ความต่าง...ระหว่างวัย - ความต่าง...ระหว่างวัย นิยาย ความต่าง...ระหว่างวัย : Dek-D.com - Writer

    ความต่าง...ระหว่างวัย

    การชอบใครสักคนไม่ใช่เรื่องแปลก.....หรือคุณคิดว่าไง??????

    ผู้เข้าชมรวม

    257

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    257

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  22 ต.ค. 49 / 16:07 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    นิยายแฟร์ 2025
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


      "
      เฮ้อ...อีก 2 วัน ก็ปิดเทอมแล้วซิ ปี 3 นี้ทำไมเหนื่อยจัง ไหนจะงานแล้วยังต้องสอบอีก
      คอยดูนะ ปิดเทอมนี้ ฉัน จะเที่ยวให้หนำใจไปเลย...อ่านหนังสือต่อดีกว่าเหลืออีกวิชาเดียวเอง...สู้โว้ย...
      "


      เสียงถอนหายใจสลับไปมาพร้อมๆกับเสียงบ่นพึมพำของสาวน้อยผู้น่ารักอย่างฉันเองค่ะ นางสาวอมยิ้ม   
      ซึ่งนั่งอยู่คนเดียวของโต๊ะมุมในสุดห้องสมุดของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง พร้อมกับหนังสือ
      ที่วางกองอยู่อย่างระเกะระกะ

      สุดที่รักเธอโทรมาช่วยรับหน่อย...อย่าปล่อยให้คอย.......เสียงโทรศัพท์ของฉันดังขึ้น ท่ามกลางความแตกตื่นของผู้คน ก็แหงล่ะ ตอนนี้ฉันอยู่ที่ห้องสมุดนี่นา กลับลืมปิดเสียงเจ้ามือถือนี้ซะได้ เลยรีบกดรับปลายสายทันทีก่อนที่เจ้าหน้าที่บรรณารักษ์จะมาชำระความ โทษฐานที่ฝ่าฝืนกฎไม่ยอมเปิดระบบสั่น

      ฉันไม่ได้ตั้งใจนี่นา มันสุดวิสัยจริงๆ


      "
      ...นี่แม่เองนะลูก  ...แม่จะบอกว่าตอนนี้มีโครงการที่น่าสนใจ มาให้ลูกทำน่ะ"


      "
      โครงการอะไร เมื่อไหร่ แล้วทำที่ไหนคะแม่"

      ฉันที่กำลังง่วนอยู่กับการอ่านหนังสือ เริ่มมีอาการตื่นเต้น....ก่อนตัดสินใจเดินออกไปคุย
      บริเวณด้านนอกของหอสมุดกลาง


      "
      โธ่!  เล่นถามแม่เป็นชุดอย่างนี้ ใครจะตอบทันล่ะจ๊ะ.."
      เสียงแม่หยอกฉันด้วยความเอ็นดู เมื่อฉันรัวคำถามใส่อย่างนับไม่ถ้วน ก่อนจะได้รับคำอธิบายเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวว่าเป็นงานวิจัย ที่ต้องไปสัมภาษณ์คนพิการ ทั้งที่กรุงเทพและต่างจังหวัด ซึ่งแม่และเพื่อนของท่านทำโครงการนี้ร่วมกัน


      "
      ลูกยิ้มสนใจหรือเปล่า แม่จะได้ใส่ชื่อลงไปเลย"

      ฉันเริ่มคิดหนักว่าจะตอบตกลงหรือปฏิเสธดี ด้วยเหตุผลที่ว่ายังไม่ค่อยรู้รายละเอียดมากนัก
      แต่มันก็คงดีกว่าอยู่บ้านเฉยๆล่ะมั้ง ฉันจึงตอบตกลงด้วยเหตุผลที่ว่าจะได้ช่วยเหลือผู้คนเหล่านั้น

      ที่สำคัญฉันจะได้ทำกิจกรรมร่วมกับแม่ในช่วงปิดภาคเรียนอีกด้วย

                หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งการสอบมาได้อย่างทุลักทุเล  ฉันก็ต้องเตรียม
      เก็บกระเป๋าเสื้อผ้าเตรียมพร้อมเดินทางในวันรุ่งขึ้น แล้ววันที่ฉันรอคอยก็มาถึง
      เมื่อแม่พาฉันไปรอคณะเดินทางที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ 

