ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Traveling | SF / OS [ JackJae ] #การเดินทางของแจ็คแจ

    ลำดับตอนที่ #12 : [SF] DayDream | JackJae

    • อัปเดตล่าสุด 18 มิ.ย. 59


     

    Short Fiction

     

    Daydream








              ผม...แอบชอบคนคนหนึ่ง

     

              นี่คงเป็นประโยคสุดคลาสสิกที่คุณอ่านเจอได้จากนิยายแทบทุกเรื่องเลยใช่มั๊ยล่ะ ฮะๆ

     

     

              เรื่องของผม...ก็คงเป็นแบบนั้นเหมือนกันมั้ง

     

     

              ธรรมดา

     

              ทั่วๆไป

     

              ไม่แตกต่าง

     

              ไม่โดดเด่น

     

              ไม่...น่าประทับใจ

     

     

     

              อย่างน้อยถ้ามันน่าสนใจบ้าง...คนคนนั้น เขาคงหันมามองผมบ้างแล้วล่ะ ฮะฮะ

     

     

     

              เขาชื่อ หวัง แจ็คสัน

     

              เขาเป็นรุ่นพี่คนหนึ่งที่ผมรู้จักสมัยเรียนมหาวิทยาลัยนี่แหละครับ

     

     

              ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกถึงความธรรมดา ความเป็น pattern ของมันเลยใช่มั๊ยล่ะ ฮะๆ

     

     

     

              แม้แต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน ยังไม่มีความพิเศษอะไรมากมายเลยครับ

     

              ก็แค่ว่า ด้วยความที่ผมยังเป็นนิสิตใหม่ ยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับเส้นทางในมหาวิทยาลัยมากนัก สุดท้ายก็เลยจบลงด้วยการปั่นจักรยานวนอยู่แถวนั้นประมาณ 10 รอบ นานซะจนคนคนหนึ่งที่นั่งอยู่แถวนั้นมั่นใจว่าผมหลงทางแน่ๆและหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้

     

     

              น้องๆ หลงทางเหรอ

     

     

              คงเป็นเพราะบุคลิกที่ดูค่อนข้างจะ...ห้าวเป้ง บวกกับสัญลักษณ์รูปเกียร์ที่ติดอยู่ตรงเนคไทของคนตรงหน้า ทำให้ผมหลุดอาการระแวงผสมหวาดกลัวไปแบบห้ามไม่อยู่

     

              ก็ใครต่อใครเขาก็พูดต่อๆกันมาทั้งนั้นเลยนี่นา ว่าเด็กวิศวะที่นี่น่ะ น่ากลัวจะตาย อย่าไปมีเรื่องด้วยเชียว

     

              เฮ้ย พี่ไม่กัดหรอก ไม่ต้องกลัวขนาดนั้นก็ได้...ว่าไง หลงทางเหรอเรา

     

             อ...เอ่อ...ครับ ใช่ครับ

     

             จะไปไหนล่ะ

     

             ห...หอสมุดกลางครับ

     

             โห หลงมาไกลเลย

     

     

              อ่า ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ ผมว่าผมก็ดูป้ายถูกนี่นา

     

     

              รีบมั๊ย

     

             ค...ครับ?

     

             พี่ถามว่า รีบมากหรือเปล่า

     

             ก...ก็ไม่รีบเท่าไหร่หรอกครับ ทะ...ทำไมเหรอครับรุ่นพี่

     

             ถ้าไม่รีบจะไปส่ง เดี๋ยวพี่ก็กะจะไปหอสมุดกลางเหมือนกัน แต่รอแป๊บนึงนะ เพื่อนพี่ฝากของเอาไว้ มันยังไม่มาเอาเลย แป๊บนึง

     

             เอ่อ..ตะ...แต่ว่าไม่เป็น...

