ตอนที่ 2 : สลักไว้ในรอยใจ...๑...50%
ตอนที่ ๑
ชายหนุ่มร่างสูง ดวงหน้าอ่อนโยนละมุนและสวมแว่นสายตา เดินลงบันไดมาชั้นล่าง เมื่อเห็นคนที่เดินออกมาจากห้องรับประทานอาหารก็ยิ้มกว้าง บุรุษผู้นั้นมีหน้าตาละม้ายคล้ายเขา เพียงแต่รูปร่างออกจะหนากว่าสักเล็กน้อย สวมเชิ้ตผูกไท นุ่งกางแกงสแล็ก เสื้อสูทและกระเป๋าเอกสารคงมีคนพาไปไว้ในรถให้แล้ว
“จะไปทำงานแล้วหรือ”
“ฮื่อ” อีกฝ่ายตอบรับในลำคอด้วยรอยยิ้มบาง หยุดยืนคุยด้วย “เป็นไง ขนาดเพิ่งมาถึงยังตื่นเช้าเหมือนเดิม”
“มันชินน่ะ แค่แดดส่องเข้าห้องก็รู้สึกตัวแล้ว”
“สั่งไว้แล้วว่าไม่ให้ใครไปกวน สมจิตรยังไปดึงม่านให้อีกหรือ”
“เปล่าหรอก ไม่ได้ปิดตั้งแต่เมื่อคืนต่างหาก แล้วนี่นายกินอะไรแล้วหรือ”
“เรียบร้อยแล้ว เอาไว้ค่อยคุยกันทีหลังละกัน เช้านี้ฉันรีบ มีประชุมตอนเก้าโมง จะไปดูรายละเอียดก่อนเข้าประชุมสักหน่อย”
คนเพิ่งลงมาจากชั้นบนยกมุมปากเป็นรอยยิ้ม เชิงรับรู้ เมื่อคล้อยหลังคนเป็นพี่เขาก็ตรงเข้าห้องรับประทานอาหารบ้าง
หลังจากจัดการอาหารเช้าแบบง่ายๆ ซึ่งเป็นกาแฟกับไส้กรอกทอด และไข่ดาว เรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ออกมานั่งอ่านนิตยสารอยู่ที่ชุดเก้าอี้สานที่ระเบียงด้านหลังตึก ติดสวนเขียวขจี กะว่าช่วงสองถึงสามวันนี้จะหยุดพักผ่อนอยู่กับบ้าน แล้วค่อยจัดการธุระต่างๆ หลังจากนั้นก็หางานทำให้เป็นเรื่องเป็นราว ดีกรีด็อกเตอร์มหาวิทยาลัยดังจากสหรัฐอเมริกา เป็นใบเบิกทางให้หางานได้ไม่ยาก แต่เขาจะเลือกทำที่ไหน และงานใดจะเหมาะกับเขานี่สิ
ชายหนุ่มผละจากความคิดเรื่องงาน มาย้อนถึงธุระที่จะต้องทำ อย่างแรกก็คงไปสวัสดีอาจารย์ในมหาวิทยาลัยผู้ซึ่งเขายังคงความนับถือไม่เสื่อมคลาย อาจารย์ที่ช่วยเหลือเขาทั้งเรื่องวิชาความรู้และเรื่องงานการก่อนเขาจะตัดสินใจเดินทางไปศึกษาต่อ หลังจากนั้นก็คงนัดเจอเพื่อนสนิทที่ยังติดต่อคบหากันอยู่
หัวคิ้วของชายหนุ่มย่นเข้าหากันนิดหนึ่งเมื่อเห็นภาพที่ปรากฏอยู่ในคอลัมน์บนหน้านิตยสาร ภาพของชายวัย 50 ปีไม่เกิน 55 รูปร่างติดจะสมบูรณ์สักเล็กน้อย หน้าผากเถิก ดวงตาเปล่งประกายแจ่มใส และรอยยิ้มใจดีแบบนั้นเขาจำได้เจนใจ...อาจารย์วิโชติ เรืองฤทธี ผู้ซึ่งเขาให้ความเคารพนับถือ และตั้งใจไว้ว่าจะไปเยี่ยมเคารพก่อนหางานทำ
