คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 1 in LSK :: ผู้พิทักษ์คนที่หนึ่ง
Chapter 1 in LSK :: ผู้พิทักษ์คนที่หนึ่ง
วิหารเทพอัศวิน
ร่างของหัวหน้าเทพอัศวินผู้สง่างามเดินทอดน่องสง่างามเมื่อกลับมาจากการเฝ้าพระราชาหมูตอนที่แสนจะน่ารักน่าตบ รอยยิ้มพิมพ์ใจฉายอยู่บนใบหน้าอ่อนวัยแลดูสง่างามและน่ายกย่อง…
หางตาปรายมองรอบกายเล็กน้อยเพื่อส่องสาวๆ อย่างแนบเนียน…ตอนนี้เขาอยากจะกลับห้องอันแสนสุขจะแย่แล้ว!
…แต่คิดจริงๆ หรือว่าคนอย่างเกรเซียส ครีอุสจะโชคดี…
ตูม!! เสียงระเบิดดังลั่นสนั่นหวั่นไหวทำเอาคนเกือบโดนทับบี้แบนเป็นปลาหมึกแผ่นอย่างครีอุสก้าวขาไม่ออกเลย …เมื่ออยู่ๆ เพดานบนหัวมันดันทลายลงมาเนี่ยสิ
“บาดเจ็บไหมขอรับ ท่านหัวหน้า!” อาเดร์วิ่งเข้ามาหาเขาก่อนตะโกนถามด้วยความตื่นตระหนก…ตรงตระหนก…ตรงหน้าของพวกเขามีซากเพดานกองอยู่นอกจากนั้นยังตลบไปด้วยฝุ่นอีกด้วย
“อะ อะไรน่า?!” สมาชิกหน่วยเทพครีอุสนามเอ็ดเอ่ยออกมาอย่างไม่ไว้ใจเมื่อมองเห็นบางสื่งที่อยู่ใจกลางซากขนาดใหญ่ หน่วยเทพอัศวินครีอุสชักดาบออกมาเพื่อป้องกันหากนั่นเป็นอมนุษย์…หากแต่สิ่งนั้นกลับไม่ใช่อมนุษย์…
…แต่เป็นร่างที่หมดสติของเด็กหนุ่มผมสีทองสว่าง…
.
.
.
.
“เด็กนี่คือเด็กที่หล่นลงมาจากฟ้า?” เทพอัศวินเทมเพสเอ่ยถามก่อนวางผ้าขนหนูเปียกลงบนหน้าผากมนของเด็กหนุ่มที่ยังคงหลับไหล …หนังหนาจริงวุ้ยเพดานทลายลงมาแต่กลับไม่มีแผลหรือบาดเจ็บเลยสักนิด
“ใช่แล้วละ … นอกจากนี้ข้ายังสัมผัสได้ถึงพลังมืดจางๆ จากตัวเขาด้วย” หนึ่งในแมลงสาป…หมายถึงคนที่ตีเท่าไหร่ไม่ตายอย่างครีอุสเอ่ยออกมาให้สั้นและห่างไกลจากเทพพระเจ้าแห่งแสงสว่างมากที่สุด และด้วยคำพูดนั้นทำให้เทพอัศวินเคเรสที่อยู่ข้างกายขมวดคิ้ว “หมายความว่าเขาอาจเป็นคนของวิหารแห่งความมืด”
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ…เราคงต้องเรียกประชุมกันแล้วละ” …เสียงถกเถียงกันไกลออกไปและเสียงปิดประตูเองก็เงียบหายไปได้พักหนึ่ง ดวงเนตรสีเลือดก็เปิดขึ้น!
อย่างแรกที่เด็กหนุ่มผมสีทองสว่างทำหลังจากการเปิดลูกตากลมๆ สีแดงขึ้นมาได้คือการส่องกระจกชะโงกดูเงาตัวเองอย่างตกตะลึง เขาจับๆ ลูบๆ ขยี้เรือนผมของตนเองก่อนไล่ลงไปจับใบหน้าที่เหมือนกับคาแรคเตอร์ประจำตัวที่คิดขึ้นเองอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
นี่มันเกิดอะไรขึ้นฟะ???!
‘ในที่สุดท่านก็ได้ยินเสียงของข้า นายท่าน’ เสียงที่ดังจากในสมองเรียกให้ต้องชะงักวูบ …เสียงนั้นเหมือนกับเสียงตอนที่เขาปวดหัวแทบระเปิด… “นาย นายเป็นใคร?”
