จากสายตาของกลุ่มไหมกับหัวใจของเศษไม้ - จากสายตาของกลุ่มไหมกับหัวใจของเศษไม้ นิยาย จากสายตาของกลุ่มไหมกับหัวใจของเศษไม้ : Dek-D.com - Writer

    จากสายตาของกลุ่มไหมกับหัวใจของเศษไม้

    โดย runaway guy

    ลูกห้องขวานผ่าซากกับหัวหน้าห้องปากร้าย พร้อมกับเรื่องสารพัดที่ทำให้ทั้งคู่ติดแหง็กอยู่ด้วยกันในวันคริสมาสต์ มันจะมีอะไรแย่ไปกว่านี้หรือไม่?

    ผู้เข้าชมรวม

    611

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    611

    ความคิดเห็น


    5

    คนติดตาม


    2
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  12 มิ.ย. 48 / 07:05 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      “verb ที่ต้องตามด้วย gerund มีดังต่อไปนี้...” เสียงใสพึมพำกับตัวเองเบาๆ ขณะที่ดวงตาคู่เรียวก็กวาดตาไปมาบนหนังสือเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ  และในขณะเดียวกัน  ตาคู่นี้ก็คอยเหลือบมองออกไปทางนอกห้องเป็นระยะๆ คอยสังเกตร่างของอาจารย์ประจำวิชาที่วันนี้ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้เข้ามาสอนช้า  ผิดวิสัยของท่านเป็นอย่างยิ่ง  

      ร่างบางในเครื่องแบบนักเรียนเจ้าของดวงตาถอนหายใจพลางสะบัดศีรษะตัวเองเบาๆ สองสามที  ขับไล่ความเบื่อหน่ายที่เกิดขึ้นภายในใจเล็กๆ  ถึงเธอจะไม่ได้เรียนเก่งหรือได้คะแนนเริดหรูอะไรนัก  แต่เธอก็มั่นใจในความจำของตัวเองเป็นอย่างมาก  หากเธอเองก็ไม่ทราบได้ว่าวันนี้เกิดอาเพศอะไรขึ้นกันแน่  verb ที่เธอพยายามท่องจำมาตั้งแต่เริ่มชั่วโมงถึงได้ไม่เข้าหัวเอาซะเลย  มันอาจจะเป็นเพราะความกังวลว่าอาจารย์ท่านจะปรากฏตัวขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้  ถึงได้ทำให้ความจำของเธอไม่ทำงานเอาเสียเลยแบบนี้

      จริงๆ แล้วมันเป็นความกังวลที่ไม่ควรจะกังวลเลย  หากไม่ใช่เพราะเพื่อนร่วมชั้นเธอมีทโมนอยู่กลุ่มหนึ่ง...

      “เฮ้ย!  ส่งมาทางนี้สิวะ!”

      และก็ยังไม่ทันขาดคำดี  เสียงโหวกเหวกของทโมนที่ว่าก็ได้ดังขึ้น ทำลายบรรยากาศอันสงบเงียบของห้องเรียนไปเสียสนิทใจ  ดึงให้เธอถึงกับกลอกตามองเพดานห้องพลางถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ  ก่อนจะนับหนึ่งถึงสิบสะกดกลั้นอารมณ์กรุ่นๆ ที่ทำท่าว่าจะพุ่งเร่าๆ  ก็เพราะไอ้ทโมนพวกนี้นี่ล่ะที่ทำให้เธอต้องกลายเป็นผู้สังเกตการณ์การมาของอาจารย์  แล้วคอยเตือนหรือว่า  แล้วก็ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด  เธอจะต้องทำให้ความสงบที่ควรจะเป็นของห้องเรียนปรากฏต่อหน้าอาจารย์ที่เข้ามาได้ทันท่วงที

      จะเรียกว่าผักชีโรยหน้าหรืออะไรก็ตามทีเถอะ  แต่จะให้ไอ้ทโมนที่ว่าไม่ก่อเรื่องทั้งวันเห็นจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้  เว้นเสียแต่ว่าจะขอกับซานตาครอสเท่านั้น  แล้วเธอก็ไม่มีความคิดอยากจะขออะไรกับคุณลุงซานต้าเสียด้วย  แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันคริสต์มาสก็ตาม

