดศูนย์รวมของครอบครัว ทุกคนห่างเหินกันไปจนมินซอกแทบจำหน้าลูกพี่ลูกน้องของเขาเองไม่ได้เสียด้วยซ้ำ ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหลังจากนั้น

    ไม่มีอีกแล้วรอยยิ้มของเขา ไม่มีอีกนับตั้งแต่วันที่คุณย่าจากไป

     

    เขายังคงเล่นเปียโนอยู่ แต่ไม่ใช่เปียโนสีขาวหลังเดิมอีกแล้ว เพราะไม่นานหลังจากคุณย่าเสียไป เปียโนสีขาวที่อยู่กับเขามานานหลายปีก็ถูกยกออกไปและถูกแทนที่ด้วยเปียโนไม้สีเข้มที่เขาไม่คุ้นตา มินซอกโวยวายร้องไห้ในตอนที่พ่อของเขาพยายามจะยกเปียโนของคุณย่าไป แต่เขาไม่อาจสู้พ่อของเขาได้ พ่อของเขาไม่อยากเสียใจในทุกครั้งที่มองเห็นเปียโนสีขาวเก่าๆ พ่อบอกว่ามันทำให้พ่อรู้สึกแย่

    แล้วเขาจะทำอะไรได้..

    แม้จะไม่มีเปียโนหลังเก่าแต่เขาก็ยังต้องเล่นเปียโนต่อไป มินซอกในตอนนี้เป็นถึงนักเปียโนระดับมัธยมปลายชื่อดัง ผ่านการประกวดแข่งขันมานับไม่ถ้วน ล้วนแต่ได้รางวัลติดไม้ติดมือกลับมาแทบทุกครั้ง มันทำให้เขามีหน้ามีตาในสังคมมากขึ้น และดูเหมือนพ่อของเขาจะพอใจกับสิ่งนี้มาก เพราะมันทำให้พ่อที่เป็นนักการเมืองชื่อดังของเกาหลีมีเรื่องราวของลูกชายไปเล่าอวดคนอื่นๆ ได้

    เปียโนกลายเป็นสิ่งน่าเบื่อตั้งแต่นั้นมา..

    เดิมทีมินซอกเล่นเปียโนเพราะรักและสนุกกับมัน ไม่จำเป็นต้องดีเลิศ ไม่จำเป็นต้องทำเพื่อโอ้อวดใคร แต่ตอนนี้เขาแค่ต้องเล่นทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้สึกพอใจเลย การถูกบังคับเคี่ยวเข็ญให้ต้องทำ กับการยินยอมพร้อมใจที่จะทำ มันให้ความรู้สึกที่แต่งต่างกันมาก และแน่นอนว่าคงไม่มีใครที่ไหนอยากถูกบังคับ รวมถึงตัวเขาเองด้วย

    “เธอเล่นเพี้ยนอีกแล้ว ตั้งใจหน่อย” เสียงทุ้มของชายวัยรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อเอ่ยตำหนิเมื่อเขามัวแต่คิดถึงอดีตจนเผลอเล่นผิดจังหวะ

    มินซอกไม่ได้ตอบอะไร เขาเพียงแค่พยักหน้ารับรู้ให้กับครูสอนดนตรีของเขาและเริ่มต้นเล่นเพลงเดิมใหม่อีกครั้ง เสียงเปียโนรื่นหูดังขึ้นในแบบที่ดีกว่าครั้งแรกขึ้นมานิดหน่อย มินซอกพยายามดึงความสนใจของตัวเองให้กลับมาที่เปียโนหลังใหญ่นี้