     

             เฮ้ย!! ไอ้อิม!! ทางนี้เว้ย!! มาแล้วก็ดีๆ ของมึงอยู่บนโต๊ะนะ! เออๆ โต๊ะนั้นแหละๆ

     

     

              ทว่า ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ คนตรงหน้าก็ตะโกนโหวกเหวกเสียงดังซะจนผมต้องยกมือขึ้นปิดหู รุ่นพี่นิรนาม (ก็พี่เขาไมได้บอกชื่อผมมานี่นา) ทำมือชี้ๆไปที่อะไรสักที่วางอยู่บนโต๊ะหินใต้ต้นไม้ สงสัยว่าอาจจะเป็นของที่เพื่อนพี่เขาฝากเอาไว้มั้ง

     

              อ้าว ตกใจเหรอ ขอโทษๆ ตะโกนเสียงดังไปหน่อย รุ่นพี่นิรนามเอ่ยขอโทษผมสองสามทีหลังหันกลับมาและพบว่าผมยกมือขึ้นปิดหูค้างไว้อยู่ รอยยิ้มเป็นมิตรถูกวาดขึ้นบนใบหน้า ก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยต่อ ไปหอสมุดกลางใช่มั๊ย

     

              ค...ครับ...แต่รุ่นพี่ไม่ต้องไปส่งก็ได้นะครับ แค่บอกทางผมก็ได้...ผมเกรงใจ

     

              ปลายเสียงถูกลดระดับให้เบาลงเรื่อยๆเมื่อคนตรงหน้าหันกลับมามองผมด้วยสายตาดุๆ งือ น่ากลัวอ่ะ

     

             ก็บอกแล้วไงว่าจะไปพอดี เอาน่า ไม่ต้องเกรงใจ...เดี๋ยวพี่ขับให้ละกัน เราก็เกาะดีๆ จำทางไว้ด้วยล่ะ จะได้ไม่หลงทางอีก เคนะ

     

              เมื่อถูกมัดมือชกขนาดนี้ ผมจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้าหงึกๆไปอย่างว่าง่ายก่อนที่จักรยานคันเล็กจะค่อยๆเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้าๆในทิศทางตรงกันข้ามกับทางที่ผมปั่นมาในตอนแรก

     

     

              ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ผมและรุ่นพี่นิรนามก็มาถึงหอสมุดกลางอย่างปลอดภัย

     

              เอ้า ถึงแล้ว จำทางได้ป่ะเนี่ย

     

              จ...จำได้ครับ ผมเอ่ยตอบรับ ก่อนรีบโค้งขอบคุณคนตรงหน้าจนแทบจะเป็นเก้าสิบองศา ขอบคุณรุ่นพี่มากๆนะครับ

     

              เฮ้ย ไม่ต้องโค้งขนาดนั้นก็ได้ เรื่องแค่นี่เองน่าแล้วก็เลิกทำหน้าตกใจทุกครั้งที่พี่คุยกับเราได้แล้ว พี่คนนะไม่ใช่หมา ไม่กัด ไม่ต้องกลัว คนตรงหน้าพูดกลั้วหัวเราะ

     

               อ่า ครับ เพราะไม่รู้จะตอบกลับไปว่าอะไร ผมจึงเอ่ยออกมาเพียงเท่านั้นตามประสาคนพูดน้อย

     

              เอ้อ พี่ชื่อแจ็คสันนะ...หวัง แจ็คสัน เผื่อเจอกันอีกจะได้ทักกันถูก พี่แจ็คสันหันมาแนะนำตัวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ว่าแต่เราชื่อไร

     

              ผมเหรอครับ

     

             ตรงนี้ก็มีกันแค่สองคนนะ

     

     

              อืม...กวนประสาทเหมือนกันนะเนี่ย

     

             

              เอ่อ...ผมชื่อ ชเว ยองแจครับ อยู่ปี 1 คณะดุริยางคศิลป์ครับ

     

              ชเว ยองแจ ปี 1 คณะดุริยางฯ...โอเค จำได้ละ ไว้ถ้าเจอกันอีกต้องทักด้วยนะ ไม่งั้นโกรธแน่ เจอกัน

     

              รุ่นพี่แจ็คสันเอ่ยก่อนโบกมือลาผมและเดินไปหากลุ่มเพื่อนๆของพี่เขาที่นั่งรออยู่ในหอสมุดกลาง

     

     

              นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมคิดว่า...เด็กวิศวะ ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ใครๆเขาพูดมาสักหน่อย...เนอะ

     

     

     

    =

     

     

     

     

             อ้าว! ชเว ยองแจใช่มั๊ย เจอกันอีกแล้วนะ

     

              เสียงทักตอนพักกลางวันเป็นอะไรที่ผมไม่ค่อยพบเจอสักเท่าไหร่

     

