Tales Of Pantoria: Part1. The Twins. - Tales Of Pantoria: Part1. The Twins. นิยาย Tales Of Pantoria: Part1. The Twins. : Dek-D.com - Writer

    Tales Of Pantoria: Part1. The Twins.

    โดย SadoZ

    เรื่องราวของฝาแฝด2คนที่แตกต่างกันราวกับภาพสะท้อนในกระจกเงา

    ผู้เข้าชมรวม

    1,450

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    1.45K

    ความคิดเห็น


    13

    คนติดตาม


    2
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  4 ก.พ. 57 / 14:15 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      มันเป็นวันที่ฟ้องฟ้าสดใส ท่ามกลางป่าทึบเขียวขจี ชายคนหนึ่งวิ่งฝ่าสุมทุมพุ่มไม้มาด้วยความเร่งรีบโดยไม่ใส่ใจว่ากิ่งไม้ตามทางจะเกี่ยวแขนขาของเขาจนเป็นแผลไปทั่วตัว เขาวิ่งสุดชีวิตเพื่อหนี หนีจากสิ่งเลวร้ายที่สุดที่เขาเคยเจอ  
          
                      เมื่อต้นไม้ข้างหน้าเริ่มเบาบางลง ชายหนุ่มได้ยินเสียงน้ำไหล และรู้สึกได้ถึงความชุ่มชื้นของลำธารข้างหน้า เขาหยุดวิ่ง ยืนพิงต้นไม้แล้วค่อยๆเดินไปที่ลำธาร เอื้อมมือไปหาน้ำ
          
                      เปรี้ยง!
                      
                      สายฟ้าฟาดลงในลำธารตรงหน้าเขาพอดี ชายหนุ่มผงะถอยหลัง หันมองซ้าย-ขวาอย่างหวาดกลัว บนท้องฟ้าเริ่มมีเมฆดำปกคลุมจนมืดราวกับกลางคืน กระแสน้ำจุดที่สายฟ้าฟาดลงมาเริ่มหมุนวน น้ำวนนั้นลอยสูงขึ้นและบิดตัวกลายเป็นร่างเด็กหนุ่มในเสื้อคลุมดำ
          
                      “ยอมแพ้ซะเถอะแซนทรัส เจ้าหนีข้าไม่รอดหรอก” เด็กหนุ่มคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก
          
                      “ไม่มีทาง” ‘แซนทรัส’ตอบเสียงแข็งแม้แววตาจะดูหวาดกลัว เขาพึมพำคาถาและเสกลูกไฟพุ่งไปที่เด็กหนุ่ม
          
                      “ฮึ” ร่างในเสื้อคลุมดำกวักมือขวาขึ้น สายน้ำในลำธารพุ่งขึ้นเป็นกำแพงป้องกันเขา เด็กหนุ่มบิดมือชี้2นิ้วลงพื้น สายฟ้าสีขาวสว่าง2สายฟาดลงมาจากกลุ่มเมฆบนฟ้า เป้าหมายคือแซนทรัส
          
                      “อ้ากกกกกกกก” ชายหนุ่มกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนจะล้มลงแน่นิ่งไป เด็กหนุ่มก้าวไปยังร่างที่นอนคว่ำหน้าอยู่ ทันทีที่เขาขึ้นจากน้ำ เมฆดำที่ปกคลุมท้องฟ้าก็สลายไป เขามองฟ้าด้วยความแปลกใจก่อนจะพูดขึ้นลอยๆว่า
          
                      “ท่านมาช้านะครับ เลดี้”
          
                      “เจ้าเองที่ไม่เชื่อฟังข้า ผลีผลามออกมาก่อน” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น พร้อมๆกับที่ร่างของนางปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเด็กหนุ่ม นางเป็นหญิงสาวร่างสูง ใส่แว่นกรอบทองดูภูมิฐาน ผมยาวดำถูกเกล้าเป็นมวยเรียบร้อย ท่าทางนางไม่พอใจ
          
                      “เจ้าทำเกินไปแล้วนะ เฮไรจา” หญิงสาวก้มลงดูร่างของแซนทรัส “เราต้องจับเป็น แซนทรัสกำความลับไว้มากมายเกินกว่าเราจะปล่อยให้เขาตายได้”
          
                      “แต่เขาก็ไม่ตายนี่ครับ เลดี้” เด็กหนุ่มหรือ เฮไรจาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าควบคุมพลังของข้าเองได้นี่”
          
                      “เจ้าอวดดีเกินไป เฮไรจา ความอวดดีของเจ้าจะกลับมาทำร้ายเจ้าเข้าสักวัน”
          
                      “คร้าบ คร้าบ ข้าจะจำไว้ เลดี้” เฮไรจาทำเสียงรำคาญ
          
                      “อีกอย่าง เลีกเรียกข้าว่าเลดี้ได้แล้ว เรียกข้าว่าอาจารย์” หญิงสาวว่าต่อ แต่เด็กหนุ่มสะบัดผ้าคลุมและหายตัวไปเสียแล้ว
                      
                                        .................................................................................................
                      
                      ณ หอคอยกลางแห่งเลมินารัส สถาบันฝึกฝนเวทย์มนต์และการต่อสู้แห่งหนึ่งของอาณาจักรแพนทอเรีย เสียงระฆังใหญ่บนหอคอยดังกังวานไปทั่วเป็นสัญญาณเลิกเรียน ประตูของตึกเรียนแต่ละสาขาเปิดออกพร้อมกับนักเรียนที่กรูกันออกมาสู่ลานใหญ่หน้าโรงเรียน ต่างคนต่างพูดคุยกันจนเกิดเสียงดังเซ็งแซ่ หลายคนเริ่มเดินออกประตูโรงเรียนไปเพื่อกลับบ้าน ไม่มีใครถูกสนใจเป็นพิเศษจนกระทั่งเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมา
          
                      เขายืนอยู่ที่หน้าประตูตึกสาขาเวทย์มนต์ นักเรียนที่อยู่แถวนั้นเงียบเสียงและหันมามองเขาทันที เขาเป็นคนร่างสูง ใบหน้าหล่อเหลา ผมยาวสีเหลืองทอง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมีแววเย้ยหยัน เขาแต่งกายด้วยเครื่องแบบของนักเรียนขั้นที่7 ขั้นสูงสุดของสาขาเวทย์มนต์ เสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้นทันที
          
                      “นั่นเฮไรจาใช่มั้ย”
          
                      “ใช่ๆ เค้าล่ะที่เมื่อวานเล่นงานไคแรนสาขาสัตว์อสูรซะหมอบ”
          
                      “คนนี้ใช่ไหมที่เมื่อ3ปีก่อนเป็นคนจับกบฏแซนทรัสได้”
          
                      “ใช่แล้ว เห็นว่าตอนนั้นเป็นนักเรียนเวทย์ขั้นต่ำที่สุดที่ได้ร่วมงานกับพวกพ่อมดชั้นสูง”
          
                      เฮไรจาไม่ได้สนใจคำพูดของคนรอบข้าง เขาเดินฝ่าผู้คนไปโดยที่ไม่หันมองใครสักคน

          
                      ในห้องสมุดกลางของสถาบัน เด็กหนุ่มร่างกำยำคนหนึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะ เขามีผมตัดสั้นสีดำ ผิวคล้ำ ดวงตาสีเทาดูเอาจริงเอาจัง บนศีรษะและที่แขนของเขามีผ้าพันแผลพันอยู่ เขาคือไคแรน
          
                      “เฮ้” เสียงทักดังขึ้น ไคแรนหันไปมองและต้องผงะเมื่อเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ผมสีเหลืองทอง ใบหน้าเหมือนเฮไรจาไม่มีผิด แต่แล้วเขาก็เห็นความแตกต่าง แววตาของเด็กหนุ่มตรงหน้าเขาดูอ่อนโยนผิดกับเฮไรจา
          
                      “เฮเคน.... เฮ่ย ตกใจหมด” ไคแรนส่ายหน้า บางครั้งเขาก็แยกฝาแฝด2คนนี้ไม่ออก ทั้งๆที่เฮเคนเป็นเพื่อนเขา แต่เฮไรจากลับเป็นคู่อาฆาต
          
                      “นึกว่าเป็นพี่ข้าเหรอ” เฮเคนถามพลางนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ ดาบยาวที่คาดเอวอยู่ดูสะดุดตา ไคแรนมองมันอย่างสนใจ
          
                      “ข้าขอโทษแทนเจ้าพี่บ้านั่นด้วยก็แล้วกัน เค้าก็เป็นแบบนี้มานานแล้วนี่นา ยอมไม่ได้ที่จะมีคนอื่นเด่นเกินหน้า ทั้งๆที่ตัวเองน่ะ...”
          
                      “เป็นจอมเวทย์อัจฉริยะที่หลาย10ปีจะมีสักคน ที่1ใน10อันดับนักเรียนสาขาเวทย์มนต์ขั้นสูงสุด ว่าที่จอมขมังเวทย์อันดับ1แห่งอีสแพนทอเรีย และสักวัน...จะเป็นตำนานเหมือนเช่นท่านเฮไรจา จอมเวทย์ผู้ยิ่งยงในอดีต” เสียงที่เหมือนกันกับเฮเคนดังขึ้นต่อประโยคนั้นจนจบ เด็กหนุ่มที่โต๊ะทั้ง2หันไปมองข้างหลังอย่างหวาดๆ เฮไรจายืนอยู่ตรงนั้น ยิ้มกริ่มเหมือนกำลังจะมีเรื่องสนุก
          
                      “ว่าไงเฮเคน” เขาทักน้องชายฝาแฝด “ได้ยินว่าวันนี้เจ้าสอบฟันดาบ”
          
                      “ก็ดี” เฮเคนตอบ “อาจารย์บอกว่าฝีมือข้าเข้าขั้น อาจจะสอบเป็นอัศวินได้ในปี-2ปีนี้”
          
                      “งั้นเหรอ” เฮไรจาถาม เขายิ้มแต่มันดูไม่ค่อยจริงใจเอาซะเลย “ได้ยินว่าคนที่สอบเป็นอัศวินได้ส่วนใหญ่เรียนจบไปแล้วนี่นา แล้วเจ้าอยู่...”
          