      เธอเหลือบมองออกไปนอกห้องอีกครั้ง  อาศัยว่าที่นั่งของเธอนั้นติดริมประตูและอยู่ชิดประตูหน้าของห้องพอดี  เธอจึงสามารถสังเกตความเคลื่อนไหวนอกห้องได้อย่างชัดเจน  บนระเบียงทางเดินนอกห้องไม่มีแม้แต่เงาอาจารย์ท่านใดเดินไปมา  และนั่นก็เรียกเสียงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจให้ดังขึ้น  ไม่ใช่แค่อาจารย์ประจำวิชาเท่านั้นที่เธอต้องสอดส่องความเคลื่อนไหว  อาจารย์ท่านอื่นที่สอนห้องอื่นก็เหมือนกัน  ถ้ามันโครมครามมากๆ  อาจารย์ห้องข้างๆ ก็มีสิทธิ์โผล่เข้ามาว่าได้เหมือนกัน

      “คืนรองเท้าฉันมา!” เสียงของเพื่อนร่วมชั้นอีกคนดังขึ้นก่อนที่เสียงโครมครามของโต๊ะไม้จะดังตามมา  ถึงไม่หันไปมอง  เธอก็พอรู้แล้วต้นตอของความโกลาหลนี้คืออะไร

      ศึกชิงรองเท้า  

      ชิงกันได้ทุกเดือน  ชิงกันได้ทุกสัปดาห์  แล้วไอ้คนถูกชิงก็เป็นรายเดิมทุกสัปดาห์  ไม่มีเปลี่ยน  

      เธอไม่เคยเข้าใจว่าการชิงรองเท้ามันสนุกหรือมันตรงไหน  แล้วเธอก็ไม่เคยเข้าใจเจ้าของรองเท้าเหมือนกันว่าจะถอดให้เขาคอยมาชิงไปทำไม  ทั้งทีโดนได้ทุกสัปดาห์ตั้งแต่อยู่ห้องเดียวกันมา  แต่เขาก็ยังอุตส่าห์ถอดรองเท้าในห้องเรียน  ทั้งที่โรงเรียนก็ไม่ได้ขอร้องให้ถอดรองเท้าบนตึกเรียนซักนิด

      จะเรียกว่าความจำไม่ดีหรือไม่รู้จักเข็ดดีนะ

      ถ้าเรื่องทั้งหมดมันเป็นแค่การชิงรองเท้า  เธอก็คงจะไม่ใส่ใจอะไรมากนอกจากคอยเตือนไอ้พวกทโมนที่ว่าให้ทันท่วงที  แต่ทว่า  เรื่องทั้งหมดมันไม่ได้จบแค่นั้น  หลังจาก ที่เสียงโครมครามของโต๊ะไม้เงียบไปไม่ถึงอึดใจ  เสียงหวีดร้องของเพื่อนร่วมชั้นที่เป็นผู้หญิงก็ดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยเสียงโห่ฮาป่าราบอย่างอย่างมีความสุขหรือสะใจของทโมนเหล่านั้น  

      และนั่นก็ทำให้เส้นประสาทส่วนขันติของเธอขาดผึง  มือเรียวขาวเอื้อมไปขยี้ผมที่ท้ายทอยอย่างหงุดหงิดใจก่อนที่ร่างบางจะลุกพรวด  หันขวับไปมองต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด  เสียงใสตวาดขึ้นอย่างคนที่ระงับอารมณ์ตัวเองไม่อยู่แล้ว

      “พวกนายทำบ้าอะไรกันหา!?  นายตรีเทพ!!”

      ต้นเหตุของเสียงโครมครามทั้งหมดหันมามองหน้าเธอด้วยหน้าตาตื่นพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย  คนที่ถูกเล่นงานเป็นคนแรกกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะตอบกลับด้วยท่าทางที่ไม่สำนึกผิดเลยแม้แต่น้อย

      “อ้าว!  หัวหน้าดูก็น่าจะรู้นะ   พวกเราเล่นศึกชิงรองเท้ากันไง” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ยังหัวเราะต่อไปอย่างมีความสุข  แถมลูกคู่ที่อยู่ข้างๆ ยังหัวเราะรับกันอีกต่างหาก  และนั่นก็ถึงกับทำให้เธอหรี่ตาจ้องมองเหล่าลูกคู่พวกนั้น  