              เพราะตอนกลางวันของวันนั้น โรงอาหารที่คณะดุริยางคศิลป์คนแน่นมาก และผมก็หิวเกินกว่าจะทนต่อแถวรอคิวที่ยาวเหยียดอย่างกับแจกข้าวฟรี ดังนั้น ผมเลยเลือกที่จะมาหาอะไรกินที่โรงอาหารกกลางของมหาวิทยาลัยแทน

     

              ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีก...บังเอิญอยู่เหมือนกันแฮะ

     

             สวัสดีครับรุ่นพี่แจ็คสัน

     

              เหวย จำชื่อได้ด้วยอ่ะ ดีใจจัง นึกว่าพี่จำชื่อเราได้อยู่คนเดียวซะอีก คนตรงหน้าว่าพลางยิ้มจนตาหยี มีคนนั่งหรือเปล่า พี่นั่งด้วยได้มั๊ย หาที่นั่งไม่ได้เลย

     

              ไม่มีคนนั่งครับ พี่นั่งได้เลยๆ

     

              ทันทีที่ผมผายมือเชิญให้ใครอีกคนนั่ง พี่แจ็คสันก็รีบแทรกตัวเข้ามานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผม และรีบกระซวก (เชื่อเถอะ ผมไม่ได้ใช้คำเว่อร์เกินไปเลยจริงๆ) ข้าวเที่ยงเข้าไปอย่างรวดเร็วประหนึ่งไปอดอยากปากแห้งที่ไหนมา

     

              อองไออ่ะ อินอ้าวอิ [มองไรอ่ะ กินข้าวดิ]

     

              ครับๆ

     

     

              ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องหลุดยิ้มออกมา

     

              แต่หลังจากที่ยิ้มออกมา ผมก็หุบยิ้มไม่ได้อีกเลยตลอดมื้ออาหารนั้น

     

     

              บ้า...บ้าไปแล้ว...ชเว ยองแจต้องบ้าไปแล้วแน่ๆเลยล่ะ

     

     

     

    =

     

     

     

     

              ตอนที่เราเจอกันโดยบังเอิญครั้งที่สาม พี่แจ็คสันเป็นคนเอ่ยปากขอไอดี Kakao ผม

     

     

              เจอกันบ่อยขนาดนี้ รู้จักกันเลยเถอะ เอาไอดีมา อย่าลีลาครับน้อง

     

     

              หลังจากนั้นเป็นต้นมา โทรศัพท์มือถือของผมที่เคยมีไว้เพื่อโทรเข้า โทรออก และนานๆทีจะไว้เช็คโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คบ้างเพื่อให้ทันกระแสสังคมก็สั่นบ่อยขึ้นจนน่าแปลกใจ ขนาดเพื่อนที่คณะยังถามเลยว่าทำไมช่วงนี้ผมก้มหน้ากดโทรศัพท์บ่อยจัง

     

              รุ่นพี่ที่รู้จักน่ะ ไม่มีอะไรหรอก

     

             นั่นแน่! ตอบเหมือนเซเลปสุดๆเลยอ่ะยองแจ มีอะไรไม่บอกเพื่อนนะเดี๋ยวนี้

     

             ก็ไม่มีอะไรจริงๆ จะให้บอกอะไรเล่า

     

              แม้แต่ตอนที่เอ่ยปฏิเสธเพื่อนไป ปากเจ้ากรรมมันยังหลุดยิ้มบางออกมาจนเพื่อนคนนั้นยิ่งล้อหนักกว่าเดิมอีก

     

              ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องยิ้ม

     

              ยิ้มทำไม ไม่ได้มีอะไรสักหน่อย

     

              จริงจริ๊ง

     

     

     

     

     

    Jackson Wang

    ทำไรอยู่น่ะ 11.30 pm

    Ars

    11.35 pm นอนเล่นครับ

    Jackson Wang

    คอลได้มั๊ย 11.37 pm

    Ars

    11.38 pm ครับ?