                      “ขั้น3” เฮเคนตอบ สาขานักรบของเขามี5ขั้น
          
                      “เก่งนี่น้องข้า” เขาพูดพลางหันไปทางไคแรนที่รีบหลบตา “อ้าว เจ้าออกจากโรงพยาบาลแล้วเรอะ” เขาถามน้ำเสียงดูถูก ไคแรนกำหมัดแน่น
          
                      “หยุดยุ่งกับไคแรนได้แล้ว” เสียงๆหนึ่งดังขึ้น ทั้ง3คนหันไปมองและพบ เด็กสาวหน้าตาน่ารัก ผมดำเหมือนขนกา ดวงตาสีเขียวมีแววไม่พอใจ เธอใส่เสื้อคลุมสีขาวขลิบเขียวอันเป็นเครื่องแบบของสาขาเวทย์มนต์ขาว
          
                      “อ้าว เทสต้า” เฮไรจาทักพลางยกมือลูบผมให้เรียบร้อยโดยอัตโนมัติ “เป็นไงบ้าง เย็นนี้ว่างไหม” เขาถามในขณะที่เด็กสาวมองเขาด้วยความไม่พอใจ
          
                     “ข้าชื่อเทสเตรร่า และข้าไม่มีเวลาว่างพอจะไปไหนมาไหนกับคนอย่างเจ้า ” เธอตอบด้วยเสียงเย็นชา “ไคแรน เฮเคน ไปกันเถอะ ” เธอเรียกเพื่อนทั้ง2ก่อนจะเดินออกไป เด็กหนุ่มทั้ง2รีบเก็บของลุกตามไป แต่ก็ทันได้เห็นเฮไรจาแสยะยิ้มให้พวกเขา

                      
                      “พวกเจ้านี่แย่จริงๆเล้ย” เทสเตรร่าบ่นขณะที่พวกเขาเดินไปตามถนนในเมือง
          
                      “แย่? เรื่อง’ไร ” ไคแรนถาม เขากำลังสนใจเหยี่ยวสีน้ำตาลอ่อนที่เกาะอยู่บนแขน ในขณะที่เฮเคนเดินเหม่อมองข้างทาง
          
                      “ก็เรื่องที่ยอมเป็นเบี้ยล่างให้เจ้าเฮไรจาโขกสับเอาอยู่ได้น่ะสิ ”
          
                      “เป็นเจ้าก็พูดได้สิ ลองมาโดนมันอัดกระเด็นอย่างข้าไหมล่ะ ” ไคแรนถาม ชี้มือที่ผ้าพันแผลบนหัว “อีกอย่าง เจ้าเป็นหลานอาจารย์ของเจ้านั่น มันก็ฟังเจ้าคนเดียวน่ะแหล่ะ”
          
                      เด็กสาวท่าทางไม่พอใจ เธอหันไปหาเฮเคน
          
                      “เฮเคน เจ้าก็ด้วย เป็นฝาแฝดกันแท้ๆยังยอมให้เค้าข่มได้”
          
                      “ก็ข้าไม่ใช่พี่นี่” เฮเคนตอบเซ็งๆ  “ถ้าข้าเป็นอย่างพี่ได้ ข้าก็คงไม่อยู่แค่สาขานักรบหรอกน่า”
          
                      “นี่เจ้า จะพูดแบบนี้ไปถึงไหนกัน” เทสเตรร่าเริ่มหมดความอดทน “สาขานักรบน่ะมันไม่ดีตรงไหนฮึ ถึงไม่อยากอยู่นัก ข้าจะบอกอะไรให้นะ ถึงเจ้าจะไม่ได้เรียนสาขาเดียวกับพี่เจ้า ถึงเจ้าจะไม่ได้เก่งเป็นที่1 แต่เจ้าก็ดีกว่าพี่ชายเจ้า100เท่า”
          
                      “น่านสิ เฮเคน พี่เจ้าน่ะมันก็แค่คนอวดเก่ง ถือว่าตัวเองเรียนได้เร็วกว่าคนอื่นนิดๆหน่อยๆแล้วก็เลยเหลิง ยังไงๆเจ้า2คนก็ฝาแฝดกัน เจ้าก็ต้องมีอะไรเจ๋งๆในตัวเหมือนกันล่ะน่า”
          
                      เฮเคนหันไปมองหน้าเพื่อน
          
                      “พวกเจ้าก็พูดได้สิ” เขาพูดเสียงเย็น “ทั้งมนต์ขาว ทั้งสัตว์อสูร ... ถ้าข้าเป็นอย่างพี่จริง ทำไมข้าถึงเรียนได้แค่สาขานักรบล่ะ”
          
                      “เฮ่ย ใจเย็นน่า ข้าไม่ได้จะพูดแบบนั้น” ไคแรนรีบบอก “แต่วันนี้อาจารย์เจ้าก็ชมเรื่องฝีมือฟันดาบนี่นา”
          
                      “นั่นน่ะ” เฮเคนทำหน้าเซ็ง “ท่านพูดกับคนซักครึ่งชั้นเห็นจะได้ ข้าบอกพี่ไปอย่างงั้นเพราะคิดว่าอยากจะอวดอะไรบ้างก็เท่านั้นเอง แต่พี่คงรู้อยู่แล้วล่ะ”
          
                      “อ๋อ เหรอ” เทสเตรร่าพูด ท่าทางไม่พอใจ “แล้วนี่เจ้าพี่บ้าของเจ้าไปไหนแล้วล่ะ แต่ไม่อยู่ก็ดีนะ น่ารำคาญ ตามข้าอยู่ได้” เด็กสาวท่าทางหนักใจ เฮเคนกับไคแรนมองหน้ากัน แล้วส่ายหัว

          
                      ที่บ้านของเฮเคน เฮไรจากำลังมองลงมาจากหน้าต่างห้องใต้หลังคา เขายิ้มให้เฮเคนที่กำลังจะเดินเจ้าบ้าน แต่พอเห็นเฮเคนไม่สนใจ เขาก็ชักสีหน้าแล้วผละจากหน้าต่างทันที
          
                      “ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้วครับ” เฮเคนร้องบอกเมื่อก้าวเท้าเข้าบ้าน เขาได้ยินเสียงแม่ตอบรับมาจากในครัวก่อนที่จะเดินขึ้นไปบนห้อง แต่เมื่อถึงประตู เขาก็หยุด นี่ไม่ใช่ห้องของเขาแค่คนเดียว แต่เป็นห้องของพี่ชายฝาแฝดของเขาด้วย  ก่อนที่เฮเคนจะขยับตัว ประตูก็เปิดผลัวะออก เขาเห็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าเหมือนตนเองยืนอยู่ตรงหน้า สีหน้าของเด็กหนุ่มคนนั้นดูเฉยชา
          
                      “ว่าไงน้องชาย มาคุยกันสักนิดได้ไหม” น้ำเสียงของเฮไรจาฟังดูไม่พอใจในขณะที่เขากระชากแขนเฮเคนเข้ามาในห้อง แฝดผู้น้องพยายามไม่ใส่ใจ เขาก้มลงวางของ แต่พอยืดตัวขึ้นก็โดนกำปั้นกระแทกจนหน้าหงาย
          
                      “ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าอย่ายุ่งกับเทสเตรร่า” เฮไรจาถาม ท่าทางโมโห
          
                      “นางเป็นเพื่อนข้า” เฮเคนตอบ ยกมือปาดเลือดที่ไหลออกจากจมูก
          
                      “แค่เพื่อน ? ”
          
                      “ใช่ แค่เพื่อน” เฮเคนย้ำ พี่ชายของเขายิ้ม
          
                      “งันก็ดี ไปล้างหน้าซะไอ้น้องชาย เจ้าดูไม่ได้เลย” เฮไรจาบอก เฮเคนลุกขึ้นและเดินออกนอกห้องไป เขาพยายามกลั้นน้ำตา เขาไม่อยากให้ใครรู้เลยว่าขนาดเรียนสาขานักรบเขาก็ยังต่อยตีสู้พี่ชายไม่ได้  เฮไรจาเปลี่ยนไปมากตั้งแต่เข้าเรียนที่เลมินารัส ตั้งแต่พี่ชายเขารู้ว่าตนเองมีพลังเหนือผู้อื่น เฮไรจาเลิกเล่นหัวหยอกล้อกับเขา เสียงหัวเราะและรอยยิ้มเปลี่ยนเป็นคำพูดเย้ยหยัน ทั้งๆที่พวกเขาเคยสัญญากันว่าจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป ทุกครั้งที่เฮเคนเห็นเงาตนเองในกระจก เขาจะคิดว่าโลกนี้ไม่ยุติธรรม ทำไมคน2คนที่เกิดมาพร้อมกัน หน้าตาเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว ถึงมีความสามารถไม่เท่ากัน พี่เขาเป็นอัจฉริยะแต่เขาไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเด็กธรรมดาคนหนึ่ง
          