      "สวัสดีค่ะ.....สวัสดีค่ะ.....สวัสดีค่ะ"
      ฉันยกมือไหว้เพื่อนของแม่อย่างงงๆ เมื่อแม่แนะนำให้ฉันรู้จัก
      ฉันรู้สึกสับสนจึงได้แต่ยิ้มมองดูเพื่อนๆของแม่ซึ่งมีตั้งแต่วัยเดียวกับท่านไปจนถึงรุ่นหลานเลยทีเดียว


      "
      ภา...นี่ลูกเธอหรอ น่ารักจังเลย"

      ฉันยิ้มอย่างภาคภูมิใจเมื่อได้รับคำชมจากผู้อาวุโสกว่า แล้วก็แทบจะหุบยิ้มในทันที
      เมื่อได้ยินประโยคถัดมา
      ของคุณน้าว่าฉันเรียนอยู่มออะไรแล้ว

      ให้ตายเถอะน่า ฉันน่ะอายุยี่สิบแล้วนะ ไม่ใช่เด็กๆสักหน่อย


      "
      นี่เธอ...ยัยยิ้มน่ะอยู่ปีสามแล้วนะจ๊ะ อีกปีเดียวก็เรียนจบแล้วจ้ะ"


      "
      อ้าว...หรอจ๊ะ...น้าขอโทษที.."

      "
      ไม่เป็นไรค่ะ"
      ฉันยิ้มให้กับเพื่อนของแม่ ไม่รู้สึกโกรธเลยสักนิด เพราะตัวฉันมันก็เล็กเหมือนกับเด็ก
      อย่างที่เค้าว่าจริงๆ   ดูเหมือนแม่จะเข้าใจความรู้สึกฉันจึงส่งให้ไปช่วยทำงานที่ฝ่ายลงทะเบียน

                      หลังจากมีผู้คนมาลงทะเบียนที่นี่ซึ่งมีทั้งคนพิการและคนดูแลที่ร่วมเข้าฟังโครงการ
      ฉันรู้สึกโชคดีกว่าพวกเค้ามากที่มีอวัยวะครบสามสิบสอง และร่างกายสุขภาพแข็งแรง
      ซึ่งผิดกลับแต่ก่อนที่ฉันน้อยเนื้อต่ำใจว่าทำไม ฉันอ้วนจัง
      ! หน้าตาก็ไม่สวย!
      แต่ความคิดดังกล่าวมันค่อยๆเริ่มจางหายไป....เพราะอย่างน้อยฉันก็มีสองมือไว้ใช้สอย
      สองตาได้มองเห็น สองหูได้รับรู้ข่าวสารและยังมีสองเท้าให้ก้าวเดิน


                     
      หลังจากที่การลงทะเบียนเสร็จสิ้นลง ฉันก็มองหาจุดสัมภาษณ์ซึ่งแม่เป็นคนรับผิดชอบ


      "
      แม่ขา.......ยิ้มมาแล้ว"
      ฉันพึมพำเบาๆเมื่อเดินมากอดแม่ แล้วฉันก็ช่วยสัมภาษณ์คนพิการโดยใช้วิธีการอัดใส่เทป


      เมื่อการสัมภาษณ์สิ้นสุดลง ฉันรู้สึกดีใจที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ฉันจึงบอกกับแม่ด้วยความตื้นตันใจ
      ที่ได้มาทำโครงการนี้  แต่ยังไม่ทันได้พูดคุยอะไรมากนัก ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาทักแม่ของฉัน
      ดูแล้วก็คงอายุมากกว่าฉันไม่เท่าไหร่หรอก


      "
      นี่ลูกน้าภาหรอครับ" ผู้ชายตาตี่หน้าตี๋คนเดิมหันมาตั้งคำถาม คงเพิ่งจะหันมาเห็นฉันล่ะมั้ง