      ข้างๆ ร่างท้วมขาวหัวเกรียนตาตี่ตามเชื้อสายครึ่งจีนของตรีเทพคือร่างเล็กไว้ผมรองทรงของทวิภาคย์ที่ยิ้มเล็กยิ้มน้อยเหมือนถูกใจอะไรบางอย่าง  ถัดไปเป็นร่างสูงใหญ่ค่อนข้างขาวพร้อมกับผมที่มักจะเสยไปข้างหลังเสมอของเมฆา  รอยยิ้มแห้งๆ ผุดขึ้นมาบนสีหน้าเจื่อนๆ ของเจ้าตัว  ข้างๆ เมฆาคือนายเอกพล  คนตัวค่อนข้างคล้ำหุ่นนักกีฬาหัวเกรียนที่นั่งบนโต๊ะเรียนตัวหน้าห้อง  ถัดไปจากทโมนทั้งสี่คือนายทัศไนยนายแว่นคนตัวขาวตัวเล็กยืนหน้าตาเดือดร้อน  เท้าซ้ายมีเพียงถุงเปล่าๆ อยู่ข้างเดียวขณะที่เท้าขวามีรองเท้าผ้าใบสีดำตามปกติ  ส่วนรองเท้าข้างที่หายไปที่เป็นปัญหากลับไปอยู่ในมือของจ๋าที่บัดนี้ยืนเดือดดาลอยู่ข้างๆ ทัศไนย  ฝุ่นสกปรกเปรอะตามเสื้อนักเรียนสีขาว  และจุดที่แปลกคือมีรอยฝุ่นเปรอะไปถึงผมประบ่าของจ๋าด้วย

      “พวกนายลองอธิบายมาซิว่ามันเกิดอะไรขึ้น  แค่ศึกชิงรองเท้าของพวกนาย  ทำไมเสียงถึงได้โหวกเหวกขนาดนั้น  แล้วทำไมจ๋าถึงไปมีเอี่ยวด้วย” คำอธิบายสั้นๆ ของตรีเทพไม่สามารถทำให้เธฮพอใจและกระจ่างได้  และนั่นก็ทำให้เธอตัดสินในไปไล่เบี้ยเอากับคนที่น่าจะเป็นหัวโจกของพวกทโมน “ว่าไง  นายเอกพล!?”

      “คือ...มันอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะหัวหน้า  คือพวกเราแค่จะหยอกไอ้ทัดเล่นๆ  แต่ว่า...ไอ้เมฆมันชู้ตโด่งแรงไปหน่อย  ก็เลย...ไปโดนหัวจ๋าเข้าน่ะ...” คำอธิบายจากคนถูกไล่เบี้ยทำเอาเธอถึงกับหันไปมองคนที่ชู้ตโด่งแรงเกินด้วยสายตาคบกริบ  และนั่นก็ทำให้คนถูกมองละล่ำละลักตอบทันควัน

      “ฉันไม่ได้ตั้งใจนะหัวหน้า  คือฉันจะส่งไปให้ไอ้เพชร  แต่ว่ามัน...กะแรงพลาดไปหน่อย...”

      “แล้วนายขอโทษจ๋าหรือยัง”

      “ขอโทษแล้วสิ!” เมฆารีบตอบเป็นพัลวัน  แต่คู่กรณีก็สวนกลับขึ้นมาเสียก่อน

      “ขอโทษแล้วมันหายไหม!?  เละไปหมด  นายเห็นหรือเปล่า  หา!?”

      “จ๋า...  ยกโทษให้เหอะนะ  ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”

      “นี่  เธอจะอะไรกันนักหนานะ  เหลือแค่สองคาบก็จะหมดวันอยู่แล้ว  กะอีแค่เสื้อเลอะหัวเละนิดๆ หน่อยๆ ทำเป็นโวยวายไปได้” แทนที่ตรีเทพจะพูดจาขอโทษให้มันดีๆ  เขาดันราดน้ำมันลงไปบนกองเพลิงที่ไม่มีทีท่าว่าจะมอดแม้แต่นิดของคู่กรณีรายใหม่  เรียกให้จ๋าถลึงตาพลางถลกแขนเสื้อ  เตรียมเข้าไปฉะกับคนปากหมาตรงหน้า  ติดที่ว่าทัศไนยขวางหน้าห้ามทัพไว้อยู่  จ๋าเลยได้แต่โวยวายโต้ตอบกลับไปแทน

      “ไอ้...ไอ้ปากหมา!!  พูดแบบนี้ก็สวยสิ  ทำผิดแล้วขอโทษไม่เป็นรึไง  หา!!” เสียงระดับแปดหลอดของจ๋ากับท่าทางฉุนสุดขีดกลับทำให้คนปากหมาดูเหมือนจะมีความสุขยิ่งขึ้น  เสียงโวยวายได้รับการตอบรับเป็นใบหน้าล้อเลียนของตรีเทพกับหน้าที่ซีดหนักขึ้นไปอีกของเมฆา  และนั่นก็ทำให้จ๋าโวยวายหนักข้อขึ้นไปอีก  แล้วเมื่อเหตุการณ์มันทำท่าจะบานปลายไปใหญ่โต  เธอก็จำต้องใช้เสียงและความเป็นหัวหน้าห้ามทัพอีกครั้ง

      “พอกันได้แล้ว!!!  จ๋า!  เลิกโวยวายแล้วได้!  แล้วตรีเทพ!  นายก็ขอโทษจ๋าเขาไปซะ!  เลิกล้อเลียนเขาได้แล้ว!!  ทัศไนย!  วันหลังก็เลิกถอดรองเท้าในห้องเรียนซะ  จะได้ไม่ต้องมีศึกชิงรองเท้าอีก!  แล้วก็เอกพล!  นายหัดปรามๆ เพื่อนนายบ้าง  ปากมีสีขึ้นมาซักวันแล้วจะหาว่าไม่เตื่อนไม่ได้!!”