                      “เฮเคน เป็นอะไรไป ไม่สบายรึเปล่าลูก” เสียของแม่ทำให้เฮเคนตื่นจากภวังค์
          
                      “ปะ เปล่าครับ” เขาอึกอัก รีบกินข้าวต่อ
          
                      “เฮไรจาบอกว่า วันนี้ลูกสอบฟันดาบนี่ เป็นยังไงบ้างล่ะจ๊ะ”
          
                      “ก็ดีครับ” เฮเคนตอบ เหลือบมองพี่ชายที่ยิ้มกวนประสาท
          
                      “ได้ข่าวว่า ‘ยอดเยี่ยม’ เลยไม่ใช่เหรอ” เฮไรจาเสริม แล้วเริ่มเล่าให้แม่กับพ่อฟัง เฮเคนลุกจากโต๊ะทันที เขาไม่อยากอยู่ฟังรายละเอียดที่ไม่รู้ว่าพี่ชายไปค้นมาจากไหน เขาเดินขึ้นไปบนห้อง อย่างน้อยตอนนี้เขาก็จะได้อยู่เงียบๆคนเดียว เด็กหนุ่มหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน
          
                      แต่เฮไรจาไม่คิดอย่างนั้น เขาเดินตามน้องชายฝาแฝดขึ้นมาในเวลาหลังจากนั้นไม่นาน
          
                      “ขึ้นมาทำไม” เฮเคนถาม พยายามตั้งสมาธิอ่านหนังสือ
          
                      “ก็นี่ห้องข้า” พี่ชายเขาตอยกวนๆ “ท่านแม่เป็นห่วงแน่ะที่ช่วงนี้เจ้าไม่ค่อยพูดถึงเรื่องที่โรงเรียน”
          
                      “จะพูดไปทำไมในเมื่อเจ้าพูดหมดแล้ว” เฮเคนตอบเคืองๆ ในขณะที่เฮไรจาดูพอใจ
          
                      “ก็นึกว่าอยากให้ข้าพูดนี่นา เห็นเจ้าพยายามทำอะไรอวดพวกท่านมานานแล้วนี่”
          
                      “แต่มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า” เฮเคนกระชากเสียง นี่เฮไรจาแกล้งลืมหรือไง ว่าถึงเขาจะสอบได้ที่1พ่อแม่ก็ไม่ภูมิใจในตัวเขาเท่าเฮไรจาหรอก
          
                      “ไม่ใช่เรื่องของข้าตรงไหนฮึ น้องชาย...”
          
                      “เจ้าไม่ใช่พี่ ข้า ! ” เฮเคนตวาด ปิดหนังสือดังปัง เฮไรจาชะงัก
                      
                      “ดี” เสียงของเขาสั่นขณะที่พูด “ข้ารู้ แค่เกิดก่อนไม่กี่นาที แล้วข้าถือดียังไงมาทำตัวเป็นพี่เจ้าใช่มั้ยล่ะ ดี..” เขาหันหลังกลับ เดินออกจากห้องไป
          
                      เฮเคนไม่มีอารมณ์อ่านหนังสือต่อ เขาปิดไฟแล้วเข้านอนแต่นอนไม่หลับ มันดึกมากแล้วตอนที่เขาได้ยินเสียงเปิดประตูและพี่ชายเดินกลับเข้ามาในห้อง เขาได้ยินเสียงเฮไรจาล้มตัวลงนอนที่เตียงอีกฟากของห้อง
          
                      “พี่...” เฮเคนเรียก แต่ไม่มีเสียงตอบรับ เขารู้ว่าเฮไรจาแกล้งหลับ “พี่ครับ” เขาลองเรียกอีกแต่ก็พบแต่ความเงียบ เฮเคนผล็อยหลับไป
          
                      เสียงหายใจสม่ำเสมอทำให้เฮไรจารู้ว่าน้องชายฝาแฝดของเขาหลับไปแล้ว แต่เขาเสียอีกที่ยังนอนไม่หลับ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เฮเคนเริ่มเรียกเขาว่าพี่ คงจะตั้งแต่พวกเขาเริ่มเข้าเรียนที่เลมินารัส ตั้งแต่วันนั้นที่เขารู้สึกได้ว่าเขาได้เสียเพื่อนเพียงคนเดียวในชีวิตไปแล้ว เขานอนคิดถึงความหมายของชื่อตนเอง เฮไรจาเป็นชื่อของพ่อมดผู้หนึ่งในอดีต คนที่เคยถูกใครๆตราหน้าว่าไร้ความสามารถแต่กลับได้ครองตำแหน่งจอมขมังเวทย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของแพนเทอเรีย เฮไรจาผู้ยิ่งใหญ่แต่โดดเดี่ยวตลอดกาล....
          
          
                       วันรุ่งขึ้น อาจารย์ของเฮไรจาเรียกตัวเขาไปพบ เด็กหนุ่มเดินขึ้นบันไดวนสลับซับซ้อนไปจนถึงประตูไม้สีน้ำเงินสด เขาเคาะสามครั้ง
          
                      “เข้ามา” เมื่อได้ยินเสียงเรียกเขาจึงเปิดประตูเข้าไป และพบว่าในห้องนั้นไม่ได้มีแค่อาจารย์ของเขาเพียงคนเดียว พ่อมดคนหนึ่ง ดูจากการแต่งกายคงเป็นพวกนักล่าของสภาเวทย์มนต์ ยืนอยู่ที่นั่นด้วย เฮไรจามองสำรวจชายคนนั้นแวบหนึ่ง เขายังดูหนุ่มแต่กลับมีผมสีขาวเหมือนคนแก่ ดวงตาสีเหลืองดูเหมือนสัตว์ป่าของพ่อมดแปลกหน้ามองตรงมาที่เขาอย่างเคร่งขรึม
          
                      “เด็กคนนี้คือศิษย์ข้า เฮไรจา เฮไรจา ท่านนี้คือท่านมิวเรียล พ่อมดจากสภาเวทย์มนต์” เฮไรจาก้มหัวลงเล็กน้อยเป็นการทำความเคารพพ่อมดแปลกหน้า ที่เขาคิดว่าคงมีฝีมือไม่เท่าไหร่ ก่อนจะหันไปหาอาจารย์
          
                      “เลดี้ ท่านเรียกข้ามาที่นี่มีเหตุอันใด หรือมีงานให้ข้าทำอีก”
          
                      “งานน่ะมีแน่ แต่ไม่ใช่ของเจ้า” อาจารย์ของเขาตอบ “มิวเรียลจะมาคุ้มครองเจ้า” นางเสริมอย่างไม่อ้อมค้อม
          
                      “คุ้มครองข้า? นี่มันเรื่องอะไรกัน” เฮไรจาถามด้วยความไม่พอใจ
          
                      “เจ้ายังจำแซนทรัสได้ไหม”
          
                      “แซนทรัส? เจ้านั่นมาเกี่ยวอะไรด้วย ป่านนี้โดนจับเข้าคุกไปแล้วนี่ครับ”
          
                      “แซนทรัสหนีออกมาแล้วเมื่อคืนนี้ พร้อมกับนักโทษอีกจำนวนหนึ่ง” อาจารย์ของเขาบอก “ทางสภากลัวว่าเจ้าจะมีอันตราย เพราะทุกคนที่หนีออกมาล้วนเป็นคนที่เจ้าส่งเข้าคุกไปทั้งสิ้น”
          
                      “งั้นก็ดีสิครับ ข้ากำลังเบื่อๆอยู่พอดี” เฮไรจาทำท่าทางไม่ทุกข์ร้อนอะไร อาจารย์ของเขาขมวดคิ้ว
          
                      “เฮไรจา ข้ารู้ว่าเจ้าเชื่อมั่นในฝีมือของตัวเจ้าเองมาก แต่แซนทรัสไม่ใช่คนเดิมกับเมื่อ3ปีก่อนอีกแล้ว เก็บความอวดดีของเจ้าไว้ก่อนเถอะ แล้วทำตัวเป็นเด็กดีสักพัก ข้าติดต่อพ่อแม่เจ้าแล้วว่ามิวเรียลจะไปพักด้วยสักระยะ”
          
                      เฮไรจามีท่าทางไม่พอใจ
          
                      “แต่ท่านบอกว่าแซนทรัสหนีออกมาเมื่อคืนนี้ ทำไมข้าไม่ทราบข่าวเลยล่ะครับ” เขาซัก
          
                      “ทางสภาได้แจ้งกับอาจารย์ของเจ้าแล้ว” มิวเรียลขัดขึ้น “นางส่งภูตินำสารไป แต่เจ้าไม่อยู่บ้าน”
          
                      “ข้าไม่ได้ถามท่าน” เฮไรจาหันขวับไปว่า อาจารย์ของเขารีบพูดขึ้น
          
                      “แต่ที่ข้าอยากรู้มากกว่า คือเจ้าไปทำอะไรนอกบ้านจนดึกดื่น ข้าไม่คิดว่าเด็กหนุ่มอายุ15อย่างเจ้า จะมีธุระปะปังอะไรจนมืดค่ำขนาดนั้นหรอก”
          
                      “ข้าไปเดินเล่น” เฮไรจาตอบ เขาหลบตาอาจารย์ แล้วรีบตัดบท “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัว” เด็กหนุ่มหันหลังกลับแล้วเดินออกจากห้องไป อาจารย์ของเขามองตามไปด้วยสายตาเป็นห่วง ก่อนจะพูดขึ้นว่า
          
                      “ข้าขอโทษแทนเขาด้วยนะ มิวเรียล เด็กคนนี้มีปัญหาเรื่องนิสัยนิดหน่อย”
          
                      “ข้าว่ามี มาก เลยล่ะขอรับเลดี้ครอรีฟ” พ่อมดหนุ่มตอบ “ท่านรับเด็กอย่างนั้นมาเป็นศิษย์ได้ยังไงกัน เขาขาดทั้งมารยาท ทั้งความอ่อนน้อมถ่อมตนตามแบบลูกศิษย์ส่วนใหญ่ที่ท่านสอน”
                      
                    “เขาเหมือนเจ้าน่ะแหล่ะ มิวเรียล ไปทำงานของเจ้าได้แล้ว และเลิกเรียกข้าว่าเลดี้ครอรีฟ เรียกข้าว่า...”
          