    Jackson Wang

    คอลไง สะดวกคุยหรือเปล่า? 11.38 pm

    Ars

    11.40 pm ก็ได้ครับ

     

     

     

     

              ทันทีที่ผมตอบตกลงไป เสียงเตือน video call ก็เด้งขึ้นมาทันทีแบบไม่เว้นช่วงให้พักหายใจ

     

              อะไรจะรีบขนาดนั้นนะ

     

     

              ไงง

     

              เป็นรุ่นพี่แจ็คสันที่เอ่ยทักทายขึ้นมาก่อน เพราะความมืด ทำให้ผมมองภาพจากกล้องของอีกฝ่ายไม่ชัดนัก แค่เห็นลางๆว่าพี่เขาคงกำลังนอนกลิ้งๆอยู่บนเตียงเหมือนกันกับผมนี่แหละ

     

             สวัสดีครับรุ่นพี่

     

             ทักทายเป็นทางการตลอดเลย

     

             แล้วรุ่นพี่จะให้ผมพูดยังไงล่ะ ฮายรุ่นพี่ ไรงี้เหรอ

     

              ไม่มีคำพูดใดตอบกลับมาจากคนปลายสาย มีเพียงเสียงหัวเราะในโทนต่ำกับใบหน้าคมคายที่เคลื่อนเข้ามาใกล้กล้องมากขึ้นจนน่าใจหาย

     

     

              ผมนี่แหละใจหาย

     

              ไม่รู้อีกแล้วว่าทำไมต้องใจหายด้วย

     

              เหมือนใจหยุดเต้นไปวูบหนึ่งเลยล่ะ

     

     

              ง่วงจัง

     

             ง่วงก็นอนสิครับรุ่นพี่

     

             แต่นอนไม่หลับอ่ะ...ทำไงดี

     

             ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะครับ

     

              ไม่รู้สิ... คนปลายสายชะงักไปเล็กน้อย ...มันเหมือน มีเรื่องให้คิดอยู่เต็มหัวไปหมด...เรื่องแย่ๆ

     

              ได้ยินเสียงถอนหายใจจากคนปลายสาย สงสัยว่าครั้งนี้คงจะเป็นเรื่องหนักใจจริงจังเลยล่ะมั้ง เพราะเท่าที่รู้จักกันมา ผมยังไม่เคยได้ยินพี่แจ็คสันพูดด้วยน้ำเสียงโทนติดลบขนาดนี้มาก่อนเลย

     

              ก็อย่าไปคิดถึงมันสิครับ

     

             ...

     

             ...บางที ถ้าพี่นอนหลับแล้วตื่นขึ้นมา วันพรุ่งนี้มันอาจจะมีอะไรที่ดีกว่ารอพี่อยู่ก็ได้นะ

     

              ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้พูดแบบนั้นออกไป รู้แค่ว่า ตอนนั้นผมอยากทำยังไงก็ได้ให้คนปลายสายรู้สึกดีขึ้น...สักนิดก็ยังดี

     

             

              หน้าเครียดๆกับน้ำเสียงเศร้าๆแบบนี้...มันไม่เหมาะกับรุ่นพี่แจ็คสันหรอกนะครับ

     

    กลับมายิ้ม หัวเราะด้วยน้ำเสียงสดใสเหมือนเดิมเถอะครับ

     

     

     

    จริงเหรอ

     

    ถ้าไม่เชื่อ...รุ่นพี่ก็ลองทำตามสิครับ

     

    คนปลายสายทำท่าเหมือนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนผมจะได้ยินเสียงขลุกขลักๆเหมือนคนกำลังล้มตัวลงนอน

     

    กล่อมหน่อยสิ

     

    ครับ?

     

    ช่วยกล่อมพี่หน่อยได้มั๊ย

     

    ...

     

    ช่วยอยู่เป็นเพื่อน...จนกว่าพี่จะหลับไปได้มั๊ย ยองแจ

     

     

     

    คุณคงจินตนาการไม่ออกเลยล่ะว่าตอนนั้น...ผมใจเต้นแรงขนาดไหน

     

    แค่คำพูดธรรมดาๆ ประโยคธรรมดาๆ กลับทำให้ใจเต้นแรงขนาดนี้

     

     

    ฝันดีนะครับ รุ่นพี่แจ็คสัน

     

     

    ผมเอ่ยขึ้นเมื่อรับรู้ได้ว่าปลายสายคงหลับสนิทไปแล้ว

     

    กับความรู้สึกใหม่ ที่เริ่มเบ่งบานขึ้นในหัวใจดวงเล็กของผม

     

     

     

     

    =

     

     

     

     

              หืม? อยากให้ผมไปช่วยเลือกเค้กเหรอ

     

