คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : [SF] My Old Story : EP 2 | JackJae
My Old Story By IU
**************************************************************************************************
Episode 2
That old story, it was...
หลังจบการแสดง ชีวิตประจำวันของผมก็กลับเข้าสู่วนลูปเดิมๆของเด็กเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ตื่นเช้า ไปเรียน แล้วก็ไปเรียนพิเศษช่วงเย็นต่อ พอกลับมาถึงบ้าน พักกินข้าวสักชั่วโมงก็ขึ้นห้องไปอ่านหนังสือทบทวนจนถึงเที่ยงคืนแล้วค่อยนอน
ไม่มีอะไรต่างไปจากเดิม
อันที่จริงก็มีนิดหน่อยนะ
Mr. Wang
นอนหรือยัง 10.32 pm
อย่ามัวแต่อ่านหนังสือจนนอนต้องนอนดึกบ่อยๆ เข้าใจมั๊ย 10.33 pm
ดูแลตัวเองด้วยนะ อีกไม่กี่เดือนก็จะสอบแล้ว พี่เป็นกำลังใจให้นะลูกหมู 10.33 pm
ข้อความที่อีกฝ่ายส่งมาถูกเปิดอ่านตั้งแต่ช่วงห้าทุ่ม แต่จนถึงตอนนี้ เที่ยงคืนกว่าแล้ว ผมก็ยังไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
โทรศัพท์มือถือถูกปล่อยให้วางนอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียง ข้างๆกันเป็นร่างอวบๆของผมเองที่นอนอืดอยู่
หนังสือเรียนถูกวางทิ้งไว้กลางห้องตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้วเพราะผมไม่มีกะจิตกะใจจะอ่านต่อ ความคิดบางอย่างที่แทรกเข้ามาในหัวเป็นระยะๆทำลายสมาธิในการอ่านหนังสือไปจนหมด สุดท้ายผมเลยต้องยอมแพ้และขึ้นมานอนก่ายหน้าผากนิ่งๆอยู่บนเตียง
ครืดๆ
Mr. Wang sent you a new messege
Mr. Wang
เดี๋ยวนี้หัดอ่านไม่ตอบแล้วเหรอลูกหมู 00.45 am
ข้อความล่าสุดที่พี่แจ็คสันส่งมาเมื่อครู่ทำให้ผมต้องทิ้งโทรศัพท์ไว้ข้างๆตัวและฟุบหน้าลงกับเตียงอีกครั้ง
ไม่ใช่ไม่อยากตอบ
แต่ไม่รู้จะตอบอะไรต่างหาก
การตอบแชทของพี่แจ็คสัน...กลายเป็นเรื่องยากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ความรู้สึกประหลาดๆนี้มันเริ่มมีตั้งแต่หลังจบการแสดงละครเวที เริ่มจากการที่ผมรู้สึกประทับใจและขอบคุณอีกฝ่ายที่เป็นกำลังใจให้ผมตลอดไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร
ขอบคุณ...ที่เปิดโอกาสให้ผมได้ทำในสิ่งที่ผมรักอย่างเต็มที่
แต่จากคำว่าขอบคุณ ผมกลับรู้สึกว่าความรู้สึกที่มีมันมากขึ้นเรื่อยๆ
มาก...จนเกินไป
มัน...อธิบายไม่ถูกเหมือนกันนะ
เหมือนอยากอยู่ใกล้ๆ แต่อีกใจก็อยากจะหนีไปให้ไกล
ดีใจเวลาอีกฝ่ายแสดงความห่วงใย แต่อีกใจก็กลัว
...กลัวว่าความสุขพวกนี้...จะหมดไป...
หลายครั้งก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาแบบไร้เหตุผล แค่อีกฝ่ายย้ายฝั่งมานั่งข้างๆเวลาสอนหนังสือมือไม้มันก็พันกันยุ่งไปหมด ไม่รู้จะเอาไปวางไว้ที่ไหน คำถามง่ายๆที่ส่งมาในแชท ผมกลับต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงในการคิดทบทวนว่าจะตอบกลับไปยังไงดี
จริงๆแล้ว ถึงจะไม่เคยมีประสบการณ์กับเรื่องแบบนี้มาก่อน แต่ผมก็พอจะรู้ว่าไอ้ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไร
หลายครั้งที่ผมย้อนถามตัวเอง แต่คำตอบที่ได้มากลับมีแค่คำว่า 'ไม่รู้'
ลึกๆในใจ...ผมยังคงกลัว
กับการที่ต้องมายอมรับว่าตัวเอง...ช...ชอบ...ผู้ชาย ถึงจะไม่ได้รังเกียจคนที่เป็นแบบนั้น แต่พอมาเป็นเรื่องของตัวเองแล้วมันก็...ยากอยู่เหมือนกัน
แล้วยิ่งเป็นคนใกล้ตัวขนาดนี้
จะเกิดอะไรขึ้น...ถ้าพี่เค้ารู้ว่าผม...ชอบ...
พอเป็นเพศเดียวกันแบบนี้.... อะไรๆก็ดูจะยากและน่ากลัวไปหมด
นอกจากจะโดนปฏิเสธแล้ว...จะโดนรังเกียจด้วยมั๊ย
พี่แจ็คสัน...จะยังมองผมเป็นลูกหมูคนเดิมหรือเปล่า...