                    “...อาจารย์  ข้าลาล่ะขอรับ” มิวเรียลพูดต่อ ก่อนจะก้าวออกไปจากห้อง ขณะที่เขาเดิน สังเกตได้ชัดเจนว่าขาขวาของเขากระเผลก

          
                    ตลอดเวลาที่เหลือในวันนั้นเฮไรจาหงุดหงิดเป็นที่สุด เพราะมิวเรียลคอยตามประกบติดเขาไม่ห่าง จนในที่สุดเด็กหนุ่มก็ทนไม่ไหว
          
                    “เจ้าเลิกตามข้าซะทีได้ไหม ข้าดูแลตัวเองได้น่า” เขาหันไปถามผู้คุ้มครอง น้ำเสียงฉุนเฉียวไม่พอใจ
          
                    “จุ๊ จุ๊  เก็บความอวดดีของเจ้าไว้เถอะ เจ้าหนู” มิวเรียลทำเสียงเลียนแบบอาจารย์ของเขา “จากนี้ไป เจ้าไปไหน ข้าไปด้วย และจงอย่านึกล่ะว่าข้าอยากจะมาตามติดเด็กอวดดีอย่างเจ้า”
          
                    “ดี เย็นนี้ข้ามีที่จะต้องไป อย่าตามมาก็แล้วกัน”
          
                    “ข้ามีหน้าที่คุ้มครอง ไม่รับคำสั่งจากเจ้าหรอกนะ” พ่อมดหนุ่มบอก “และอีกอย่าง อย่าคิดว่าเจ้าจะแอบหนีไปไหนได้ เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอก” เขาเตือน

          
                    บนภูเขาไม่ไกลจากชานเมืองทิศตะวันตกมากนัก มีสวนเล็กๆซ่อนอยู่กลางดงไม้ จากด้านหนึ่งของที่นี่สามารถมองเห็นถนนสายหลักที่เข้าสู่เมืองได้สุดลูกหูลูกตา อีกด้านมองเห็นเมืองใหญ่ได้อย่างชัดเจนเกือบครึ่งเมือง ที่นี่เคยเป็นที่ซ่อนตัวของ2พี่น้องฝาแฝด เมื่อนานมาแล้ว
          
                    เฮเคนนั่งพิงต้นไม้ฟังเสียงลมหวีดหวิวผ่านกิ่งไม้อยู่ที่สวนแห่งนี้ เขามักจะมาที่นี่เวลาที่ต้องการอยู่คนเดียว เมื่อก่อนเขากับเฮไรจามาเล่นด้วยกันที่นี่บ่อยๆ สายตาของเฮเคนกวาดไปทั่วบริเวณ และไปหยุดที่เพิงเล็กๆมุมสวน เพิงนี้มีอยู่ตั้งแต่ครั้งแรกที่คู่แฝดพบสถานที่นี้แล้ว พวกเขาไม่เคยสงสัยว่าใครเป็นคนสร้าง ทั้งสวนนี่ก็ด้วย เฮเคนจ้องมองเพิงเล็กนั่น มันดูดีกว่าที่เขาจำได้แม้เขาจะไม่ได้มาที่นี่นานแล้วก็ตาม เด็กหนุ่มลุกขึ้นและเดินไปที่เพิง
          
                    เพิงนั้นเล็ก เขาต้องก้มหัวลงเมื่อเดินเข้าไป และเกือบจะชนกับตะเกียงเจ้าพายุที่แขวนอยู่ แสงสว่างที่ลอดเข้าประตูมามีไม่มากนักเขาจึงลองจุดตะเกียงดู เปลวไฟสว่างวาบขึ้นในทันทีส่องแสงสีเหลืองนวลไปทั่วห้องเล็กๆนั้น เฮเคนเห็นหนังสือ3-4เล่มและผ้าห่มหยาบๆผืนหนึ่งกองอยู่กับพื้น เขานั่งลงและหยิบหนังสือพวกนั้นขึ้นมาดู มันเป็นของเฮไรจา พี่ชายเขาคงจะใช้ที่นี่เป็นที่พักผ่อนอยู่บ่อยๆ และแล้วเฮเคนก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกับว่าเขารู้ว่าเฮไรจามาที่นี่เมื่อคืนนี้ หรือหลายๆครั้งก่อนหน้านี้ตลอดระยะเวลาหลายปี ในขณะที่เขากำลังเล่นสนุกกับเพื่อน พี่ชายของเขาคงจะขึ้นมาที่นี่ อ่านหนังสือหรือไม่ก็นอนหลับ นี่เป็นครั้งแรกที่เฮเคนเข้าใจว่าเฮไรจาโดดเดี่ยวแค่ไหนในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา

                    เฮเคนลุกขึ้น ดับตะเกียงแล้วเดินออกจากเพิงนั้น เขาปิดประตูเรียบร้อยและเตรียมตัวกลับบ้าน เฮเคนไม่เคยรู้มาก่อนว่าทำไมพี่ชายถึงไม่หาเพื่อน แต่ตอนนี้เขาเข้าใจเหมือนกับความคิดของเฮไรจาไหลเข้ามาในหัวของเขา ‘เราสาบานว่าจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป’ ตลอดไป และจะไม่มีใครสำคัญกว่าเพื่อนคนนี้อีก เด็กหนุ่มมองดาบยาวที่ห้อยเอวอยู่ แท้จริงแล้วมันไม่สำคัญสักนิดว่าเขากับเฮไรจาจะแตกต่างกันขนาดไหน เฮไรจาไม่ได้เป็นคนเริ่มออกห่างก่อน เขาเองต่างหากที่นึกไปเองว่าพี่อยู่คนละโลก แล้วก็ไม่ยอมเล่นด้วย เอาแต่มองอยู่ห่างๆจนกลายเป็น ‘พี่’ กับ ‘น้อง’ ไปจริงๆ เฮเคนเดินลงมาจากภูเขา มุ่งหน้าเข้าเมือง กลับบ้าน ไปขอโทษเฮไรจา

                     บริเวณชานเมืองมืดสนิทแล้ว มีเพียงแสงไฟริบหรี่จากตะเกียง2ข้างถนนที่น้ำมันเชื้อเพลิงใกล้จะหมดเต็มที แต่กระนั้นเฮเคนก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียวบนถนนเส้นนั้น เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าคนๆนี้ไม่เป็นมิตร  เขาเอื้อมมือไปกำด้ามดาบและเร่งฝีเท้าเพื่อให้ถึงบ้านเร็วที่สุดจนเดินไปชนชายคนหนึ่งเข้า ร่างผอมแห้งนั้นล้มลงไปนั่งที่พื้น
      “อ้ะ ขอโทษครับ” เฮเคนยื่นมือไปให้ชายคนนั้น แต่เมื่อมือสัมผัสกัน เขาก็เจ็บแปลบที่ปลายนิ้วเหมือนกับมีกระแสไฟฟ้าแรงสูงไหลเข้ามาในร่าง เด็กหนุ่มหมดสติไปทันที


                      ในขณะเดียวกัน ที่บ้าน เฮไรจากำลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้องอย่างหงุดหงิดตอนที่เขารู้สึกเจ็บแปลบที่ปลายนิ้ว เขายกมือขึ้นมาดูแต่ก็ไม่มีรอยอะไร เด็กหนุ่มเกาหัวงงๆก่อนที่ภาพๆหนึ่งจะแทรกเข้ามาในโสตประสาทของเขา
      เขาเห็นตัวเองถูกมัดอยู่ในห้องมืดมิด เห็นสายฟ้าสีขาวสว่างฟาดลงมา และรอยยิ้มแสยะของแซนทรัส ใบหน้าของเขาเองในภาพนั้นดูซีดเซียวราวกับคนตาย เลือดไหลอาบหน้า เว้นแต่... นั่นไม่ใช่เขา !
              
