[WFCONTEST]Orazio Train รถไฟข้ามมิติ - [WFCONTEST]Orazio Train รถไฟข้ามมิติ นิยาย [WFCONTEST]Orazio Train รถไฟข้ามมิติ : Dek-D.com - Writer

    [WFCONTEST]Orazio Train รถไฟข้ามมิติ

    หากว่าคุณมีสิ่งหนึ่งที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลง แต่มันไม่สามารถเป็นจริงได้ แต่ถ้ามันมีบางอย่างที่จะทำให้ความปรารถณาคุณเป็นจริงคุณกล้าที่จะจ่ายค่าตอบแทนไหม

    ผู้เข้าชมรวม

    103

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    103

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  แฟนตาซี
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  12 ม.ค. 58 / 00:22 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    หากว่าคุณมีสิ่งหนึ่งที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลง

    แต่มันไม่สามารถเป็นจริงได้

    แต่ถ้ามันมีบางอย่างที่จะทำให้ความปรารถณาคุณเป็นจริง

    คุณกล้าที่จะจ่ายค่าตอบแทนไหม

    ถ้ากล้าคุณก็ลองขึ้นมาเลย

    ที่รถไฟแห่งนี้ Orazio Train
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      คุณเชื่อหรือไม่ว่าจักรวาลแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงโลกใบนี้เพียงใบเดียวเท่านั้น โลกมนุษย์ ปีศาจ เทพ ภูต หรือจะเป็นโลกแห่งกาลเวลา อดีต อนาคต ปัจจุบัน งั้นถ้าอยากจะเดินทางไปโลกต่างๆล่ะ คุณเคยได้ยินเรื่องนี้ไหม รถไฟเดินทางข้ามมิติ รถไฟที่สามารถเดินทางไปได้ทุกที่ รถไฟที่สามรถท่องเวลาไปในโลกแห่งอดีตหรืออนาคตได้ แต่คุณกล้าพอไหม กล้าพอที่จะจ่ายค่าตอบแทนที่เท่าเทียมกับสิ่งที่คุณปรารถนาแต่ไม่มีวันเป็นจริงกับการได้ขึ้นรถไฟครั้งนี้ไหมล่ะ
      “อะไรล่ะนั่น” เด็กหนุ่มคนหนึ่งผมสีทอง นัยน์ตาสีฟ้า หน้าตาติดหวานเล็กน้อยถามขึ้นอย่างเบื่อหน่าย
      “อะไรกันนายไม่รู้จักหรอ กาเซส” เด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งหันไปหาเพื่อนของตนที่ชื่อกาเซส
      “เรื่องนี้เป็นตำนานประจำเมืองเลยนะเว๊ย”
      “ไอ้เรื่องรถไฟข้ามมิติเนี่ยนะ...ประสาท”เด็กหนุ่มอีกคนที่มีเรือนผมสีเขียวอ่อน นัยน์ตาสีทองอ่อนๆหันไปมองเพื่อนตนอย่างเอือมๆ
      “อย่ามาดูถูกตำนานนะโว๊ย! เฟรดิก”เด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งซึ่งมีผมและตาสีน้ำตาลแดงหันโวยใส่ เจ้าเพื่อนหัวเขียวตัวดี
      “นายนี่ชอบเรื่องพวกนี้จังนะอีเกิล”เด็กสาวคนเดียวเพียงในกลุ่มเอ่ยขึ้น“แล้วนายคิดยังไงล่ะ คาร์ลวิส”
      “ก็ไม่มีอะไรนี่ฟีน่า”เด็กหนุ่มที่ชื่อคาร์ลวิสเอ่ยขึ้นตอบ “แต่มันก็น่าลองดูนะ ถ้ามีจริงน่ะ”
      “แม้แต่นายก็เชื่อหรอ”กาเซสเบิกตากว้างเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าคนที่ได้ฉายาก้อนน้ำแข็งอย่างคาร์ลวิสจะสนใจ คาร์ลวิสนั้นมีผมสีดำ นัยน์ตาสีดำสนิท หน้าตาจัดว่าค่อนข้างหล่อ แต่ติดตรงที่เจ้าตัวไม่ค่อยจะยิ้มเลยทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อนซักเท่าไหร่
      “ลองดูก็ไม่เสียหายนี่ แถมมันยังมีวิธีบอกด้วย”พูดจบก็ยื่นโทรศัพท์ให้เพื่อนๆดู อีเกิลรับโทรศัพท์มาแล้วอ่านออกเสียงทันที“ถ้าหากอยากจะเรียกรถไฟข้ามมิติ ต้องไปที่แม่น้ำแล้วนำกระจกส่องไปที่พระจันทร์และต้องเป็นพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น....อืม...ก็ดูง่ายดีนี่ ลองกันไหม?”อีเกิลหันไปถามพวกเพื่อนๆของตน
      “ฉันแล้วแต่พวกนาย”ฟีน่าเอ่ยเป็นคนแรก
      “ฉันอยากลอง” คาร์ลวิสพูดแล้วหันมองเพื่อนๆทันที “แถมวันนี้ยังเป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวง แล้วบ้านเราก็ยังอยู่ใกล้แม่น้ำด้วย ที่เหลือก็.....ฟีน่า เธอพกกระจกมาไหม?”
      “อืม...พกมาอยู่”ฟีน่าหันมาตอบหลังจากค้นกระเป๋าตนเองดูเรียบร้อย
      “คาร์ลวิส นายดูสนใจเรื่องรถไฟอะไรนี่จังนะ”เฟรดิกขมวดคิ้วมุ่นมองคาร์ลวิส เพราะคาร์ลวิสนั้นแทบจะไม่เคยสนใจอะไรโลกภายนอกเลย วันหนึ่งพูดยังนับคำได้เลย
      “เอาน่า นานๆทีคาร์ลวิสจะสนใจ ลองดูก็ไม่มีปัญหาอะไรกันนี่เนอะ”กาเซสหันไปส่งยิ้มให้กับเฟรดิก
      “ในเมื่อนายพูดงั้นก็ตามใจ”เฟรดิกถอนหายใจเบาๆอย่างจนปัญญา ผิดกับคาร์ลวิสที่ลอบกระตุกยิ้มเบาๆ
      “งั้นก็ไปกันเลย!!”อีเกิลตะโกนออกมาอย่างร่าเริงพร้อมกับวิ่งไปที่แม่น้ำทันที โดยมีเพื่อนๆเดินตามหลังมาอย่างเอื่อยๆ จนมาถึงแม่น้ำสายหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลกับบ้านพวกเขานัก
      “เริ่มกันเลยไหม”คาร์ลวิสหันมาถามพวกเพื่อนๆที่อยู่ด้านหลังเขา และคำตอบที่ได้ก็คือการพยักหน้ากลับมา เมื่อคาร์ลวิสเห็นเพื่อนตกลงกันแล้วก็รับกระจกมาจากฟีน่าก่อนจะเอากระจกส่องไปที่พระจันทร์ จนกระทั่งผ่านไปหลายนาที
      “ไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้นเลย”อีเกิลเอ่ยทำลายความเงียบเป็นคนแรก
      “ไม่....มันมาแล้ว”ทันใดนั้นพระจันทร์ที่ส่องสว่างก็กลายเป็นหลุมดำขนาดมหึมา
      “นั่นมันอะไรน่ะ!!”ทันทีที่หลุมดำปรากฏขึ้นกาเซสก็โพล่งขึ้นมาทันที
      "หลุมดำ...อย่างงั้นหรอ"เฟรดิกพึมพำเสียงเบาดวงตาจ้องหลุมดำไม่วางตา
      "นี่ พวกนายได้ยินเสียงอะไรกันไหม"เมื่อได้ยินที่อีเกิลพูดทุกคนก็เงี่ยหูฟังกันทันที
      "เสียงรถไฟ"กาเซสเอ่ยขึ้นเบาๆ และสิ่งที่ปรากฏในสายตาพวกเขาก็คือรถไฟสีดำสนิทขบวนหนึ่งวิ่งออกมาจากหลุมดำแล้ววิ่งมาหยุดตรงหน้าพวกเขาพอดี
      "หืม...พวกเจ้าคือผู้โดยสารคราวนี้งั้นเหรอ"ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากขบวนรถไฟ"ข้าเวอริง เครแทส เป็นพนักงานบนรถไฟข้ามมิติแห่งนี้"เวอริงนั้นมีใบหน้าคมเข้ม ผมสีดำ นัยน์ตาสีทองติดขี้เล่น"พวกเจ้าเรียกรถไฟแห่งมิติออกมาแบบนี้ต้องการที่จะเดินทางไปไหนล่ะ"
      "เอ่อ...ต้องการ"อีเกิลอ้ำๆอึ้งๆก่อนจะหันมามองหน้าเพื่อนอย่างต้องการความคิดเห็น
      "ผมต้องการไปแก้ไขอดีต"คาร์ลวิสโพล่งขึ้นมาทันที
      "คาร์ลวิส!!"คนอื่นตาเบิกกว้างกันทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่คาร์ลวิสพูดขึ้น
      "หืม...เจ้าอยากกลับไปแก้ไขอดีตงั้นหรอ"คาร์ลวิสพยักรับคำ"เจ้ารู้หรอว่าอะไรคือสิ่งตอบแทน"
      "ไม่รู้...แล้วก็ไม่สนด้วย"นัยน์ตาสีดำของคาร์ลวิสก็สบเข้ากับนัยน์ตาสีทองของเวอริง
      "เจ้านี่มันน่าสนใจจริง"เวอริงหัวเราะในลำคอเบาๆก่อนจะหันไปมองพวกคาร์ลวิสด้วยแววตาที่กำลังทอประกายอย่างนึกสนุก"หึ...งั้นก็ได้ ยินดีต้อนรับสู่รถไฟข้ามมิติ Orazio Train ครับท่านผู้โดยสาร"เวอริงพูดติดตลกเล็กน้อยพร้อมกับโค้งแล้วผายมือไปทางรถไฟราวกับเชื้อเชิญให้คนที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาบนรถไฟแห่งนี้
      "เอาไงดีล่ะ"กาเซสหันไปมองหน้าเพื่อนคนอื่นเป็นเชิงขอความคิดเห็น
      "มาถึงตรงนี้แล้วก็ต้องไปอย่างเดียวแล้วล่ะ"อีเกิลพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น"เธอว่าไงล่ะฟีน่า"
      "ฉันยังไงก็ได้"ฟีน่ายักไหล่เบาๆก่อนจะหันไปมองเฟรดิก
      "ในเมื่อคาร์ลวิสอยากไปขนาดนั้นล่ะก็...มันก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ"เฟรดิกทำหน้าเหนื่อยใจแต่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร
      "แสดงว่าตกลงสินะ"เวอริงหันมาถามพวกเขาอีกครั้ง"งั้นก็รับนี่ไป"พูดจบเวอริงก็โยนของบางอย่างให้กับพวกคาร์วิสคนล่ะอัน
      "นี่มัน...."กาเซสครางเบาๆเมื่อได้เห็นสิ่งที่พึ่งรับมาเมื่อกี้มันเป็นการ์ดสีดำสนิทและตรงกลางมีตัวอักษรภาษาอังกฤษสีขาวเขียนว่า memory "ความทรงจำงั้นหรอ...หมายความว่าไงครับ"กาเซสเงยหน้าจากการ์ดแล้วหันไปถามเวอริงทันที
      "ไอ้นั่นมันก็เหมือนกับตั๋วรถไฟในโลกพวกเจ้านั่นแหละ"เวอริงพูดขึ้นอย่างเหนื่อยๆ"เอ้า! จะไปไหม"
      เมื่อได้ยินดังนั้นพวกคาร์ลวิสก็ก้าวขึ้นรถไฟทีล่ะคน แต่ก่อนที่คาร์ลวิสจะได้ก้าวขึ้นก็มีเสียงๆหนึ่งดังขัดขึ้นก่อน"เดี๋ยว!"
      คาร์ลวิสหันไปมองผู้มาใหม่ เธอเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้างดงามราวกับเทพธิดา ผมสีทองยาวจรดพื้น นัยน์ตาสีอความารีนราวกับอัญมณี ชุดที่แต่งเหมือนกับพวกเทพธิดาในตำนานของกรีก"คุณเป็นใครครับ?"
      "เราคือเทพีแห่งกาลเวลา นามว่า อเวนด้า เป็นผู้ควบคุมกาลเวลาแห่งจักรวาลใบนี้"หญิงสาวกล่าวขึ้นอย่างช้าๆ"สิ่งที่เจ้ากำลังจะทำมันผิด...อดีตไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้"
      "งั้นรถไฟขบวนนี้ล่ะ"คาร์ลวิสหันไปมองรถไฟข้ามมิติ"มันไม่ผิดงั้นเหรอครับ.."
      "แน่นอนว่ารถไฟขบวนนี้เองก็ผิด..."อเวนด้าตอบกลับ"แต่เพราะผู้ควบคุมรถไฟขบวนนี้นั้นมีพลังมาก...มากเกินกว่าที่ใครจะควบคุมได้...แต่ว่าชีวิตของเรานั้นควรเดินไปตามทางของชะตากรรม"
      "แหมๆ คุณผู้หญิงครับมากล่าวหาธุระกิจพวกข้าอย่างนี้ได้ไงกันครับ"จู่ๆเวอริงก็โผล่ออกมายืดกอดคอคาร์ลวิสเฉย"พวกข้าก็แค่ทำในสิ่งที่ผู้คนปรารถนาที่ไม่มีวันเป็นจริงให้เป็นจริงต่างหากล่ะครับ"ใบหน้าของเวอริงประดับด้วยรอยยิ้มก็จริงแต่นัยน์ตากับมองดูลึกล้ำยากที่จะหยั่งถึง"มาพูดกันแบบนี้พวกข้าก็เสียหายสิ"
      "การกระทำของพวกเจ้ามันคัดต่อชะตากรรม"อเวนด้าเอ่ยขึ้นมาอย่างแน่วแน่
      "แล้วยังไงล่ะครับ"จู่ๆคาร์ลวิสก็พูดแทรกขึ้นมาทำให้ทั้งเวอริงและอเวนด้าต่างหันไปมองกันอย่างงงๆ"เพราะมันถูกกำหนดเอาไว้แล้วเลยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างนั้นหรือครับ"นัยน์ตาสีดำของคาร์ลวิสเงยสบกับนัยน์ตาสีอความารีน
      "อึก...."อเวนด้าถึงกับชะงักเมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาของคาร์ลวิสที่ในตอนนี้มันดูลึกล้ำยิ่งกว่าท้องฟ้าในยามค่ำคืนเสียอีก"นี่เจ้า..."