“เฮ้อ"
ถอนหายใจออกมาอย่างไร้ที่ระบาย เดิมแค่เรื่องเรียนก็เครียดจะตายอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอเรื่องนี้เข้าไปอีก กำลังใจจะอ่านหนังสือก็ยิ่งถดถอย เครียดกว่าเดิมอีก
“เพราะพี่คนเดียวเลยพี่แจ็คสัน..."
ที่ทำได้ ก็แค่กล่าวโทษอีกฝ่ายเบาๆใส่โทรศัพท์มือถือที่ยังคงเปิดโปรแกรมแชทกับเจ้าของแอคเค้าท์ Mr. Wang เอาไว้และผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น
철없던 사람아
You, childish person
그대는 나의 모든 것을 앗으려 하나
You already took away all of me
무정한 사람아
You, heartless person
สองสามวันต่อมา ผมได้รับข่าวดีที่ทำให้ผมแข้งขาอ่อนจนแทบยืนไม่ไหว
‘ชเว ยองแจเป็นเด็กมีพรสวรรค์ ผมไม่อยากปล่อยให้เด็กแบบเค้าต้องมาเสียโอกาสที่จะได้แสดงความสามารถของตัวเองและพัฒนามันไป’
‘ทางมหาวิทยาลัย ยินดีที่จะมอบทุนในการศึกษาต่อคณะดุริยางคศิลป์ให้กับคุณชเวย ยองแจครับ’
คำพูดของคณบดีคณะดุริยางคศิลป์ของมหาวิทยาลัยที่ผมไปแสดงละครเวทีเมื่อคราวนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัว
ให้ตายสิ! นี่ผมฝันอยู่หรือเปล่า!
คาดว่าถ้าตอนนี้ไม่ได้นั่งอยู่ในห้องรับรองของทางคณะ ผมคงกรีดร้องด้วยความช็อกผสมดีใจแบบสุดๆไปแล้ว
เรื่องของเรื่องก็คือ อาจารย์คิม จุนซู หรือคณบดีของคณะดุริยางคศิลป์เชิญคุณพ่อคุณแม่และผมให้มาเข้าพบหลังละครเวทีจบไปได้ประมาณ 3 สัปดาห์ ท่านบอกว่าท่านประทับใจเสียงร้องเพลงของผมมาก มากถึงขนาดที่ว่ายื่นเรื่องขอทุนการศึกษาให้ผมเข้าไปในการประชุมของบรรดาอาจารย์
ฟังดูเว่อร์ใช่มั๊ย ใช่! ผมก็ว่ามันเว่อร์! แต่มันเกิดขึ้นจริงแล้วครับท่านผู้ชม! ให้ตายเถอะ ผมรู้สึกเหมือนจะเป็นลมยังไงก็ไม่รู้สิ
ในตอนแรก คุณพ่อกับคุณแม่ของผมท่านก็ยังลังเล ผมก็พอเข้าใจแหละครับว่าทำไม พวกท่านค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ขนาดไหน ทำไมผมจะไม่รู้
‘ผมคงต้องขอปรึกษากับภรรยาก่อนน่ะครับ เรื่องแบบนี้....จะให้ตอบปุบปับเลยมันก็คงจะไม่ใช่น่ะครับ’
รู้มั๊ย ผมเกือบถอดใจไปแล้วตอนที่พ่อพูดประโยคนี้ออกมา
เหมือนลูกโป่งพองลม ก่อนจะถูกทำให้ฟีบลงอย่างรวดเร็ว
อา...จริงๆแล้วตอนนั้นผมเกือบจะร้องไห้ออกมาด้วยแหละครับ
ถ้าเกิดสุดท้าย พ่อกับแม่ตัดสินใจบังคับให้ผมปฏิเสธทุนไป...ผมคง...เหมือนใจสลายน่ะ เหมือนเห็นสิ่งที่รักมากๆอยู่ตรงหน้า...แต่ก็ต้องจำใจโยนมันทิ้งไป
แต่หลังจากผ่านไปหลายวัน พ่อกับแม่ก็เรียกผมให้เข้าไปคุยด้วยในห้อง พวกท่านถามผมด้วยสีหน้าจริงจังว่าอยากจะฝากชีวิตตัวเองไว้กับเส้นทางนี้จริงๆใช่มั๊ย
‘ผมรักการร้องเพลง ผมไม่รู้ว่าตัวผมจริงๆแล้วทำได้ดีขนาดไหนเพราะถึงตอนนี้ผมอาจจะดูเหมือนเก่ง แต่ข้างนอกนั่นยังมีอีกหลายคนที่เก่งกว่าผมอีกหลายเท่า...แต่ว่า...แต่ว่า...ถ้าพ่อกับแม่ให้โอกาส...’
‘...ถึงมันจะเป็นเส้นทางที่ดูไม่มั่นคง แต่ผมสัญญา ว่าผมจะทำให้ดีที่สุด...ผมจะ...ตั้งใจ ทำในสิ่งที่ผมอยากทำมาตลอด...ผม...ฮึก...’