                       “เฮเคน...” เขาครางเบาๆก่อนจะพรวดพราดออกจากบ้านไป โดยมีมิวเรียลตามไปติดๆ เด็กหนุ่มวิ่งมาหยุดที่ถนนหน้าบ้าน

                       “เฮเคน เฮเคน” เสียงของเด็กหนุ่มก้องไปในความมืดยามราตรี แต่ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา เฮไรจารู้สึกว่ามีมือมาจับไหล่เขา มิวเรียลนั่นเอง

                       “เกิดอะไรขึ้น” พ่อมดหนุ่มถาม ท่าทางงงงัน
        
                       “ข้า... ข้าเห็น เฮเคนกำลังอยู่ในอันตราย” เด็กหนุ่มละลำละลักบอก ก่อนจะวิ่งออกไปในความมืด

                       “เจ้าจะไปไหนน่ะ” มิวเรียลร้องถาม พยายามเขยกตามไป

                       “บ้านอาจารย์”
        
                       เฮไรจามุ่งหน้าไปบ้านอาจารย์ แต่แล้วเขาก็นึกได้ ไคแรนเป็นเพื่อนสนิทที่สุดที่โรงเรียนของเฮเคน ไคแรนต้องรู้แน่ว่าเฮเคนจะไปไหน เขาต้องไปหาไคแรน แต่... บ้านไคแรนอยู่ที่ไหนล่ะ

                        
                       เสียงเคาะประตูอย่างเร่งรีบดังขึ้นที่ประตูหน้า

                       “ดึกป่านนี้แล้วใครมานะ” เทสเตรร่าบ่นขณะที่เดินไปเปิดประตู เสียงเคาะดังขึ้นอีก เด็กสาวบ่นพึมพำขณะที่ไขกุญแจ  แวบแรกที่เธอเห็นเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตู เธอนึกว่าเขาคือเฮเคน

                       “เจ้า...” เด็กสาวชะงัก “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

                       “บ้าน.. บ้านไคแรนอยู่ไหน” เฮไรจาถาม ยังคงหอบอยู่

                       “นี่เกิดอะไรขึ้นฮึ”

                       “ช่างเหอะน่า พาข้าไปบ้านไคแรนก่อน” เฮไรจาคว้าแขนเด็กสาวแล้วลากออกมานอกประตู “ไว้เดี๋ยวข้าจะบอกเจ้าเอง”

                       ทั้ง2คนเดินอย่างเร่งรีบไปตามถนน มุ่งหน้าเข้าสู่กลางเมือง บ้านของไคแรนเป็นโรงเตี้ยมชื่อดังพอสมควร น่าแปลกที่เฮไรจาไม่รู้เรื่องนี้เลย เทสเตรร่าพาเขาเดินอ้อมไปที่บ้านเล็กๆซึ่งสร้างต่อออกมาจากด้านหน้า เธอเคาะที่ประตูไม้ บนประตูสลักเป็นรูปพระอาทิตย์คล้องเกี่ยวกับดวงดาว เฮไรจามองรอยสลักนั้นแล้วพึมพำกับตัวเอง

                       “กาลกิณี...”
                      
                       เทสเตรร่าหันมามองเขา แต่ก่อนที่เธอจะพูดอะไรประตูก็เปิดออก ไคแรนยืนอยู่ที่ประตู หน้าตาเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน

                       “พวกเจ้ามาทำอะไรกันที่นี่” เขาถาม แล้วหาว “ดึกป่านนี้แล้ว...”

                       “เจ้าเห็นเฮเคนมั้ย” เทสเตรร่าถาม ไคแรนทำหน้างง เขามองไปที่เฮไรจา

                       “น้องชายข้าน่ะ เจ้าเห็นเขาไหม” เฮไรจาถามซ้ำ ไคแรนมองหน้าเขาแบบไม่เชื่อสายตาตัวเอง

                       “เจ้า...” เขาอึกอัก “ไม่นี่ เฮเคนกลับบ้านไปตั้งแต่บ่ายแล้วไม่ใช่หรือ”
      เทสเตรร่าสะกิดเฮไรจาเบาๆ

                      “ไปเถอะ ไปบ้านอาข้ากันก่อน” เฮไรจาพยักหน้าก่อนจะเดินออกไปโดยมีเทสเตรร่าตามไปติดๆ
          
                      “ขอบใจมากไคแรน ราตรีสวัสดิ์”
          
                      “เฮ้ เดี๋ยว พวกเจ้าจะไปไหนกันน่ะ รอข้าด้วยสิ” ไคแรนกระโดดโหยงเหยงพลางใส่รองเท้าแล้ววิ่งตามทั้ง2คนไป
          
                      ที่บ้านของเลดี้ครอรีฟ มิวเรียลรอพวกเขาอยู่แล้ว พ่อมดหนุ่มยื่นของสิ่งหนึ่งให้เฮไรจา
          
                      “ข้าเจอมันตกอยู่บนถนนแถวบ้านเจ้า” เขาบอก  เฮไรจารับของมาและพบว่ามันคือดาบของเฮเคน เทสเตรร่ายกมือปิดปาก เธอมองหน้าอาของตนเอง
          
                     “คงจะเป็นแซนทรัส” เลดี้ครอรีฟพูด นางส่ายหน้า

          
                      กลิ่นเกลือและลมทะเลลอยเข้ามาในโสตประสาทของเฮเคน เขาลืมตาขึ้นและพบกับความมืด เด็กหนุ่มรู้สึกปวดหัวจนแทบจะระเบิด เขาพยายามลุกขึ้นแต่ก็พบว่ามือและขาของเขาถูกมันอยู่ด้วยเชือกแข็งแรง ดาบของเขาหายไป
          
                      สักพัก แสงจันทร์เริ่มสาดเข้ามาทางหน้าต่างเล็กๆ เฮเคนพบว่าเขาอยู่ในห้องเล็กๆก่อขึ้นด้วยหินเหมือนกับเป็นหอคอยที่ไหนสักแห่ง พื้นห้องเต็มไปด้วยฝุ่นเหมือนถูกทิ้งไว้มานานปี เฮเคนพยายามนึกว่าเขามาที่นี่ได้ยังไงแต่ก็นึกไม่ออก แล้วเขาก็ได้ยินเสียงคนคุยกันนอกห้อง มีเสียงไขกุญแจและประตูก็เปิดออก ชายร่างใหญ่คนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง ดูจากเสื้อคลุมยาวที่แม้จะมอมแมมแต่ก็รู้ได้ว่าชายคนนี้เป็นพ่อมด
          
                      แซนทรัสมองเด็กหนุ่มที่นอนคลุกฝุ่นอยู่กับพื้น ความมืดทำให้เลือดที่ไหลอาบใบหน้านั้นเป็นสีดำสนิท แต่เขาจำใบหน้านี้ได้ไม่ผิดเพี้ยน เขาแน่ใจ ว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือเฮไรจา
          
                      “ยังจำข้าได้ไหม” พ่อมดถาม ในขณะที่เด็กหนุ่มเหลือบตาขึ้นมามองด้วยความงงงัน เฮเคนไม่เคนรู้จัก แซนทรัสมาก่อน เขาไม่รู้ว่าพี่ชายฝาแฝดไปสร้างความแค้นอะไรไว้กับพ่อมดคนนี้
          
                      “ถ้าจำไม่ได้ล่ะก็ ข้าจะเตือนความจำเจ้าให้” แซนทรัสแสยะยิ้ม วงแหวนเวทย์มนต์ปรากฏขึ้นที่พื้นรอบตัวเฮเคน เขาจำวงแหวนแบบนี้ได้ดี มันคือเวทย์เรียกสายฟ้า
          
                      “อ้ากกกกกกกก”   เด็กหนุ่มร้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านร่างเป็นเวลายาวนานราวกับชั่วกัปชั่วกัลป์
          
                      เมื่อเวทย์สายฟ้าหยุดลง แซนทรัสมองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความผิดหวัง หัวที่ฟุ่บลงกับพื้น ไหล่ตกลู่ด้วยความอ่อนล้า ท่าทีเช่นนี้ไม่เหมือนกันเด็กหนุ่มผู้เย่อหยิ่งที่เขาเคยเจอเมื่อ3ปีก่อนเลย
          
                     “ขังมันไว้ เฝ้าให้ดี” เขาสั่งคนที่อยู่นอกประตู “ถ้ามันจะหนี ตัดแขนตัดขาได้ แต่ห้ามฆ่ามัน” เฮเคนได้ยินเสียงลั่นกุญแจประตูเมื่อพ่อมดเดินออกไป เด็กหนุ่มหลับตาลงด้วยความเจ็บปวดและอ่อนแรง คนๆนี้ต้องการตัวเฮไรจา สัญชาติญาณบอกเขาว่า ถ้าชายคนนี้คิดว่าเขาคือเฮไรจา เขาตายแน่ แต่ถึงมันรู้ว่าเขาไม่ใช่ เฮเคนก็ตายอยู่ดี

          
                      “เฮ้ย หยุด เจ้าจะไปไหนน่ะ” ไคแรนร้องถามเฮไรจาที่รีบเร่งเดินออกมาจากบ้านของเลดี้ครอรีฟ
          
                      “ไปหาเฮเคน” พ่อมดฝึกหัดตอบสั้นๆ ไคแรนเดินตามไป
          
                      “แล้วเจ้ารู้เรอะ ว่าเฮเคนอยู่ไหน” เด็กหนุ่มถาม เฮไรจาหยุดกึก
          
                      “ข้า...อึก” เฮไรจาทรุดตัวลงทันที ร่างกายเกร็งด้วยความเจ็บปวดเหมือนกับถูกไฟช็อต
          
                      “เฮ่ย เป็นอะไร” ไคแรนรีบวิ่งเข้ามาดูทันที “เทสต้า มาดูเจ้านี่หน่อย”
          
                      “ไม่ ข้าไม่เป็นไร” เฮไรจาหอบ “เป็นเฮเคน เขากำลังเรียกข้า” ความเจ็บปวดหายไปแล้ว เขารู้ว่าน้องเขาคงเจ็บปวดมากกว่านี้หลายเท่า
          
                      “เฮเคนเหรอ เขาเป็นอะไรมากมั้ย” เทสเตรร่าถามอย่างร้อนรน
          
                      “พลังเวทย์... ความเจ็บปวดที่เขาส่งมาบอกข้า แซนทรัสเอาตัวเฮเคนไปแน่”
          
                      “เรื่องนั้นข้ารู้แล้วล่ะน่า” ไคแรนพูดอย่างรำคาญ “แต่ที่ข้าจะถามเจ้า คือเจ้ารู้เรอะว่าเฮเคนอยู่ที่ไหน”
          
                      “ข้า... ข้าคิดว่าข้ารู้” เฮไรจาตอบ ยกมือ2ข้างขึ้นกุมศีรษะ “มันเป็นห้องมืด มีสายฟ้าฟาด ข้าเห็นเฮเคนนอนอยู่ ข้าเห็นเขาเลือดไหล ข้า...” เด็กหนุ่มส่ายศีรษะเหมือนอยากจะสลัดภาพนั้นออกไปจากความทรงจำ ท่าทางของเขาตอนนี้ไม่เหมือนเด็กหนุ่มผู้หยิ่งยโสคนเดิมเลย
          
                      “ใจเย็นๆ เฮไรจา” มือเล็กๆบีบที่ไหล่ของเขา เทสเตรร่าคุกเข่าลงข้างๆ “ตั้งสติดีๆสิ เจ้าเห็นอะไรอีกไหม นึกอะไรออกอีกไหม”
          
                      “ไม่ ข้า...”
          