      ความเงียบเข้าครอบคลุมห้องทันทีที่เธอตวาดกราดรวดเดียวจบจนหอบ  มีเพียงแต่สายตาของเพื่อนร่วมชั้นจ้องมองมาทางเธออย่างตื่นตะลึงเท่านั้น  ขณะที่เธอคิดว่าทุกอย่างจะกลับเข้าสู่ความสงบแล้ว  เสียงติดจะทุ้มนิดๆ ก็ดังขึ้นลอยๆ มาจากแถวๆ กลุ่มคนต้นเรื่อง

      “บ้าอำนาจ”

      และนั่นก็เป็นการจุดให้เพลิงโทสะในใจเธอโหมกระหน่ำยิ่งกว่าการราดน้ำมันเบนซินจนหมดแกลลอนลงกองไฟ  ร่างที่ทำท่าจะหย่อนก้นนั่งสะดุ้งพรวดหันไปมองต้นเสียงด้วยแววตาขุ่นเคือง  และท่าทางของต้นเสียงนั้นมันก็ทำให้เธอยิ่งเดือดดาลหนักข้อขึ้นไปอีก

      เด็กผู้ชายผิวคล้ำรูปร่างสูงโปร่งด้วยความสูงสูสีนายเมฆาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางเหลือบตาคู่โตภายใต้แว่นตากรอบดำมองมาทางเธอ  อาการกอดอกกับสายตาที่จ้องไม่หลบนั้นเหมือนจะประกาศให้รู้ว่าเขานี่แหละที่เป็นคนว่า  แล้วเมื่อเจ้าตัวยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่งราวกับเป็นการถามว่ามีปัญหาอะไรไหม  เธอก็ถึงกับสงบอารมณ์ที่ควรจะสงบไม่อยู่ทีเดียว

      “นายว่าใครบ้าอำนาจ!!” เธอตะโกนถามกลับไปอย่างเผ็ดร้อน  หากแต่หมอนั่นเพียงแต่จ้องกลับมาอย่างไม่วางตา  ไม่ตอบอะไรกลับมาซักคำ  ทั้งที่เธอไม่ควรจะโมโห  แต่เธอก็กลับโมโหมากขึ้นไปอีกที่หมอนั่นเอาแต่จ้อง  ไม่ยอมตอบอะไรกลับมา

      “เมย์...อย่าน่า” เสียงของจูนที่นั่งข้างๆ ปรามขึ้นพร้อมกับมือที่เอื้อมมาเขย่าแขนเธอ  แต่อารมณ์ของเธอตอนนี้ไม่อยู่ในสภาพที่จะฟังเสียงปรามของใครทั้งนั้น

      “อย่าห้ามจูน  พูดแบบนี้มันมากเกินไปแล้ว”

      “ไม่ใช่เมย์!  คือว่า...”

      “ใครเป็นหัวหน้าห้องห้องนี้!” เสียงทรงอำนาจของอาจารย์ดังขึ้นที่หน้าห้องเรียนเรียกให้กลุ่มที่เป็นต้นเหตุของเรื่องโวยวายทั้งหมดแยกย้ายสลายตัว  กลับไปนั่งที่ที่นั่งของตัวเองอย่างทันควัน  ทิ้งไว้ให้เธอรับหน้ากับอาจารย์ที่ท่าทางจะอารมณ์ไม่สู้ดีเพราะเสียงอึกทึกเมื่อครู่

      ซวยสนิท  ทำไมคริสตศาสนิกชนที่ดีอย่างเธอถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้ในวันศริสต์มาสด้วยนะ

      เธอหลับตากลั้นน้ำตาที่มันอยากพังทำนบออกมาพลางนับหนึ่งถึงสิบสะกดอารมณ์ตัวเองให้สงบลง  ให้พร้อมที่จะรับหน้าอาจารย์  ก่อนจะตอบอาจารย์กลับไปอย่างแผ่วเบา

      “หนูเองค่ะ”