             ช่ายยย ไปช่วยเลือกเค้กหน่อยดิ จะเอาไปเซอร์ไพรส์คน

     

     

              เหมือนกับทุกครั้งที่ถูกขอร้อง ผมตอบตกลงกับรุ่นพี่แจ็คสันและมาเจอกันที่ร้านเค้กข้างๆมหาวิทยาลัยในช่วงพักกลางวัน

     

              มันเป็นคาเฟ่เล็กๆ คนไม่ค่อยแน่นมาก แต่บอกเลยว่าสายชิมอย่างชเว ยองแจ นอนยันมาเลยว่าร้านนี้อร่อยสุดในละแวกนี้แล้ว

     

              พี่อยากได้เค้กอะไรอ่ะ

     

              ไม่รู้ดิ พี่ก็ไม่ค่อยชอบกินอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่ด้วย... คนข้างกายเอ่ยด้วยน้ำเสียงใช้ความคิด เราชอบกินเค้กอันไหนก็เอาอันนั้นแหละ พี่ไว้ใจเรา

     

     

              เป็นอีกหนึ่งคำพูดที่อยู่ดีๆก็ทำให้ผมใจเต้นแรงขึ้นมา

     

              อา...ความรู้สึกเวลาที่เราชอบใครสักคนมันเป็นแบบนี้เองสินะ

     

     

              เค้กสตอรเบอร์รี่ไซส์ 1 ปอนด์ถูกใส่กล่องเรียบร้อยวางอยู่บนโต๊ะ ส่วนตรงหน้าผมคือเค้กชิ้นเล็กที่เพิ่งซื้อมาหมาดๆจากคาเฟ่เมื่อครู่

     

             ค่าตอบแทนที่มาช่วยเลือก เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง

     

             จริงอ่ะ

     

             เอ้า พูดจริงดิ เด็กวิศวะ พูดแล้วไม่คืนคำนะบอกเลย

     

             ไม่พูดเปล่า พี่แจ็คสันยังดันจานกระเบื้องใส่เค้กชิ้นเล็กนั่นมาทางผมอีกด้วย

     

     

              รอยยิ้มอบอุ่นที่คนตรงหน้าส่งมา ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้ มันดี...ดีมากๆ ดีอย่างกับฝันไปเลย

     

              ไม่จำเป็นต้องจบลงด้วยการเป็นแฟนกันก็ได้

     

              ขอแค่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปตลอด

     

     

     

     

              แต่ผมคงลืมไปว่าเมื่อฝันได้...ก็ต้องตื่นได้

     

     

     

     

     

    =

     

     

     

     

     

              ผมมาถึงมหาวิทยาลัยในตอนสายๆ...

     

    ...เพื่อมาพบกับข่าวที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนผลักตกลงไปในเหวลึก...

     

     

     

    ยองจีเดือนคณะเราไง จำได้เปล่า?

     

    อื้อ จำได้ ทำไมเหรอคยอม?

     

    ก็ยองจีน่ะ คบกับรุ่นพี่แจ็คสันอยู่น่ะสิ!’

     

             ...

     

             ยองแจ?

     

             ...ว...ว่าไงนะ...

     

             อ้าว นี่ยองแจไม่รู้หรอกเหรอ เห็นว่าสนิทกับรุ่นพี่แจ็คสัน นึกว่าจะรู้อยู่แล้วซะอีกว่าสองคนนี้เขาเพิ่งกลับมาคืนดีกันหลังจากงอนกันไปสองอาทิตย์อ่ะ เห็นว่าพี่แจ็คสันเป็นคนถือเค้กไปง้อยองจีเองเลยนะ แล้วก็....

     

     

              ผมไม่ได้ยินอีกแล้วว่าเพื่อนสนิทข้างๆกายพูดอะไรอีกบ้าง

     

     

              หูมันอื้อไปหมด

     

     

     

              สองอาทิตย์ก่อนงั้นเหรอ

     

     

              ช่วงนั้นพอดีเลยสินะ

     

     

     

              ...มันเหมือน มีเรื่องให้คิดอยู่เต็มหัวไปหมด...