ชายหนุ่มอ่านบทความในคอลัมน์อย่างสนใจ รอยยิ้มค่อยปรากฏบนริมฝีปากเมื่อได้รับทราบข่าวคราวและความสำเร็จในหน้าที่การงานของอาจารย์ จากตำแหน่งรองศาสตราจารย์ท่านได้เลื่อนขึ้นเป็นศาสตราจารย์อย่างเต็มตัว ผลงานวิจัยหลายชิ้นประสบความสำเร็จและก่อประโยชน์คุณูปการต่อประเทศชาติ รวมถึงให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเพื่อต่อยอดความรู้ นำชื่อเสียงมาสู่มหาวิทยาลัยและตัวท่านเอง แต่เขาเชื่อว่า ท่านก็ยังคงเป็นอาจารย์ที่สมถะ ยิ้มง่าย ใจดี และเป็นกันเองกับลูกศิษย์ลูกหาอยู่ไม่เสื่อมคลาย ชื่อเสียงที่ได้รับมิได้มีความสำคัญแต่อย่างใด
สำลีเข้ามาถามว่าจะให้จัดอาหารเที่ยงที่ไหน ตุลย์จึงเพิ่งรู้ตัวว่านั่งที่นั่นมาหลายชั่วโมงแล้ว ครั้นได้รับคำตอบสำลีก็กลับออกไปรายงานสมจิตร อีกราวเกือบสิบนาทีต่อมาเขาจึงค่อยขยับลุกไปยังห้องรับประทานอาหาร
ช่วงบ่ายตุลย์ต่อโทรศัพท์ไปยังเบอร์ซึ่งเคยกดหาบ่อยอยู่ช่วงหนึ่ง ครู่เดียวก็มีคนรับสาย ตุลย์คุยด้วยไม่กี่ประโยคแล้ววาง ใบหน้านั้นระบายรอยยิ้ม
ในเย็นวันเดียวกันนั้นเองเขาต้องยิ้มกว้างกว่าเดิม เพราะคนที่เขาเพิ่งโทร.ไปนัดหมายเวลากับผู้ช่วยเพื่อขอเข้าพบ กลับโทร.หาเขาด้วยตัวเอง พร้อมคำทักทายอารมณ์ดีและดูยินดีต่อการติดต่อไปของเขา
“ว่าไงด็อกเตอร์ตุลย์ เพิ่งรู้จากคุณตาว่าคุณโทร.มา ดีใจจริงๆ นี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“สองวันแล้วครับ”
“โอ! เร็วจริงๆ ดีใจๆ ที่คุณยังนึกถึงผม กลับมาถึงก็โทร.หาทันที” คำพูดมาพร้อมเสียงหัวเราะในลำคอ ตุลย์เองก็พลอยยิ้มไปด้วย
“ครับ โทร.ไปเช็กเวลาน่ะครับ บ่ายวันศุกร์อาจารย์ว่างใช่ไหมครับ ผมจะได้แวะไปสวัสดี”
“ว่างสิว่าง มาได้เลย จริงๆ แค่รู้ว่าคุณโทร.หาก็อยากเจอทันที แต่เผอิญเย็นนี้ผมมีนัดซะแล้ว เด็กๆ มันจะมาปรึกษาเรื่องโปรเจ็กต์น่ะ” คำพูดและน้ำเสียงยามเอ่ยถึงลูกศิษย์บ่งบอกความอ่อนโยนไม่คลาย
“เพิ่งกลับมาถึงแบบนี้ยังไม่มีงานทำใช่ไหม หรือมีที่ไหนจองตัวไว้แล้ว”
“ก็มีติดต่อมาบ้างแล้วครับ แต่ผมยังไม่ได้ตัดสินใจ”
“งั้นผมก็ยังมีหวังสิ” คนพูดเอ่ยหัวเราะๆ แต่คนฟังย่นคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
“กำลังอยากหาผู้ช่วยทำงานวิจัยตัวใหม่อยู่พอดี ถ้าคุณสนใจจะได้มาร่วมงานกัน เอ...เด็กๆ มันจะมาแล้วสิ เอางี้ ค่อยคุยกันต่อวันศุกร์นะ แล้วผมจะรอ”
“ครับอาจารย์”
ตุลย์วางโทรศัพท์ลงพร้อมกับอาการครุ่นคิด เรียวปากมิได้ยิ้ม แต่มีรอยแย้มละมุนตามนิสัย
เป็นเวลาเกือบห้าโมงแล้วตอนที่ตุลย์เดินออกมาจากห้องพักของศาสตราจารย์วิโชติ หลังจากแวะมาพบท่านตามนัดหมายพร้อมของฝาก และนั่งคุยกันร่วมชั่วโมงเศษ ท่านยังมีสอนนักศึกษาภาคพิเศษอีกคลาส เขาจึงลากลับก่อน ให้ท่านได้มีเวลาเตรียมตัวสำหรับการสอน