วินาทีที่พ่อกับแม่ดึงตัวผมไปกอดและลูบหัวเบาๆอย่างที่พวกท่านเคยทำสมัยก่อน ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง
‘พ่อขอโทษที่บังคับลูกมาตลอด...’
‘ไปทำตามฝันของลูกนะยองแจ’
ทางเดินที่ผมเคยปิดมันไว้...ได้ถูกเปิดออกอีกครั้งหนึ่งแล้ว...
หลังตอบตกลงเรื่องทุนการศึกษากับทางมหาวิทยาลัยไป แน่นอน ว่าคนแรกที่ผมโทรหาก็คือคนที่คอยให้กำลังใจผมมาตลอดรองจากพ่อกับแม่
[Congratulation นะครับว่าที่นิสิตดุริยางคศิลป์]
“โหยยย ยังไม่ได้เป็นสักหน่อย ไม่เห็นต้องพูดซะเต็มยศขนาดนั้นเลยก็ได้นี่พี่แจ็คสัน”
ผมว่าพลางทรุดตัวนั่งลงบนเตียง มือก็คว้าหมอนข้างมากอดแก้เขิน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องเขินขนาดนี้ ทั้งๆที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้อยู่ตรงหน้าแท้ๆ
แถมยังเป็น...อาการเขินฝ่ายอยู่เดียวเพราะคนปลายสายไม่ได้รู้สึกอะไรเหมือนกันอีกต่างหาก....
...
...แต่เอาเถอะ...วันนี้ผมมีความสุขเกินกว่าจะมารู้สึกหน่วงๆ...ทำเป็นลืมๆมันไปสักวันก็แล้วกัน
[มีที่เรียนแบบนี้ก็ไม่ต้องมาเรียนพิเศษกับพี่แล้วดิ]
ประโยคคำถามทีเล่นทีจริงของคนปลายสายทำให้ผมนิ่งไป...จะว่าไป...ผมก็ลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเสียสนิท
เพราะผมมีที่เรียนแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่พร่ำทบทวนมา ไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือภาษาอังกฤษ ก็แทบไม่จำเป็นต้องใช้อีกแล้ว
และนั่นหมายถึง...ผมก็ไม่มีความจำเป็นต้องเจอพี่แจ็คสันอีกแล้วเหมือนกัน...
“...ไม่รู้สิพี่”
“พี่ยังอยากเจอผมอยู่มั๊ยล่ะ...”
อา...ตอนนั้นผมคิดอะไรอยู่นะถึงได้กล้าพูดประโยคนี้ออกไป ให้ตายสิ
น่าอายชะมัดเลย ชเว ยองแจ
[โห ถามกันตรงๆขนาดนี้ ถ้าพี่ตอบว่าไม่อยากเจอคงโดนเราซัดหน้าหงายแหงๆ ฮ่าฮ่าฮ่า]
ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆกับสิ่งที่พี่แจ็คสันพูดตอบกลับมาแม้ในใจยังแอบหวังให้คนปลายสายพูดว่ายังอยากเจอกันอยู่
...เพ้อเจ้อว่ะผม...ฮะฮะ...
[แล้ว...วันเสาร์นี้ว่างมั๊ย]
“เสาร์นี้เหรอ...อืม...ก็ว่างอ่ะ พี่มีอะไรหรือเปล่า”
[ก็...จะชวนไปกินข้าว ดูหนัง...ฉลองให้ว่าที่นิสิตใหม่ไง]
สาบานได้ว่าถ้าหัวใจผมเต้นแรงกว่านี้อีกนิด มันคงกระเด็นออกมาตีลังกา เล่นฮูล่าฮูปอยู่ข้างนอกแน่นอน
[ฮัลโหล? ยังอยู่ในสายหรือเปล่าเนี่ย ยองแจ?]
“ว่าง..ว่างครับ”
[ฮู่ว แค่นี้ก็จบ งั้นวันเสาร์นี้เจอกันนะ ที่ห้าง XX สัก...เที่ยงเป็นไง]
ผมจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองตอบอะไรพี่แจ็คสันไปบ้าง อันที่จริง...ผมแทบไม่มีสติเลยล่ะตอนนั้นน่ะ
คุยกันอีกไม่กี่ประโยค อีกฝ่ายก็เป็นคนขอวางสายไปเพราะต้องไปทำธุระอย่างอื่น ทิ้งให้ผมนั่งถือโทรศัพท์ค้างไว้ที่หูอย่างกับคนบ้า
เหมือนยืนอยู่ที่ปากเหว รู้ตัวดีว่าตกลงไปถ้าไม่ตายก็คงเลี้ยงไม่โต
แต่คนโง่อย่างผม...ก็ยังเต็มใจที่จะกระโดดลงไป
ต่อให้ต้องเจ็บเจียนตายทีหลังก็ไม่เป็นไร...ขอแค่ตอนนี้...ผมได้อยู่ข้างๆพี่แจ็คสัน...นั่นก็เกินพอแล้ว...
“พี่คิดบ้าอะไรอยู่ถึงได้ชวนผมดูหนังผีเนี่ย!!!”