      “รู้ไหมว่าเสียงของห้องเธอมันดังไปรบกวนห้องที่ครูสอน  เป็นหัวหน้าก็หัดปรามๆ เพื่อนในห้องบ้าง  ไม่ใช่...” แล้วการไล่เบี้ยเอากับเธอก็ดำเนินต่อไปอย่างยาวนานในความรู้สึกของเธอ  จะมีใครรู้บ้างว่าตำแหน่งหัวหน้าห้องมันก็คือกระโถนดีๆ นี่เอง  ผิดไม่ผิดก็ต้องรับไว้ก่อนล่ะ  แล้วถ้าอยากจะให้รอดจากการไล่เบี้ยการตำหนิที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลย  เธอก็จำเป็นต้องห้ามเพื่อนแบบนั้น  ใช่ว่าเธอว่าอยากจะบ้าอำนาจสักหน่อย

      ไม่ได้มาเป็นหัวหน้าห้อง  นายไม่มีวันเข้าใจหรอก  คนใจดำ!






      “ชัย...แกเล่นแรงไปรึเปล่าวะ?” เสียงของเมฆที่นั่งข้างๆ เขาถามขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ หลังจากที่อาจารย์ห้องข้างๆ ที่โผล่มาว่าอย่างทันควันจากไป

      “เล่นแรง?  ตรงไหน?”

      “แกดูดิ  หัวหน้าหน้าซีดเลยว่ะ  แกว่าเขาแรงไปเปล่าวะ?”

      “เราก็แค่ว่าไปตามจริง  บ้าอำนาจก็ว่าบ้าอำนาจ  หรือว่าพวกนายชอบที่จะถูกหัวหน้าตวาดปาวๆ อย่างนั้น?”

      “ก็ไม่ชอบหรอก  แต่ดูสภาพหัวหน้าตอนนี้แล้วน่าสงสารว่ะ  โดนด่าแทน” เมฆว่าพลางเหลือบไปมองหัวหน้าชั้นที่ทรุดนั่งโดยมีสุชาดาที่นั่งข้างๆ ปลอบอยู่  

      “ก็เข้าใจนิสัยขี้สงสารผู้หญิงของแกนะเมฆ  แต่ว่า  ไอ้เสียงโหวกเหวกที่รบกวนอาจารย์แกครึ่งนึงเป็นของหัวหน้านะโว้ย” เพชรคนตัวเล็กที่นั่งข้างหลังเมฆแทรกขึ้นมา  แต่ยังไม่ทันที่เมฆจะตอบอะไรกลับไป  ต้นที่เป็นคู่หูบ้าบอที่นั่งข้างๆ เพชรก็ดันเสริมขึ้นมาเสียก่อน

      “ใช่ๆ  ชอบเข้ามาขัดจังหวะดีๆ ซะเรื่อย  แถมชอบสั่งๆ อีกต่างหาก  เอ็งด่าหัวหน้าได้ถูกใจข้ามากเลยว่ะไอ้ชัย”

      “ไอ้ต้น” เสียงของเอกที่อยู่ถัดไปอีกแถวข้างๆ ต้นปรามขึ้นมาอย่างเหนื่อยใจ “แกนี่มันสมชื่อตรีเทพจริงๆ ว่ะ  เป็นทั้งเทพปากหมา  เทพไร้มารยาท  แล้วก็เทพหน้าด้านไร้สำนึก  ให้ตายสิ!  ไอ้ที่หัวหน้าเข้าว่ามาให้แกระวังๆ ปากนี่ฉันว่าน่าพิจารณาเหมือนกันนะ  ถ้าวันไหนแกโดนจ๋าต่อยฉันจะไม่แปลกใจเลย”

      เขาเห็นด้วยกับคำพูดของเอกทุกคำ  แทบจะทุกเรื่องที่เกิดขึ้น  ต้นคิดจะต้องเป็นต้นที่ชอบหาเรื่องแกล้งชาวบ้าน  แล้วก็ตามด้วยเพชรที่เห็นดีเห็นงามกับเรื่องแผลงๆ ไปซะทุกเรื่อง  แล้วเมื่อมันไม่เลวร้ายมากนัก  เมฆกับเอกก็จะกระโจนเข้าร่วมวงไพบูลย์อยู่ร่ำไป  ในที่สุดเรื่องมันก็จะเริ่มลามไปหาคนที่ไม่น่าจะมีเอี่ยวด้วยอย่างวิภาวีหรือจ๋าจากแรงที่เกินพอดีในความมันในอารมณ์ของเมฆ  แม้ว่าเมฆกับเอกจะขอโทษขอโพยเพื่อให้เรื่องมันจบไป  แต่ต้นก็มักจะแทรกได้ถูกจังหวะ  ด้วยวาจากวนอวัยวะเบื้องต่ำเสียทุกครั้ง  ยังไม่นับว่าเพชรไม่เคยปรามเลยซักนิด  หมอนี่มีแต่จะดูสถานการณ์อย่างมีความสุขเท่านั้น  และนั่นก็ทำให้เรื่องมันลามเป็นไฟลามทุ่งจนพวกเขาถูกหัวหน้าตวาดเอาเสมอๆ