    แต่ความสนใจของเขาก็ถูกดึงไปอีกครั้งเมื่อชายหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสีน้ำตาลอ่อนเดินผ่านบานหน้าต่างห้องโถงสีขาวบานใหญ่ไป ใบหน้าเรียบเฉย แววตาที่นิ่งสนิท และย่างก้าวที่เชื่องช้านั้นทำให้มินซอกต้องมองตามอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ เสียงเพลงที่บรรเลงอยู่สะดุดลงชั่วอึดใจ ก่อนที่เสียงทุบหลังเปียโนจะดังขึ้นโดยฝีมือของครูสอนดนตรีที่มีศักดิ์เป็นถึงลุงแท้ๆ ของเขาเอง

     

     

    / / /

     

     

     

    หลังจากชั่วโมงการฝึกซ้อมเปียโนสิ้นสุดลงพร้อมคำตำหนิติเตียนจากลุงของเขา มินซอกก็รีบกระโจนออกจากห้องโถงมุ่งหน้าไปยังเรือนหลังเล็กซึ่งอยู่ถัดจากเรือนใหญ่ที่เขาอยู่ออกไปเล็กน้อย เขาก้าวยาวๆ และเร็วจนเกือบจะเรียกว่าวิ่งได้อยู่แล้ว ก่อนจะค่อยๆ ช้าลงเมื่อถึงตัวบ้านหลังเล็ก เขาเดินเลียบไปทางด้านข้างของบ้านและหยุดลงตรงมุมกำแพงอิฐสีส้มที่ชวนให้นึกถึงฤดูใบไม้ร่วง โผล่หน้าออกมาช้าๆ สายตาสอดส่องไปยังม้านั่งสีน้ำตาลเก่าๆ ที่ตอนนี้เริ่มซีดจางลงตามกาลเวลา

    คนที่มินซอกกำลังมองหานั่งอยู่ตรงนั้น.. ไม่รอช้า มินซอกก้าวเท้าอย่างเงียบเชียบออกมาจากมุมกำแพงอิฐนั้น ยกมือขึ้นหวังจะสัมผัสบางเบาที่ไหล่ขวาของอีกคน แต่..

    “มินซอก..” คนๆ นี้รู้ตัวก่อนเสมอ

    “นั่งตรงนี้ไม่หนาวหรือไง ลู่หาน”

    ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากเล็กสวยนั้น แต่อีกคนเลือกที่จะส่ายหน้าเบาๆ แทนคำตอบ มินซอกครางในลำคอว่ารับรู้แล้ว ดวงตาคมกวาดมองใบหน้าเรียบเฉยของลู่หานก่อนจะจุดยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยเมื่อลู่หานยื่นมือมาสัมผัสแขนเสื้อลายขวางสีขาวสลับน้ำเงินของเขาอย่างเก้ๆ กังๆ

    “มินซอกล่ะ ไม่หนาวหรือไงใส่เสื้อบางแบบนี้” เอ่ยถามกลับมาเมื่อสัมผัสได้ว่าอีกคนสวมเสื้อบางมากแค่ไหน ถึงจะเป็นเสื้อแขนยาวก็ตามที

    “ไม่หนาวหรอก แค่ได้อยู่ใกล้ลู่หานฉันก็อุ่นแล้ว”

    มินซอกนึกขันตัวเองที่พูดประโยคเสี่ยวๆ ออกไปแล้วก็ต้องแอบยิ้มอย่างเขินอายอยู่อย่างนั้น เขาสังเกตเห็นว่าลู่หานก็กำลังยกยิ้มน้อยๆ อยู่เหมือนกัน และนั่นยิ่งทำให้มินซอกเขินยิ่งขึ้นไปอีก

    “พูดเองเขินเองอยู่หรือเปล่า”

    “เปล่าเสียหน่อย ฉันไม่ได้เขินอะไรเลยนะ”