                      “นึกดีๆสิ”
          
                      “ข้า.. ใช่ ข้าได้กลิ่นเกลือ กลิ่นลมทะเล”
          
                      “อ๋อ นั่นได้ประโยชน์มากเลยนี่” ไคแรนขัดขึ้นอย่างประชดประชัน “เจ้านึกออกแค่นี้เองเหรอ ท่านเฮไรจาผู้ยิ่งใหญ่ เจ้ารู้ไหมไอ้ที่มืดๆติดทะเลน่ะ มีกี่ร้อยกี่พันที่ตลอดรัศมี10กิโลเมตรตามชายฝั่งจากเมืองนี้”
          
                      “อย่าเพิ่ง ไคแรน” เทสเตรร่าห้าม เธอหันกลับไปหาเฮไรจา “เจ้านึกออกแค่นี้เองเหรอ”
          
                      เด็กหนุ่มพยักหน้า ทำท่าเหมือนจะร้องไห้
          
                      “พวกเจ้าอยู่นี่เองรึ” เสียงของมิวเรียลดังขึ้น ทั้ง3คนหันไปมอง พ่อมดหนุ่มเดินเขยกมาหาพวกเขา
          
                      “เลดี้ครอรีฟให้ข้ามาตามเจ้า เฮไรจา”
          
                      เฮไรจาไม่ขยับ เทสเตรร่าบีบไหล่เขาเบาๆ
          
                      “ไปหาอาข้ากันก่อนเถอะ นะ” เธอกระซิบ “แล้วพรุ่งนี้ เราไปที่ชายหาดกัน”

          
                      เสียงร้องของนกนางนวลปลุกเด็กหนุ่มบนพื้นหินสกปรกให้ตื่นขึ้น ตอนนี้ห้องสว่างขึ้นเล็กน้องเพราะแสงแดดที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา กลิ่นดอกไม้หอมสดชื่นที่เลื้อยอยู่รอบกรอบหน้าต่างทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย เฮเคนพยายามขยับตัวลุกขึ้น แต่เขากลับเจ็บปวดไปทั่วร่าง หัวก็เหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เขารู้สึกตึงๆที่ใบหน้าเพราะเลือดที่แห้งกรัง และไม่รู้ว่าเพราะแสงแดดเข้าตาหรือเพราะความเจ็บปวด น้ำตาของเขาเริ่มไหลซึมออกมา
          
                      “เฮไรจา เจ้าอยู่ไหน” เขาพึมพำอย่างอ่อนแรง “เจ้า...อยู่ไหน”

          
                      “เฮเคน” เฮไรจาสะดุ้งตื่น คลื่นลูกโตซัดขึ้นมาสาดหน้าเขาพอดี เด็กหนุ่มรู้สึกถึงน้ำทะเลเค็มๆในปาก เขาตื่นเต็มที่และพบว่าตนเองกำลังนั่งอยู่ที่โขดหินริมทะเล
          
                      “ตื่นแล้วเรอะ เจ้าตัวขี้เซา” เสียงของไคแรนดังขึ้นจากข้างบน “ให้ตายเถอะ ไปนั่งหลับอยู่ตรงนั้นเดี๋ยวก็ได้ตกน้ำตายหรอก” เฮไรจาเงยหน้าขึ้นไปมอง เด็กหนุ่มผิวคล้ำกำลังยืนอยู่บนโขดหินเหนือสูงเหนือคลื่นที่ซัดสาดชายฝั่งยามเช้า บนท้องฟ้าเหนือศีรษะพวกเขามีนกนางนวลนับสิบตัวบินวนอยู่ เฮไรจาเดินขึ้นไปบนโขดหินนั้นบ้าง และพบเทสเตรร่ากำลังนั่งสัปหงกอยู่
          
                      “หายากจริงๆซะด้วย” ไคแรนบ่น “นกแค่นี้ค้นไม่ทั่วชายหาดภายในวันเดียวหรอก พวกเขาไม่ยอมมาช่วยมากกว่านี้”
          
                      “เซโดมินท์” เฮไรจาพูดขึ้น “ให้นกเพื่อนเจ้า หาหอคอยทำจากหินดำ มีดอกเซโดมินท์ขึ้นเลื้อยรอบหน้าต่าง และ...” เด็กหนุ่มพยายามนึก “ใกล้รังนกนางนวล ข้าได้ยินเสียงลูกนก”
          
                      ไคแรนมองหน้าเขาอย่างชั่งใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นส่งเสียงประหลาดกับฝูงนกบนท้องฟ้า นกเหล่านั้นร้องตอบกลับมาและบินจากไปตามแนวชายหาด
          
                      “พวกเขากำลังไปหาที่นั่นให้” ไคแรนหันมาบอก “ถ้าเจอเฮเคนแล้ว เจ้าจะทำยังไงต่อ”
          
                      “ไปช่วยเขา” เฮไรจาตอบ “เรื่องที่เหลือไว้เป็นหน้าที่ข้าเอง พวกเจ้าไม่ต้องมายุ่งหรอก”
          
                      ไคแรนท่าทางไม่พอใจ
          
                      “ทำไมข้าจะยุ่งไม่ได้ เฮเคนเป็นเพื่อนข้านะ”
          
                      เฮไรจามองเด็กหนุ่มตรงหน้า เขาเองไม่มีเพื่อน แต่ก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของไคแรน
          
                      “นี่พวกเจ้าคงไม่ได้จะทะเลาะกันอีกใช่ไหม” เสียงของเทสเตรร่าดังขึ้น เธอกำลังนั่งมองพวกเขาอยู่ เฮไรจารีบหลบตา
          
                      “ข้าจะบอกอะไรเจ้าอย่างนึงนะ เฮไรจา” เด็กสาวลุกขึ้นยืน “เฮเคนก็เป็นเพื่อนข้า และพี่ชายฝาแฝดของเขาอย่างเจ้า ก็ไม่มีสิทธิจะห้ามข้าถ้าข้าต้องการจะไปช่วยเขาด้วย”
          
                      “เจ้าจะทำอะไรได้…” เฮไรจาพูดไม่ทันจบก็มีเสียงนกร้องดังมาจากข้างบน ไคแรนเงยหน้าขึ้นไปมอง
          
                      “มันว่ายังไง ไคแรน พวกนกบอกอะไรเจ้า” เฮไรจาถามอย่างร้อนรน
          
                      “เพื่อนข้าบอกว่า พวกเขาพบ ‘เจ้า’ อยู่ที่หอคอยไม่ไกลจากตรงนี้” ไคแรนขมวดคิ้ว “ยังมีลมหายใจ เลือดในกายยังอุ่น แต่ว่าอีกไม่นาน เงามรณะกำลังคืบคลานสู่ตัวเขา”
          
                      เทสเตรร่ายกมือปิดปากในขณะที่เฮไรจากางวงเวทย์มนต์ลงที่โขดหินทันที ไม่ช้าแผ่นหินก็เริ่มสั่นสะเทือน มันกลายร่างเป็นพยัคฆ์หิน  บนหลังของมันมีปีกแข็งแรง1คู่ พ่อมดฝึกหัดกระโดดขึ้นไปบนหลังมันทันที แต่เขาก็ชะงักไปเมื่อเห็นอีกสองคนที่ยืนอยู่ เฮไรจาชั่งใจอยู่พักหนึ่ง แล้วเขาก็ดีดนิ้ว พยัคฆ์หินจึงย่อตัวลงให้ทั้งสองปีนขึ้นไปบนหลัง
          
                       ที่หอคอยสีดำริมทะเล แซนทรัสกำลังเดินไต่บันไดวนขึ้นไป ท่าทางเขาครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน พ่อมดร่างใหญ่เดินไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูบานบนสุดของหอคอย ชายร่างผอมแห้งหน้าตาเหมือนจิ้งเหลนคนหนึ่งนั่งอยู่ที่หน้าประตูนั้น เขาเหลือบมองแซนทรัสก่อนจะยื่นกุญแจดอกใหญ่ให้
          
                       “มันยังอยู่” ชายผอมบอก “เงียบเชียว สงสัยจะตายไปแล้วมั้ง”
          “อย่าประมาทมันเชียว ไอ้นี่มันเจ้าเล่ห์นัก” แซนทรัสพูด แล้วเขาก็ไขกุญแจเปิดเข้าไป
          
                      ตอนนี้ห้องสว่างขึ้นเล็กน้อย แสงแดดที่ลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาส่องให้เห็นฝุ่นที่ฟุ้งอยู่ในอากาศและกองหนาทึบอยู่บนพื้นศิลาดำ บนพื้นนั้น ร่างของเด็กหนุ่มผมทองยังคงคุดคู้อยู่ มือถูกมัดไพล่หลัง ที่ข้อมือของเขามีรอยเลือดซึมออกมา คงจะเป็นผลของการพยายามดึงมือออกจากเชือกจนโดนบาด เด็กหนุ่มเหลือบตาขึ้นมามองแซนทรัส แม้ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจะดูอ่อนแรงแต่ก็ยังมีแววเย้ยหยัน แซนทรัสคิดว่าเจ้าเด็กคนนี้คือเฮไรจาจริงๆก่อนที่แสงแดดจะส่องให้เขาเห็นความจริงบนร่างของเด็กหนุ่มอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก เกราะหนังบาง รองเท้าบูทหนังมังกร ถุงมือหยาบ และเข็มขัดสำหรับคล้องปลอกดาบ พ่อมดร่างใหญ่ถึงกับตะลึง เด็กคนนี้ไม่ใช่เฮไรจา...
          