      “ไอ้เอก  เดี๋ยวนี้เอ็งเริ่มจะเห็นดีเห็นงามคิดทำตามคำพูดหัวหน้าแล้วรึไงวะ?” ต้นว่า  เอกถอนหายใจพลางพิงพนักเก้าอี้ก่อนจะตอบกลับไป

      “ฉันแค่คิดว่าน่าจะมีใครหัดห้ามๆ แกมั่งได้แล้ว  คิดไปคิดมาแล้ว  ฉันชักเห็นว่าแกน่ะมันไม่รู้จักสำนึกเอาซะเลย  ยังกับไม่รู้จักขอบเขตความพอดีงั้นแหละ”

      “ความพอดีข้ารู้จักสิวะ  แต่ข้ามันเป็นพวกชอบสร้างโอกาส  ก็แค่เห็นว่าไอ้ชัยมันเหมือนมีอะไรอยากระบายกับหัวหน้า  ข้าก็เลยสร้างโอกาสให้หัวหน้าด่าพวกเรา  ไอ้ชัยมันจะได้ด่าหัวหน้ากลับอีกด้วยมาดนิ่มๆ ของมันไง  หรือว่าไง  ไอ้ชัย?”

      คำตอบของต้นทำให้เขาเหลือบมองคนที่ถูกพาดพิงถึง  ถามว่าเขามีอะไรหรืออคติเป็นพิเศษกับผู้หญิงคนนี้ไหม?  เขาก็บอกได้ว่าไม่มี  แต่ถ้าถามความสัมพันธ์กับหัวหน้าเป็นยังไง?  นอกจากเพื่อนร่วมห้องที่กระทบกระทั่งกันบ่อยๆ แล้ว  เขาก็ยังเป็นเพื่อนบ้านหัวหน้าที่กระท่อนกระแท่นเต็มที  

      บ้านของเขากับหัวหน้าจะเรียกว่าอยู่ติดกันหรือตรงกันข้ามกันก็ได้  บ้านพวกเขาทั้งคู่เป็นห้องแถวที่ถูกคั่นจากกันด้วยซอยหมู่บ้านเล็กๆ  และด้วยความที่เป็นห้องแถวตรงหัวมุม  ส่วนหนึ่งของบ้านจึงหันหน้าเข้าหากันในขณะที่ถ้ามองจากถนนใหญ่  บ้านของพวกเขาก็จะอยู่ข้างๆ กัน  แน่นอนว่าเขาเห็นร้านเสื้อวรรณพรอันเป็นบ้านของหัวหน้าตั้งอยู่ข้างๆ บ้านเขาที่เป็นร้านขายอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์มาตั้งแต่จำความได้  แล้วเขาก็เห็นหัวหน้ามาตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว  ถึงแม้จะฟังดูเหลือเชื่อ  แต่เขาก็ไม่เคยคุยกับหัวหน้ามาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว  ไม่เคยแม้แต่จะทักจนกระทั่งเขาย้ายจากโรงเรียนประถมซึ่งเป็นโรงเรียนชายล้วนมาอยู่โรงเรียนมัธยมอันเป็นโรงเรียนสหศึกษานั่นแหละ  เขาถึงได้ทักเด็กผู้หญิงบ้านข้างๆ ที่บังเอิญกลายมาเป็นเพื่อนร่วมห้องเป็นครั้งแรกในรอบสิบสองปี  แล้วมันก็อาจจะฟังดูเหลือเชื่ออีกว่าในรอบชีวิตสิบสามปีของเขานั้น  เขาคุยกับเด็กผู้หญิงคนนี้นับครั้งได้  นับได้ด้วยมือเพียงสองข้างเท่านั้น  แล้วเขาก็ไม่เคยทักเธอนอกโรงเรียนเลยแม้แต่ครั้งเดียว