ผมโวยวายใส่คนข้างตัวเสียงดังลั่นทันทีที่เราเดินออกมาจากโรงภาพยนตร์
มันน่าโมโหมั๊ยล่ะ รู้ก็รู้อยู่ว่าผมเป็นคนขี้กลัวขนาดไหน แล้วยังจะลากให้เข้าไปดูหนังแนวนี้ด้วยกันอีก โอย ผมลืมตาถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของหนังหรือเปล่าเหอะ
“ก็ไอ้แจบอมบอกว่าเรื่องนี้สนุกนี่หว่า แล้วมันก็บอกว่าไม่ค่อยน่ากลัวด้วยอ่ะ”
“แล้วพี่ก็เชื่อพี่แจบอมว่างั้น”
ไม่มีเสียงตอบกลับจากคนข้างกาย มีเพียงใบหน้าหงอยๆที่พยักขึ้นลงเบาๆ อย่าว่าแต่ผมเลย พี่แจ็คสันก็พอกันอ่ะ ขี้กลัวพอกัน แล้วยังจะซ่าส์เข้าไปดูหนังผีอีก มันน่านัก!
“งั้นเดี๋ยวแก้ตัวด้วยการพาไปกินอะไรอร่อยๆละกัน ร้านนี้ดังโคตร แจ็คสันชวนชิมคอนเฟิร์ม”
“ถ้าไม่อร่อยจริงนะ น่าดู”
เกือบทั้งวันนั้น เราไม่ได้ทำอะไรที่มีสาระกันเลยครับ หลังกินข้าวร้านอร่อยของพี่แจ็คสันเสร็จ เราก็ไปต่อกันที่เกมอาร์เคด เสียเงินไปเป็นหมื่นๆวอนเลยเหมือนกัน โดยเฉพาะกับไอ้ตู้คีบตุ๊กตา
“ไอ้ตู้นั่นแม่ งต้องไม่ได้มาตรฐานแน่ๆ พี่ว่าพี่เล็งเป๊ะๆแล้วนะ มันก็ยังคีบไม่ติด”
พี่แจ็คสันบ่นกระปอดกระแปดขณะที่เราเดินข้างๆกันอยู่ริมถนนไม่ไกลจากบ้านของผม ในมือยังคงถือไอศกรีมโคนที่เพิ่งซื้อจากร้านเล็กๆตรงหัวมุม
ก็บอกแล้วแท้ๆว่าไม่ต้องมาส่งก็ได้ ถึงมันจะทุ่มกว่าแล้วผมก็กลับบ้านเองได้ ผมก็ผู้ชายคนนึงป่ะวะ แต่พี่มันก็ไม่ยอมไง งอแงจะมาส่งให้ได้ ผมเลยต้องยอมปล่อยเลยตามเลย
ก็ดีเหมือนกัน...
...อย่างน้อย...ก็ได้อยู่ด้วยกันนานขึ้นอีกสักนิด...
“พี่ส่งตรงนี้ก็ได้นะ อีกไม่กี่บล็อกก็ถึงบ้านผมแล้ว”
ผมเอ่ยขึ้นเมื่อเราเดินมาถึงป้ายรถเมล์ แยกกันตรงนี้เลยก็ได้ พี่แจ็คสันจะได้ไม่ต้องเดินกลับมาขึ้นรถเมล์ที่นี่อีก เสียเวลา เสียแรงเปล่าๆ
"แล้วถ้าเราถูกไอ้พวกเด็กแว้นเต๊าะระหว่างทางไม่กี่บล็อกนี่ล่ะ"
"ตลกละ แถวบ้านผมไม่มีคนแบบนั้นสักหน่อย นี่พี่วิตกจริตป่ะเนี่ย"
"ก็เป็นห่วงนี่"
ผมไม่รู้ว่าพี่แจ็คสันคิดอะไรอยู่ระหว่างพูดประโยคนี้ ไม่รู้ว่าพี่เค้าพูดเอาขำๆหรือรู้สึกเป็นห่วงผมจริงๆ แต่ตัวผมตอนนี้...ให้ตายเถอะ คุณเคยรู้สึกเหมือนถูกต่อยเข้าจังๆที่เบ้าหน้ามั๊ย นั่นแหละผมเลย มึน อึ้งไปเลยแป๊บนึง
"ขำมากป่ะ ไปๆๆ กลับบ้านได้แล้ว แยกย้ายๆ"
ผมเอ่ยพลางรีบสาวเท้าเดินไปข้างหน้าด้วยกลัวว่าคนข้างกายจะสังเกตเห็นใบหน้าที่คงจะเริ่มขึ้นสีระเรื่อแปลกๆ แต่พี่แจ็คสันกลับไม่ยอมให้ผมทำแบบนั้น
คนตัวโตทรุดตังนั่งลงที่เก้าอี้ตรงป้ายรถเมล์ก่อนฉุดให้ผมนั่งลงข้างๆกัน
ไม่มีคำพูดอะไรระหว่างเรา บรรยากาศสนุกสนาน เต็มไปด้วยเสียงหยอกล้อ โวยวายของเราทั้งคู่กลับเงียบลงจนผมรู้สึกอึดอัดขึ้นมา
"พี่เป็นอะไรหรือเปล่า"
ผมเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าคนข้างกายเงียบไป พี่แจ็คสันไม่ตอบทว่าเงยหน้าขึ้นมองหลอดไฟเก่าๆเหนือศีรษะก่อนถอนหายใจออกมาเป็นรอบที่ล้าน
"จากนี้ไปก็คงไม่ได้เจอกันแล้วสิ"
เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกเหมือนโดนหมัดฮุกลุ่นๆซัดมาเต็มๆจนรู้สึกจุก
ผมเป็นคนบอกพี่แจ็คสันเองว่าผมจะไม่เรียนภาษาอังกฤษต่อแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่อยากเจอหน้ากันแล้วนะ แต่ถ้าผมยังเรียนแบบนี้ต่อไป อย่าลืมว่าผมก็ต้องจ่ายเงินให้พี่เขาทุกครั้ง ผมแค่อยากจะช่วยพ่อกับแม่ประหยัดในสิ่งที่พอจะประหยัดได้บ้างน่ะ
"ก็ไม่ขนาดนั้นสักหน่อย..."