    “แต่ฉันรู้สึกได้นะ... ถึงจะไม่มองไม่เห็นก็เถอะ

    พูดมาถึงตรงนี้แล้วต่างคนก็ต่างเงียบ ใช่.. เรื่องน่าเศร้ามันอยู่ที่ตรงนี้

    ลู่หานไร้ความสามารถในการรับรู้ทางสายตา หรือเรียกสั้นๆ ว่า ตาบอดนั่นเอง เขาไม่ได้ตาบอดมาตั้งแต่กำเนิด แต่มันเป็นเพราะอุบัติเหตุที่คิมจุนซูผู้เป็นพ่อของมินซอกก่อขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ.. ในวันที่ฝนตกหนักทำให้วิสัยทัศน์ในการมองเห็นแทบติดลบ คิมจุนซูฝืนขับรถทั้งๆ ที่รู้ว่าอากาศแย่แค่ไหนเขาก็ไม่สนใจ จนกระทั่งรถของเขาเสียหลักตกไหล่ทาง ตรงนั้นอยู่ในแถบชานเมืองที่มีรถแล่นผ่านน้อยมาก ลู่หานกับแม่เป็นหนึ่งในนั้น ทั้งคู่ขับรถผ่านมาเจอเข้า แม่ของลู่หานตัดสินใจพ่วงรถของเธอเข้ากับรถของคนแปลกหน้าที่กำลังลำบากและบังเอิญผ่านมาพบ เธอเร่งเครื่องยนต์เพื่อดึงให้รถคันหรูสีดำขลับนั้นกลับเข้าสู่ถนนได้ แต่ด้วยสภาพพื้นถนนที่ไม่เป็นใจ รถของเธอกลับเป็นฝ่ายเสียหลักลื่นไถล กันชนด้านหน้าหลุดออกไปอย่างรวดเร็ว และก่อนที่จะทันได้ตั้งตัว รถเก่าๆ ที่เปื้อนโคลนก็กระแทกเข้ากับราวกั้นถนนและตกลงบนผาลาดชันอีกฝั่งของถนนแทน

    แม้หน้าผานั้นไม่ได้สูงชันมากนักแต่ก็ทำให้รถทั้งคันยับเยินได้เลยทีเดียว เหตุการณ์นั้นทำให้ลู่หานเสียแม่ซึ่งเป็นครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวไป เขาไม่เหลือใครอีกแล้ว.. ลู่หานรอดตายมาได้ แต่เศษกระจกที่กระเด็นเข้าสู่ดวงตาทั้งคู่ในเหตุการณ์นั้นทำให้เขาสูญเสียการมองเห็นไปอย่างสิ้นเชิง

    ด้วยความรู้สึกผิด คิมจุนซูจึงรับลู่หานมาเลี้ยงดู

     

    ลู่หานเคยคิดอยากตายตามแม่ของเขาไปซะ เพราะเขาไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่หนำซ้ำยังต้องมาพิการมองไม่เห็นอีก ทุกอย่างในชีวิตของเขาเปลี่ยนไป เขารู้สึกแย่ เขาคิดฆ่าตัวตาย แต่พอนึกถึงภาพที่แม่ของเขาพยายามช่วยเขาออกจากซากรถเก่าๆ ที่บิดเบี้ยวผิดรูปนั้นอย่างสุดความสามารถโดยไม่สนใจตัวเอง นึกถึงคำพูดที่บอกให้เขาเข้มแข็งและมีชีวิตต่อไปให้ได้แล้ว เขาก็ทำไมได้ ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ต้องยอมรับมัน และใช้ชีวิตต่อไปในสภาพร่างกายนี้ของเขา

    ลู่หานลืมไปแล้วว่าแสงสว่างเจิดจ้ามากแค่ไหน และมันสดใสเพียงใด

    ลู่หานไม่มีอะไรเลย เขาย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ของตระกูลคิมพร้อมกับกระเป๋าใบไม่ใหญ่นักที่มีเสื้อผ้าถูกยัดแน่นไว้ เขาสัมผัสได้จากความรู้สึกว่าที่นี่ไม่เหมาะกับเขาเอาเสียเลย ผู้คนที่นี่ต่างเพียบพร้อม บ้านหลังใหญ่โตนี้ก็ทำให้เขายิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาตัวเอง เขาไม่เคยมีและไม่มีวันที่จะมีได้อย่างนี้ เขาไม่เคยสมบูรณ์พร้อม เรื่องนั้นยังพอทน แต่ที่น่าเศร้าคือในตอนนี้.. แม้แต่ร่างกายของเขาเองก็ยังไม่ครบสามสิบสอง