      จะว่าเขาเป็นคนไร้มนุษยสัมพันธ์รึก็ไม่ใช่  ถึงเขาจะไม่เคยทักหัวหน้า  ไม่เคยคุยกับหัวหน้า  แต่ว่าเขาก็คุยและเล่นกับเด็กคนอื่นๆ แถวนั้น  เขามีเพื่อนบ้านละแวกนั้นรุ่นราวคราวเดียวกันก็หลายคนอยู่  จะว่าหัวหน้าเป็นคนไร้มนุษยสัมพันธ์?  อันนี้ก็คงไม่ใช่อีก  เพราะถึงแม้หัวหน้าจะไม่เคยทักเขา  แต่เขาก็เห็นหัวหน้าคุยกับคนอื่นๆ เหมือนกัน

      แต่ว่าทำไมเขากับหัวหน้าถึงไม่ทักไม่คุยกันเลยนั้น...เขาก็ตอบไม่ได้  อาจจะเป็นเพราะมาดมากของหัวหน้าเองก็เป็นได้  ใช่ว่าไอ้มาดมากนี่เพิ่งเป็นตอนเป็นหัวหน้านะ  เธอน่ะท่ามากมาแต่เด็กแล้ว  แล้วเขาก็ไม่อยากคุยกับผู้หญิงท่ามากเสียด้วย จะพูดให้ถูกก็คือ  เขาน่ะไม่อยากคุยกับผู้หญิงซักเท่าไหร่หรอก  ผู้หญิงน่ะน่ารำคาญจะตาย

      แล้วยิ่งผู้หญิงท่ามากบ้าอำนาจ...  ขอทีเถอะ  ให้นั่งนิ่งๆ ฟังเจ้าหล่อนตวาดกราดน่ะ  เห็นทีจะไม่ใช่เด็กชาย สหัสชัยคนนี้ซะแล้ว

      “ว่าไงชัย?  แกมีปัญหากับหัวหน้าเหรอวะ?  บ้านก็ใกล้ๆ กันซะด้วย” เสียงถามซ้ำของเพชรเรียกเขาออกมาจากห้วงความคิด  ตวงตาคู่ดำโตของคนตัวเล็กจ้องมองมาอย่างสนใจ  ที่ผิดสังเกตเห็นจะมีอยู่อย่างเดียวคือรอยยิ้มมีเลศนัยที่มุมปากหมอนี่เท่านั้น

      “ก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่  พวกนายไปเอาความคิดนั้นมาจากไหน?”  เขาตอบ  เพชรมีสีหน้าผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด

      “อ้าว!  ก็เห็นแกชอบแขวะหัวหน้าเวลาเขาว่าพวกเราทุกที  ไม่สิ...อ้าปากทีไรแกก็ว่าหัวหน้าทุกที  ก็เลยนึกว่าแกมีปัญหาอะไรกับหัวหน้าซะอีก”

      “ไม่มี  เราแค่ไม่ชอบนั่งนิ่งๆ ฟังเขาว่าพวกนายก็เท่านั้นเอง  เราไม่ชอบคนบ้าอำนาจ”

      “เอ็งนี่เป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ ว่ะไอ้ชัย  เป็นองครักษ์พิทักษ์พวกเราทุกครั้ง  นี่ถ้าไม่มีเอ็งนะ  ข้าคงไม่มีทางได้เอาคืนหัวหน้าแบบนี้หรอกว่ะ” ต้นว่า  เอกสวนกลับขึ้นมาทันควัน

      “เออ  ไอ้ชัยน่ะมันเป็นเพื่อนที่ดี  แต่แกน่ะมันไอ้กะล่อน  ไอ้ต้น  แกเปลี่ยนนิสัยบ้างก็ดีนะเว้ย  หัดมีสำนึกรู้ผิดรู้ถูกซะบ้าง  ไอ้ชัยมันคงเป็นองครักษ์พิทักษ์แกไม่ได้ยันวันตายหรอก”

      “อ้าวไอ้เอก  ไหงเอ็งพูดงี้วะ?”

      “เราก็เห็นด้วยนะต้น  อย่าหาเรื่องหัวหน้าให้มากนัก  เพราะไม่งั้นไอ้ที่บ้าอำนาจอยู่แล้วจะไปกันใหญ่  ไม่หายกันพอดี” เขาสำทับไป  และนั่นก็ทำให้ต้นมีสีหน้ายุ่งขึ้นไปอีก

      “อะกรีว่ะ” เมฆว่าด้วยสีหน้าหงอย “โดนหัวหน้าวีนแตกครั้งนึงต่อวันก็พอแล้ว  ขืนโดนซ้ำอีกครั้ง  ฉันคงหมดพลังงานไปกับหัวหน้าจนตาย  วันนี้แกอย่าก่อเรื่องอีกเลย  ขอร้อง” แล้วเมื่อต้นถูกเพื่อนรุม  เขาก็หันไปหาคู่หูคนสุดท้ายในกลุ่ม  เพชรมองหน้าต้นครู่เดียวก็ยิ้มเผล่ขึ้นก่อนจะตอบกลับไปว่า