      "เอาล่ะๆ ถึงเวลาเดินทางแล้ว"เวอริงขัดขึ้น"ข้าขอตัวก่อนนะครับคุณคนสวย"เวอริงขยิบตาให้กับอเวนด้าอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะผลักให้คาร์ลวิสเดินขึ้นรถไฟไป"แล้วเจอกันใหม่นะครับ"เวอริงหันมาโบกมือให้กับอเวนด้าพร้อมกับที่รถไฟเริ่มเคลื่อนขบวนออกอีกครั้ง
      "ชะตากรรมเปลี่ยนแปลงได้แต่...อดีตน่ะมันไม่ควรที่จะเปลี่ยนแปลง"อเวนด้าพึมพำออกมาเบาๆก่อนจะหายไปราวกับสายลม
      "เมื่อกี้เจ้าพูดได้ดีนี่ไอ้หนู"เวอริงยื่นมือมาขยี้หัวคาร์ลวิสเบาๆ
      "ไม่ใช่ไอ้หนู คาร์ลวิส.....คาร์ลวิส เบย์ริงออซต่างหาก"คาร์ลวิสปัดมือของเวอริงออกจากหัวตนแล้วมองชายหนุ่มนิ่งๆ
      "หึหึ คาร์ลวิสงั้นสินะ"เวอริงหัวเราะๆเบาๆแล้วหันไปมองพวกเพื่อนๆที่เหลือของคาร์ลวิส"แล้วพวกเธอล่ะ"
      "อ้ะ จริงสิ พวกผมยังไม่ได้แนะนำตัวเลยสินะ ผมอีเกิล เล็คซีสครับ ส่วนทางนี้"อีเกิลหันไปทางกาเซส
      "กาเซส เมอแลแก๊นท์ ครับ"กาเซสแนะนำตัวยิ้มๆก่อนจะผายมือไปทางเฟรดิก
      "เฟรดิก ฟรองเซอร์"เฟรดิกพูดเสียงเรียบก่อนจะพยักเพยิดไปทางฟีน่า
      "ฟีน่า ราเลนเซียค่ะ" ฟีน่าแนะนำตัวเสร็จก็โค้งให้เวอริง
      "โอเค ในเมื่อทำความรู้จักเรียบร้อยแล้ว..."นัยน์ตาสีทองที่เคยเต็มไปด้วยแววขี้เล่นอยู่เป็นนิจ ตอนนี้กลับดูลึกล้ำยากจะหยั่งถึงแล้วหันไปจ้องคาร์ลวิส"เจ้าต้องการกลับไปแก้อดีตตอนไหนกันล่ะ คาร์ลวิส"
      "13 ปีก่อน"คาร์ลวิสพูดขึ้นมา"อยากจะให้ช่วยย้อนไปเมื่อ 13 ปีก่อนทีครับ"
      "13 ปีก่อน ตอนที่พวกเราอายุ 7 ขวบสินะ"ฟีน่าหันไปกระซิบกับเฟรดิกเบาๆ
      "ใช่ แต่พวกเราพึ่งเจอกับคาร์ลวิสเมื่อ3ปีที่แล้ว เรื่องตอนเด็กๆของหมอนั่นไม่มีใครรู้เลย"เฟรดิกจ้องไปคาร์ลวิสอย่างสงสัย เพราะว่าไม่มีใครในกลุ่มรู้ความเป็นมาของเพื่อนคนนี้เลย
      "และก็ผมอยากให้คุณย้อนไปที่นี่ครับ"พูดจบก็ยื่นกระดาษใบหนึ่งให้เวอริง"หวังว่าคงพาไปได้นะครับ"
      เวอริงรับกระดาษมาอ่านก่อนจะตาเบิกกว้างมากยิ่งขึ้นเมื่อได้เห็นข้อความในกระดาษ"นี่เจ้ามาจากโลกนี้งั้นหรอ"คาร์ลวิสพยักหน้ารับเบาๆ"ไม่น่าเชื่อ..."
      "เดี๋ยวหมายความว่าไงที่มาจากโลกนี้"อีเกิลถามขึ้นแทรก
      "เพื่อนเจ้าคงไม่รู้สินะ"เวอริงหันไปมองคาร์ลวิส"ข้าจะบอกให้ฟังก็ได้...คาร์ลวิสมาจากคนล่ะโลกกับพวกเจ้า"
      "!!"คำที่ได้ยินจากเวอริงเมื่อกี้ทำให้ทุกคนหันไปมองคาร์ลวิสกันทันที
      "คาร์ลวิส...นายมาจากต่างโลกงั้นหรอ"ฟีน่าถามเสียงเบาๆมองคาร์ลวิสอย่างไม่เชื่อสายตา และยิ่งคาร์ลวิสพยักหน้ารับอย่างนี้ก็ยิ่งสร้างความตกใจให้แก่พวกเพื่อนเป็นอย่างมาก"ทำไมนายถึงไม่เคยบอก"
      "ก็พวกนายไม่เคยถาม"คำตอบที่ได้ถึงกับทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นนิ่งอึ้งกันทันที
      "ฮ่า ฮ่าๆ เจ้าตอบได้โดนมากเลยคาร์ลวิส!"เวอริงระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่นก่อนจะเดินไปดึงคาร์ลวิสมาล็อกคอ"ถึงเจ้านี่จะมาจากคนล่ะโลกกับพวกเจ้าก็จริง"เวอริงปรายตามองพวกเฟรดิก"แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเพื่อนกับพวกเจ้าไม่ได้ซะหน่อย"
      เมื่อได้ยินสิ่งที่เวอริงพูดพวกเฟรดิกก็นิ่งคิดกันก่อนที่เฟรดิกจะพูดขึ้นว่า"คุณพูดถูกแล้ว..."เฟรดิกหันไปจ้องเวอริงก่อนจะเบนสายตามามองคาร์ลวิส"ถึงยังไงนายก็ยังเป็นเพื่อนฉัน"
      "ใช่แล้ว! ไม่ว่านายจะมาจากไหนความเป็นเพื่อนของพวกเราก็ไม่เปลี่ยน"อีเกิลพูดขึ้นสันบสนุนเฟรดิกอีกคน และถึงแม้ว่ากาเซสกับฟีน่าจะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาสักคำแต่ก็ส่งยิ้มให้คาร์ลวิสเป็นคำตอบ
      "ขอบใจนะ"คาร์ลวิสพึมพำเสียงเบาเพื่อไม่ให้ใครได้ยินแต่ก็ไม่ได้รอดหูเวอริงไปได้
      "เอาล่ะพวกเจ้าไปนั่งในขบวนก่อน ในเมื่อย้อนไป13ปี ก็ต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 13 นาที ไปนั่งพักกันก่อนเถอะ"เวอริงดันหลังให้พวกเฟรดิกเข้าไปนั่งในขบวนก่อนจะเดินกลับมาหาคาร์ลวิสที่ยังยืนอยู่ที่เดิม
      "มีอะไรหรือเปล่าครับ ถึงกันไม่ให้พวกเขารู้เรื่อง"คาร์ลวิสหันไปมองเวอริงที่เดินมา
      "เจ้าคิดจะเดินทางไปแก้ไขอดีตจริงๆน่ะเหรอ"นัยน์ตาสีทองของเวอริงจับจ้องเข้าไปในนัยน์ตาสีดำของคาร์ลวิสราวกับต้องการจะอ่านใจของคนตรงหน้า"ถ้าหากเจ้ากลับไปแก้อดีตของเจ้าคงรู้สินะว่าจะเกิดอะไรขึ้น"เวอริงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงนิ่งๆ"หากเจ้าต้องการจะไปแก้ไขอดีตจริง เจ้าอาจจะไม่ได้เจอกับพวกเพื่อนอีกเลยก็ได้นะ"เวอริงมองคาร์ลวิสนิ่งๆเพราะถ้าหากคาร์ลวิสจะแก้ไขอดีตจริง อนาคตก็ต้องย่อมเปลี่ยนไปอยู่แล้ว และยิ่งโลกที่คาร์ลวิสเกิดนั้นได้ล่มสลายไปแล้ว ถ้าหากแก้ไขได้จริงคาร์ลวิสก็จะไม่สามารถเจอพวกเพื่อนๆได้แน่นอน
      "หึ...ไม่รู้สิครับ"คาร์ลวิสกระตุกยิ้มแล้วเดินเข้าไปในขบวนรถ
      "ไอ้เด็กเจ้าเล่ห์"เวอริงแสยะยิ้มก่อนจะเดินไปตรงหัวรถไฟ"ไม่นึกว่าจะมีคนเหลือรอดจากเหตุการณ์ล่มสลายนั่นได้"เวอริงพูดขึ้นมาก่อนจะหันไปมองด้านนอกที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวต่างๆ"เด็กหนุ่มจากมัวร์งั้นเหรอ น่าสนใจจริงๆ"เวอริงกรีดยิ้มกว้างทันทีเมื่อได้ย้อนเวลามาถึงเป้าหมาย แล้วเดินกลับเข้าไปในขบวนรถไฟอีกครั้ง"ถึงที่หมายแล้วครับท่านผู้โดยสาร"
      "ไหนๆ โลกที่คาร์ลวิสเกิดเป็นยังไง"อีเกิลรีบวิ่งลงจากรถเป็นคนแรก
      "อีเกิล นายนี่ทำตัวอย่างกับเด็กเลยนะ"ฟีน่ายิ้มขำก่อนจะเดินตามออกไปแล้วตามด้วยกาเซส เฟรดิก คาร์ลวิส ปิดท้ายด้วยเวอริง
      "นี่มัน..."กาเซสครางเบาๆเมื่อเห็นภาพเมืองตรงหน้า ฝากหนึ่งของเมืองปกคลุมไปด้วยแสงอาทิตย์กับท้องฟ้าอันสดใส มีป่าไม้อดุมสมบูรณ์ แต่อีกฝากหนึ่งกลับปกคลุมไปด้วยแสงจันทร์และท้องฟ้าในยามราตรี และเต็มไปด้วยทุ่งน้ำแข็ง
      "โลกแห่งนี้มีชื่อว่ามัวร์"เวอริงกล่าวขึ้นแล้วมองไปรอบๆ"มัวร์ประกอบไปด้วย 2 อาณาจักรคือ อาณาจักรลูเซียสและอาญาจักรออร์คัส อาณาจักรลูเซียสก็ตามชื่อมันเลยคือ อาณาจักรแห่งแสงสว่าง มีเพียงแต่เวลากลางวันและไร้ซึ่งเวลากลางคืน มีปราสาทเมเออร์เป็นสัญลักษณ์ของอาณาจักร"เวอริงหันไปมองปราสาทที่ทำจากไม้ทั้งหมด"ส่วนอาณาจักรออร์คัสก็ตามชื่อเช่นกันก็คือ อาณาจักรแห่งความมืด ไร้ซึ่งกลางวัน มีแต่กลางคืนและมีปราสาทไคร์ฮน่าเป็นสัญลักษณ์"เอ่ยจบก็เบนสายตาไปทางปราสาทอีกฝั่งที่สร้างขึ้นจากน้ำแข็ง"เจ้าจะทำยังไงล่ะต่อล่ะคาร์ลวิส"
      คาร์ลวิสหันไปมองรอบข้างๆก่อนจะหันกลับมามองพวกของตน"ผมคิดว่า-"
      "พวกพี่เป็นใครหรือครับ"จู่ๆก็มีเสียงๆหนึ่งขัดขึ้นจากด้านหลังทำให้พวกคาร์ลวิสหันไปดูแล้วก็ได้เจอกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งน่าจะอายุประมาณ6-7ปี ผมสีเงิน นัยน์ตาสีเขียวแกมเหลืองของเด็กหนุ่มคนนั้นจ้องมาทางพวกเขาอย่างสนใจ
      "อ่ะ..พวกพี่เป็นนักเดินทางน่ะ"กาเซสยิ้มให้กับเด็กน้อยแล้วเดินเข้าไปหาใกล้ๆ"แล้วหนุ่มน้อยเป็นใครหรือครับ"
      "อ้ะ ผมชื่อ คาร์ลวิส เบย์ริงออซครับ"เมื่อได้ยินชื่อของเด็กหนุ่มตรงหน้า ดวงตาของแต่ล่ะคนก็เบิกกว้างกันทันที จะยกเว้นก็แต่เจ้าคนที่มีชื่อเหมือนเด็กหนุ่มตรงหน้าเท่านั้น
      "นี่หมายความว่า..."ฟีน่าหันไปมองคาร์ลวิสที่ยังยืนนิ่งอยู่
      "พวกพี่เป็นนักเดินทางหรือครับ"คาร์ลวิสน้อยไล่สายตามองพวกเขาทีล่ะคน"แล้วจะเดินทางไปอาณาจักรไหนกันหรือครับ ผมเป็นคนของอาณาจักรออร์คัสครับ"
      "ความมืดงั้นหรอ...."เฟรดิกพึมพำกับตนเองก่อนจะแอบปรายตาไปทางคาร์ลวิสที่เป็นเพื่อนตน
      "พวกพี่ยังไม่แน่ใจน่ะครับว่าจะไปอาณาจักรไหน คาร์ลวิสช่วยนำทางพวกพี่หน่อยได้ไหมครับ"และแล้วทุกคนก็ได้ตกใจมากขึ้น เมื่อคาร์ลวิสหนุ่มดันไปขอให้คาร์ลวิสน้อยเป็นไกด์พาเที่ยวซะงั้น
      "ได้สิครับ แต่ต้องหลังจากที่ผมเอาสมุนไพรพวกนี้ไปให้ท่านแม่ก่อนนะครับ"ว่าเสร็จก็โชว์ถุงสมุนไพรให้ดู"พวกพี่ชายจะไปด้วยกันไหมครับ"
      "เอาสิครับ..."คาร์ลวิสคลี่ยิ้มละมุนละไมให้กับเด็กน้อยตรงหน้า และนั่นก็ทำให้บรรดาเพื่อนตกใจมากขึ้นไปอีกเพราะไม่อยากจะเชื่อว่าเพื่อนตรงหน้าที่ได้ฉายาว่าก้อนน้ำแข็งจะยิ้มได้อ่อนโยนขนาดนี้
      "คาร์ลวิสมันสมองเสื่อมไปแล้วหรือเปล่า"อีเกิลพูดขึ้นมาอย่างไม่เชื่อสายตาว่าจะได้เห็นเจ้าเพื่อนตัวดีคนนี้ยิ้มได้แบบนี้ ทำให้ฟีน่าที่อยู่ข้างถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเสียงเบา
      "การมาที่นี่อาจจะทำให้เขามีความสุขก็ได้มั้ง"ฟีน่าเอ่ยออกมาแล้วหันไปมองคาร์ลวิสที่กำลังจูงมือคาร์ลวิส น้อย มาทางพวกเขา