      "
      ยิ้ม..ทักทายพี่อิคคิวสิลูก"
      แม่สะกิดเรียกเมื่อเห็นฉันทำท่าทางเฉยๆ ฉันก็ทักทายอย่างเนือยๆด้วยคำว่าสวัสดี

      เพราะอยู่ดีๆก็มาขัดจังหวะฉันกับแม่คุยกัน ว่าแต่นายนี่ชื่ออะไรนะ อิคคิวงั้นหรอ...
      ผู้ชายอะไรชื่อแปลกชะมัด


      "
      เรียนอยู่ชั้นไหนครับ แล้วโตขึ้นอยากเป็นอะไรเอ่ย"

      หืม...คิ้วทั้งสองข้างของฉันแทบจะชนกันเมื่อได้ยินคำถามเมื่อครู่ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ


      "
      จะขึ้นปีสี่แล้วค่ะ"
      เลือกที่จะตอบเพียงคำถามแรก และเริ่มรู้สึกอยากกลับบ้านเต็มทนแล้ว ความรู้สึกบางอย่าง
      บอกกับฉันว่าไม่ค่อยถูกชะตากับผู้ชายคนนี้เอามากๆ


      "
      ว่าแต่คราวหน้า ยิ้มจะไปทำงานวิจัยที่เชียงใหม่ด้วยหรือเปล่าครับ น้าภา"


      "
      ไม่ได้ไปค่ะ"
      แม่ทำสีหน้างงๆเหมือนต้องการตั้งคำถามกับคำตอบของฉัน แต่ท่านเลือกที่จะให้ผู้ชายคนตรงหน้า
      จากไปก่อน แล้วจึงหันมาเอ่ยถามเหตุผลด้วยความสงสัย


      "
      ไม่รู้สิ...แม่" คิดหาเหตุผลอยู่นานกว่าจะหาคำตอบได้ สุดท้ายก็หาเหตุผลไม่ได้อยู่ดี


       
      "รู้สึกไม่ถูกชะตากับผู้ชายคนนี้เอามากๆเลยค่ะ...ไม่รู้ทำไม" ฉันพูดในสิ่งที่ฉันคิด
      แม่บอกแค่เพียงว่าอย่าคิดมาก
      แล้วยังบอกกับฉันอีกว่า พี่อิคคิวอะไรนั่นน่ะเป็นคนดีมากๆ
      ทำงานก็เก่ง ท่านยังบอกอีกว่าแม่ร่วมงานกับเขามาหลายงานเลยรู้จักเขาดี..


      "
      ยิ้ม...แม่ว่าอย่าไปคิดมากดีกว่า รีบทานข้าวแล้วอย่าลืมไปจัดกระเป๋าเดินทางนะ
      พรุ่งนี้เครื่องออกบ่ายโมงกว่าๆ เราต้องออกจากบ้านก่อนสองชั่วโมงนะลูก
      "

                      ขณะนี้สายการบินไทยที่จะเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ ที่ TG341จะได้เวลา.......


      "
      เมื่อไหร่เขาจะมากันคะแม่"
      ฉันถามผู้เป็นแม่ เมื่อได้ยินชื่อเที่ยวบินที่จะเดินทางไปเชียงใหม่ พร้อมกับมองหาตัวต้นเหตุ
      ที่ยังมาไม่ถึงที่นัดหมาย


      "
      ขอโทษนะครับน้าภา พอดีเมื่อคืนผมเคลียร์งานดึกไปหน่อย"  


      "
      ไม่เป็นไรจ้ะ เขาเพิ่งประกาศให้เตรียมตัวไปเช็คอินขึ้นเครื่องเท่านั้นเอง
      มีเวลาเหลืออีกตั้งสี่สิบห้านาทีแน่ะ
      "

                      บทสนทนาจบลงแค่นั้น ก่อนที่ทั้งหมดจะเดินทางขึ้นเครื่อง โดยจุดหมายปลายทาง
      อยู่ที่เชียงใหม่ เมื่อมาถึง ณ ที่หมาย  ปากฉันเริ่มสั่นจึงกอดแม่ให้คลายจากความหนาว


      "อากาศเย็นจังค่ะแม่"