    ชีวิตหลังจากสูญเสียการมองเห็นทำให้ลู่หานทรมาน เขาไม่สามารถที่จะทำอะไรก็ตามที่เขาเคยทำได้อย่างง่ายดายเหมือนปกติ ทุกอย่างดูยากเย็นไปเสียหมด เขามักจะแอบร้องไห้เงียบๆ อยู่บนม้านั่งเก่าๆ ที่เขารู้ได้จากการสัมผัส ลู่หานไม่เคยรู้ว่าที่แห่งนี้สวยงามมากน้อยแค่ไหน ไม่รู้ว่าม้านั่งที่ตัวเองนั่งอยู่บ่อยๆ ในยามบ่ายเป็นสีอะไร ไม่รู้ว่าใบไม้ที่ถูกพัดพามาร่วงหล่นลงบนศีรษะของเขานั้นมาจากทิศทางไหน

    แม่ครับ ผมคิดถึงแม่

    เป็นถ้อยคำที่ลู่หานมักจะเอื้อนเอ่ยออกมาเมื่อยามที่รู้สึกเหงา โลกที่เคยแต่งแต้มไปด้วยสีสันหลากหลาย บัดนี้เขาไม่อาจรับรู้ได้ เขารู้สึกได้แค่เพียงความมืดและเหน็บหนาวเท่านั้น มันทำให้เขายิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้นเป็นเท่าตัว

    จนกระทั่งวันที่มินซอกก้าวเข้ามา..

     

    ลู่หานยังจำได้ดีถึงครั้งแรกที่เขาได้พบมินซอก ตรงม้านั่งเก่าๆ ตัวเดิม ม้านั่งเก่าๆ หลังบ้าน สายลมพัดแผ่วนำพากลิ่นกายที่หอมหวานของใครบางคนมา ก่อนที่ม้านั่งที่ลู่หานถือวิสาสะคิดว่ามันเป็นสมบัติของเขาคนเดียวจะถูกใครอีกคนยึดครองพื้นที่ไปครึ่งหนึ่ง.. หลังจากนั้นมาลู่หานก็จะได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของมินซอกอยู่ข้างๆ เสมอ ลู่หานรู้สึกว่าตัวเองไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป โลกสีดำมืดของเขามีสีสันขึ้นมา ไม่ใช่จากที่มองเห็นด้วยตาแต่มันมาจากหัวใจ

    ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันนั้น มินซอกจะเป็นฝ่ายพูดและลู่หานเป็นฝ่ายรับฟังเสียเป็นส่วนใหญ่ เรื่องตลกที่มินซอกแต่งขึ้นมาเองเรียกเสียงหัวเราะจากลู่หานได้เสมอ มินซอกร่าเริง คุยเก่ง และจิตใจดี สิ่งเหล่านี้ทำให้ลู่หานเผลอใจเต้นอยู่บ่อยครั้ง

     

    “วันนี้เป็นยังไงบ้าง” ลู่หานถามขึ้นหลังจากปล่อยให้ความเงียบที่น่าอึดอัดปกคลุมอยู่นานหลายนาที