      "เดี๋ยวเราจะไปที่อาณาจักรออร์คัสก่อนแล้วแวะไปบ้านคาร์ลวิสนะ"คาร์ลวิสรุ่นโตเดินมาบอกเพื่อนบองตนก่อนจะจูงมือรุ่นจูเนียร์เดินนำออกไป ปล่อยให้เพื่อนๆยังงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่
      "มันเปลี่ยนอารมณ์ได้ง่ายชะมัด"อีเกิลเกาหัวตนเองอย่างงงๆ ราวกับยังรับเรื่องที่ตนเองเจอไม่ทัน
      "พวกเราก็ไปกันเถอะ"เฟรดิกหันมสบอกกับเพื่อนที่เหลือแล้วเดินตามคาร์ลวิส 2 รุ่นไป
      ตอนนี้พวกเขาทั้ง 7 คน ก็ได้เดินทางมาถึงอาณาจักรออร์คัส อาณาจักรแห่งความมืด อาณาจักรออร์คัสนั้นบ้านเรือนส่วนใหญ่ถูกสร้างโดยน้ำแข็ง และผู้ชายส่วนมากมักจะประกอบอาชีพนักล่า ส่วนผู้หญิงจะประกอบอาชีพนักปรุงยากัน
      "คาร์ลวิสแม่นายทำอะไรหรือ"คาร์ลวิสรุ่นโตหันไปถามคาร์ลวิสน้อยที่กำลังเดินอยู่ข้างๆตน
      "ท่านแม่เป็นนักปรุงยาครับ ท่านเป็นนักปรุงยาที่เก่งมาก"เด็กน้อยพูดขึ้นอย่างร่าเริงเมื่อได้กล่าวถึงแม่ของตน
      "แล้วพ่อล่ะ"คาร์ลวิสถามต่อ
      "ท่านพ่อผม...ท่านหายตัวไปนานแล้วน่ะครับ ตั้งแต่ผมอายุได้ 3 ขวบ"เมื่อเอ่ยถึงพ่อน้ำเสียงก็เศร้าลงทันที
      "ไม่เป็นไรหรอก"คาร์ลวิสหนุ่มยื่นมือไปลูบหัวคาร์ลวิสน้อยเบาๆแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน"สักวันพ่อของคาร์ลวิสจะต้องกลับมาหาอย่างแน่นอน"แล้วนั่นก็ทำให้คนอื่นๆแข็งค้างกันอีกรอบ
      "ทำไมฉันรู้สึกแปลกๆกับรอยยิ้มนั่นฟะ"อีเกิลขมวดคิ้วมุ่นแล้วหันไปกระซิบกับกาเซส
      "นายก็พูดเกินไป"กาเซสยิ้มขำให้กับคำพูดของอีเกิล
      "ถึงแล้วครับ"คาร์ลวิสน้อยเดินมาหยุดที่บ้านหลังหนึ่งสร้างจากน้ำแข็ง ตัวบ้านไม่ใหญ่เกินไปและไม่เล็กเกินไป ที่หน้าบ้านมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่"ท่านแม่ครับ"
      "อ้าว คาร์ลวิสกลับมาแล้วเหรอ"หญิงสาวหันไปตามเสียงเรียก เธอมีผมสีเงินยาวถึงกลางหลัง นัย์ตาสีทองแกมเหลือง ไม่ต้องถามเลยว่าผมกับตาของคาร์ลวิสได้มาจากใคร"ได้มาเยอะไหม"
      "ครับ!"คาร์ลวิสน้อยรับคำอย่างแข็งขัน"ท่านแม่ครับ ผมพาพวกพี่ชายไปเที่ยวได้ไหมครับ"เอ่ยจบคาร์ลวิสก็หันไปชี้พวกเวอริงที่ยืนอยู่หน้าบ้าน
      "งั้นเหรอจ้ะ.."หญิงสาวไล่สายตาก่อนที่จะไปสะดุดอยู่ที่ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีเรือนผมสีดำตัดสั้นละคอ นัยน์ตาสีดำสนิทเหมือนท้องฟ้าในยามราตรี เมื่อเห็นคนตรงหน้าหญิงสาวถึงกับเผลอเดินเข้าไปหาอย่างไม่รู้ตัว"เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าคะ"
      คาร์ลวิสหันไปมองหญิงสาวที่เดินเข้ามาหาตน"ไม่...ไม่เคยเจอครับ"คาร์ลวิสตอบแล้วเสหน้าหนีไปทันที
      "งั้นหรือคะ...ฉัน เวริซ่า เบย์ริงออซ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ"เวริซ่าคลี่ยิ้มให้คาร์ลวิส
      คาร์ลวิสมองรอยยิ้มของเวริซ่า มันเป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นและโหยหาเหลือเกิน"ผม คาคาส ครับ"เมื่อคาร์ลวิสแนะนำตัวจบก็ทำให้เวริซ่าถึงกับเบิกตากว้างทันที
      "เป็นไปไม่ได้..."เวริซ่าเอ่ยขึ้นมาอย่างแผ่วเบาราวกับไม่อยากจะเชื่อว่าคนตรงหน้าจะใช้ชื่อนี้"ยินดีที่ได้รู้จักนะจ้ะ"แววตาตกใจหายไปก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นแววตาที่อ่อนโยน "จริงสิวันนี้ก็ใกล้จะค่ำแล้วถ้ายังไงจะพักที่นี่สักคืนก่อนจะดีไหมคะ"เวริซ่าถามแล้วยิ้มให้กับคาร์ลวิสแล้วทองไปยังพวกเฟรดิกที่อยู่ข้างหลังตน"หวังว่าคงจะไม่รังเกียจกันนะคะ"
      "เอ่อ...ก็ได้อยู่นะครับ"เฟรดิกหันไปมองเพื่อนตนก่อนจะพยักหน้าตกลง
      "ถ้างั้นคาร์ลวิสพาทุกคนขึ้นไปพักข้างบนกันก่อนนะ"เวริซ่าหันไปเรียกลูกชายตน"ถ้าแม่ทำอาหารเสร็จแล้วเดี๋ยวจะเรียกนะ"
      "ครับ ท่านแม่"คาร์ลวิสน้อยยิ้มให้กับแม่ตนก่อนแล้วหันมามองพวกเฟรดิก"เชิญทางนี้เลยครับ"
      พวกเฟรดิกหันมามองหน้ากันก่อนที่จะเดินตามคาร์ลวิสน้อยขึ้นบ้านไป จะมีก็แต่คาร์ลวิสหนุ่มเท่านั้นที่ยังยืนนิ่งนัยน์ตาสีดำยังไม่ละสายตาไปจากหญิงสาว
      "หน้าฉันมีอะไรติดหรือเปล่าคะ"เวริซ่าหันมาถามเด็กหนุ่มที่ยังคงจ้องตนอยู่
      "เปล่าครับ ผมแค่เหม่อไปหน่อย"เมื่อได้ยินที่หญิงสาวถามคาร์ลวิสก็รีบหันหน้าหนีทันที สร้างความแปลกใจให้กับเวริซ่าเป็นอย่างมาก"ขอตัวนะครับ" คาร์ลวิสเอ่ยออกมาก่อนจะขึ้นบ้านตามคนอื่นไป
      "คิดถึงแม่ขึ้นมารึไง"ทันทีที่เปิดประตูเข้ามาก็เจอกับนัยน์ตาสีทองที่กำลังจ้องเข้ามาทันทีที่เขาเปิดประตูเข้ามา
      "ไม่มีอะไรสักหน่อยนี่ครับ"คาร์ลวิสตอบเสียงเรียบนิ่งก่อนจะเดินเข้าไปหาคาร์ลวิสน้อยที่กำลังนั่งเล่นอยู่กับพวกเพื่อนๆตน
      "อ้ะ พี่คาคาส เชิญตามสบายเลยนะครับ"คาร์ลวิสน้อยหันไปมองผู้ที่เข้ามาใหม่ก่อนจะเป็นฝ่ายเชิญให้อีกคนตามสบาย"ที่บ้านผมมีห้องพักเยอะ เพราะงั้นก็พักได้กันคนล่ะห้องตามสบายเลยะนะครับ"คาร์ลวิสน้อยพูดพร้อมกับเสิร์ฟน้ำให้กับแขกเฉพาะกิจ"ผมขอลงไปช่วยแม่ก่อนนะครับ"
      เมื่อคาร์ลวิสน้อยเสริ์ฟน้ำเสร็จก็ขอตัวลงไปข้างล่างเพื่อช่วยแม่ เหลือแต่เพียงพวกคาร์ลวิสเท่านั้นที่ยังนั่งอยู่ในห้อง"แล้วจะทำยังไงต่อ"อีเกิลถามขึ้นแล้วหันไปมองคาร์ลวิส"จะอยู่เฉยๆแบบนี้ต่อไปหรอ"
      "แบบนี้ล่ะ"คาร์ลวิสมองออกไปด้านยอกแล้วลุกขึ้นยืนเดินไปที่ห้องๆหนึ่ง"ฉันเหนื่อยแล้ว ขอนอนก่อนล่ะ"สิ้นคำก็เปิดประตูแล้วเข้าห้องไปทันที
      "อะไรของมันวะ"อีเกิลเกาหัวอย่างงงๆก่อนจะหันกลับมามองคนอื่น"เอาไงต่อ"
      "ฉันง่วง"เฟรดิกเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินเข้าห้องอีกห้องหนึ่งไป
      "ฉันก็ด้วย"เวอริงตอบต่อแล้วเข้าอีกห้องหนึ่งไป
      "พวกนายล่ะ"อีเกิลหันไปมองกาเซสและฟีน่าที่ยังเหลืออยู่
      "ฉันว่าจะไปช่วยคุณเวริซ่าน่ะ"ฟีน่านิ่งคิดไปสักพักแล้วเอ่ยตอบ
      "ฉันกะจะเดินเล่นแถวนี้น่ะ"กาเซสตอบต่อแล้วมองไปด้านนอกหน้าต่าง"นายล่ะ"
      อีเกิลนิ่งคิดอยู่สักพักแล้วหันไปตอบกาเซส"ฉันไปกับนายก็แล้วกัน" กาเซสพยักหน้ารับก่อนที่พวกเขาทั้ง 3 คนจะเดินลงไปข้างล่างแล้วแยกย้ายไปทำในสิ่งที่พวกตนจะทำกัน
      ในห้องที่มืดสนิทมีเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งนอนมองเพดานราวกับกำลังขบคิดอะไรอยู่ก่อนที่จะเผลอเข้าสู่ห้วงนิทราไปโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งผ่านไปได้หลายชั่วโมงทั้งแขกเฉพาะกิจกับเจ้าของบ้านก็ได้กินข้าวกันเสร็จเรียบร้อบแล้วแยกย้ายกันพักผ่อน จะเหลือก็แต่เวริซ่าที่นั่งอยู่ที่ห้องรับแขกกำลังมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยแววตาที่เศร้าสร้อย
      "ยังไม่นอนอีกหรือครับ"เสียงๆหนึ่งดังขึ้นจากความมืดทำให้หญิงสาวหันไปมองอย่างสงสัยว่าเป็นใคร
      "คุณคาคาส"เวริซ่าเรียกชื่อคนตรงหน้าอย่างแผ่วเบา"คุณเองก็ยังไม่นอนอีกหรือคะ"
      "นอนไม่ค่อยหลับน่ะครับ"คาร์ลวิสเดินมาหยุดอยู่ข้างๆหญิงสาว"ขออณุญาตินั่งด้วยได้ไหมครับ"
      เวริซ่ายิ้มให้น้อยๆแล้วผายมือไปยังที่นั่งข้างๆตน"เชิญค่ะ"
      "ขอบคุณครับ"คาร์ลวิสผงกหัวให้เล็กน้อยแล้วนั่งลง"ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ ทำไมตอนแรกคุณถึงถามว่าเราเคยเจอกันมาก่อนล่ะครับ"
      คำถามที่ได้ยินทำให้เวริซ่าตกใจเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นสงบอย่างรวดเร็ว"คุณทั้งชื่อ ทั้งหน้าตา เหมือนกันมากเลยค่ะ"เวริซ่าพูดขึ้นมาช้าๆอย่างแผ่วเบา"เหมือนกับเขา คาคาส เบย์ริงออซ พ่อของคาร์ลวิส สามีดิฉันเอง"
      คาร์ลวิสที่ได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าดศร้าเล็กน้อย"ขอโทษครับ"
      "ไม่ใช่ความผิดคุณหรอกค่ะ"หญิงสาวส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วหันมายิ้มให้เด็กหนุ่ม"ฉันดีใจนะคะที่ได้พบคุณ"
      "ผมก็เช่นกันครับ"คาร์ลวิสคลี่ยิ้มออกมอย่างอ่อนโยนแล้วลุกเดินไปที่ประตูห้องพักตนเอง"ราตรีสวัสดิ์ครับ"
      "ราตรีสวัสดิ์ค่ะ"เวริซ่ายิ้มให้คาร์ลวิสอย่างอ่อนโยนแล้วเดินกลับเข้าห้องตนเองไป
      รุ่งอรุณของวันใหม่มายืนอีกครั้งและอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขสจะได้เห็นของโลกใบนี้ก็เป็นได้"ถ้ายังไงฝากดูแลคาร์ลวิสด้วยนะ" เวริซ่ายิ้มให้กับคาร์ลวิส
      "ครับ...ผมจะดูแลเป็นอย่างดี.."คาร์ลวิสคลี่ยิ้มให้กับเวริซ่าก่อนจะโค้งตำนับแล้วเดินออกไป

      "มีความสุขจังนะ"เวอริงที่พิงผนังอยู่เอ่ยขึ้นแล้วหันไปมองด้วยแววตาเจ้าเล่ห์
      "แล้วทำไมล่ะครับ"คาร์ลวิสหันไปมองเวอริงด้วยแววตาที่นิ่งสนิทราวกับว่าแววตาที่อ่อนโยนที่มองไปยังเวริซ่าเมื่อสักครู่เป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