     

     

    ‘…เรื่องแย่ๆ

     

     

    ช่วยกล่อมพี่หน่อยได้มั๊ย

     

     

    ช่วยอยู่เป็นเพื่อน...จนกว่าพี่จะหลับไปได้มั๊ย ยองแจ

     

     

     

     

              เป็นตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกถึงความอุ่นร้อนที่ขอบตาจนต้องรีบเงยหน้าขึ้น

     

     

     

     

    ช่ายยย ไปช่วยเลือกเค้กหน่อยดิ จะเอาไปเซอร์ไพรส์คน

     

     

    เราชอบกินเค้กอันไหนก็เอาอันนั้นแหละ พี่ไว้ใจเรา

     

     

     

     

    เจ็บจังเลย

     

     

    ทั้งๆที่ไม่มีแผลแท้ๆ แต่กลับรู้สึกเจ็บไปหมด

     

     

    อยากจะ...ร้องไห้ออกมาดังๆ

     

     

    ทำไม...ถึงได้เจ็บขนาดนี้นะ

     

     

     

    เฮ้ย!!! ยองแจร้องไห้ทำไม! ใครทำอะไรยองแจอ่ะ เฮ้ยยย เป็นอะไรหรือเปล่า ยองแจ!’

     

     

    ที่ผ่านมา...มีแค่ผมที่คิดไปเองคนเดียวสินะ

     

     

     

    ถ้าไม่รีบจะไปส่ง เดี๋ยวพี่ก็กะจะไปหอสมุดกลางเหมือนกัน

     

     

     

    ความหวังดี ความมีน้ำใจ

     

    ทุกครั้งที่มาหา ทุกครั้งที่โทรมา

     

     

    ช่วยอยู่เป็นเพื่อน...จนกว่าพี่จะหลับไปได้มั๊ย ยองแจ

     

     

     

     

     

     

    อ้าว! ยองแจจะไปไหน! ยองแจ!!’

     

     

     

     

     

    ไม่รู้เหมือนกันว่าขาทั้งสองข้างพาตัวเองวิ่งออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่

     

    รู้ตัวอีกที ภาพตรงหน้าก็เป็นตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์ซะแล้ว

     

     

     

    ยองแจ?

     

    เสียงคุ้นหูดังขึ้น แม้ภาพตรงหน้าจะพร่าเลือนไปบ้างเพราะคราบน้ำตา แต่ผมก็ยังมองเห็นรางๆว่าร่างคุ้นตาของพี่แจ็คสันกำลังเดินมาทางนี้

     

    เป็นอะไรหรือเปล่า? ร้องไห้ทำไมน่ะ?

     

    เสียงของรุ่นพี่แจ็คสันยังฟังดูอบอุ่นเหมือนเคย มือข้างหนึ่งของคนตรงหน้ายื่นเข้ามาใกล้ ก่อนค่อยๆไล้น้ำตาออกจากแก้มใสของผมอย่างแผ่วเบา

     

    การกระทำ...ที่ถ้าเป็นไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ ผมคงใจเต้นแรงจนอาจจะช็อคตายไปแล้วก็ได้

     

    ยองแจ...

     

    พี่ทำแบบนี้กับทุกคนเลยหรือเปล่าครับ?

     

    ...

     

    พี่ทั้งใจดี เฟรนด์ลี่ ยิ้มง่าย แถมยังเอาใจใส่แบบนี้กับทุกคนหรือเปล่า?

     

    ...

     

    พี่ทำตัวให้ความหวังกับคนอื่นเขาไปทั่วแบบนี้หรือเปล่าครับ พี่แจ็คสัน...

     

     

    ผมปล่อยสะอื้นโฮออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ทันทีหลังเอ่ยประโยคนั้นจบไป

     

    สะอื้นไห้ จนรู้สึกว่าทั้งร่างมันสั่นคลอนไปเพราะแรงสะอื้นนั้น

     

    ร้องไห้ จนบางทียังแอบคิดในใจว่าน้ำตาในร่างกายมันมีจำกัดบ้างหรือเปล่า

     

     

    เสียใจ...อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

     

    อกหัก...มันรู้สึกแบบนี้เองเหรอ

     

     

    พี่แจ็คสัน...

     

    ‘…’

     

    ...ผมชอบพี่...

     

    พี่อาจจะคิดว่าสิ่งที่พี่ทำให้ผมมันเป็นแค่เรื่องธรรมดา ไม่ได้มีความหมายอะไรมากกมาย...