‘ข้าเป็นภูติหนังสือประจำกายของท่าน มีชื่อว่า อเล็กซิท ขอรับ’
“อเล็กซิท? ภูติหนังสือ?” สมองเหมือนถูกคนด้วยทัพพี ความสับสนมึนงงกับความมั่วส่วนตนมันผสมปนเปกันจนบ้าไปแล้ว
‘ข้ามีเรื่องคุยกับท่านขอรับ’
“เดี๋ยวเลย … ก่อนอื่นฉันขอถามว่า นายอยู่ไหนฟะ?” เขาเอ่ยออกไปอย่างเซ็งจิต … เขาอยู่ตรงนี้ มันอยู่ไหนฟะ?
‘ท่านพูดอะไรน่ะขอรับ ข้าก็ข้างกายท่านมาตั้งนานแล้วนะขอรับ?’
หะ?
เขามองซ้ายมองขวาเงยหน้ามองเพดานก้มมองลงพื้นยันห้อยหัวก้นชี้ฟ้าเพื่อหาอีกฝ่าย! สุดท้ายก็ไม่เห็นใครอยู่ดี
“ถ้าจะกวนช่วยดูคนหน่อยได้ไหม? ฉันไม่ว่างมาเล่นกับนายนะเฮ้ย”
…ถ้ามันไม่บ้าเขาก็ตาบอดละวะงานนี้
แต่แล้วเสียงละเหี่ยใจก็ดังขึ้น ‘ข้ายังไม่มีร่าง ท่านมองเห็นข้าก็แปลกแล้วขอรับ’
…เฮ้ย…?
“นายเป็นผีเรอะ!!!?” นี่ตูคุยกับผีเรอะ!!?
‘บ้าเหรอขอรับ! ข้าเป็นภูติหนังสือนะขอรับ ไม่ใช่วิญญาณ!’ฟังแล้วเป็นงงๆ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง เห็นบ้าๆ แบบนี้เขาก็กลัวผีนะเฮ้ย!
‘แต่ท่านจะเห็นข้าได้ขอรับ ขอเพียงท่านฟังเรื่องที่ข้าจะพูดต่อไปนี้’ เขาว่าถ้าผีหมดห่วงก็จะไป เพราะงั้นถ้าทำให้ไอ้พี่บ้าที่คุยกับเขาอยู่นี่หมดห่วงได้เขาก็จะฟังละวะ!
“ว่ามาสิ”
‘สมเป็นนายท่านเลยขอรับ!’ ถึงผีจะชมแต่ก็ไม่ได้ดีใจหรอกนะเฮ้ย แล้วที่ว่าสมเป็นตูนี่ยังไง?
‘ก่อนอื่นเลย… ข้าจะเล่าที่มาที่ไปนะขอรับ เรื่องมันมีอยู่ว่ามนุษย์อย่างพวกท่านจะมีภูติหนังสืออย่างพวกข้าเลือกไปพักพิงอยู่เพื่อดูดซับพลังชีวิตจากจินตนาการของพวกท่านขอรับ ยิ่งผู้เป็นนายมีพลังในการจินตนาการมากเพียงใด ภูติหนังสือจะยิ่งแข็งแกร่งขอรับ’ พอฟังถึงตรงนี้ขนเจ้ากรรมก็ดันลุกเกลียวขึ้นมาทันที…มิน่าเขาถึงรู้สึกว่าเหมือนโดนตัวอะไรตามตลอด “นี่นายมาสิงฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ฟะ?”
‘ตั้งแต่ที่ท่านเริ่มเขียนนิยายตอนป.4นั่นละขอรับ’
ตั้งแต่ตอนนั้นเลยเรอะ?!
‘ช่วงเวลา 7 ปีที่ข้าอยู่กับท่าน ในหัวของท่านเต็มไปด้วยจินตนาการจนข้าไม่รู้เลยว่าจะเลือกดูดซับจากตรงไหนก่อนดี ไม่ว่าจะช่วงเวลาตื่นหรือความฝัน’ อ้าก!!! หมายความว่าไอ้บ้านี่มันรู้เรื่องในหัวเขาหมดเลยน่ะสิ! ‘แม้ว่าจะมีในตอนที่เข้าวัดจะมีความคิดอัปมงคลบ้างแต่นั่นก็เป็นจินตนาการที่สุดยอดขอรับ’
กรี๊ซซซซ!!! เลิกเผาได้แล้ว เลิกเผาเขาได้แล้ว!!!