      "หึหึ..ก็ไม่มีอะไรหรอก แล้วจะกลับไปแก้อดีตตอนไหนล่ะ"เวอริงเลิกคิ้วถามข้างหนึ่ง
      "เดี๋ยวคุณก็รู้..."คาร์ลวิสบอกนิ่งๆก่อนจะเดินตามพวกเฟรดิกไป
      "นิสัยน่ารักดีจริงๆ"เวอริงหัวเราะๆเบาๆก่อนจะเดินตามคาร์ลวิสไป
      "เมืองนี้ชื่อว่า ชาร์น่า เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรออร์คัสครับ เมืองนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งเวทมนตร์ ผู้คนส่วนมากของอาณาจักรนี้จะใช้เวทย์มนต์กันได้น่ะครับ แล้วก็ยังมีสมาคมจอมเวทย์แห่งมัวร์ตั้งอยู่ที่เมืองนี้ด้วย ปราสาทไคร์ฮน่านี่เป็นถึงสัญลักษณ์ของอาณาจักรและเป็นถึงสำนักงานใหญ่ของสมาคมจอมเวทย์ด้วยนะครับ"พูดจบคาร์ลวิสน้อยก็ชี้ไปที่ปราสาทน้ำแข็งที่ตั้งอยู่กลางหนองน้ำ
      ขนาดใหญ่ตรงใจกลางเมือง"งั้นต่อไปเราไปอาณาจักรลูเซียสกันเลยไหมครับ"
      "เราไปอีกอาณาจักรหนึ่งได้หรอ?"กาเซสถามคาร์ลวิสน้อยอย่างงงๆเพราะไม่คิดว่าคนของอาณาจักรความมืดจะสามารถไปอาณาจักรแสงสว่างได้
      "ได้สิครับด้วยเจ้านี่"เมื่อเอ่ยจบก็ร่างเล็กก็เริ่มร่ายเวทย์เบาๆพลันก็ปรากฏแท่งคริสตัลสีฟ้าอันเล็กมีวงแหวนสีดำล้อมรอบอยู่ตรงกลาง"นี่คืออุปกรณ์เคลื่อนย้ายครับ แล้วมันก็ยังเป็นใบผ่านทางในการเข้าอาณาจักรทั้งสองอาณาจักรด้วยครับ"พูดจบคาร์ลวิสน้อยก็ยื่นมาให้พวกเวอริงดู"ทุกคนในโลกนี้มีกันหมดมาตั้งแต่เกิดแล้วล่ะครับ แต่ของอาณาจักรลูเซียสจะต่างออกไปนะครับ"
      "มีตั้งแต่เกิดเลยงั้นเหรอ"เฟรดิกจ้องไปแท่งคริสตัลตรงหน้าแล้วถามคาร์ลวิสจูเนียร์
      "ครับ ถ้างั้นเราก็ไปกันเลยดีกว่า"ราวกับจะตอบรับคำต้องการของคาร์ลวิสน้อย ทันทีที่พูดจบก็เกิดวงแหวนรอบพวกเขาทั้ง 7 คน ก่อนจะเหมือนถูกดึงด้วยอะไรสักอย่าง ทันใดนั้นทัศนียภาพที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งก็เลือนหายไปและถูกแทนที่ด้วยผืนป่ากับทุ่งหญ้า"มาถึงแล้วครับ อาณาจักรลูเซียส เมืองหลวงนูร์ซาน"
      ตอนนี้รอบด้านของพวกเขาได้เปลี่ยนจากน้ำแข็งมาเป็นทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ รอบข้างเต็มไปด้วยต้นไม้ต้นใหญ่ และที่น่าแปลกตาก็คือบ้านของผู้คนส่วนใหญ่จะอยู่บนต้นไม้กัน
      "ว้าว...สุดยอด"อีเกิลพึมพำออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา"นี่มันอย่างกับบ้านต้นไม้เลย"
      "น่ารักจัง"ฟีน่าหันมองรอบๆด้านของตนอย่างตื่นเต้น
      "เมืองที่อยู่ตอนนี้คือเมืองนูร์ซานเมืองหลวงของอาณาจักรลูเซียสครับ ส่วนใหญ่ชาวลูเซียสค่อนข้างจะเป็นพวกรักสงบแตกต่างจากชาวออร์คัสครับ และจะทำงานจำพวกเกษตกรรมเสียส่วนใหญ่น่ะครับ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นสู้ไม่เป็นนะครับ"คาร์ลวิสน้อยหัวเราะเบาๆกับท่าทีของพวกนักเดินทางจำเป็น"แล้วก็นั่นครับ"เมื่อเอ่ยเสร็จก็ชี้มือไปทางปราสาทไม้ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางทุ่งดอกไม้"นั่นคือปราสาทเมเออร์ที่เป็นสัญลักษณ์ของอาณาจักรลูเซียสแห่งนี้แล้วเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่สมาคมนักปราชญ์แห่งมัวร์ด้วยครับ"
      "คาร์ลวิส อาณาจักรนี้เองก็มีสมาคมจอมเวทย์สินะ"เฟรดิกหันไปถามคาร์ลวิสน้อยเมื่อตนเองพึ่งสังเกตว่าเดินผ่านอาคารหลังหนึ่งซึ่งสร้างจากน้ำแข็ง
      "ครับ! เป็นสาขาย่อยน่ะครับ สมาคมจอมเวทย์น่ะจะมีทุกเมืองของทั้งสองอาณาจักรเลยครับ"คาร์ลวิสน้อยตอบพลางชี้นนิ้วไปที่อาคารน้ำแข็งที่พึ่งเดินผ่านมา"และสมาคมนักปราชญ์ก็มีทุกที่ทุกเมืองเช่นกันครับ"
      "หืม...อย่างงั้นหรอ"คาร์ลวิสหนุ่มหันไปมองรอบๆด้านตนอย่างสนใจ"แล้วไอ้อุปกรณ์เคลื่อนย้ายของที่นี้มันเป็นยังไงกัน"
      "อ๋อ ครับของที่นี่จะเป็นกุญแจน่ะครับ ตรงปลายกุญแจก็จะมีวงแหวนสีทองล้อมรอบอยู่น่ะครับ"พูดพลางก็ทำท่าอธิบายไปพลาง
      "ไม่เหมือนกันอย่างงั้นหรอ"กาเซสถามขึ้นอย่างสนใจ
      "ถ้าเหมือนกันแล้วเขาจะอธิบายเพิ่มทำไมล่ะกาเซส"อีเกิลพูดขัดขึ้นแล้วหันไปยิ้มกว้างให้กาเซสและสิ่งที่ได้กับมาคือลูกมะนาวบนหัวแทน
      "พูดไม่คิดไอ้เจ้าบ้า"มองอีเกิลพร้อมกับชูหมัดให้ดูราวกับจะบอกว่าถ้ายังพูดไม่คิดได้เจออีกแน่
      "ฮ่าๆ ครับ ของทั้งสองอาณาจักรจะต่างออกไปครับ เพราะว่าแต่ละอาณาจักรพลังเวทย์ค่อนข้างจะต่างกันเลยสร้างต่างกันด้วยน่ะครับ"คาร์ลวิสน้อยหัวเราะออกมาก่อนจะอธิบายเพิ่มเติม"จริงสิ! ผมมีที่ที่หนึ่งอยากให้ทุกคนได้เห็น"เอ่ยจบก็เรียกแท่งคริสตัลออกมา"ไปชายแดนของทั้งสอง"
      ทันใดนั้นทัศนียภาพก็เปลี่ยนไปอีกรอบ ตอนนี้รอบด้านพวกเขาเป็นป่าฝากหนึ่งเป็นป่าที่เติบโตจากพื้นดินส่วนอีกฝากหนึ่งเป็นป่าที่เติบโตจากพื้นน้ำแข็ง
      "ที่นี่มัน..."เฟรดิกพึมพำเบาๆราวกับไม่เชื่อสายตา
      "ที่นี่เป็นชายแดนของทั้งสองอาณาจักรครับ ผมอยากให้ทุกคนได้เห็นนี่ครับ!"ว่าจบก็รีบไปจับมือคาร์ลวิสหนุ่มแล้วจูงมือให้ตามตนไป"มาเร็วครับ!"
      เมื่อคาร์ลวิสเห็นตนเองตอนเด็กทำก็ลอบยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนก่อนจะยอมโดนลากไปตามแรงของเด็กน้อยตรงหน้า
      "นี่ แล้วสรุปคาร์ลวิสมันต้องการกลับมาแก้อดีตตอนไหนกันล่ะ"อีเกิลหันมาถามเพื่อนเสียงเบาเพื่อไม่ให้คาร์ลวิส 2 ไซส์ที่อยู่ข้างหน้าได้ยินกัน
      "มาถามฉัน แล้วฉันจะไปถามใครล่ะ"เฟรดิกปรายตาไปมองอีเกิลอย่างเบื่อๆ"ถ้าอยากรู้ก็ไปถามคาร์ลวิสมันนู่นไป"
      คำตอบที่ได้รับกลับมาถึงกับทำให้อีเกิลยิ้มแห้งออกๆมาเป็นการบอกว่าเจ้าตัวไม่กล้าเข้าไปถาม"นายว่าไงล่ะกาเซส"
      "ฉันว่าเดี๋ยวถึงเวลาก็รู้เองล่ะ"กาเซสตอบพลางทอดสายตามองไปที่คาร์ลวิสทั้งสอง
      "ถึงแล้วครับ"เสียงเรียกของคาร์ลวิสน้อยทำให้ทุกคนต้องกันไปมองกัน ภาพตรงหน้าคือทุ่งดอกไม้ขนาดใหญ่ที่กำลังบานสะพรั่งโดยฝากหนึ่งเป็นพื้นดินอีกฝากหนึ่งเป็นพื้นน้ำแข็ง และภาพตรงหน้านั้นก็ถึงกลับทำให้คาร์ลวิสนิ่งไปทันที
      "สวยจังเลย..."ฟีน่าพึมพำออกมาอย่างไม่รู้ตัว
      "ตรงนี้เป็นอีกจุดหนึ่งซึ่งจะไม่มีการแบ่งแยกระหว่างอาณาจักรน่ะครับ"คาร์ลวิสน้อยอธิบายไปแล้วเดินไล่มองดอกไม้อย่างมีความสุข
      "อีกจุดหนึ่ง?"เฟรดิกหันไปมองคาร์ลวิสน้อยอย่างสงสัย
      "ใช่ครับ ในมัวร์แห่งนี้จะมีด้วยกันอยู่สองจุดที่จะไม่มีการแบ่งแยกอาณาจักรครับ แล้วที่นี่ก็คือ หนึ่งในสองจุดนี้"ว่าแล้วก็ผายมือไปทางทุ่งดอกไม้ที่กำลังบานสะพรั่ง"สวยใช่ไหมล่ะครับ ที่นี่เรียกว่าสวนแห่งพระเจ้าน่ะครับ"
      "แล้วอีกที่หนึ่งล่ะ"กาเซสเงยหน้าขึ้นจากดอกไม้แล้วหันมาถาม
      "จะอยู่ตรงใจกลางเขตแดนของทั้งสองอาณาจักรน่ะครับ"คาร์ลวิสน้อยหันหน้าไปทางเมือง"จะลองไปดูหน่อยไหมล่ะครับ"และคำตอบที่ได้ก็คือการพยักหน้ารับจากทุกคน"งั้นก็ไปตรงป่าตอนแรกที่เราเดินเข้ามาก่อนนะครับ เพราะตรงจุดร่วมของสองอาณาจักรจะไม่สามารถใช้อุปกรณ์เคลื่อนย้ายได้ครับ"
      เมื่อได้ยินดังนั้นทุกคนก็เดินตามคาร์ลวิสน้อยไป จะเหลือก็แต่คาร์ลวิสหนุ่มที่ตั้งแต่เห็นทุ่งดอกไม้ก็ยังยืนนิ่งไม่ได้ขยับไปไหนเลย
      "ดูท่าจะจริงอย่างที่คิดนะ"เสียงหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆทำให้คาร์ลวิสได้สติกลับมาแล้วหันไปมองคนที่ยังอยู่กับตน
      "เรื่องอะไรหรือครับ"นัยน์ตาสีดำหันไปสบเข้ากับนัยน์ตาสีทองของเวอริงอย่างจริงจัง
      "เจ้าน่ะ ลืมหมดแล้วใช่ไหมเรื่องที่เจ้าเคยอยู่ที่นี่"สิ่งที่ได้ยินถึงกลับทำให้คาร์ลวิสตาเบิกกว้างเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนกลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว
      "ทำไมถึงคิดอย่างงั้นล่ะครับ"ถึงแม้จะเอ่ยปากถามแต่คาร์ลวิสก็หันหน้าหนีเวอริง
      "ท่าทางเจ้ามันบอกน่ะสิ"เวอริงหัวเราะในลำคอเบาๆก่อนจะหันหลังให้คาร์ลวิส"และที่เจ้ายังไม่แก้ไขอดีต เพราะตรงที่เจ้าต้องการจะแก้ไขคือตอนที่โลกแห่งนี้กำลังจะล่มสลายสินะ"
      เวอริงพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินตามคนที่เหลือไปเลยทำให้ไม่ได้ไม่เห็นนัยน์ตาของคาร์ลวิสตอนนี้ นัยน์ตาที่กำลังทอประกายอย่างเจ้าเล่ห์"ยังไม่ถูกต้องนะครับ"คาร์ลวิสก้าวช้าๆเดินตามเวอริงและคนอื่นไปแต่ก่อนที่จะเข้าไปในเขตป่าก็หันมามองทุ่งดอกไม้อีกครั้ง"ลาก่อน"
      "อ้ะ! มาแล้ว"อีเกิลหันไปมองคาร์ลวิสที่กำลังเดินออกมาจากป่า"ช้าจังเลยมัวทำอะไรอยู่"
      "โทษที"ปากบอกอย่างนั้นแต่สายตากลับมองไปที่คาร์ลวิสน้อยแทน"เราจะไปอีกที่กันเลยไหม"
      "ไปเลยสิครับ"คาร์ลวิสน้อยยิ้มให้แล้วเรียกแท่งคริสตัลออกมา"ไปปราสาทลูมิน่า!"