"..."
"...ถ้าพี่อยากเจอผมก็โทรมาดิ Kakao ก็มี ทักแชทมาก็ได้นี่"
"..."
"...พี่แจ็คสัน?"
"...อาทิตย์หน้าพี่ต้องไปแคนาดา”
“...”
“...”
“...ไปเที่ยว?”
“เปล่า...”
“...”
“...พี่ได้ทุน...ไปเรียนต่อที่นั่น...สองปี”
ผมควรจะรู้สึกดีใจกับพี่แจ็คสันใช่มั๊ย
ได้ทุนไปเรียนต่อที่แคนาดา...ให้ตาย...นั่นมันเป็นความฝันของหลายๆคนเลยนะ
...ผมควรจะ...ดีใจมากๆเลยสิ..
...แต่ทำไม...
“...ไม่ไป...ไม่ได้เหรอ”
คงเพราะยังดึงสติกลับมาไม่ครบหลังได้ยินสิ่งที่คนข้างกายเพิ่งเอ่ยไป ผมถึงได้กล้าพูดสิ่งที่อยู่ในใจไปแบบไม่คิดแบบนี้
“อะไร...คิดถึงพี่หรือไงฮึ”
จนเมื่อถูกคนข้างกายแซวเอานั่นแหละถึงได้รู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกไป ผมแสร้งหัวเราะแห้งๆออกมาพลางโบกไม้โบกมือเป็นพัลวันว่าไม่ได้จะหมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย
...ถึงจริงๆแล้วในใจจะคิดแบบนั้นก็เถอะนะ...
“ตลกละ...ผมพูดเล่นเหอะ”
“...”
“...”
“...งั้นเหรอ”
“...”
“...แต่พี่คงเหงาแย่เลย...ไม่มีลูกหมูมาให้คอยแกล้งแบบนี้น่ะ”
ผมเกือบจะคล้อยตามแล้วนะ ถ้าเนื้อความในประโยคมันไม่ได้เป็นในเชิงแซะผมเล็กๆอ่ะ ฮึ
พี่แจ็คสันยิ้มบางพลางยกมือข้างหนึ่งมาโคลงหัวผมเบาๆเหมือนที่ชอบทำ ถ้าเป็นปกติผมคงต้องร้องโวยวายออกมาแล้วเพราะผมที่อุตส่าห์เซ็ตตั้งนานดันต้องมายุ่งเพราะพี่แจ็คสันคนเดียวเลย
แต่เพราะวันนี้...ไม่เหมือนทุกวัน
แค่คิดว่าคงไม่ได้เจอพี่แจ็คสันบ่อยๆอีกแล้ว...มันก็...
เพราะเคยคิดไว้แล้วว่า ถึงจะไม่ได้เรียนพิเศษด้วยกันอีกแล้ว แต่ก็ต้องได้เจอกันอีกบ่อยๆแน่นอนเพราะเราเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน พอมาเจอแบบนี้...มันเหมือน...ฝันสลายงั้นเหรอ?...ไม่รู้สิ
...ถ้าไม่ใช่...ก็ใกล้เคียงเลยล่ะมั้ง...
“ได้ทุนตั้งแต่เมื่อไหร่...ไม่เห็นบอกกันเลย”
“...รู้ตั้งแต่ช่วงที่เราไปซ้อมละครเวทีแล้วล่ะ”
“...”
“...”
“...แล้วก็เพิ่งมาบอกเนี่ยนะ”
มันไม่กะทันหันไปหน่อยหรือไง
ไม่คิดจะให้ผมทำใจบ้างเลยเหรอ
ผมได้ทำตามฝันของผม...ก็เพราะพี่
ผมมีความกล้าขนาดนี้...ก็เพราะพี่
ผมได้เรียนรู้สิ่งที่เรียกว่าความรัก...ก็เพราะพี่
แล้วพี่ก็จะทิ้งผมไปแบบนี้เนี่ยนะ...
ใจร้ายชะมัด
“ไม่โกรธพี่นะ”
“...”
“...ยองแจอา...”
“...ผมจะโกรธอะไรเล่า...พี่ก็...ตลกละ ฮะฮะ”
นั่นสินะ...ผมจะไปโกรธอะไรได้
...ไม่มีสิทธิ์สักหน่อย...