ระหว่างที่เดินมาตามระเบียงกว้างซึ่งปลอดผู้คนนั้น เมื่อมองตรงไปยังห้องที่อยู่เกือบริมสุดของตัวตึก ตุลย์ก็อดวาบลึกในอกไม่ได้ เป็นความรู้สึกที่ยากเกินกว่าอธิบาย บอกได้แต่เพียงมันช่างแสนละเมียดอย่างแปลกประหลาด และยินดีจะให้ความรู้สึกเช่นนั้นอุ่นอยู่ในอก โดยไม่คิดสลัดปัดเป่าให้พ้นไป
ขาพาเขาก้าวอย่างมั่นคงไปยังห้องนั้น
SLB802
ป้ายระบุหมายเลขห้องเด่นอยู่หน้าประตูซึ่งเปิดแง้มอยู่นิดๆ ทว่าในห้องไม่ปรากฏว่ามีคน คงหมดการเรียนการสอนสำหรับวันนี้แล้ว แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้มาสำรวจความเรียบร้อยแล้วปิดหน้าต่างประตู
ตุลย์ผลักประตูให้เปิดกว้างแล้วก้าวเข้าไป...ไวท์บอร์ด เครื่องฉายสไลด์ เก้าอี้ฟังบรรยายระเกะระกะ
ความรู้สึกเก่าย้อนคืนกลับมาอีกครั้ง
ในห้องนี้...และเธอคนนั้น...
นักศึกษาสาวที่เข้ามาในห้องเกือบคนท้ายๆ และเพียงแค่ได้สานสบสายตาต่อกัน ต่างคนต่างอึ้งงันกันไปเป็นครู่ใหญ่ หลังจากนั้นเธอก็เลือกนั่งแต่โต๊ะหลังห้อง หันไปมองทีไรเห็นแต่ก้มหน้าจดเลกเชอร์ยิกๆ ลงในสมุด คราใดเผลอสบตากันก็เป็นอันต้องรีบก้มหน้าลงทันที
สาวน้อยนักศึกษาที่รักของอาจารย์ในภาควิชา สาวน้อยที่อาจารย์แต่ละท่านต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นิสัยดี เอาใจใส่ต่อการเรียน และมักนั่งแถวหน้าเสมอ ทว่าในวิชาของเขา เธอเลือกนั่งหลังห้องทุกคาบเรียนกระทั่งจบเทอม
รอยยิ้มระบายบางๆ บนเรียวปากชายหนุ่ม
ทำไมจะไม่รู้ว่าเพราะอะไร
“ฉันไม่เรียกร้องอะไร แต่อยากจะขอร้อง ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นให้หมด อย่าจำแม้แต่หน้าฉัน”
เธอจะรู้บ้างไหม ว่าเขาไม่เคยทำได้ตามคำขอ
รถยนต์เข้าจอดในโรงจอดรถของบ้านธนุเดชาเมื่อหลังสามทุ่ม รถของติณห์จอดสงบอยู่ในที่ประจำ อีกด้าน คันของตติยาครองพื้นที่ รอผู้เป็นเจ้าของกลับมาใช้สอย
เมื่อตุลย์เดินเข้ามาในบ้านก็เจอกับผู้เป็นพี่ซึ่งอาบน้ำเปลี่ยนไปสวมใส่ชุดสำหรับเข้านอนเรียบร้อยแล้ว นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟารับแขก
“ไปไหนมา กลับซะดึกเชียว”
คำถามมิได้มีเค้าตำหนิติเตียน แต่คนฟังก็อมยิ้ม ทำทีเป็นยกนาฬิกาขึ้นมอง
“อะไรกัน สามทุ่มเนี่ยนะ ดึก หรือพอมีเมียเข้าหน่อยต้องเปลี่ยนมากลับเข้าบ้านก่อนพระอาทิตย์ตก เดี๋ยวนี้กลายเป็นเสือจำศีลไปแล้วหรือไง คุณนิกอยู่ห่างตั้งเป็นครึ่งค่อนโลก นายจะเถลไถลไปบ้างเขาก็ไม่รู้หรอกน่า”
คนฟังอมยิ้มพลางปิดหนังสือ ในรอยยิ้มนั้นละม้ายเจือแววเขินไว้เล็กน้อย