      ตอนนี้เบื้องหน้าพวกเขาทั้ง 7 คนได้เปลี่ยนจากป่าเป็นปราสาทหลังหนึ่ง ตัวปราสาทซีกหนึ่งทำจากน้ำแข็งและอีกซีกทำจากไม้รอบด้านเต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้หลากสายพันธุ์
      "นี่คือปราสาทลูมิน่าหรืออีกชื่อคือพระตำหนักของพระเจ้า"คาร์ลวิสน้อยอธิบายไปพลางมองรอบๆปราสาทที่มีผู้คนเดินขวักไขว่กันไปหมด คาร์ลวิสหนุ่มมองปราสาทตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาทำให้เพื่อนคนอื่นๆที่อยู่ตรงนั้นงงๆกัน
      "เป็นไรไป"เฟรดิกเดินเข้ามาแตะไหล่คาร์ลวิสที่กำลังยืนอึ้งอยู่
      "เปล่า..."คาร์ลวิสหันมามองหน้าเฟรดิกก่อนจะเอามือของเพื่อนตนออก"ไม่มีอะไร"
      "ที่ปราสาทนี้จะไม่เปิดให้ใครเข้าทั้งนั้นครับ คนที่สามารถเข้าไปได้มีเพียงแค่กษัตริย์ของทั้งสองอาณาจักรเท่านั้นครับ"คาร์ลวิสน้อยพูดพร้อมกับพาทุกคนเดินชมรอบปราสาท
      "ทำไมล่ะ?"ฟีน่าถามอย่างแปลกใจ
      "เพราะที่แห่งนี้มีสมบัติแห่งเทพอยู่น่ะสิครับ"คาร์ลวิสหันกลับไปอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง
      "สมบัติแห่งเทพ?"กาเซสและฟีน่าทวนคำพร้อมกัน
      "ครับ ว่ากันว่าตอนที่ทั้งสองอาณาจักรนี้ยังไม่สามารถเดินทางไปมาหา
      สู่กันได้ ตอนนั้นได้เกิดปรากฏการณ์ที่จู่ๆก็เกิดมีชายหนุ่มลอยลงมาจากฟ้าและสามารถยืนอยู่ได้ทั้ง 2 อาณาจักร
      และกลายเป็นที่ฮือฮามากจนกษัตริย์ทั้งสองอาณาจักรถึงกับเสด็จมาดูด้วยตนเอง"และแล้วก็เดินวนรอบปราสาทจนครบรอบหนึ่งก่อนจะมาหยุดยืนตรงหน้าปราสาทที่เดิม"แล้วชายหนุ่มคนนั้นก็ได้มองกล่องใบหนึ่งให้กับทั้งสองบอกว่ามันจะเป็นสิ่งที่ทำให้เดินทางได้ทั้งสองอาณาจักร แน่นอนว่าไม่มีใครเชื่อหรอกครับ แต่จู่ๆก็มีสิ่งหนึ่งปรากฏกับทุกคนนั่นก็คือเจ้านี่ครับ"เอ่ยจบก็เรียกแท่งคริสตัลออกมาอีกครั้ง"ชายหนุ่มบอกว่ามันคือเศษเสี้ยวจากของในกล่องนี้ ตอนแรกก็ไม่มีใครกล้าลองหรอกครับ แต่ก็ได้มีคนๆหนึ่งได้ลองเลยทำให้ผู้คนสามารถไปไหนก็ได้ทั้งสองอาณาจักรครับ"
      "งั้นอย่าบอกนะว่า..."อีเกิลกลืนน้ำลายดังเอื้อกก่อนจะเบนสายตาไปทองปราสาท
      "ใช่แล้วครับปราสาทนี้คือที่เก็บสมบัติแห่งเทพครับ และว่ากันว่าไม่มีใครแตะกล่องใบนั้นได้เลยนะครับ ตอนที่รับมาเรียบร้อยก็มีแต่กษัตริย์ของทั้งสองอาณาจักรเท่านั้นแหละครับที่แตะต้องได้ เลยว่ากันว่ามีเพียงแต่กษัตริย์ของทั้งสองอาณาจักรเท่านั้นที่สามารถแตะต้องได้"คาร์ลวิสน้อยมองท่าทางของอีเกิลก็ขำเบาๆ"ไม่เห็นต้องทำหน้ากลัวขนาดนั้นก็ได้ครับ ไม่มีอะไรสักหน่อย"ได้ยินที่คาร์ลวิสน้อยพูดอีเกิลก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ"อ้อ แต่ถ้าคิดจะเข้าไปล่ะก็อย่าเด็ดขาดเลยนะครับ ไม่งั้นได้เป็นปลาย่างแน่"คาร์ลวิสน้อยทำหน้าขึงขังดุแต่กลับทำให้คนที่เห็นแอบอมยิ้ม
      "แล้วสมบัติเทพที่ว่านี่เก็บไว้ตรงไหนเหรอ"คาร์ลวิสหนุ่มหันไปถามคาร์ลวิสน้อยก่อนจะหันมองไปรอบๆปราสาท
      "ตรงนั้นครับ"พูดจบก็ชี้ไปที่ยอดปราสาท
      ตูม!!!
      ทันใดนั้นก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นที่ยอดปราสาททำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นหันไปมองกันทันที และปราสาทที่เคยสวยงามก็พังทลายลง เศษซากหิน ไม้ น้ำแข็งปลิวว่อนไปทั่ว ไปโดนบ้านเรือนของทั้งสองอาณาจักร
      "กะ..เกิดอะไรขึ้น!!"คาร์ลวิสน้อยที่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าก็ถึงกับตะโกนออกมาทันที และก็ได้มีก้อนน้ำแข็งปลิวมาทางพวกเขา
      "ระวัง!"เวอริงดึงคาร์ลวิสน้อยเข้ามากกอดก่อนจะสร้างบาเรียมาป้องกันก้อนน้ำแข็ง"จู่ๆเกิดอะไรขึ้นกัน"
      "มะ..มันเกิดขึ้นแล้ว"คาร์ลวิสเอ่ยขึ้นอย่างเสียงสั่น
      "หมายความว่าไงกัน"เฟรดิกมองคาร์ลวิสน้อยที่ดูหน้าซีดๆ"ไหวหรือเปล่า"
      "คำทำนายครับ ว่าโลกนี้จะดับสูญลงเมื่อครบห้าพันปี"สิ่งที่ได้ยินถึงกับทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นนิ่งอึ้งทันที"และ...ปีนี้ก็ครบห้าพันปีพอดี"
      "บ้าไปแล้ว! จะบอกว่าครบห้าพันปีทุกคนต้องตายไง!"อีเกิลพูดอย่างหัวเสีย
      "ผม..ผมต้องกลับไปหาแม่!"เอ่ยจบคาร์ลวิสน้อยก็ใช้แท่งคริสตัลเคลื่อน้งย้ายทันทีโดยที่ไม่มีใครห้ามทัน
      "คาร์ลวิส!!"กาเซสกับฟีน่าประสานเสียงร้องกันทันทีเมื่อเด็กน้อยตรงหน้าหายไป
      "เอาไงดีคาร์ลวิส"เฟรดิกหันไปถามคาร์ลวิสอย่างใจเย็น แต่คาร์ลวิสกลับยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนจนเฟรดิกต้องเรียกซ้ำ"คาร์ลวิส"
      "เวอริง คุณคงจะรู้สาเหตุใช่ไหมว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์นี้...ผมไม่คิดว่าพอโลกครบห้าพันปีจะล่มสลายเองเฉยหรอกนะ"คาร์ลวิสหันไปเวอริงนิ่งๆ
      "มันเกี่ยวกับคำทนายจริงนั่นล่ะ...แต่คำทำนายที่คาร์ลวิสน้อยพูดน่ะยังมีต่อคำทำนายจริงๆคือ ยมฑูตสีดำจะทำให้โลกล่มสลายเมื่อครบห้าพันปี"เวอริงกล่าวเสียงเรียบนิ่งราวกับมันเป็นเรื่องปกติ"แต่ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่ายมฑูตสีดำคือใคร"
      "ทำไมคุณถึงรู้เรื่องพวกนี้ได้ล่ะ"เฟรดิกจ้องเวอริงอย่างสงสัย เพราะเวอริงเองก็ไม่ใช่คนของโลกนี้
      "รถไฟของพวกข้ามันเดินทางไปทุกที่มาตั้งหลายล้านปีแล้วมันก็ต้องเคยได้ยินเรื่องพวกนี้บ้างสิ"เวอริงยักไหล่เบาไม่ได้สนใจสายตาที่มองมาที่เขาอย่างกับเจอหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
      "เอ่อ...คุณอายุกี่ปีแล้วครับ"กาเซสเอ่ยถามอย่างกล้าๆกลัวๆ
      "เอ...ปีนี้ก็ครับ7,000ปี พอดี"เวอริงชูนิ้วนับก่อนจะหันมาตอบ
      "ห้ะ! 7,000ปี หน้าพี่อย่างกับคนอายุ25เองนะ"อีเกิลมองอย่างไม่เชื่อสายตาว่าคนตรงหน้าจะอายุที่เรียกได้ว่าเป็นปู่ของปู่ของปู่ทวดของเขาเลยก็ว่าได้
      "ข้าไม่ใช่มนุษย์นี่ ว่าแต่มัวมาสนใจเรื่องข้าแบบนี้จะดีหรอ"เมื่อได้ยินที่เวอริงพูดทุกคนก็เบนสายตาไปมองคาร์ลวิสที่ยังยืนนิ่งอยู่
      "ผม...ขออยู่คนเดียว"พูดจบคาร์ลวิสก็หายไปจากตรงนั้นทันที
      "เฮ๊ย! หายไปแล้ว!"อีเกิลวิ่งไปที่ๆคาร์ลวิสยืนอยู่เมื่อสักครู่ก่อนจะมองไปรอบๆทันที"ได้ไงกัน?"
      "คงเพราะเขาเองก็ถือเป็นคนของโลกใบนี้มั้ง เลยได้อุปกรณ์เคลื่อนย้ายตอนมาถึงโลกนี้ล่ะมั้ง"เวอริงรับตาลงเพื่อลองจับสัมผัสจิตของคาร์ลวิสที่หายไป"แล้วพวกเจ้าจะเอายังไงต่อ"
      พวกเฟรดิกมองหน้ากันแล้วเฟรดิกก็หันไปมองเวอริง"พาพวกผมไปหาคาร์ลวิสน้อยได้ไหมครับ"
      เวอริงมองไปทางบ้านเรือนที่ไฟกำลังลุกไหม้ไปทีล่ะหลัง สภาพทั้งสองอาณาจักรตอนนี้จะเรียกว่าทะเลเพลิงเลยก็ว่าได้"พวกเจ้าคิดว่าไปแล้วจะทำอะไรได้ สภาพเมืองเป็นแบบนี้แล้วแท้ๆ"
      "ถึงพวกผมจะไม่มีพลังแต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยนะครับ"นัยน์ตาสีเขียวอ่อนของเฟรดิกจ้องเข้าไปในนัยน์ตาสีทองของเวอริง และพวกกาเซสก็ก้าวมายืนข้างๆเฟรดิกด้วยเช่นกัน"พวกผมอยากจะไปช่วยคาร์ลวิสครับ!!"