    “วันนี้เหรอ? วันนี้ฉันใส่เสื้อยืดแขนยาวสีน้ำเงินสลับขาวล่ะ กางเกงผ้าสเลคสีกรมท่าแล้วก็รองเท้าหนังสีเข้ม นี่ๆ วันนี้ฉันทำผมตั้งด้วยนะ ส่วนลู่หานใส่เสื้อไหมพรมสีน้ำเงินเข้ม กางเกงยีนซีดๆ รองเท้าผ้าใบสีดำ อ๊ะ เชือกรองเท้าหลุดด้วย” มินซอกเคลื่อนตัวลงจากม้านั่งยื่นมือเล็กออกไปจับปลายเชือกรองเท้าที่หลุดอยู่เพื่อผูกมันให้ดีอย่างไม่นึกรังเกียจ

    “ทำอะไรน่ะ” ลู่หานที่เพิ่งรู้ตัวรีบดึงเท้ากลับในทันที มันไม่สมควรเลยที่คนอย่างมินซอกจะต้องมาผูกเชือกรองเท้าให้เขา แต่มินซอกดื้อรั้น มือคู่เดิมยงคงเลื่อนตามรองเท้าผ้าใบสีดำนั้นไป

    “แค่ผูกเชือกเองนะ ไม่เป็นไรเลย ฉันไม่รังเกียจหรอก คิดดูสิว่าถ้าลู่หานเดินๆ อยู่แล้วสะดุดหกล้มขึ้นมามันคงแย่แน่ๆ”

    “อือ ขอบใจนะมินซอก แต่คราวหลังแค่บอกก็พอ ฉันผูกเองได้นะรู้ไหม”

    “อื้อ ก็ได้ คราวหลังจะบอกให้ลู่หานผูกเองก็แล้วกันนะ นี่ๆ มาต่อกันดีกว่า มีนกสองตัวกำลังจู๋จี๋กันอยู่บนต้นสนทางขวามือล่ะ ฉันไม่รู้หรอกว่ามันเป็นนกอะไรแต่มันตัวเล็กๆ น่ารักดีนะ ลู่หานได้ยินเสียงมันใช่ไหม” ลู่หานพยักหน้าตอบเมื่อได้ยินเสียงนกสองตัวดังสอดประสานกัน

    ทุกวันมินซอกจะถ่ายทอดสิ่งที่เขาเห็นออกมาเป็นคำพูด บรรยายสิ่งต่างๆ ให้ลู่หานได้รับรู้ มินซอกอยากให้ลู่หานสัมผัสถึงสิ่งต่างๆ รอบตัวได้เหมือนอย่างที่เขารับรู้.. โลกของมินซอกที่เคยน่าเบื่อ มีแต่กฎระเบียบที่ขีดคั่นให้เขาอยู่ในกรอบมีอะไรที่น่าสนใจมากขึ้น

    มินซอกไม่ได้ออกจากกรอบ แต่ลู่หานต่างหากที่เข้ามาอยู่ในกรอบเดียวกับเขา

    ในบ้านหลังใหญ่ที่แสนเงียบเหงานี้..มินซอกยิ้มได้อีกครั้ง

     

    “แล้วก็นะ วันนี้ท้องฟ้าสดใสมากเลย มีก้อนเมฆรูปแอปเปิลด้วยล่ะ เอ๊ะ หรือว่ารูปหัวใจนะ” มินซอกแหงนมองก้อนเมฆเพื่อพิจารณาว่ามันละม้ายคล้ายคลึงกับอะไรมากกว่ากัน เสียงลู่หานหัวเราะออกมาเล็กน้อย มินซอกยู่หน้าก่อนจะยกมือเล็กขึ้นตีหน้าขาอีกคนเบาๆ

    “ขำอะไรเล่า”

    “เปล่านี่” ลู่หานปฏิเสธ

    “เปล่าอะไรล่ะ ก็เห็นอยู่ว่าลู่หานแอบหัวเราะ”

    “ถ้าแอบแล้วมินซอกจะเห็นได้ยังไง”

    “ไม่ต้องมาเล่นลิ้นเลยนะ บอกมาเดี๋ยวนี้”