                      “เจ้าเป็นใคร”
          
                      คำถามของแซนทรัสที่ดังขึ้นด้วยความงงงันทำให้เฮเคนใจหวิว เขาพยายามมองพ่อมดตรงหน้าด้วยแววตาเย้ยหยันแบบที่เฮไรจามักจะทำ แม้มันจะยากเหลือเกิน เขาข่มใจให้สงบ และมองกลับไป
          
                      “เจ้าเป็นใคร...” แซนทรัสถามอีกครั้ง คราวนี้เปลี่ยนเป็นความโกรธที่แฝงมาในน้ำเสียง เฮเคนพยายามพูดทั้งๆที่คอแห้งผาก
          
                      “เจ้า...เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครล่ะ” เขาพยายามทำน้ำเสียงให้เหมือนพี่ชายมากที่สุดแม้จะรู้ว่าไม่มีประโยชน์แล้ว แซนทรัสรู้แล้วแน่ๆว่าเขาไม่ใช่เฮไรจา
          
                      “ข้าถามว่า เจ้า เป็น ใคร” แซนทรัสพยายามข่มอารมณ์ แต่เมื่อเด็กหนุ่มยังคงนิ่งเฉย มองเขาด้วยแววตาเย้ยหยัน และรอยยิ้มที่มุมปาก เขากระชากตัวเด็กหนุ่มขึ้นและผลักไปที่ผนังห้อง ไม่รู้ว่าด้วยแรงของแซนทรัสหรือพลังเวทย์มนต์ ร่างของเฮเคนกระเด็นไปกระแทกกับผนังห้องอย่างรุนแรง เด็กหนุ่มทรุดตัวลงกับพื้น เลือดไหลออกมาจากปาก เขาไอ2-3ครั้งก่อนจะนิ่งไป มีเพียงเสียงหายใจขัดๆแผ่วเบาที่ทำให้รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ แซนทรัสมองเด็กหนุ่มอย่างสมเพช
          
                      “เจ้าไม่ใช่เฮไรจา ไม่ใช่มันแน่ๆ” เขาเดินเข้าไปใกล้เด็กหนุ่ม “ข้าจะถามเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าเป็นใคร เฮไรจาอยู่ที่ไหน”
          
                      “ถ้าไม่ตอบ เจ้า ตาย”
          
                      เฮเคนรู้สึกปวดหัวจนตื้อไปหมด เขาแทบฟังสิ่งที่แซนทรัสพูดไม่รู้เรื่อง เขาคิดว่าเขาคงตายแน่แล้ว แต่เขาก็ได้ยินเสียงแหลมเล็กดังขึ้น เฮเคนเหลือบตาไปที่หน้าต่าง เขาทันได้เห็นเหยี่ยวสีน้ำตาลอ่อนตัวหนึ่งเกาะอยู่ที่นั่นก่อนที่มันจะบินออกไป
          
                      “พลังอัดพันศิลา !”
                      
                      เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น ก่อนหินดำที่ประกอบขึ้นเป็นผนังหอคอยจะระเบิดออก เพดานและผนังเกือบสองด้านถูกระเบิดกระเด็นออกไป แสงแดดจ้าสาดเข้าสู่ห้องเล็กๆนั้นจนตาพร่าไปหมด เฮเคนถอนหายใจในขณะที่  แซนทรัสยืนงง ชายร่างผอมหน้าเหมือนจิ้งเหลนวิ่งเข้ามาดูในห้อง หน้าของเขาซีดเผือดเมื่อเห็นเฮไรจาบนหลังพยัตหิน
          
                      “พลังกดพันชั่ง !”
                      
                      ร่างของชายคนนั้นทรุดลงทันทีเหมือนกับมีมือยักษ์มากดเขาลงให้บี้แบนกับพื้น แซนทรัสหันมองเฮไรจาที เฮเคนทีก่อนจะแสยะยิ้ม
          
                      “อย่างนี้นี่เอง” เขาพูดเบาๆ ก่อนจะร่ายเวทย์ “โดนเผาซะหน่อยเป็นไง” เปลวไฟร้อนระอุพุ่งออกมาจากฝ่ามือทั้ง2ข้างของแซนทรัส เป้าหมายคือเฮไรจาบนพยัตหิน  เด็กหนุ่มยกมือ2ข้างขึ้นซ้อนกัน ตาข่ายน้ำสานตัวขึ้นป้องกันเขาไว้ เฮไรจาพึมพำอะไรบางอย่าง ลมหมุนเกิดขึ้นและพุ่งตรงไปที่แซนทรัส พ่อมดร่างใหญ่กระเด็นไปกระแทกกับผนังห้อง เขาพยายามลุกขึ้นแต่ก็ถูกยกร่างลอยขึ้นไปอีก เมื่อเฮไรจาปัดมืออีกที แซนทรัสก็ถูกเหวี่ยงตกจากหอคอยไป
          
                      “เจ้า...” เทสเตรร่าที่เฝ้าดูอยู่ข้างหลังเฮไรจาชะงัก “เจ้าฆ่า...”
          
                      “แค่นั้นไม่ตายหรอกน่า” เฮไรจาพูดอย่างเย็นชา “เจ้าลงไปหาเฮเคน ส่วนเจ้า ไคแรน พวกสัตว์...เพื่อนเจ้าคงช่วยจัดการพวกที่เหลือได้ ข้าจะตามแซนทรัสไป”
          
                      เทสเตรร่ากับไคแรนกระโดดลงมาที่ยอดหอคอย ก่อนที่เฮไรจาจะขี่พยัตหินตามแซนทรัสลงไป เขาหันมาและโยนของสิ่งหนึ่งให้ไคแรน มันคือดาบของเฮเคน เทสเตรร่าวิ่งไปหาเฮเคนที่ทรุดอยู่กับพื้นทันที ไม่นานนัก แสงสีเขียงก็เรืองขึ้น พลังรักษากำลังทำงานของมัน ในขณะที่ไคแรนเงยหน้าขึ้นผิวปาก ฝูงนกหลายชนิดที่อยู่ริมทะเลเริ่มมาบินวนที่รอบหอคอยก่อนจะพุ่งลงสู่เบื้องล่าง
          
                      “ข้าลงไปก่อนนะ” ไคแรนหันมาบอกแล้ววิ่งลงบันไดไป เด็กหนุ่มจงใจเดินเหยียบร่างของชายผอมที่สลบอยู่กับพื้น  เทสเตรร่ากันมาตั้งสมาธิกับพลังรักษา สักพัก สีหน้าของเฮเคนก็ดูดีขึ้น เขากระพริบตาและมองเทสเตรร่าอย่างงงงวยแล้วพยายามลุกขึ้น
          
                      “นอนซะ เจ้ายังบาดเจ็บอยู่” เทสเตรร่าสั่ง แต่เขาไม่ฟัง
          
                      “ข้าได้ยินเสียงเฮไรจา เขาอยู่ไหน” เด็กหนุ่มถามอย่างร้อนรน “แล้วพ่อมดคนนั้นล่ะ?  เทสต้า เฮไรจาอยู่ไหน พวกเจ้ามาที่นี่ได้ยังไง”
          
                      “ใจเย็นๆเฮเคน พวกเรามาช่วยเจ้า” เด็กสาวตอบ “เฮไรจาตามแซนทรัสไป เขาฝากดาบเจ้ามาคืน” เธอยื่นดาบให้เขา มันหนักทีเดียว เฮเคนคว้าดาบและลุกขึ้นยืน เขาโซเซเล็กน้อยเพราะเสียเลือดไปมาก แต่แววตาดูแน่วแน่
          
                      “เฮไรจาไปทางไหน?”
          