“บอกเวลามาแล้วกัน...เดี๋ยวผมไปส่งที่สนามบิน ไม่พลาดแน่นอน...แต่พี่ต้องออกค่ารถไปกลับให้ผมด้วยนะ ฮ่าฮ่าฮ่า”
ผมว่าพลางพยายามหัวเราะอย่างสุดความสามารถกับแก๊กห่วยๆที่คิดขึ้นมาเพื่อแก้สถานการณ์
เรานั่งคุยกันอยู่ตรงนั้นอีกสักพักก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายขอตัวกลับบ้านพร้อมยืนยันว่าอีกฝ่ายไม่ต้องมาส่ง ตอนแรกพี่แจ็คสันก็ไม่ยอมหรอกนะ แต่เพราะผมยังยืนยันเหมือนเดิมแม้จะถูกรบเร้าอยู่หลายครั้ง สุดท้ายพี่แกก็ยอม
ผมไม่เคยรู้สึกว่าระยะทางแค่ไม่กี่บล็อกมันจะไกลขนาดนี้มาก่อน
แต่ละย่างก้าวยากลำบากอย่างกับมีใครเอาหินมาถ่วงติดไว้ที่เท้า
วินาทีที่น้ำตาหยดแรกไหลออกมา ผมถึงได้รู้ว่าผมไม่สามารถทนกลั้นมันได้อีกต่อไป หนึ่งหยด สองหยด ไหลตามกันออกมาเรื่อยๆจนสุดท้าย...ผมกำลังเดินร้องไห้เหมือนคนบ้า
ไม่มีเสียงสะอื้น...มีแค่น้ำใสๆที่ไหลออกมาอย่างเงียบๆ
กับเสียงหัวใจ...ที่เหมือนจะเต้นช้าลงไปทุกที
เค้าว่ากันว่า ยิ่งเราอยากยืดช่วงเวลานั้นๆไปให้นานเท่าไหร่ มันก็ยิ่งจบเร็วขึ้นเท่านั้น
ผมว่า มันก็ฟังดูมีเค้าความจริงอยู่นะ
เพราะผมรู้สึกเหมือนแค่กระพริบตา วันที่พี่แจ็คสันต้องบินไปเรียนต่อก็เดินทางมาถึงซะแล้ว
สนามบินอินชอนในเวลาแปดโมงเช้ายังคงมีคนพลุกพล่านเหมือนเคย ทั้งคนเกาหลีและต่างชาติ เดินสวนกันไปมาจนคนที่ค่อยชอบอยู่ในที่ที่ๆมีคนเยอะๆอย่างผมอดมึนไม่ได้
“เรียบร้อยมั๊ยตาแจ็ค”
คุณแม่ของพี่แจ็คสันว่าขณะที่เจ้าตัวเดินกลับมาจากเคาท์เตอร์ของสายการบิน ในมือถือเอกสารสำคัญต่างๆไม่ว่าจะเป็นวีซ่าหรือพาสสปอร์ต ส่วนกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ถูกโหลดไปไว้ในเครื่องเรียบร้อยแล้ว
“ไปตั้งสองปี แม่คิดถึงแย่เลยเนี่ย...ไปถึงนู่นแล้วก็อย่าลืมติดต่อกลับมาบ้างนะเข้าใจมั๊ย”
คุณนายหวังพูดพลางสวมกอดลูกชายคนเดียวของบ้าน ถ้าผมมองไม่ผิดเหมือนจะเห็นว่าเธอน้ำตาคลออยู่เหมือนกัน แต่คงจะพยายามกลั้นไว้เพื่อไม่ให้คนที่กำลังจะต้องเดินทางเป็นห่วง
“เดี๋ยวผมถึงนู่น มีเน็ตใช้เมื่อไหร่จะรีบติดต่อกลับมาเลย แม่ไม่ต้องห่วงนะ”
พี่แจ็คสันว่าก่อนเดินไปหาคุณพ่อของพี่เขา ไม่มีการสวมกอดหรือล่ำลากันเหมือนกับที่ทำกับคุณแม่ มีเพียงฝ่ามือหยาบกร้านของคนอาวุโสกว่าที่แตะลงบนบ่าและรอยยิ้มบางๆเท่านั้น
“โชคดีไอ้ลูกชาย”
“แน่นอน พ่อก็ดูแลแม่ ดูแลตัวเองดีๆด้วยนะ อย่ามัวแต่ทำงานจนป่วยอีกล่ะ”
“บ่นอย่างกับเป็นพ่อเลยไอ้ลูกคนนี้นี่...ไปบอกลาเพื่อนๆไป อีกเดี๋ยวก็ต้องเข้าเกตแล้วนี่”
คุณพ่อว่าพลางพยัดเพยิดมาทางที่ผมและกลุ่มเพื่อนสนิทของพี่แจ็คสันยืนอยู่...แน่นอนว่ามีพี่แจบอมด้วย
คนตัวโตในชุดแจ็คเก็ตสีดำและกางเกงสแล็คสีเดียวกันเดินตรงเข้ามา พี่แจบอมเป็นคนแรกที่เข้าไปหาพี่แจ็คสันก่อนที่พี่คนอื่นๆจะเดินตามเข้าไป
ผมไม่ค่อยได้ยินว่าพวกพี่ๆเขาพูดว่าอะไรกันบ้าง แต่ก็คงไม่พ้นคำอวยพรผสมมุกตลกแก้เครียดตามประสาผู้ชายเฮฮา พี่แจ็คสันคลี่ยิ้มกว้างพลางหัวเราะเสียงดังลั่นเมื่อพี่แจบอมพูดอะไรสักอย่างออกมา
...ผมจะ...มีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มแบบนี้อีกมั๊ยนะ...