      "
      ยิ้ม..ไม่ได้เอาเสื้อกันหนาวมาหรอ" ฉันพยักหน้าให้แทนคำตอบ
      รู้สึกว่ามันไม่จำเป็นที่ต้องถามเลย ใครๆก็รู้ว่ามาที่นี่ต้องเตรียมเสื้อกันหนาวอยู่แล้วนี่นา

      ดูเหมือนว่านายนี่จะอ่านความคิดฉันออกจึงพูดหยอกฉัน


      "
      ทำเป็นปลาทองแก้มป่องไปได้ เดี๋ยวก็ไม่สวยหรอก"
      สงครามย่อยๆกำลังจะเกิด หากแต่สงบลงเมื่อมีเสียงหนี่ง
      ดังขัดขึ้นมา


      "
      ขึ้นรถสองแถวแล้วไปทานข้าวกันก่อนนะครับ"
      คุณลุงหัวหน้าโครงการพูดพลางยิ้มไปด้วย

                  
      หลังรับประทานอาหาร น้าจิ๋วเพื่อนสนิทของแม่ฉันก็หยิบเรื่องของลูกชายมาเป็น
      บทสนทนาให้ฉันกับแม่และคนอื่นๆฟัง


      "
      เออ...ภาฉันจะเล่าเรื่องตลกให้ฟัง คือเมื่อเดือนก่อนฉันไปญี่ปุ่นมา แล้วเจ้าอิคคิว
      ฝากฉันซื้อพวกตุ๊กตาอาโนเนะด้วย ดูสิฉันไม่อยากจะเชื่อเลย ฮ่ะ...ฮ่า
      "
      ทุกคนหัวเราะกันหมด ซึ่งนั่นก็รวมทั้งฉันด้วย ไม่น่าเชื่อนะว่าอีตานี่จะชอบอะไรแบบเด็กๆเหมือนกัน
      นึกว่าวันๆจะเอาแต่ทำงาน ทำตัวซีเรียสไปวันๆซะอีก

                                                                              .............................................


      "
      สวัสดีค่ะ เชิญลงทะเบียนด้านนี้ได้เลยนะคะ ช่วยกรอกข้อมูลสองแผ่นนี้ด้วยนะคะ"
      ฉันทักทายผู้เข้าร่วมประชุมตรงประตูทางเข้า ขณะนั้นเองนายอิคคิวเดินยิ้มเข้ามาทักทายฉัน
      ด้วยสีหน้าสดใส แล้วเสนอตัวช่วยฉันเรื่องการลงทะเบียน
      ฉันรีบปฏิเสธเพราะเกรงใจเขา
      ที่เป็นถึงรองหัวหน้าโครงการนี้ซึ่งมีเรื่องที่ต้องรับผิดชอบมากมาย
      แล้วฉันก็คิดว่าฉันดูแลหน้าที่ตรงส่วนนี้ได้


      "
      ถ้ามีปัญหาอะไรเรียกพี่เลยนะ"

      ทันใดนั้นเองฉันเริ่มรู้สึกมีอคติกับผู้ชายคนนี้น้อยลง ความรู้สึกดีๆกลับเข้ามาแทนที่และ
      เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อได้ทำงานร่วมกัน จากที่เรียกชื่อเฉยๆ ก็เรียกว่าพี่อิคคิวได้อย่างสนิทใจ

                     
                        ในระหว่างที่ฉันนั่งทำงานเพลินๆพร้อมกับคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ชายหนุ่มคนดังกล่าว
      เดินมาเรียกฉันให้ไปทานข้าว


      "
      ยิ้ม...ทำงานเพลินจนลืมเวลาทานข้าวเลยนะ พี่ว่าพักก่อนดีกว่า เดี๋ยวค่อยมาจัดเอกสารใหม่ก็ได้
      น้าภา
      รออยู่ที่ห้องอาหาร...ไปกับพี่เลยดีกว่านะ"
      รับคำสั้นๆง่ายๆ พร้อมกับอมยิ้มอยู่ในใจ เมื่อไหร่กันนะที่ฉันเริ่มรู้สึกดีๆกับผู้ชายคนนี้น่ะ