“หุบปากนะ อเล็กซิท!” ทนอายต่อไปไม่ไหวจนต้องตะโกนห้าม ทำเอาผู้ที่กำลังเคลิ้มกับการพล่ามชะงักวูบ ‘ขอ ขออภัยขอรับ นายท่าน’
“เรื่องนั้นไม่ต้องพูดได้ไหม? ข้ามประเด็นบ้างก็ได้นะขอละ” …อายเป็นนะเฟ้ย ‘ได้ขอรับ พวกเราภูติหนังสือจะต่างแสวงหาผู้เป็นนายที่เหมาะสมกับการดูดซับพลังงานให้ตรงกับคณสมบัติของตนเอง เพื่อที่จะส่งพลังของตัวเองไปปกป้องโลกแห่งจินตนาการขอรับ’ เสียงที่ดูเศร้าลงทำให้เด็กหนุ่มใจไม่ดีเลย ‘ภูติหนังสือนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 จำพวกขอรับ นั่นคือภูติสีแซปไฟร์และภูติสีทองขอรับ…ภูติสีแซปไฟร์นั้นเกิดจากจินตนาการอันแรงกล้าของมนุษย์ขอรับ พวกข้ามีชีวิตอยู่ได้และอยู่เพื่อมนุษย์ขอรับ … อีกขณะหนึ่งภูติสีทองเกิดจากความชิงชังอันแรงกล้าขอรับ’
“ความชิงชัง?”
‘ขอรับ…ข้าคิดว่าท่านคงรู้จักพวกที่แอนตี้เรื่องราวของจินตนาการใช่ไหมขอรับ? ภูติสีทองเกิดจากคนพวกนั้นขอรับ’ เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “นายหมายถึงพวกแอนตี้โอตาคุ?”
‘ประมาณนั้นขอรับ’ …อ่า อันนี้เขาพอรู้เลยละ …ข้อความพวกนั้นเขาสัมผัสความมืดมัวของอะไรบางอย่างได้เลย ‘นอกจากนั้นแล้วภูติหนังสือสีทองยังแตกต่างจากภูติสีแซปไฟร์ตรงที่พวกเขาจะขอยืมพลังจากมนุษย์แล้วฆ่าทิ้งเมื่อหมดประโยชน์ขอรับ … หรือไม่ก็เปลี่ยนมนุษย์เป็นภูติหนังสือ’
“เฮ้ย? แบบนั้นมันผิดไม่ใช่เหรอ?” มันผิดปกติเกินไปแล้ว
‘ขอรับ พวกเขาต้องการลบเรื่องราวในโลกจินตนาการ และข้ามไปโลกมนุษย์เพื่อให้โลกทั้งสองมีเพียงภูติหนังสือขอรับ’
ใบหน้าของเด็กหนุ่มซีดเผือดไปถนัดตา ทั้งที่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือฝันแต่มันกลับทำให้เขาขนลุกขึ้นมา “กำลังอำเล่นใช่ไหม? เป็นไปไม่ได้หรอกนี่เป็นความฝันแน่นอน!” ว่าจบก็รีบลุกขึ้นจากเตียงพยายามตั้งสติให้ตัวเองตื่น…แต่ก็ไม่สำเร็จ
‘มันไม่ใช่ความฝัน … ตัวท่านก็มิใช่หรือขอรับ?’
ในหัวของเด็กหนุ่มโหวงไปหมด มือไม้สั่นอย่างหวาดผวา “ถ้า ถ้าไม่ใช่ความฝันก็หมายความว่า เรื่องที่นายเล่ามามันจะเกิดขึ้นจริง”
‘ใช่ขอรับ …แต่บัดนี้ภูติประจำเรื่องได้เลือกท่านแล้ว ท่านมีคุณสมบัติพอที่จะแก้ไขเรื่องราวทั้งหมด…’ เสียงนั้นอยู่ใกล้หูของเขามากขึ้น พร้อมกับสัมผัสของผิวเนื้อผ้าที่เกิดจากการใช้แขนโอบรอบคอของเด็กหนุ่ม
“ขอได้โปรดตัดสินใจ นายข้า… ข้าพร้อมเป็นพลังให้แก่ท่าน”
เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นว่ามีแขนของใครบางคนโอบรอบคอของเขาอยู่ และเมื่อหันไปมองใบหน้าที่อยู่ใกล้จนผมของอีกฝ่ายเขาให้เขารู้สึกจักจี้ก็ทำให้เขาตกตะลึง…ร่างสูงโปร่งที่สวมชุดดูคล่องแคล่วและประดับด้วยเกราะเล็กน้อยเพื่อสามารถป้องกันตนเองจากของมีคมได้ แต่สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มตกกตะลึงได้มากที่สุดคือใบหน้าและเรือนผมแสกของอีกฝ่ายต่างหาก… ซึ่งนั่นเขามั่นใจว่าจำไม่ผิดแน่ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร … เขาเป็นตัวละครที่เด็กหนุ่มชื่นชอบมากที่สุดตั้งแต่แรกเห็นใน Sengoku Basara เป็นตัวละครใหม่ในภาค 4 ที่เพิ่งออกมาใหม่ให้เขาเสียเงินเล่น…
“ชิ…ชิมะ ซาคอน”
“ไม่ใช่หรอกขอรับ…ข้าอเล็กซิทเองขอรับ ข้าเลือกใช้ร่างนี้จากสมองของท่านโดยตรงขอรับ” ใบหน้ายิ้มแย้มชวนกำเดาพุ่งห่างออกไปจากเขา ก่อนที่ร่างนั้นจะมาชันเข่าตรงหน้า
“หากท่านต้องการหลีกหนีไปข้าจะพาท่านกลับ …แต่หากท่านต้องการสู้ไปพร้อมกันก็ขอจงเอ่ยนามของตนออกมาเพื่อทำสัญญาเป็นนายอย่างแท้จริงขอรับ…” ดวงเนตรคู่นั้นปิดลงพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่นเพื่อรอคำตอบที่อาจกลับมาทำร้ายตัวเอง…หากคนๆ นี้ปฏิเสธเขาตัวเขาคงได้สลายไปแน่ เพราะมนุษย์ที่มีคลื่นพลังตรงกับเขาตอนนี้มีเพียงเด็กคนนี้เท่านั้น… แต่เขาจะไม่บอกออกไปเพื่อเป็นการบังคับอย่างแน่นอน…
“ชื่อ…นามแฝงในการเขียนนิยายได้ไหม? มันดูดีกว่ากันเยอะเลย” …แล้วคำตอบที่ได้จากเด็กหนุ่มก็ทำเอาร่างที่ชันเข่าอยู่หลุดยิ้มออกมาอย่างดีใจ
…สมกับเป็นคนที่เขาเฝ้ามองมาตลอด7ปี
“ตามประสงค์ของท่านเลย นายท่าน”
“อย่าตามใจให้มากนัก ฉันยิ่งนิสัยเสียอยู่ด้วย”
“รู้อยู่แล้วละขอรับ”
ร่างเรือนผมสีทองจ้องมองผสานกับภูติหนังสือของตนเองก่อนเอ่ยออกมา
“จากนี้ไปนายกับฉันจะสู้ร่วมกัน แม้มันจะเป็นเพียงฝันร้ายก็ตาม”
“ท่านมิได้ฝันไปหรอกขอรับ มันคือความจริงที่ท่านอยู่ตรงหน้าข้าเวลานี้ นายท่าน”
มือขวาของเด็กหนุ่มถูกจับโดยมือที่สวมเกราะแขนของภูติหนังสือประจำกาย เพื่อวางหลังมือของผู้เป็นนายลงบนหน้าผากของตนเอง
“ได้โปรดขานนามของท่านเพื่อผูกมัดคำสาบาน”
“เฟเซเนีย รีเซ็ท”
เกิดแสงสว่างสีฟ้าขึ้นที่มือขวาของเด็กหนุ่มซึ่งสัมผัสกับหน้าผากมนของภูติหนังสือหนุ่ม ปรากฏรอยสักดาวหกแฉกขึ้นหลังมือของเขาพร้อมกับบนหน้าผากของอเล็กซิท …การทำพิธีสาบานถือว่าสัมฤทธิ์ผลแล้ว…
“จากนี้เป็นต้นไปข้า อเล็กซิท ภูติแห่งการลงทัณฑ์จะเป็นภูติรับใช้ท่านเพียงผู้เดียว”
“นายข้า…เฟเซเนีย รีเซ็ท”
TBC.
เริ่มไม่มั่นใจว่านี่มันพิธีสาบานภูติหรือการขอแต่งงาน =__=*** #อึนแปบ สำหรับการีครั้งนี้เนื้อเรื่องแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิงนะครับ ใครที่อ่านมันแรกไปจะมาเจอภาคที่ได้รับการกรองจากสมอง(ที่ไม่สมประกอบ)ใหม่อีกครั้งครับ เลยอยากบอกว่าอันแรกอะลืมๆ มันไปเถอะครับ ;___; ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ แล้วก็ถ้าสนใจร่วมสนุกก็สมัครตัวละครได้เลยนะครับ
ความคิดเห็น