...คิดถึงแย่เลย...ตั้งสองปี...
...ตั้งแคนาดาเชียวนะ...ไม่ใช่ใกล้ๆเหมือนญี่ปุ่นหรือว่าฮ่องกงสักหน่อย...
...แล้วพี่แจ็คสัน...จะลืมกันมั๊ยนะ...
“ยองแจ”
ผมหลุดออกจากภวังค์หลังได้ยินเสียงเรียก เงยหน้าขึ้นก่อนพบกับคนตัวโตกำลังยืนค้ำหัวอยู่ ใบหน้าที่ผมคุ้นเคยมาตลอดปีกว่าๆกำลังฉีกยิ้มบางๆมาให้
“มาส่งพี่แท้ๆ ทำไมถึงทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้แบบนั้นล่ะฮึ”
พี่แจ็คสันว่าก่อนทรุดตัวนั่งลงข้างๆ เป็นตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งสังเกตว่าทั้งคุณพ่อคุณแม่และเพื่อนๆของพี่แจ็คสันหายไปไหนกันหมดแล้วก็ไม่รู้
“คนอื่นไปไหนกันหมดแล้วล่ะ”
“ไปห้องน้ำน่ะ”
ไปกันเป็นโขยงขนาดนั้นเลยน่ะเหรอ - -
“...จะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ...มาส่งพี่ทั้งที”
“จะให้ผมพูดอะไรอ่ะ...คนอื่นเค้าพูดกันไปหมดแล้วนี่”
ผมพูดพลางสบตากับคนข้างกาย
ไม่อยากจะละสายตา...แม้แต่วินาทีเดียว
อยากจดจำคนตรงหน้าไว้...ให้มากที่สุด
“ดูแลตัวเองดีๆนะลูกหมู...อย่ามัวแต่เล่นเกมจนดึกดื่นอีก เข้าใจมั๊ย”
“ผมไม่เคยเล่นจนดึกสักหน่อย”
“อ้อ พี่พูดผิด เคยแต่เล่นจนเช้าต่างหาก”
ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่คนข้างกาย จะไปแล้วยังจะมากวนประสาทกันอีก พี่แจ็คสันนี่มันพี่แจ็คสันจริงๆเลยให้ตายเถอะ
“พี่คงคิดถึงเราแย่เลย”
เป็นอีกครั้งที่ประโยคของพี่แจ็คสันทำให้ผมอยู่ดีๆก็รู้สึกหน้าร้อนวูบขึ้นมา
พี่ทำให้หัวใจผมต้องทำงานหนักอีกแล้วนะพี่แจ็คสัน
“ผมต้องดีใจใช่มั๊ยเนี่ย”
“อ้าวๆ พูดแบบนี้ก็สวยสิครับน้องยองแจ เดี๊ยะๆ”
ผมมุดหัวหลบพี่แจ็คสันที่ทำท่าจะเข้ามาล็อกคอ แต่สุดท้ายก็โดนคนข้างๆเขกหัวไปหนึ่งทีอยู่ดี เจ็บอ่ะ
“ยองแจ”
“อะไรอีกอ่ะ จะตีผมอีกหรือไง”
“...ขอกอดทีดิ”
ไม่มีการพูดพร่ำทำเพลงใดๆทั้งสิ้น คนตัวโตดึงตัวผมที่ยังคงนิ่งค้างเป็นหินเข้าไปกอดอย่างรวดเร็ว อ้อมแขนแข็งแรงของพี่แจ็คสันโอบแน่นจนใบหน้าของผมแทบฝังเข้าไปในแจ็คเก็ตสีดำของคนตรงหน้า
ไม่เคยคิดมาก่อน...ว่าผมจะดูตัวเล็กขนาดนี้...เมื่อมาอยู่ในอ้อมแขนของใครอีกคน
“ทำอะไรของพี่เนี่ย”
ผมกระซิบเสียงอู้อี้อยู่ภายในอ้อมกอดของคนตัวโตที่ฝังใบหน้าเข้ากับไหล่เล็กๆของผม ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านมาพาลจะทำให้น้ำตาที่คิดว่าแห้งไปแล้วกลับมารื้นใหม่อีกรอบ
“ไม่ชอบเหรอ”
พี่แจ็คสันกระซิบตอบกลับมาทั้งที่ยังคงฝังใบหน้าอยู่ที่เดิม
“...เปล่า...มันก็...ไม่รู้ดิ...”