                      “ด้านนั้น ลงไปข้างล่าง” เด็กสาวชี้มือไปที่ผนังด้านที่แซนทรัสตกลงไป “เฮเคน เราลงไปหาไคแรนกันก่อนเถอะ”
          
                      “ไม่ เจ้าลงไปหาไคแรน ข้าจะตามไปช่วยเฮไรจา” เฮเคนบอก เขาเดินไปทางผนังที่เหลือแต่กองหินฝั่งนั้น และก่อนที่เทสเตรร่าจะห้ามทัน เขาก็กระโดดลงไป
          
                      “เฮเคน !” เด็กสาวร้องเสียงหลง เธอวิ่งไปดูที่ขอบผนังแต่ก็เห็นเพียงต้นไม้ข้างล่างไหวตัววูบหนึ่ง พร้อมกับเสียงดังซวบเบาๆ ก่อนจะนึกได้ว่าเพื่อนเธอเป็นศิษย์เอกของอัศวินที่เก่งที่สุดในเมือง เด็กสาวถอนหายใจก่อนจะวิ่งลงบันไดไปโดยไม่ลืมเหยียบชายผอมที่นอนอยู่กับพื้น
          
          
                      เฮเคนยกมือกุมหัว มันยังปวดอยู่ เขาวิ่งผ่านพุ่มไม้ไปจนถึงทุ่งโล่ง ท้องฟ้าเหนือทุ่งนั้นมืดครึ้มด้วยเมฆดำ สายฟ้าปะทุอยู่บนเมฆนั้น เฮไรจากับแซนทรัสยืนประจันหน้ากันอยู่ แซนทรัสดูสะบักสะบอมพอสมควรในขณะที่เฮไรจามีเลือดไหลซึมออกมาเปื้อนแขนเสื้อข้างซ้ายจนชุ่ม ทั้ง2คนไม่ได้สังเกตเห็นเฮเคน
          
                      “เจ้าเก่งขึ้นนี่” เฮไรจาพูดเสียงเย็น ยังมีแววดูถูกอยู่น้ำเสียง
          
                      “ข้าออกมาเพื่อแก้แค้นเจ้าโดยเฉพาะ” แซนทรัสตอบ เขากำลังหอบ “ไม่นึกว่าเจ้าจะมีฝาแฝด”
          
                      “ถ้าเขาเป็นเหมือนข้า เจ้าไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้หรอก”
          
                      “ก็ลองดูซี่” แซนทรัสเรียกพายุไฟ เฮไรจาเหลือบลงมองพื้นดิน
          
                      “เจ้าโง่ ใช้เวทย์เป็นแค่ธาตุเดียวยังจะมาทำซ่าอีก” เด็กหนุ่มดูถูก พื้นดินจากใต้เท้าเขาปริและแตกออก มีน้ำซึมออกมา “ไฟของเจ้า ยังไงก็แพ้น้ำของข้าอยู่ดี”
          
                      “แน่ใจรึ ไอ้เด็กอวดดี” แซนทรัสแสยะยิ้ม “ข้าไม่เคยลืมความเจ็บปวดของสายฟ้าของเจ้าเลย ได้เวลาเอามันคืนให้เจ้าแล้วล่ะ สายฟ้า!”
          
                      ลำแสงสีขาวพุ่งลงมาจากเมฆดำที่เฮไรจาเรียกมาอย่างรวดเร็ว และผ่าลงที่ร่างของเด็กหนุ่มทันที ร่างของเฮไรจากระตุกก่อนที่เขาจะทรุดลงบนเข่า แต่เฮเคนสังเกตเห็นตาของเฮไรจาเหลือบมาที่เขาแวบหนึ่ง เขาเข้าใจทันที มือขวาของพี่ชายฝาแฝดเขายกขึ้น
          
                      “พลังกดพันชั่ง!”
                      
                      แซนทรัสทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น พยายามต่อสู้กับแรงกด เฮเคนรู้ว่าเวลานี้เฮไรจาใกล้จะหมดแรงร่ายมนต์แล้ว เขาชักดาบออกจาฝักและวิ่งตรงไปยังพ่อมดร่างใหญ่ แซนทรัสหันมามอง เพียงชั่วพรึบตาที่เฮไรจาหมดแรง มนต์คลายลงและ
          
                      ฉัวะ!
      สีหน้าของแซนทรัสยังคงตกตะลึงเมื่อเลือดพุ่งออกมาจากบาดแผลของเขาราวกับน้ำพุสีแดงฉาน ร่างของพ่อมดขาดครึ่งท่อนในดาบเดียว ฝีมือดาบของเฮเคนไม่ใช่แค่ราคาคุยอย่างที่เขาบอกใครๆ เด็กหนุ่มหอบ ดาบยังคงยกค้างอยู่ในท่าเตรียมจะซ้ำ แต่แล้วเขาก็ปล่อยดาบ มันตกลงบนพื้นในขณะที่เขาวิ่งไปหาพี่ชาย
          
                      “เฮไรจา” เขาคุกเข่าลงข้างๆพี่ชายที่นอนนิ่ง  “เฮไรจา...” เขาเขย่าตัวพี่ชายเบาๆ เกือบจะร้องไห้อยู่แล้วตอนที่เสียงของเขาเองพูดขึ้น
          
                      “ร้องไห้อีกแล้วเรอะ ไอ้เด็กขี้แย” เฮไรจาเหลือบตาขึ้นมามองเขา เฮเคนน้ำตาไหลทันที
          
                      “เจ้า...ยังอยู่”
          
                      “นี่เจ้าร้องไห้เพราะข้าไม่ตายเรอะ ”  เฮไรจาพูด เสียงของเขาสั่น “เจ้าไม่เป็นไรใช่มั้ย”
          
                      “ไม่... รอก่อนนะ ข้าจะไปเรียกเทสต้ามา” เขาทำท่าจะลุกขึ้น แต่เฮไรจาห้ามไว้
          
                      “ไม่ต้องหรอก มือเซียนกว่ามาแล้ว” เขาเหลือบมองไปที่ศพของแซนทรัส พ่อมดผมขาวคนหนึ่งกำลังก้มลงดูศพนั้น
          
                      “ข้าบอกแล้วว่าเจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอก เฮไรจา” มิวเรียลพูดขึ้น พลางเดินมาหาฝาแฝด เฮเคนทำท่างงๆเมื่อมิวเรียลโค้งให้เขา
          
                      “นี่คงเป็นการพบกันครั้งแรกของเรา” พ่อมดหนุ่มพูด “ข้าชื่อมิวเรียล เป็นผู้คุ้มครองพี่ชายจอมอวดดีของเจ้า เจ้าคงเป็นเฮเคน”
          
                      “ครับ” เฮเคนตอบเบาๆ มิวเรียลยื่นดาบของเขาคืนให้แล้วยิ้ม
          
                      “ฝีมือดาบดีมาก อีก2ปีเจ้าได้ใส่เครื่องแบบอัศวินแน่”
                      
                                       ................................................................................................................

          แสงแดดยามเช้าลอดเข้ามาทางหน้าต่างห้องใต้หลังคา ส่องให้เห็นร่าง2ร่างนอนอยู่บนเตียง2หลังคนละฝั่งห้อง ไม่มีใครขยับเขยื้อนแม้ว่าทั้งคู่จะตื่นแล้ว เสียงทุบประตูดังขึ้นแล้วเสียงแม่ของพวกเขาก็ดังเข้ามา
          
                      “เช้าแล้ว เฮไรจา เฮเคน ตื่น! พวกเจ้าต้องไปโรงเรียนวันนี้แล้วนะ”
          
                      ทั้ง2คนลุกขึ้นจากเตียงช้าๆ เฮไรจาบิดขี้เกียจพลางหาว
          
                      “ข้าอยากนอนต่ออีกซัก2วัน” เขาบ่น “จะรีบไปทำไมกัน โรงเรียนมันไม่ไปไหนหรอกน่า”
          
                      “พูดไปเหอะไอ้ขี้เซา เจ้านอนมากกว่าข้าตั้ง2เท่า” เฮเคนบ่นบ้าง “เจ้านอนมาร่วม10วันแล้วนะ”
          
                      คู่แฝดแต่งตัวเสร็จแล้วเดินออกมานอนบ้าน พวกเขาพบมิวเรียลยืนรออยู่
          
                      “เจ้ายังอยู่อีกเหรอเนี่ย” เฮไรจาถาม สะพายกระเป๋าเก้ๆกังๆเพราะแขนซ้ายเข้าเฝือกอยู่ มิวเรียลคว้ากระเป๋าไปถือให้ “ขอบคุณ” เด็กหนุ่มพูดเบาๆ
          
                      “เจ้าดีใจได้เลย ข้าจะไปวันนี้แล้ว” พ่อมดหนุ่มพูด “แซนทรัสตาย เจ้ารอด ข้าหมดหน้าที่แล้ว”
          
                      “แล้วพวกเราจะได้เจอเจ้าอีกรึเปล่า” เฮเคนถาม 10วันที่ผ่านมาเขาได้เรียนรู้สิ่งต่างๆจากพ่อมดหนุ่มมากมาย
          
                      “ข้าก็อยู่ที่เมืองนี้ล่ะ” มิวเรียลตอบ “ถ้าอยากติดต่อข้าก็บอกเลดี้ครอรีฟ นางรู้ว่าจะหาข้าได้ที่ไหน”
          
                      ไม่มีใครพูดอะไรอีกจนกระทั่งพวกเขามาถึงหน้าโรงเรียน มิวเรียลส่งกระเป๋าสะพายคืนให้เฮไรจา
          
                      “เจ้าไม่เข้าไปหาเลดี้ก่อนรึ” เฮไรจาถาม
          
                      “เลดี้ครอรีฟไม่ใช่นายข้านี่ ข้าต้องไปรายงานตัวกับสภาเวทย์มนต์” มิวเรียลตอบแล้วทำท่าจะเดินจากไป
          
                      “เฮ้ มิวเรียล” เฮไรจาเรียกอีก “ขาเจ้าไปโดนอะไรมา ข้าถามได้ไหม”
          
                     พ่อมดหนุ่มหยุดเดิน เขาหันมาตอบ น้ำเสียงเคร่งขรึม
          
                     “ก็แค่บทเรียนของความอวดดี ในอดีตของข้า...”
          
                     เขาหันหลังกลับและเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรอีกเลย
                            
                             ..................................................................................................................................

      หมายเหตุ:พยายามจะให้มันสั้น แต่มันยาวเกินพิกัดไปซะแล้ว กำลังแต่งตอน2อยู่ ช่วยวิจารณ์กันหน่อยนะครับ

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×