    “ก็ได้ๆ ฉันยอมแล้ว” ลู่หานยกมือยอมแพ้เมื่อน้ำเสียงของอีกคนเริ่มเปลี่ยน เขากลัวมินซอกจะโวยวายไปมากกว่านี้

    “ฉันแค่กำลังนึกถึงหน้ามินซอกตอนกำลังวิเคราะห์ก้อนเมฆน่ะ”

    “ไม่เคยเห็นหน้าฉัน จะนึกภาพออกได้ยังไง”

    สาบานได้ว่ามินซอกไม่ได้ตั้งใจจะพูดประโยคที่ทำให้ลู่หานเจ็บปวดนี้เลย..

    ลู่หานรู้ดีว่าเขาไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของมินซอกได้เลย ไม่อาจเห็นว่ามินซอกดูดีหรือน่ารักแค่ไหน ไม่อาจเห็นว่ารอยยิ้มของมินซอกสดใสมากเพียงใด ไม่อาจเห็นมองเห็นอะไรเลยราวกับตอกย้ำให้เขารู้ตัวว่าตัวเองก็เป็นเพียงแค่คนพิการ

    เขาไม่คู่ควรกับมินซอกเลยแม้แต่น้อย..

    จากที่ได้รับรู้มา มินซอกเพียบพร้อมทุกอย่าง ทั้งรูปร่างหน้าตา ฐานะ การศึกษา พรสวรรค์ ความสามารถ มารยาททางสังคม ในขณะที่เขาเป็นเพียงคนจนๆ เป็นแค่คนพิการที่อาศัยใบบุญจากคนอื่นเป็นที่พึ่งพิง ลู่หานรู้ดีเสมอว่าเขาไม่อาจเคียงคู่มินซอกได้...แต่เขาก็รู้ดีเช่นกันว่าเขาตกหลุมรักผู้ชายต่างชนชั้นคนนี้ไปแล้ว..ผู้ชายที่ไม่เคยคิดรังเกียจเขา

    รัก..อย่างถอนตัวไม่ขึ้น

    รัก..ทั้งที่รู้ว่าเป็นเพียงหวังลมๆ แล้งๆ

     

    “ขอโทษ”

    “ช่างมันเถอะ ฉันไม่เป็นไร มินซอกควรกลับไปเรือนใหญ่ได้แล้วนะ” ลู่หานเหม่อมองไปข้างหน้า ไม่สิ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันต่างกันกับตอนไม่เหม่อยังไง ในเมื่อสายตาเขาไม่อาจรับรู้อะไรได้เลย ดวงตากลมโตของเขาเพียงแค่ค้างนิ่งอยู่อย่างนั้น มันดูราวกับเหม่อลอยอยู่เสมอ

    “แต่ว่า..”

    “กลับไปเถอะ..นะ”

    มินซอกลุกขึ้นอย่างเชื่องช้าและอ้อยอิ่ง เขารู้สึกผิดที่ทำให้ลู่หานกลับมาซึมเศร้าอีกครั้ง แต่ในเมื่อลู่หานต้องการที่จะอยู่คนเดียว มินซอกก็ต้องจำใจลุกออกไปอย่างเสียไม่ได้..

    ลู่หาน ฉันขอโทษ

     

    มินซอกก่นด่าตัวเองในใจตลอดทางที่เดินกลับสู่เรือนใหญ่ มือเล็กยกขึ้นตบปากตัวเองหลายครั้ง เพียงแค่นึกถึงภาพใบหน้าที่หงอยลงไปถนัดตาของลู่หานก็ทำให้มินซอกแทบใจสลาย เขาเผลอทำร้ายจิตใจลู่หานไปอีกแล้ว

    “คุณมินซอกคะ คุณหญิงเรียกพบที่ห้องเธอค่ะ” แม่บ้านคนหนึ่งเดินเข้ามาส่งสารและจากไปอย่างนอบน้อม