     

    ...แต่สำหรับผม ทุกการกระทำที่พี่ทำ ทุกปะโยคที่พี่เคยพูด ผมจำได้ และมันไม่ใช่แค่ประโยคหรือการกระทำธรรมดาๆเลย

     

    ทุกอย่างที่พี่ทำ...มันพิเศษ...พิเศษมากๆสำหรับผม

     

     

     

    ผมรู้สึกเหมือนบรรยากาศรอบตัวมันเงียบสงัดไปทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกมาจากปาก

     

    มือที่กำลังลูบศีรษะผมอย่างปลอบประโลมชะงักไปก่อนที่เจ้าตัวจะค่อยๆผละมือออกไป

     

     

    โดยไม่ต้องมีประโยคหรือคำพูดอะไร ผมกลับรับรู้ความหมายของการกระทำเมื่อครู่ได้โดยสัญชาตญาณ

     

     

    อยากจะโทษคนตรงหน้าที่ทำตัวดีเกินไป ทำตัวให้ความหวังผมมากเกินไป

     

    แต่สุดท้ายก็โทษใครอีกไม่ได้...นอกจากตัวเอง

     

    โทษตัวเอง ที่เห็นอยู่ชัดเจนแล้วว่าข้างหน้าเป็นปากเหว...แต่ก็ยังพร้อมจะกระโดดลงไปอย่างเต็มใจ

     

     

              ขอบคุณนะครับ ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำดีๆของผม ขอบคุณที่ทำให้ผมได้รู้จักคนดีๆอย่างพี่

     

             ขอบคุณ...ที่ทำให้ผมได้...รัก...

     

             ขอบคุณมากนะครับพี่แจ็คสัน...แต่ว่า

     

     

     

    แต่เราอย่าเจอกันอีกเลยได้มั๊ย...ผมขอร้อง

     

     

     

    ผม...ฮึก...ผมไม่อยากจะรู้สึกเจ็บแบบนี้อีกแล้ว

     

     

     

    ผมตัดสินใจหันหลังและเดินออกมาทันทีที่พูดจบ

     

    ไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมองว่าคนข้างหลังรู้สึกอย่างไร

     

     

    กลัว...

     

    หากหันกลับไป และเห็นว่าพี่แจ็คสันยังคงมีสีหน้านิ่ง ไร้ความรู้สึก หรือร้ายกว่านั้น สีหน้าเหยียดหยาม หรือรังเกียจกัน...ผมคงรู้สึกเหมือนโดนแทงซ้ำจนเป็นแผลเหวอะหวะ

     

    พี่เขาอาจจะกำลังงง หรืออาจจะกำลังหัวเราะ ว่าไอ้เด็กคนนี้มันอะไร อยู่ดีๆก็วิ่งเข้ามา ร้องห่มร้องไห้ แล้วก็เดินหนีไปก็ได้...ใครจะไปรู้

     

     

    กับเรื่องบางเรื่อง...ไม่รู้ ก็คงจะดีกว่า

     

    บางครั้ง ความจริง...ก็อาจเป็นสิ่งที่ทำให้เราเจ็บปวดที่สุด

     

     

    เหมือนอย่างที่ผมรู้สึกในวันนี้

     

     

    ตื่นจากความฝันอันสวยงาม เพื่อมาพบกับความเป็นจริง...ว่ามันไม่เคยมีอะไรเลยมาตั้งแต่ต้น

     

    ว่างเปล่า

     

    คำคำนี้ คงใช้แทนสถานการณ์ของผมได้อยู่ล่ะนะ ฮะๆ

     

     

     

     

     

     

    อ่านถึงตรงนี้ ใครหลายคนอาจจะนึกผิดหวังอยู่ในใจ ว่าสุดท้าย เรื่องราวของผมก็กลายเป็นแค่เรื่องราวรักไม่สมหวังเรื่องหนึ่ง

     

     

    ...แต่ผมไม่คิดแบบนั้นหรอกนะ...