“อย่าเปลี่ยนเรื่องน่า ออกไปไหนมา หรือว่าแอบไปหาสาว ดูหน้าตาสดใสมาอย่างนี้”
“สาวที่ไหน ใครจะเหมือนนาย แต่งงานสายฟ้าแลบไม่ทันให้คนอื่นตั้งตัว”
ยิ่งพูดก็ยิ่งเข้าเนื้อ ติณห์จึงได้แต่ส่ายหน้าระอา ตุลย์เดินเข้ามานั่งยังโซฟาครึ่งวงกลมตัวใหญ่ซึ่งผู้เป็นพี่นั่งอยู่เกือบกึ่งกลาง
“แวะไปหาอาจารย์ที่มหา’ลัยมาน่ะ ขากลับผ่านทางบริษัทเจ้าดลย์มัน ใกล้เลิกงานพอดีเลยชวนกันไปต่อ”
เมื่อเจ้าตัวพูดเรื่องงาน คนเป็นพี่ก็ได้โอกาสถาม
“แล้วตกลงนายจะทำงานที่ไหน คิดไว้หรือยัง”
ถ้าผู้เป็นน้องเรียนมาทางสายธุรกิจ หรือสนใจงานด้านนี้แม้สักเล็กน้อย ติณห์คงเบาใจ และคำถามก็คงไม่ใช่อย่างนี้
“ไปพบอาจารย์วิโชติมาวันนี้ แกชวนทำวิจัย คุยรายละเอียดคร่าวๆ แล้วน่าสนใจดี ว่าจะลองดูก่อน กว่าจะเสร็จวิจัยตัวนี้ก็อีกหลายเดือน อาจกินเวลาเป็นปี หลังจากนั้นค่อยว่ากัน”
“จะกลับไปสอนด้วยหรือเปล่า”
คนฟังนิ่งไป ถ้าติณห์สังเกตสักนิดจะเห็นว่าสีหน้านั้นขรึมผิดกว่าเคย แต่แค่ครู่เดียวเท่านั้น
“ยัง...เป็นเจ้าหน้าที่ช่วยงานท่านศาสตราจารย์ไปก่อน ยังไม่อยากสอนใครตอนนี้” มีเสียงถอนหายใจเบาๆ มาจากคนพูด “ไม่ได้ขับรถในกรุงเทพฯ ซะนาน มึนหัวพิลึก ไปอาบน้ำนอนก่อนล่ะ นายก็เหมือนกัน ดึกป่านนี้แล้วระวังเถอะ เมียโทร.กลับมาเช็กรู้ว่ายังไม่นอนจะโดนดุเอา”
“ไอ้เจ้านี่!” ติณห์อยากฟาดหนังสือใส่สักที แต่คนพูดดีดตัวลุกเดินห่างออกไปแล้ว ทิ้งไว้แต่เสียงหัวเราะให้เขาอมยิ้มมองอย่างหน่ายใจ
//////////////////////////
เผื่อมีคนกำลังคิดถึงอยากรู้ความเป็นไปของหนูนิกกับคุณติณห์ ส่งเรื่องมาให้รู้คร่าวๆ แค่เน้ก่อนน้า
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แอบรอคุณแก้วมาต่อเรืีองนี้นะคะ (รออออ)
ส่วนตัวเราชอบงานเขียนเล่มเก่า อ่านแล้วละมุนละไม ดีต่อใจ อิ่มอุ่นในความรู้สึก อ่านแล้วมีความสุข ส่วนงานเล่มหลังๆมานี้ก้อแต่งดีนะคะ แต่เรารู้สึกว่ามันไม่อิ่ม เหมือนรีบๆเขียน ขาดความละมุนไปนิด
เหมือนคุณแก้วจะเปลี่ยนแนวเขียน
ไม่รู้รีดส์ท่านอื่นๆรู้สึกเหมือนเรามั๊ยน๊ะ?
หรือเรารู้สึกไปเอง
ปล# อุดหนุนครบทุกเล่ม แล้วนะคะ และจะอุดหนุนเล่มต่อๆไปเหมือนเดิม
อยากอ่านเรื่องของคุณตุลย์มาก ๆ ค่ะ...หลังจากที่อ่านคุณติณห์ ซ้ำไปซ้ำมา หลายรอบ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าอ่านต้นเรื่องแค่ 2 บท ทำไมถึงรู้สึกชอบเรื่องนี้ขนาดนี้...เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนค่ะ หวังว่าวันนึง...จะได้อ่าน "สลักไว้ในรอยใจ" ^^
ไม่เคยโพสต์ แต่เรื่องนี้เริ่มต้นก็ถูกจริตแล้วค่ะ