      เมื่อเห็นพวกเด็กหนุ่มพูดประสานเสียงพร้อมกันตรงหน้าก็ถึงกับกรีดยิ้มออกมาทันที"ได้ตามที่ขอเลยครับท่านผู้โดยสาร"สิ้นคำก็เกิดแสงสีทองล้อมรอบพวกเขาและพวกเขาทั้ง 5 คน ก็หายไปจากตรงนั้นทันที
      แสงสีทองปรากฎขึ้นตรงกลางทุ่งดอกไม้ที่กำลังล้อมรอบไปด้วยทะเลเพลิง แต่กับเป็นเรื่องที่น่าแปลกที่ทุ่งดอกไม้แห่งนี้กลับไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของเปลวเพลิงเลยแม้แต่น้อย และเมื่อแสงจางหายไปก็ปรากฎเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่กลางทุ่ง ผมสีดำของเขาพริ้วไหวไปตามสายลม นัยน์ตาสีดำสนิทจ้องไปที่ๆเมืองน้ำแข็งอย่างเศร้าสร้อย
      "เจ้ายังคิดที่จะเปลี่ยนแปลงอีกงั้นหรอ"หญิงสาวคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน นัยน์ตาสีอคาวมารีนจ้องไปที่เด็กหนุ่มนิ่ง
      "คุณนั่นเอง...อเวนด้าสินะ มีธุระอะไรกับผมอีกล่ะครับ"คาร์ลวิสหันกลับไปมองผู้มาใหม่อย่างเย็นชา
      "เจ้าจะทำอะไรได้"อเวนด้าเอ่ยพลางทอดสายตาไปยังเมืองที่เปลวเพลิงกำลังโหมกระหน่ำเผาไหม้ไม่หยุด"โลกนี้กำลังจะจบสิ้น ซึ่งนั่นก็คือชะตากรรมของโลกใบนี้"
      "คุณนี่ชอบพูดคำว่าชะตากรรมจริงๆนะ"คาร์ลวิสหันปรายตามองอเวนด้าเล็กน้อยแล้วหันไปมองเมืองที่กำลังไฟไหม้"แล้วก็รู้สึกจะเข้าใจผิดกันไปหมดแล้วนะครับ"
      "เข้าใจผิด? ตรงไหนกันล่ะ"อเวนด้าจ้องไปที่คาร์ลวิสที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ตน
      "ก็....ตรงนี้ไงล่ะครับ"เอ่ยจบก็ก้มลงไปกระซิบที่ข้างหูหญิงสาวเบาๆ และนั่นก็ถึงกับทำให้หญิงสาวตาเบิกกว้างเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้ยิน แล้วหันไปสบตากับคาร์ลวิสที่เดินถอยหลังออกไปแล้วเล็กน้อย
      "เจ้าต้องการอะไรกันแน่"หญิงสาวมองเด็กหนุ่มตรงหน้าปนระแวงเล็กน้อย
      เมื่อคาร์ลวิสได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมานิดๆ"รอดูสิครับ ดูว่าผมจะทำอะไรกันแน่น"และก่อนจะหายไปก็ส่งยิ้มให้หญิงสาวอีกครั้ง มันเป็นรอยยิ้มที่ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าต้องการจะสื่ออะไรกันแน่
      "เจ้าต้องการอะไรกันแน่ คาร์ลวิส เบย์ริงออซ"อเวนด้าพึมพำออกมาก่อนจะหายไป และไปยังสถานที่ที่จะสามารถให้คำตอบตนได้
      แสงสีทองปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับเป็นใจกลางเมืองชาร์น่าเมืองหลวงของอาณาจักรออร์คัส พอแสงหายไปคาร์ลวิสก็หันมองรอบๆก่อนจะเดินไปยังบ้างหลังหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตรงที่ตนอยู่นัก
      "คาร์ลวิส!!"เสียงหนึ่งดังขัดขึ้นเรียกชื่อตนทำให้หันกลับไปมองเจ้าของเสียง และก็ได้พบกับพวกเฟรดิก
      "นายหาไปไหนมา"กาเซสถามแล้วมองสำรวจไปทั่วตัวคาร์ลวิส
      "นิดหน่อยนน่ะ"ตอบเพียงแค่นั้นก่อนจะหันหลังแล้วเดินต่อ
      "นายจะไปไหนกัน"เฟรดิกถามก่อนจะก้าวเท้าเดินตามไป คาร์ลวิสไม่ได้หันมาตอบกลับแต่กลับมาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งตอนนี้เหลือเพียงแค่ซากเท่านั้น
      "คาร์ลวิส"ฟีน่าเรียกชื่อเบาๆเมื่อเห็นคาร์ลวิสมาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านคาร์ลวิสน้อย หรือก็คือบ้านของเขาในอดีตนั่นเอง
      "คุณนั่นเอง.."เสียงแหบแห้งดังขึ้นท่ามแลางความเงียบและนั่นก็ทำให้ทุกคนหันไปมองยังเสียงที่ได้ยิน"คุณคาคาส
      .."
      เสียงของหญิงสาวที่ดังขึ้นนั้นถึงกับทำให้นัยน์ตาสีดำสั่นไหวเล็กน้อยก่อนที่คาร์ลวิสจะก้าวเข้าไปหาช้าๆแล้วชันเข่าตรงหน้าหญิงสาว"เวริซ่า..."
      "ดีใจจริงที่คุณยังปลอดภัย แค่กๆ"พูดได้ไม่กี่คำเวริซ่าก็กระอักเลือดออกมาจนคาร์ลวิสต้องรีบสำรวจทั่วตัว จนได้เห็นว่าแท่งน้ำแข็งได้แทงทะลุท้องหญิงสาวจนเลือดไหลออกมาไม่หยุด"ขอฝากดูแลคาร์ลวิสด้วยนะคะ
      เวริซ่ายิ้มให้กับคาร์ลวิส และมันก็ทำให้น้ำตาหลั่งไหลออกมาจากนัยน์ตาสีดำโดยที่เจ้าตัวยังไม่ทันรู้ตัว คาร์ลวิสเอามือแตะน้ำตาของตนอย่างแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนมาประคองร่างหญิงสาวให้อยู่ในอ้อมกอดตน"ครับ.."
      เมื่อได้ยินที่เด็กหนุ่มรับคำก็ทำให้หญิงสาวคลี่ยิ้มออกมาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะสิ้นใจ
      คาร์ลวิสกระชับร่างหญิงสาวในอ้อมกอดแน่นขึ้นก่อนที่จะกระซิบข้างหูเวริซ่าเบาๆถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่มีทางได้ยินไปอีกเลยก็ตาม"ขอโทษครับ ท่านแม่"
      "คาร์ลวิส"เฟรดิกเอ่ยชื่อเพื่อนออกมาอย่างแผ่วเบาด้วยความเศร้าสร้อยก่อนจะเบนหน้าไปหาเพื่อนตนที่ทั้งน้ำตา น้ำมูกกำลังไหลพราก"เป็นไรของนายน่ะอีเกิล"
      "ก็มันเศร้านี่นา ฮือ คาร์ลวิส"แล้วน้ำตาก็ไหลมากขึ้นเมื่อพูดจบ
      "พอเถอะอีเกิล"คาร์ลวิสเดินกลับมาหาเพื่อนของตนโดยปล่อยทิ้งร่างหญิงสาวให้นอนตรงนั้นอย่างสงบ"ไปกันเถอะ"
      "นายจะไปไหนต่อ"ฟีน่าเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นคาร์ลวิสก้าวเดินออกห่างจากตรงนั้นไป
      "ไปดูจุดจบของเรื่องนี้"คาร์ลวิสพูดขึ้นก่อนจะใช้แท่งคริสตัลเคลื่อนย้ายพวกเขาทั้ง 6 ไปยังจุดจบของเรื่องนี้
      แสงสีทองส่องขึ้นอีกครั้งตรงด้านหน้าของซากปราสาทที่พวกเขามากันเป็นที่สุดท้าย
      "ปราสาทลูมิน่า..."กาเซสเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นปราสาทที่สวยงามกลายเป็นเพียงแค่เศษซาก
      "กาเซส ฟีน่า อีเกิล นายช่วยไปดูแถวหมู่บ้านใกล้นี้หน่อยได้ไหมว่าเป็นยังไงบ้าง"ถึงแม้ปากจะเอ่ยออกมาแต่สายตาของคาร์ลวิสกับจับจ้องไปที่เศษซากของปราสาท
      "เข้าใจแล้ว"กาเซสรับคำก่อนจะลากคออีเกิลให้ตามตนไปด้วย ตามด้วยฟีน่าที่มองคาร์ลวิสอย่างห่วงๆ
      "พวกเราก็เดินดูรอบๆกันเถอะครับ"คาร์ลวิสบอกก่อนจะเดินรอบๆแถวๆที่เคยเป็นปราสาท โดยมีเฟรดิกกลับเวอริงตามอยู่
      "นายจะทำยังไงต่อคาร์ลวิส"เฟรดิกถามคนตรงหน้าที่ยังเดินไม่หยุดและก็ไม่มีทีท่าว่าจะหันมาตอบตน"คาร์ลวิส!"
      "พอเถอะ..."เวอริงเอื้อมไปแตะไหล่เฟรดิกเป็นเชิงบอกว่าให้ใจเย็น เมื่อเฟรดิกเห็นดังนั้นจึงถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะมองไปที่คาร์ลวิสที่เงยหน้ามองท้องฟ้าอยู่
      "ทำไมกันล่ะครับ!!"จู่ๆก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากตรงหน้าปราสาทที่พวกเขาเคยเดินผ่านมากัน และมันจะไม่น่าตกใจเลยถ้านั่นไม่ใช่เสียงของคาร์ลวิสน้อย!!
      "เสียงนี่มัน...อ่ะ เฮ้!! คาร์ลวิส"เฟรดิกตกใจอีกรอบทันทีเมื่อเห็นคาร์ลวิสวิ่งไปทางเสียงของคาร์ลวิสน้อยที่ได้ยินเมื่อสักครู่นี้"โธ่เว๊ย!"
      "เฮ้อ.."เวอริงถอนหายใจแล้วมองเฟรดิกที่วิ่งตามคาร์ลวิสไปก่อนตนเองจะเดินตามไปอย่างช้าๆราวกับไม่มีเรื่องสำคัญอะไร
      บนซากปรักหักพังของปราสาทลูมิน่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่และที่หน้าประหลาดใจมากขึ้นถ้าใบหน้านั้นไม่เหมือนคาร์ลวิสราวกับแกะ นัยน์ตาสีดำของชายหนุ่มทอดมองไปยังเบื้องล่างและหยุดมองไปที่เด็กหนุ่มที่มีเรือนผมสีเงิน นัยน์ตาสีเขียวแกมเหลือง
      "คาร์ลวิส"ใช่แล้ว เด็กน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือคาร์ลวิสน้อยนั่นเอง
      "ทำไมกันครับพ่อ!! ทำไมถึงทำแบบนี้ ทำไมถึงต้องขโมยสมบัติแห่งเทพด้วย!!"และคำพูดนั่นก็ทำให้คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นถึงกับเบิกตากว้างทันที
      "คาร์ลวิส"เฟรดิกเดินมาข้างแล้วเรียกชื่อเบาๆ แต่คาร์ลวิสก็ไม่ได้หันไปสายตายังจับจ้องไปที่ภาพเบื้องหน้าอย่างนิ่งๆ
      "ถ้าพ่อมีสิ่งนี้พ่อก็จะสามารถทำสิ่งที่ไม่มีใครทำได้ พ่อจะสร้างโลกใบใหม่ขึ้นได้!!"และคำพูดที่ได้ยินนั่นก็ถึงกับทำให้เด็กหนุ่มสองคนกัดฟันอย่างโกรธแค้น"มากับพ่อสิคาร์ลวิส!"
      "พ่อรู้ไหมว่าสิ่งที่พ่อทำมันทำให้คนตายแค่ไหน แล้วพ่อรู้ไหมว่าสิ่งนั้นมันทำให้แม่ต้องตาย!!"คาร์ลวิสน้อยตวาดออกไปอย่างเดือดดาล น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาอย่างไม่อาจห้ามได้
      "ถ้าพ่อมีสิ่งนี้ก็จะสามารถชุบชีวิตแม่ได้!"ชายหนุ่มหันไปมองกล่องที่ตนเองถืออยู่ในมือ"ขอแค่มีสิ่งนี้ฉันก็สามารถจะเป็นพระเจ้าได้ ฮ่าฮ่า- อึก! นี่มันอะไรกัน!"จู่ๆใบหน้าของชายหนุ่มที่กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่งก็แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่กำลังทรมาน"อ่ะ! อ๊าก!!"ชายหนุ่มกรีดร้องออกมาเสียงดังพลันกล่องก็เกิดแสงสว่างจ้าขึ้น
      "พ่อครับ!!"คาร์ลวิสน้อยตะโกนออกมาเสียงหลงทันทีที่จู่พ่อของตนก็ทรุดฮวบลงไปกับพื้น"พ่อครับ!"