                      บนโต๊ะอาหารมื้อเย็นวันนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนเหมือนเช่นทุกวัน และในแต่ละครั้ง
      น้าจิ๋วจะมีเรื่องตลกมาเล่าให้พวกเราได้ฟังเสมอ

      "
      นี่...ภาเธอรู้ไหมว่าตาอิคคิวน่ะ ทำให้ฉันขำมากเลยนะเธอ มีอยู่วันนึงไปต่อคิวซื้อบัตรรถไฟฟ้า
      อะไรทำนองนี้แหละ แต่ดันไปต่อคิวที่สำหรับกดเงิน แล้วดันต่อนานด้วย ฉันนี้ขำก๊ากเลย
      "


      "
      ...ไม่น่าเชื่อเลยนะ เห็นเอาจริงเอาจังกับงานขนาดนั้นแต่ยังมีเรื่องตลกมาให้ขำจนได้"

      แม่ของฉันแซวพี่อิคคิว...เขาเขินจนหน้าแดง ดูๆแล้ว พี่เขาก็ดูตลกดีนะ คนอื่นๆเขาขำจะเป็นจะตาย
      เพราะความเปิ่นของตัวเอง


      "
      แม่พอแล้วล่ะฮะ...เออ!อิคคิวว่าเราไปเที่ยวกันต่อดีกว่านะครับ"
      ดูท่าคงจะเขินน่าดู เลยรีบเปลี่ยนเรื่องซะงั้น


      ฉันแอบขำในใจ ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่ทันสังเกต ตอนนี้หน้าเขาแดงไปหมดแล้ว


      "
      น้าว่าน้าขอตัวไปสปาก่อนนะ เหมื่อยเหลือเกิน อยากนวดสักหน่อย...ภากับยิ้ม จะไปด้วยกันไหม"

      น้าจิ๋วพูดพร้อมกับบิดตัวยืดเส้นยืดสายตามไปด้วย


      "
      เออ...เดี๋ยวฉันไปด้วยดีกว่ารู้สึกเมื่อยเหมือนกัน" แม่ฉันเกิดสนใจที่จะไปด้วยทันที
      ซึ่งมันตรงกันข้ามกับฉัน จึงปฏิเสธที่จะเข้าร่วมก๊วนของน้าจิ๋วกับแม่ แล้วจึงขอรออยู่ข้างนอก
      เดินเล่นไปเรื่อยเปื่อย แม่หันมามองฉันอย่างเป็นห่วง ท่านคงไม่อยากทิ้งฉันไว้คนเดียวแน่ๆ
      เลยมีคนอาสาที่จะอยู่เป็นเพื่อนฉันแทน


      "
      งั้นเดี๋ยวผมอยู่เป็นเพื่อนน้องเองก็ได้ฮะ ไม่ต้องเป็นห่วง"
      แม่หันมามองฉันทีมองพี่อิคคิวที ก่อนจะฝากฉันไว้กับเขา เห็นฉันเป็นเด็กไปได้ ฉันโตแล้วนะจะบอกให้


      "
      ทำหน้าบึ้งทำไมล่ะ...ยิ้มให้มันสมกับชื่อหน่อยสิ พี่ว่าเราไปทานไอศกรีมกันดีกว่านะ พี่เลี้ยงเอง"

      พี่อิคคิวหันมาพูดกับฉัน ถ้าไม่ติดตรงคำพูดประโยคสุดท้ายที่ว่าจะเป็นเจ้ามือล่ะก็ คงได้เคืองกับการที่เขาเอาชื่อของฉันมาล้อแน่ๆ


      "
      ว่าแต่แถวนี้มีด้วยหรอ พี่อิคคิว" ชายหนุ่มพยักหน้าให้แทนคำตอบก่อนจะพูดว่าได้สำรวจเส้นทาง
      มาเรียบร้อยแล้ว
      เชื่อเลยแฮะ