คงเพราะผมพูดออกไปแบบนั้น พี่แจ็คสันถึงได้ผละตัวออกมาก่อนเปลี่ยนเป็นวางฝ่ามือใหญ่นั่นไว้บนศีรษะของผมและโคลงเล่นแทน
“ไว้เจอกันใหม่นะลูกหมู”
นั่นเป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่พี่แจ็คสันจะผละตัวออกไปและลุกขึ้นยืนเดินไปหาคนอื่นๆที่รออยู่ตรงหน้าเกต
ผมลุกขึ้นเดินตามไปเงียบๆ พยายามกลั้นน้ำตาที่ทำท่าจะพังเขื่อนออกมาอย่างสุดความสามารถ
ไม่ร้อง..ไม่ร้องเด็ดขาด
ตอนนี้พี่แจ็คสันกำลังยืนอยู่หน้าเกต กอดร่ำลาคุณพ่อคุณแม่เป็นครั้งสุดท้ายก่อนทำท่าจะเดินเข้าไปข้างใน
วินาทีนั้นเอง ที่อยู่ดีๆ...ผมกลับมีความรู้สึกแปลกๆแทรกขึ้นมา
ความรู้สึกที่บอกว่า...อาจจะไม่ได้เจอคนตรงหน้า...ไปอีกนานเลยทีเดียว
ทุกอย่างที่อัดอั้นอยู่ในใจ ความรู้สึกที่เก็บซ่อนไว้เหมือนกำลังเรียกร้องให้ผมทำอะไรสักอย่างก่อนจะปล่อยให้คนตัวโตเดินจากไปแบบนี้
ผม...
“พี่แจ็คสัน!”
เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างถูกหยุดไว้ มีเพียงพี่แจ็คสันที่หันกลับมามองผมพลางเลิกคิ้วสงสัย
“ผม...”
“ผม...ช...”
“ผม...ช...ชอบขนมของแคนาดา...กล...กลับมาเมื่อไหร่ ต้องซื้อมาฝากผมเยอะๆด้วยนะ”
ผมเห็นพี่แจ็คสันยิ้มขำๆก่อนเดินกลับเข้ามา ย่อตัวลงเล็กน้อยจนอยู่ในระดับเดียวกันและดีดหน้าผากผมดังเป๊าะ!
“เรื่องของกินนี่ไม่เคยพลาดเลยนะลูกหมู...ได้เลย จะซื้อกลับมาให้กินจนเบื่อเลย ให้สัญญา”
พี่แจ็คสันกำลังจะหายเข้าไปในเกต คนตัวโตหันกลับมามองอีกครั้งก่อนฉีกยิ้มกว้าง ยกมือข้างหนึ่งขึ้นโบกลาทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ และหายลับสายตาไป
“...ฮึก...”
น้ำตาหลายสิบหยดเอ่อล้นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ทันทีที่พี่แจ็คสันหายไปจากระยะสายตา ผมรู้สึกว่าตัวเองตัวสั่นจนต้องยกมือขึ้นกอดตัวเอง ขาทั้งสองข้างมันไร้เรี่ยวแรงจนต้องทรุดตัวลงนั่งกับพื้นสนามบิน
ผมไม่ได้สนใจว่าจากตรงนี้จะมีคนอีกกี่สิบคนหันมามอง ไม่ได้สนใจแม้กระทั่งว่าคุณพ่อคุณแม่และเพื่อนๆของพี่แจ็คสันจะตกใจขนาดไหนที่พอหันกลับมาก็เห็นผมนั่งสะอื้นไห้จนแทบขาดใจ
...เพราะความกลัวที่มีมากกว่า...ทำให้ผมเลือกปล่อยโอกาสที่อาจจะไม่มีอีกแล้วไป...
...ไม่มีอีกแล้ว...
“...พี่แจ็คสัน...”
...สุดท้าย...ผมก็มีให้เขาได้แค่รอยยิ้มโง่ๆเท่านั้น...
Fin
26/5/2016
1:22 am
Continue Reading in Episode 3
Coming Soon
Song’s Credit
My Old Story BY IU
เนื้อเพลงภาษาเกาหลี : http://writer.dek-d.com/joongjandi/story/viewlongc.php?id=1083870&chapter=34
เนื้อเพลงภาษาอังกฤษ : http://hanromeng.blogspot.com/2014/08/iu-naui-yetnal-iyagi-my-old-story-han.html
Let’s Talk
กลับมาแล้วค่า คิดถึงพี่จั๋นกับน้องแจกันมุ้ย อิอิ
เราว่าปัญหาของเราอีกข้อนึงก็คือหาความพอดีให้กับแต่ละตอนไม่ได้อ่ะ ตอนก่อนหน้านี้มีแค่ 17 หน้าเวิร์ดเอง ตอนนี้ปาไป 40 กว่า กรี๊ดด อีบ้า ขอความ Balance TT
ความม่าของเรายังไม่จบเพียงเท่านี้นะคะท่านผู้ชม สามารถติดตามตอนต่อไปได้นะคะ ถึงเราจะม่าแค่ไหนแต่ผู้เราต้องได้คู่กันค่ะ 55555
ไปแล้วค่ะ เจอกันใหม่ตอนหน้า ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชม ทุกคนที่ให้กำลังใจนะคะ ^^
ความคิดเห็น