      "อันตราย!-"เฟรดิกที่ตั้งใจจะวิ่งเข้าไปห้ามเด็กน้อยแต่ถูกคาร์ลวิสยกมือห้ามไว้ซะก่อน"คาร์ลวิส"
      คาร์ลวิสไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่ปรายตามองเฟรดิกอย่างเย็นชาก่อนจะหันกลับไปดูเหตุการณ์ตรงหน้าต่อ
      "พ่อครับ!"ทันใดนั้นเองสิ่งที่ทุกคนไม่ได้คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อมีลำแสงสีดำเส้นหนึ่งพุ่งทะลุคาร์ลวิสน้อยที่กำลังวิ่งไปหาพ่อตนอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครมองตามทัน และคาร์ลวิสน้อยก็ค่อยๆทรุดลงกับพื้นอย่างช้าๆ
      "อึก! นายจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปหรอคาร์ลวิส!!"เฟรดิกที่ทนกับภาพตรงหน้าไม่ไหวหันไปกระชากคอเสื้อเพื่อนของตนที่มองภาพตรงหน้าได้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
      "ดูต่อไปก็รู้เอง"คำตอบของคาร์ลวิสถึงกับทำให้เฟรดิกโกรธจัดเงื้อหมัดจะชกคาร์ลวิส
      "พอแค่นั้นล่ะ"เวอริงเข้ามาห้ามไว้ได้ทันก่อนที่เฟรดิกจะได้ชกคาร์ลวิส เมื่อเห็นเวอริงเข้ามาห้ามเฟรดิกก็ผลักคาร์ลวิสออกอย่างหัวเสีย"เจ้าจะเอายังไงต่อ"
      คาร์ลวิสไม่ได้ตอบเฟรดิกแต่กลับหันไปมองพระจันทร์บนฟากฟ้า"มาแล้ว"
      เฟรดิกกับเวอริงมองคาร์ลวิสงงๆก่อนจะเงยหน้ามองไปที่พระจันทร์บ้าง และทันใดนั้นก็เกิดหลุมดำขึ้น"นั่นมัน!"
      เสียงรถไฟดังขึ้นจากหลุมดำก่อนที่มันค่อยๆเคลื่อนขบวนมาจอดใกล้ๆกับที่พวกเขายืนอยู่
      "นี่น่ะเหรอมัวร์ โลกที่จะล่มสลายเมื่อครบห้าพันปี"เสียงหนึ่งดังขึ้นจากขบวนรถไฟ มันไม่ใช่เสียงของเวอริง เสียงที่ดังขึ้นนั้นช่างดูไพเราะและทุ้มนุ่มมากกว่าเวอริงยิ่งนัก และคนที่ปรากฏต่อหน้าพวกเขาคือชายหนุ่มผมเทา นัยน์ตาสีแดงสด ใบหน้าหล่อเหลา กำลังก้าวเท้าลงมาจากรถไฟ"เจ้าคิดว่าไงล่ะเวอริง"ชายหนุ่มคนนั้นหันไปมองอีกาสีดำที่กำลังเกาะไหล่ตน
      "มาสเตอร์..."เวอริงที่อยู่ข้างๆคาร์ลวิสพึมพำออกมาราวกับละเมอ
      "ไหนๆยังมีใครเหลือรอดอยู่บ้างไหม"ชายหนุ่มผมเทาก้าวเดินไปดูรอบๆของปราสาทก่อนที่หูจะพลันได้ยินเสียงๆหนึ่งและก้าวเดินไปทางเสียงนั้นแล้วได้พบกับเด็กน้อยที่กำลังนอนอยู่บนกองเลือด"โอ๊ะโอ๋ รู้สึกว่าจะยังมีคนเหลือรอดสินะ"ชายหนุ่มนั่งชันเข่าลงตรงหน้าคาร์ลวิสน้อย"ดวงแข็งไม่เลวนี่เจ้าหนู"
      "แค่กๆ คุณเป็นใครครับ"คาร์ลวิสน้อยสำลักเลือดเบาๆก่อนจะเอ่ยถามชายหนุ่มด้วยเสียงที่แผ่วเบา
      "เราน่ะหรอ? เรามีนามว่าแอลเคีย เป็นนายสถานีประจำรถไฟข้ามมิติขบวนนี้"แอลเคียคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้แก่เด็กหนุ่ม"เจ้าหนู ยังอยากมีชีวิตอยู่ไหม"
      คำถามนั้นทำให้คาร์ลวิสน้อยตาเบิกกว้างทันที"...อยากครับ.."
      คำตอบนั้นถึงกับทำให้แอลเคียแสยะยิ้มออกมา"เราจะช่วยเจ้าเอง...แต่เจ้าต้องมาทำงานให้เรา ตกลงไหม?"
      ไม่ว่าจะงานอะไรขอแค่ทำให้เขารอดก็พอ เขายินดีที่จะทำ คาร์ลวิสน้อยที่ได้ยินดังนั้นก็ตัดสินใจได้ทันที"ผมจะทำครับ"
      แอลเคียคลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง"เปลี่ยนไม่ได้แล้วนะ"แอลเคียพูดย้ำอีกครั้งและก็ได้รับนัยน์ตาที่แน่วแน่กลับมาเป็นคำตอบ"โอเค.."ชายหนุ่มช้อนตัวเด็กน้อยขึ้นอุ้มก่อนจะหันไปหาสัตว์เลี้ยงตน"ไปกันเถอะเวอริง เราหมดธุระกับที่นี่แล้ว"
      เมื่อได้ยินที่เจ้านายตนพูดเวอริงก็รีบกระพือปีกบินตามไปทันที อาจจะเป็นเพียงแค่เสี้ยววินาทีที่แอลเคียปรายตามามองคาร์ลวิสหนุ่มที่ยืนมองเหตุการณ์นั้นเฉยๆ
      "นี่มันหรือว่า..."เฟรดิกหันไปมองคาร์ลวิสอย่างไม่เชื่อสายตา
      "เฮ้ พวกฉันไปดูรอบๆแต่ไม่มีอะไรเหลือเลย"เสียงอีเกิลเอ่ยขัดขึ้นทำให้เวอริงกับเฟรดิกหันกลับไปมอง"พวกนายมีอะไรกันเปล่า"
      "เอ่อ...คือ..."เฟรดิกอ้ำๆอึ้งๆก่อนจะหันไปมองคาร์ลวิส และนั่นก็ทำให้กาเซส อีเกิล และฟีน่าหันไปมองตามอย่างงงๆ
      "คาร์ลวิส นี่นาย-"ยังไม่ทันที่เฟรดิกจะพูดจบก็มีแสงสีดำหลายสิบเส้นพุ่งตรงมาที่ที่พวกเขายืนอยู่"แย่แล้ว! ทุกคนหาที่กำบังเร็ว!"
      เมื่อได้ยินที่เฟรดิกพูดทั้ง 3 คนก็รีบมองหาอะไรไว้ใช้หลบภัย แต่กลางทุ่งร้างแบบนี้จะไปมีอะไรล่ะ แต่ก่อนที่ลำแสงสีดำจะพุ่งใส่ทุกคนหมายจะเอาชีวิตก็ได้มีบาเรียสีทองป้องกันเอาไว้ก่อน
      "เกิดไรขึ้น"กาเซสเงยหน้ามองรอยๆตัวอย่างแปลกใจที่ไม่เป็นอะไรเลย
      "ฮ่าฮ่าๆ! ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้เองหรอ!"คาร์ลวิสใช้มือข้างหนึ่งปิดหน้าตนเองก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่น
      "คาร์ลวิสเป็นอะไร"ฟีน่าเดินเข้าไปหาใกล้ๆแต่จู่ๆก็ถูกอะไรบางอย่างผลักกระเด็นไปทางพวกเฟรดิก
      "ฟีน่า!!"เฟรดิกร้องลั่นทันทีเมื่อเห็นเพื่อนสาวถูกผลักกระเด็นออกมา ก่อนจะรีบเข้าไปประคองฟีน่าให้ลุกขึ้นนั่งดีๆ"คาร์ลวิส"
      คาร์ลวิสไม่ได้หันกลับไปมองพวกเฟรดิก และตอนนั้นเองก็ได้มีแสงสีทองล้อมรอบตัวคาร์ลวิสก่อนจะสลายหายไป และภาพตรงหน้าก็สร้างความตะลึงให้แก่ทุกคนตรงนั้นอีกครั้ง ผมสีดำที่ตัดสั้นละต้นคอกลายเป็นผมสีเงินยาวถึงกลางหลัง นัยน์ตาที่เคยเป็นสีดำสนิทก็เปลี่ยนเป็นนัยน์ตาสีเขียวแกมเหลือง ชุดที่เคยใส่จากเสื้อยืดกางเกงยีนส์ทั่วๆไปก็กลายเป็นชุดสูทอย่างดีแทน"ไม่ได้อยู่ในสภาพนี้นานเท่าไหร่แล้วนะ"
      คาร์ลวิสสำรวจรอบตัวเองก่อนจะล้วงเข้าไปหยิบของบางอย่างได้จากในกระเป๋า มันคือนาฬิกาแบบโบราณนั่นเอง"ยังอยู่ดีสินะ"
      "คาร์ลวิสนี่นาย"อีเกิลถามออกมาอย่างงงๆเมื่อเห็นภาพที่เพื่อนตรงหน้าเปลี่ยนไป
      คาร์ลวิสหันไปมองพวกอีเกิลก่อนจะกระตุกยิ้มทีหนึ่งแล้วก้มโค้งให้"ยินดีที่ได้พบท่านผู้โดยสาร ผมคาร์ลวิส เบย์ริงออซเป็นนายสถานีประจำรถไฟข้ามมิติ Orazio Train ขบวนนี้"
      คำแนะนำตัวนี้ถึงกับทำให้คนเป็นเพื่อนนิ่งไปทันที"แล้วคุณเวอริงล่ะ?"
      "ฉันหรอ?"เวอริงชี้ตนเองก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ"นั่นสิน้า..."เวอริงยิ้มให้กับกาเซสที่ถามครั้งหนึ่งก่อนที่ร่ายกายถูกปกคลุมไปด้วยลมราวกับพายุและที่ร่างที่เคยยืนอยู่ตรงนั้นก็หายไปแล้วเหลือเพีนงอีกาตนหนึ่งที่กำลังบินอยู่เท่านั้นเอง
      "เอาล่ะ ถ้าทางสถานที่แบบนี้คุยกันไม่เหมาะขอเปลี่ยนที่หน่อยแล้วกัน"คาร์ลวิสดีดนิ้วครั้งหนึ่งก่อน แล้วทุกคนก็ได้กลับขึ้นมาอยู่บนรถไฟเหมือนเดิม
      "คาร์ลวิส"เฟรดิกเรียกชื่ออีกคนแต่สิ่งที่ได้กลับมาคือนิ้วชี้ที่จรดริมฝีปากราวกับบอกให้เงียบก่อนจะชี้ให้หันไปมองที่นอกหน้าต่าง มองไปยังภาพของดวงดาวสีทองกำลังแตกสลายลงช้าๆแล้วกลายเป็นฝุ่นผงไปราวกับไม่เคยมีดาวดวงนี้อยู่ตั้งแต่แรกแล้ว
      "จบแล้วสินะ"คาร์ลวิสพึมพำออกมาอย่างแผ่วเบา
      "เปล่า มันยังไม่จบ"เสียงของเฟรดิกดังขึ้นทำให้คาร์ลวิสที่กำลังเหม่อหันกลับไปมอง"บอกความจริงมาซะ คาร์ลวิส"
      คาร์ลวิสมองเฟรดิกอย่างเฉยชาก่อนจะหันกลับไปมองนอกหน้าต่าง"ก็เหมือนกับที่นายได้เห็นล่ะ เฟรดิก"
      "นี่หมายความว่านายหลอกพวกเราอย่างั้นสินะ!!"เฟรดิกตะโกนออกมาอย่างเดือดดาล นัยน์ตาสีเขียวจับจ้องคนตรงหน้าอย่างโกรธแค้นที่โดนหลอก
      "เดี๋ยว! หมายความว่าไงกัน"กาเซสขัดขึ้นแล้วมองเฟรดิกกับคาร์ลวิสสลับกัน"นายหลอกเรางั้นเหรอ คาร์ลวิส"
      คาร์ลวิสถอนหายใจเบาๆก่อนจะอธิบายให้ฟัง"ไม่ได้หลอกแต่แค่จำไม่ได้"
      "จำไม่ได้?"พวกเฟรดิกทวนคำอย่างไม่เข้าใจ
      "ใช่ ฉันจำอดีตที่เกิดขึ้นตอนเด็กไม่ได้ว่าก่อนที่ฉันจะมาเป็นนายสถานีบน Orazio Train ขบวนนี้ ชีวิตฉันเป็นยังไงมาก่อน"คาร์ลวิสอธิบายอย่างเรียบนิ่งนัยน์ตาสีเขียวแกมเหลืองยังคงจับจ้องไปที่ๆเคยมีดาวสีทองอยู่"และถ้าฉันอยากจะจำเรื่องราวทั้งหมดได้ฉันต้องผนึกความทรงจำเกี่ยวกับรถไฟแห่งนี้แล้วไปใช้ชีวิตธรรมดาทั่วไปจนถึงวันที่ฉันเรียกรถไฟและเห็นเรื่องราวในอดีตทั้งหมดเรียบร้อย ความทรงจำที่ถูกผนึกก็จะปลดออก เรื่องก็มีแค่นั้นล่ะ"คาร์ลวิสเอ่ยจบก็เบนสายตามามองพวกเฟรดิก"พอใจยัง"
      "งะ..งั้นสรุปนายก็ไม่ได้หลอกพวกเราสินะ"อีเกิลถามเสียงเบา คาร์ลวิสนิ่งคิดสักพักก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ"เฮ้อ นายทำฉันใจหายใจคว่ำนะเนี่ย"อีเกิลเดินเข้าไปหาคาร์ลวิสแล้วเอามือพาดไหล่"นึกว่าต้องเสียเพื่อนไปแล้วซะอีก"
      เมื่อกาเซสกับฟีน่าได้ยินก็ถอนหายใจเบาก่อนจะคลี่ยิ้มให้คาร์ลวิส จะมีก็แต่เฟรดิกที่ยังมองคาร์ลวิสอย่างโกรธๆ จู่ๆคาร์ลวิสก็ทำหน้าเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้"จริงสิ ผมยังไม่ได้บอกพวกนายสินะว่าอะไรคือค่าตอบแทนในการเดินทางครั้งนี้"
      พวกเฟรดิกที่ได้ยินก็หันมามองคาร์ลวิสกันทันที"ค่าตอบแทน"ฟีน่าพึมพำเบาๆ"แล้วเราต้องจ่ายอะไรให้นายล่ะคาร์ลวิส"
      "ทุกคนเอาการ์ดที่ได้ตอนขึ้นรถออกมาสิครับ"ทุกคนพยักหน้าก่อนจะหยิบการ์ดสีดำออกมา"สิ่งที่เขียนอยู่บนการ์ดคือคำว่า memory คงเข้าใจความหมายกันสินะครับ"
      "หรือว่า!.."เฟรดิกเบิกตากว้างทันทีเมื่อรู้ว่าคาร์ลวิสต้องการจะสื่ออะไร
      "ถูกแล้วครับ สิ่งที่พวกคุณต้องจ่ายคือความทรงจำที่พวกคุณได้ขึ้นรถไฟขบวนนี้ ได้ย้อนเวลาหรือได้เดินทางไปต่างมิติ พูดง่ายๆคือคุณต้องจ่ายความทรงจำตั้งแต่ที่คุณเรียกรถไฟขบวนนี้ออกมาเพื่อให้ความปรารถณาป็นจริง"คาร์ลวิสอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง นัยน์ตาสีเขียวแกมเหลืองกวาดมองทุกคนอย่างเฉยชา"นั่นคือสิ่งที่พวกคุณต้องจ่าย และรวมถึงความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับผมทั้งหมดด้วยครับ"
      "!!"สิ่งที่ได้ยินตอนสุดท้ายถึงกับทำให้ทุกคนนิ่งค้างด้วยความตกใจไปในทันที
      "ทะ..ทำไม"ฟีน่าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง
      "สิ่งที่ทุกคุณต้องจ่ายเวลาต้องการใช้ Orazio Train ขบวนนี้คือความทรงจำเกี่ยวกับรถไฟขบวนนี้ทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่าตัวผมที่เป็นนายสถานีของรถไฟก็ต้องหายไปจากความทรงจำของทุกคนด้วย"
      "อย่างนี้มันไม่โหดร้ายไปหน่อยหรอ!"ฟีน่าตะโกนออกมาดังลั่น น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้างนัยน์ตาสีทองจับจ้องมาที่คาร์ลวิสอย่างเศร้าสร้อย"ทั้งๆที่รู้จักกันแล้วแต่กลับต้องลืมไป แต่นายก็ยังจำเรื่องพวกเราได้ อย่างนี้มันโหดร้ายกับนายเกินไปแล้ว"
      กาเซสเดินเข้าไปโอบไหล่ฟีน่าแล้วหันมามองคาร์ลวิส"ใช่แล้วล่ะ อย่างนี้มันโหดร้ายเกินไปทั้งต่อตัวนายและต่อพวกเรา"
      คาร์ลวิสมองไปยังฟีน่ากับเฟรดิกนิ่งๆ ดวงตาไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น"สิ่งตอบแทนจากการใช้รถไฟขบวนนี้คือความทรงจำที่ได้เรียกรถไฟขบวนนี้จนถึงย้อนเวลาหรือข้ามมิติ สิ่งตอบแทนพวกนั้นคือพลังงานในการขับเคลื่อนรถไฟขบวนนี้"เอ่ยจบก็ทอดสายตามองไปยังสถานที่ที่ไกลแสนไกล"มันคือสิ่งจำเป็นครับ"
      "งั้น็ทิ้งไปสิ!!"ฟีน่ามองคาร์ลวิสอย่างเศร้าสร้อย"ทิ้งรถไฟขบวนนี้ แล้วกลับไปกับพวกเราเถอะ!"