                ในขณะที่เรานั่งทานไอศกรีมอยู่ด้วยกันนั้น ฉันกับพี่อิคคิวก็ได้คุยกันหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน ที่ในตอนแรกเข้าใจว่าฉันเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษา รวมทั้งเรื่องเพื่อนๆของฉันด้วย แล้วก็ถึงเวลาที่ฉันถามกลับบ้างโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคำถามเกี่ยวกับเรื่องงานซะมากกว่า จนบางครั้งฉันคิดว่าพี่อิคคิวทุ่มเทกับงานมากเกินไปหรือเปล่า


      ...ว่าแต่พี่เขามีแฟนหรือยังนะ... ความคิดนี้แวบเข้ามาในสมอง แล้วฉันก็แทบสลัดไปในทันที นี่ฉันคิดอะไรอยู่เนี่ย

      "ว่าแต่ยิ้มเถอะ...คุยเก่งขนาดนี้มีแฟนรึยัง" ฉันรู้สึกตกใจกับคำถามของคนตรงหน้า ก่อนจะปฏิเสธออกไป พร้อมกับให้เหตุผลว่า ฉันชอบชีวิตแบบนี้มากกว่า ได้อยู่กับเพื่อนๆ ยังและไม่ค่อยคิดเรื่องแบบนี้เท่าไหร่นัก

                      คิดไปเองหรือเปล่าไม่รู้เหมือนกัน เพราะอยู่ดีๆ บรรยากาศรอบข้างก็เริ่มตึงเครียด ฉันจึงเริ่ม
      ชวนคุยก่อน
      แต่บทสนทนาก็ไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่นัก เมื่อฉันเอ่ยถามเจ้าตัวว่ามีกิ๊กกับเค้าบ้างรึเปล่า
      ก่อนจะตอบแบบทีเล่นทีจริงว่าเป็นเรื่องธรรมดา


      "ก็มีนะ แต่ยังไม่เจอคนที่ใช่จริงๆสักที... เดี๋ยวเราก็เปิดเทอมแล้ว พี่จะได้เจอกันอีกไหม"


      "
      ได้เจอสิ" ความสงสัยผุดขึ้นมาภายในใจ ทำไมเค้าต้องอยากเจอฉันด้วยล่ะ


      "
      ยิ้มแวะมาหาพี่ที่ทำงานบ้างก็ได้นะ จะได้พาไปทานข้าว เสียดายจังที่หญิงต้องอยู่หอพักที่มหาวิทยาลัย
      มันไกลเหมือนกันนะ"
      ฉันเริ่มสงสัยกับคำพูดของเค้าอีกครั้ง จึงตัดสินใจถามว่าทำไมถึงได้อยากเจอฉันนัก


      "
      เอ่อ...ออ....ก็..พี่จะได้พาเราไปทานข้าวไง"


      "
      เห็นยิ้มเป็นคนเห็นแก่กินไปได้นะพี่อิคคิว" ฉันพูดพร้อมกับทำแก้มป่องใส่คนตรงหน้า


       
      "แล้วจะไปหรือเปล่าล่ะ ของฟรีไม่ได้มีกันบ่อยหรอกนะ แล้วถ้ามีเวลาเหลือเราสองคน ก็จะได้มาทานไอศกรีมแบบนี้อีกไง"


      "
      ได้เลยพี่ ถ้ามีโอกาสยิ้มจะไปแวะหาพี่แน่นอน บอกไว้ก่อนนะว่ายิ้มกินจุ"


      "
      งั้นพี่ต้องเตรียมหยอดกระปุกแล้วสิเนี่ย" ฉันกับพี่อิคคิวต่างหัวเราะซึ่งกันและกัน
      แล้วความเงียบก็คืบคลานเข้ามา ก่อนจะเอ่ยประโยคถัดมา


      "
      เออ...แล้วพี่จะติดต่อยิ้มได้ยังไง คือพี่หมายถึงคุยโทรศัพท์น่ะ..." พี่อิคคิวถามแบบไม่กล้าสบตาฉัน
      ความจริง ฉันซึ่งเป็นผู้หญิงน่าจะเป็นคนทำมากกว่า