     

     

    เสียงระฆังใบใหญ่จากโบสถ์หินหลังใหญ่ดึงให้ผมหันกลับไปมองด้านหลังอีกครั้ง

     

     

     

              กลีบกุหลาบสีแดงสด ตัดกับชุดสีขาวสะอาดตาของคู่บ่าวสาวในวันนี้

     

     

              มันอาจจะเป็นคำพูดที่ฟังดูพระเอกหรือนางเอกมากไปหน่อย แต่ผมก็มั่นใจว่าตัวผมในตอนนี้รู้สึกแบบนั้นจริงๆ

     

     

              “ยินดีด้วยนะครับ...พี่แจ็คสัน”

     

     

              น้ำตาหนึ่งหยดไหลออกมาจากหางตาข้างซ้ายทั้งที่ริมฝีปากยังคงคลี่ยิ้มบางออกมา บางที เศษเสี้ยวหนึ่งในหัวใจของผมคงยังรู้สึกเศร้าใจกับภาพที่เห็น

     

              แต่ก็...แค่เศษเสี้ยวเท่านั้นแหละ

     

              มัน...นานมากแล้วจริงๆ

     

     

              รอยยิ้มสดใสของรุ่นพี่แจ็คสันในวันนั้นกับในวันนี้...ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยจริงๆ

     

              หวังว่ารอยยิ้มแบบนี้...จะอยู่กับพี่ตลอดไปนะครับ

     

              อย่างพี่น่ะ...ไม่เหมาะกับหน้าเครียดๆหรือน้ำเสียงเศร้าๆหรอกนะ

     

     

              “มีความสุข...มากๆนะครับ”

     

     

              มือข้างหนึ่งยกขึ้นปาดหยดน้ำตาที่ไหลออกมา ก่อนผมจะหมุนกายและเดินจากไป

     

     

     

    END

    18/06/16

    4.10

     

    Let’s Talk

     

    มีความชั่ววูบแรงมาก ไม่มีพล็อตไรทั้งนั้นอ่ะ ฟังเพลงคนไม่น่าสงสารของแอน ธิติมาแล้วอินจัด ลั่นออกมาเป็นเรื่องนี้เฉยเลย ฮา ถ้าเนื้อเรื่องมันออกทะเลไปบ้างก็ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะคะ งานหยาบ งานอยากมากเรื่องนี้ ไม่มีอะไรเลยจริงๆค่ะ 5555

     

    ขอพื้นที่โฆษณานิดหนึ่งนะคะ ตอนนี้เราได้ทำการเปิดฟิคเรื่องยาวเรื่องใหม่อย่างเป็นทางการแล้วค่ะ เย้ (มีความผีอีกแล้ว คือเพิ่งบอกเขาไปเองว่ายังไม่พร้อมแต่งเรื่องยาว วันต่อมาอีนี่กดเปิดเรื่องเลยจ้า ฮา)

     

    คือตอนแรกอ่ะ ก็กะจะเอามาลงในนี้แหละ แต่ว่า พอวางพล็อตไปวางพล็อตมา คือมันได้เกือบ 10 ตอนเลยอ่ะ แล้วตอนนั้นอยู่ดีๆก็คิดแท็กฟิคออกเฉยเลย สุดท้ายก็เลยตัดสินใจเขียนเป็นเรื่องยาวไปเลยก็แล้วกัน ฮา

     

    ตอนนี้ยังไม่ได้ลงตอนแรกอย่างเป็นทางการนะคะ แต่เขียนเสร็จแล้วแหละ ขอเวลาไปพรู๊ฟอีกรอบหนึ่งก่อน ตอนนี้ง่วงแรงมาก ไม่ไหวแล้วค่ะ

     

    เข้าไปส่องๆกันได้นะคะ Complete | JackJae #ป่ะป๊าหวัง ค่า

     

    วาร์ป



    สุดท้ายนี้ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชม #การเดินทางของแจ็คแจ นะคะ ทุกคนเป็นกำลังใจของเราเลยนะเวลาตัน เขียนไม่ออกเนี่ย ขอบคุณมากจริงๆค่ะ รักทุกคนเลยน้า *ปาหัวใจรัวๆ ไว้เจอกันตอนหน้าค่า

     

     

    PS หลังจากลั่นกดเปิดเรื่องยาวไป ช่วงนี้เราอาจจะไม่ค่อยได้เข้ามาที่เรื่องนี้นะคะ คงจะทุ่มเวลาไปกับการแต่งเรื่องยาวให้จบก่อนเพราะเราไม่อยากเทน่ะค่ะ ฮือ ขอโทษด้วยนะคะ สัญญาว่าจะไม่ทิ้งเรื่องนี้แน่นอนค่า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×