    มินซอกเดินขึ้นบันไดไม้สีเข้มไปยังชั้นสอง เลี้ยวซ้ายตรงสุดทางเดินก่อนจะผลักบ้านประตูเข้าไป ผู้เป็นแม่ยืนพิงขอบหน้าต่างสีขาวบานใหญ่ที่ยาวลงจนถึงพื้น ใบหน้าได้รูปปรากฏริ้วรอยบ้างตามวัยแต่ก็ยังคงเห็นได้ชัดถึงความงดงามบนใบหน้านั้น มินซอกหยุดยืนห่างออกไปราวสองเมตร ก้มหัวลงทักทาย

    “แม่เรียกพบผม มีอะไรหรือครับ”

    ดวงตาคมผละจากนอกหน้าต่างและหันมามองลูกชายของตน สีหน้าเคร่งเครียดบ่งบอกได้ดีว่าเรื่องที่เรียกมินซอกเข้าพบคงไม่ใช่เรื่องธรรมดาทั่วไปอย่างพวกดินฟ้าอากาศ หรือการเรียกมาทักทายตามประสาแม่ลูก มินซอกรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย เขาไม่สนิทกับแม่เอาเสียเลย ยิ่งเห็นสายตาที่หรี่มองมาราวกับจ้องจับผิดยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่ดี

    “เลิกยุ่งกับเด็กตาบอดนั่นซะ”

    “...แม่ครับ”

    “เขาไม่คู่ควรที่จะมาคบหาสมาคมกับลูก”

    มินซอกรู้สึกราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนไปเสียดื้อๆ วันที่เขาหวาดกลัวมาถึงแล้ว...มินซอกรู้ดีทุกอย่างถึงความต่างชั้นที่หลายคนเฝ้าย้ำ แต่เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนต่างชั้นถึงคบหากันไม่ได้ ในเมื่อเรื่องเหล่านี้มันอยู่ที่หัวใจ ไม่ใช่รูปลักษณ์หรือสิ่งของภายนอก มินซอกตกหลุมรักลู่หานตั้งแต่แรกเจอ และมินซอกมั่นใจว่าลู่หานเข้ากันได้ดีกับเขา

    ไม่จำเป็นต้องสนเรื่องเงินทองหรือยศถาบรรดาศักดิ์

    ไม่จำเป็นต้องสนเรื่องความเพียบพร้อมหรือสมบูรณ์แบบ

    ไม่จำเป็นเลย... เพราะเพียงแค่เขาทั้งคู่ยอมรับในกันและกันได้ ไม่ว่ามันจะเลวร้ายสักเพียงไหน แค่นี้อะไรๆ มันก็ควรจะจบลงด้วยดีไม่ใช่หรือ?

    “ผมทำไม่ได้” มินซอกตอบเสียงแข็ง เขายอมให้พ่อแม่ขีดเส้นชีวิตของเขามามากพอแล้ว แต่เรื่องนี้เขาจะขอเป็นคนกำหนดมันด้วยตัวของเขาเอง

    “เพราะผมรักลู่หาน”






     - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

    ตอนต่อไป..

    คนหนึ่งยอมทิ้งทุกอย่าง อีกคนอยากรักษามันเอาไว้


    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
     

     

    คุยกับแซนแฟนมินซอกสักเล็กน้อย

    แรงบันดาลใจมาจากไหนคงไม่ต้องบอกนะ 555
    เรื่องนี้วางไว้สามตอนจบนะ ตอนแรกดูไม่ค่อยมีอะไรไปนิด ตอนหน้าดราม่ามาเต็มกว่านี้ค่ะ 555
    เม้นกันเข้ามาเยอะๆ โหวตกันเข้ามาแยะๆ นะ เคร้?
    แต่ถ้าใครอยากเวิ่นในทวิตก็ติดแท็ก 
    #ficGONE เอานะ จ๊วบ!! ทวิตเรา @salynnxan

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×