      "
      ใกล้เวลาแล้ว...ยิ้มว่าเรากลับกันดีกว่า"
      ฉันรีบพูดตัดบทเพราะตอนนั้นใจเริ่มสั่นไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ หรือฉันจะชอบเค้ากันนะ
      คิดเองในใจไม่กล้าหันไปสบตากับคนที่เดินอยู่ทางด้านหลัง กลัวว่าจะรู้ความรู้สึกของตัวเอง
      เพราะยังไม่แน่ใจเหมือนกัน

                      ฉันกับพี่อิคคิวแยกกันกลับห้องพัก หลังจากที่เราเจอแม่และน้าจิ๋วที่หน้าร้านสปา
      ฉันตัดสินใจเล่าเรื่องต่างๆให้แม่ฟัง เพราะฉันกับแม่ไม่เคยมีความลับต่อกันเลย


      "
      แม่คิดว่ายังไงคะ" เอ่ยถามผู้เป็นแม่ หลังจากเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ท่านฟัง

      "แม่ก็คิดว่าพี่อิคคิวเค้าก็เป็นคนดีนี่นา"


      "
      แม่ตอบไม่ตรงคำถามนี่คะ" ฉันทำหน้าบึ้งใส่แม่ แบบทำแก้มป่องใส่ท่าน
      แม่หัวเราะในท่าทางที่ฉันทำ ก่อนจะกล่าว

      "
      มันไม่มีอะไรเสียหายนี่นา ดูๆกันไปก่อนสิจ๊ะ"
      แม่ยิ้มให้ฉันก่อนจะวางมืออันอ่อนโยนลูบศีรษะฉันไปมา


      "
      แต่พี่เค้าไม่ได้จะขอคบด้วยสักหน่อยนี่คะ ที่สำคัญอายุห่างกันตั้งหกปีแน่ะ"


      "
      ฟังแม่นะ..ยิ้ม ความรักมันไม่ได้วัดกันที่ความต่างของอายุ มันอยู่ที่ใจเราต่างหากว่ารู้สึกยังไงกับเค้า
      ที่สำคัญความรักมันไม่ได้มีแค่ระหว่างหญิงชาย มีทั้งรักเพื่อน พี่น้องแล้วก็อะไรอีกหลายๆอย่าง

      เราต้องรักให้เป็น รักอย่างมีขอบเขตด้วย" 
      ฉันเข้าใจในสิ่งที่แม่พูด ดังนั้นพอวันรุ่งขึ้น จึงแลกอีเมลล์แทนการให้เบอร์โทรศัพท์แทน
      ก็ฉันกลัวว่าเค้าจะหาว่าฉันใจง่ายน่ะสิ


      "
      แล้วพี่จะติดต่อไปนะ" เป็นคำพูดสุดท้าย ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน หลังจากที่โครงการสิ้นสุดลง

                      ..สามเดือนผ่านไป เพราะเป็นในนิยายจึงไวเหมือนโกหก...ฉันกับพี่อิคคิวไม่ค่อย
      ได้เจอกันเท่าไหร่ ต่างคนก็ต่างยุ่งอยู่กับเรื่องของตนเอง ฉันซึ่งกำลังเรียนอยู่ปีสุดท้ายแล้ว
      ต้องทำโปรเจคส่งอาจารย์ ส่วนพี่อิคคิวยังคงง่วนยู่กับการทำงานตลอดเวลา แต่เราก็ยังติดต่อกันอยู่
      ซึ่งตอนนี้ก็จะเป็นการคุยโทรศัพท์ซะมากกว่า


                     
      ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพี่อิคคิว มีแม่และป้าจิ๋วคอยดูอยู่ห่างๆ เพราะด้วยวัยที่ต่างกัน
      จึงมีเรื่องที่ต้องปรับเข้าหากันเยอะ


                     
      ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตของฉันกับพี่อิคคิวจะเป็นอย่างไรต่อไป พวกเราทำได้แค่เพียง
      ทำวันนี้ที่มีอยู่ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และปล่อยเวลาให้เป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงใจที่เราทั้งคู่
      มีให้แก่กัน รวมทั้งพิสูจน์ว่าอายุมิได้เป็นอุปสรรคของความรักเลยสักนิดเดียว

                                                                              หรือเพื่อนๆว่าไง??????????

                                          ................................................THE   END..........................................

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×