      "ใช่แล้ว! กลับไปกับพวกเราเถอะคาร์ลวิส!"อีเกิลพูดสนับสนุนอีกคน และถึงแม้กาเซสกับเฟรดิกจะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่นัยน์ตาของพวกเขาก็จ้องมาที่คาร์ลวิสอย่างแน่วแน่
      "พวกคุณนี่ตลกดีจริง"คาร์ลวิสยิ้มขำเบาๆก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงรีบนิ่ง และราวกับจะตอบรับคำขานของเจ้านายการ์ดสีดำทั้ง 4 ก็ลอยมาหยุดอยู่ด้านหน้าพวกเฟรดิก"ยินดีที่ได้รับใช้นะครับ"
      สิ้นคำก็เกิดแสงสีขาวเแล่งประกายออกมาจากการ์ดก่อนจะเข้าครอบคลุมพวกเขาทั้ง 4
      "คาร์ลวิส!!"เฟรดิกตะโกนเรียกชื่อคาร์ลวิสเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะถูกแสงสีขาวกลืนเข้าไป จนกระทั่งผ่านไปหลายนาทีแสงสีขาวก็ค่อยๆจางลงเหลือเพียงแต่พวกเด็กหนุ่มนอนนิ่งไม่ขยับไปไหน
      "โหดร้ายมากเลยนะเจ้านาย"อีกาตนเดิมบินมาเกาะเก้าอี้ นัยน์ตาสีแดงของมันจ้องมาที่คาร์ลวิส
      "หนวกหูน่ะเวอริง ผมก็แค่ทำตามหน้าที่"
      คาร์ลวิสปรายตามองไปที่เวอริงแล้วชูมือข้างหนึ่งขึ้นระดับหน้าอกทันใดนั้นการ์ดสีดำจากพวกเฟรดิกก็พุ่งเข้าหามือของเด็กหนุ่มทันที"เท่านี้ก็ได้เพิ่มมาอีก 4"คาร์ลวิสมองการ์ดในมืออย่างเฉยชา"เวอริง จุดหมายต่อไป บลูแพลนเน็ต"
      เมื่อได้ยินคำสั่งจากเจ้านายเวอริงก็บินไปที่หัวขบวนแล้วกำหนดเส้นทาง คาร์ลวิสก้มมองกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างเฉยชาก่อนจะหันหลังให้แล้วเดินจากไป
      "เรียบร้อยหรือยัง"คาร์ลวิสเดินมาที่หัวขบวนก่อนจะถามอีกาที่กำลังเกาะอยู่ที่หน้าต่าง
      "เรียบร้อยแล้ว"เวอริงส่วเสียงตอบกลับมา"ว่าแต่ท่านนี่ก็ทำเอาข้าตกใจเหมือนกันนะ เล่นเปลี่นสภาพไปแบบที่ข้าเองก็ยังจำไม่ได้เลย ถ้าไม่ได้เห็นอดีตของท่านข้าคงไม่รู้หรอกว่าพวกท่านเป็นคนเดียวกัน"
      "เลิกพูดถึงได้แล้ว"คาร์ลวิสปรายตา มองอย่างเย็นชา
      กริ้ง!
      เสียงกริ่งดังขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่าถึงจุดหมายแล้ว คาร์ลวิสที่ได้ยินเสียงก็เดินกลับเข้าไปในขบวนรถไฟแล้วตรงไปที่ๆพวกเฟรดิกสลบอยู่
      "ลากันเท่านี้ล่ะนะ"คาร์ลวิสเอ่ยแล้วร่ายเวทเคลื่อนย้ายให้พวกเฟรดิกลงจากขบวนรถไฟนี้ไป
      "ไม่คิดจะลงไปดูหน่อยหรือไงเจ้านาย"เวอริงที่บินมาจากหัวขบวนเอ่ยขึ้นคาร์ลวิสไม่ได้ตอบอะไรแต่ก็เดินลงไปหาพวกเฟรดิกที่ยังนอนนิ่งอยู่บนพื้นหญ้า"คุณมาทำอะไรอีกล่ะ อเวนด้า" คาร์ลวิสหันกลับไปมองผู้มาใหม่ด้านหลังตน
      "เราไม่นึกเลยว่าตัวจริงของเจ้าจะเป็นนายสถานีของรถไฟขบวนนี้"อเวนด้าค่อยๆลอยลงมาจากฟากฟ้า
      "ผมว่าคุณน่าจะเคยเห็นผมร่างนี้นะ"นัยน์ตาสีเขียวมองหญิงสาวเรียบนิ่ง
      "ใช่ ถ้าเป็นร่างนี้เรารู้จักเจ้า คาร์ลวิส เบย์ริงออซ นายสถานีประจำ Orazio Train รถไฟข้ามมิติแห่งจักรวาล"อเวนด้ามองคาร์ลวิสด้วยสายตาเย็นชา
      คาร์ลวิสที่ได้ยินแบบนั้นก็แสยะยิ้มออกมา"เป็นเกรียติจริงๆที่เทพีแห่งกาลเวลาจะรู้จักผมแบบนี้"คาร์ลวิสก้มโค้งให้เล็กน้อยก่อนจะเหยียดยิ้มออกมา
      "ยังเป็นรอยยิ้มที่น่ารังเกียจเหมือนเคยนะ"อเวนด้ามองรอยยิ้มนั่นก่อนจะเบนสายตาไปพวกเฟรดิก"ถึงกับหลอกใช้เพื่อนของตน"
      "พูดผิดพูดใหม่ดีกว่านะครับ"นัยน์ตาสีเขียวทอประกายเจิดจ้าเล็กน้อย"ตอนนั้นผมไม่มีความทรงจำเรื่องรถไฟนี้แม้แต่น้อย ถ้าถามว่าใครผิดก็คงต้องขอตอบว่าพวกเขาต่างหากล่ะครับที่มาทำความรู้จักกับผม"คาร์ลวิสปรายตามองพวกเฟรดิกที่สงบอยู่เล็กน้อยก่อนจะกลับมามองหน้าหญิงสาวตรงหน้า"มันไม่ใช่ความผิดของผมเลยแม้แต่น้อย"
      อเวนด้ามองรอยยิ้มตรงหน้าถึงกับขบกรามแน่น"เข้าใจแล้วว่าทำไมเราถึงไม่เอะใจเลยว่าเด็กหนุ่มคนนั้นคือเจ้า นิสัยที่ต่างกันคนล่ะขั้วแบบนั้น คงไม่มีใครมองออกหรอก"
      "ผมจะถือว่านั่นเป็นคนชมแล้วกันนะครับ"คาร์ลวิสยิ้มออกมาแล้วโค้งเป็นเชิงขอบคุณเล็กน้อย
      "ความทรงจำงั้นหรอ"อเวนด้ามองคาร์ลวิสแล้วพูดออกมาเสียงเบา ทำให้คาร์ลวิสเงยหน้ามองอย่างฉงน"เจ้าใช้พลังของเจ้าฝ่าฝืนชะตากรรม ย้อนเวลา เดินทางข้ามเวลา หรือเดินทางข้ามมิติ"อเวนด้าหันหลังให้คาร์ลวิส"บางที่มันอาจจะเป็นบทลงโทษก็ได้นะ"
      "บทลงโทษ? อย่างไรครับ.."คาร์ลวิสทวนคำอย่างไม่เข้าใจ
      "การที่เจ้าใช้พลังในการฝ่าฝืนชะตากรรมเพื่อให้ความปรารถณาของผู้อื่นเป็นจริง และค่าตอบแทนก็คือความทรงจำที่ผู้คนได้พบเจ้าจะถูกแปรเปลี่ยนมาเป็นพลังงานของรถไฟนั่น และผู้คนก็จะจำเจ้าไม่ได้"อเวนด้าปรายตามองมองคาร์ลวิสอย่างสมเพชเล็กน้อย"บทลงโทษคงเป็นการที่เจ้าต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวโดยไม่มีใครจำเจ้าได้ทั้งที่เคยเจอกัน เคยอยู่ด้วยกัน สุดท้ายทุกคนก็จะลืมเจ้าไป เหลือแต่สิ่งที่เรียกว่าความโดดเดี่ยวและความอ้างว้างเท่านั่นที่จะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า"
      คาร์ลวิสที่ได้ยินสิ่งที่อเวนด้าพูดก็ถึงกับนิ่งค้างไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป นัยน์ตาสีเขียวตอนนี้ไม่ได้สะท้อนอะไรทั้งสิ้นนอกจากความมืด
      "หึ มันคือค่าตอบแทนที่เจ้าต้องจ่ายให้กับท่านผู้นั้นยังไงล่ะ"อเวนด้าหันกลับมาพูดกับคาร์ลวิสเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหายไปจากตรงนั้นอย่างไร้ร่องรอยใดๆทั้งสิ้น
      "บทลงโทษงั้นหรอ ไร้สาระ"คาร์ลวิสหันไปมองพวกเฟรดิกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะก้าวขึ้นรถไฟไป"ของแบบนั้นน่ะมันไม่จำป็นสำหรับผมหรอก"
      "เจ้านาย.."เวอริงเรียกเบาๆเมื่อเห็นใบหน้าของนายตนนิ่งสนิท
      "เวอริง ออกรถได้"คาร์ลวิสเอ่ยด้วยย้ำเสียงเรียบนิ่งก่อนจะเดินเข้าไปนั่งในขบวน
      กริ้ง!!
      จู่ๆก็มีเสียงกริ่งดังขึ้นอีกครั้งแต่คราวนี้ไม่ได้บอกว่าถึงจุดหมายแล้ว
      "โอ๊ะโอ๋ ดูเหมือนว่าจะมีผู้โดยสารรายใหม่มาแล้วสินะ"คาร์ลวิสที่กำลังจะเดินไปนั่งหันกลับไปมองข้างนอกหน้าต่างด้วยนัยน์ตาที่กำลังทอประกายอย่างนึกสนุก"เวอริงไปดูจุดหมายของเราในคราวนี้สิ"คาร์ลวิสหันไปสั่งอีกาที่กำลังรอรับตำสั่งตนอย่างรู้งาน
      Orazio Train รถไฟข้ามิติได้เคลื่อนตัวออกอีกครั้ง รถไฟที่ขับเคลื่อนเพื่อทำให้ความปรารถณาที่ไม่มีวันเป็นจริงให้เป็นจริงได้"เอาล่ะ บอกความปรารถณาของคุณมาสิ"

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×