      “เสียใจว่ะต้น  งานนี้ฉันคงเข้าข้างพวกไอ้เอกว่ะ  แกไม่ก่อเรื่องอีกเลยจนหมดวันก็ดีเหมือนกัน”

      แต่จนแล้วจนรอด  พวกเขาก็วีนแตกหัวหน้าอีกครั้งจนได้  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น  ต้นเหตุไม่ได้มาจากตัวก่อเรื่องประจำกลุ่ม  ทว่ามันมาจากคนไม่อยากเจอหัวหน้าวีนแตกมากกว่าครั้งต่อวัน  

      แม้ชั่วโมงเรียนสองชั่วโมงสุดท้ายของวันจะได้ผ่านพ้นไปแล้ว  ทว่าพวกเขาก็ยังไม่อาจกลับบ้านได้  ไม่ใช่ด้วยเหตุผลใดนอกจากกิจกรรมยอดนิยมอันเป็นสามัญของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา

      งานจัดบอร์ด

      ใช่  กิจกรรมสามัญยอดนิยม  และในช่วงคริสต์มาสและปีใหม่อย่างนี้  มันจะเป็นบอร์ดของวิชาใดไปได้นอกจากของภาควิชาภาษาอังกฤษ

      ถึงจะฟังดูเหลือเชื่อว่าคนที่ดูเผินๆ ท่าทางโง่ๆ บ้าๆ และวันๆ เอาแต่สนเกมมากกว่าหนังสือเรียนอย่างเมฆนั้นจะมีความสามารถทางภาษาอังกฤษสูงมาก  สูงขนาดที่เจ้าตัว ‘กินดิบ’ วิชานี้มาตลอด  กินดิบชนิดแทบไม่ต้องใช้ความพยายามในการท่องจำหรืออ่านหนังสือเรียนให้มากมายด้วยซ้ำไป  มันเป็นความจริงที่น่าพิศวงและสงสัยมาตลอดปีที่แล้ว  จนกระทั่งสุชาดาได้ข้อสรุปที่มีเหตุผลฟังดูเข้าท่าว่า

      ที่ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษของเมฆมันสูงปรี๊ดก็เพราะมันเอาแต่เล่นเกมส์ RPG นั่นแหละ  

      มันเป็นเหตุผลที่ฟังเข้าท่า  เพราะว่าคนอย่างเมฆ  เพื่อเกมแล้ว  ต่อให้บุกน้ำลุยไฟ  มันก็จะขวนขวายทุกวิถีทางที่จะทำให้มันนั้นเล่นจนชนะให้ได้  อาจมีทางเดียวที่มันไม่ยอมทำเด็ดขาดคือการใช้สูตรโกง  โดยเจ้าตัวให้เหตุผลว่าเสียศักดิ์ศรีเซียนเกมอย่างมัน

      ไม่ว่าทักษะทางภาษาของเมฆจะมาจากอะไรก็ตาม  แต่ความจริงที่ว่ามันคล่องภาษาอังกฤษปร๋อนั้นก็ได้ทำให้เจ้าตัวได้รับงานเขียนชาร์ตภาษาอังกฤษเกี่ยวกับเทศกาลคริสต์มาส  ซึ่งแน่นอนว่าเมฆไม่มีทางเหนื่อยคนเดียวอยู่แล้ว  หมอนี่ลากพวกเขาทั้งสี่คนเข้าไปร่วมไพบูลย์ด้วย  แล้วความที่เป็นเพื่อนกัน  พวกเขาก็ยินดีที่จะช่วยไปตระเวนหาข้อมูลหมอนี่ต้องการมาให้  แต่สุดท้ายและท้ายที่สุดเมฆก็ต้องเป็นคนเรียบเรียงข้อความทั้งหมดด้วยตัวเอง  และจะต้องนำข้อความที่เรียบเรียงและเขียนมาอย่างเรียบร้อยมาขึ้นบอร์ดเย็นนี้  

      และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่อง

      “ซวยแล้ว...” เมฆว่าขณะที่รื้อกระเป๋า  หน้าตาที่ซีดเซียวของเจ้าตัวบ่งบอกถึงความเดือดร้อนได้เป็นอย่างดี

      “ซวยอะไรวะเมฆ?” เพชรหันมาถามขณะที่มือก็คอยว่ารูปหิมะไว้ตกแต่งบอร์ด  คนตัวเล็กที่เอาแต่เออออกับคนอื่นไปเรื่อยมีความสามารถทางศิลป์อย่างคาดไม่ถึงจนได้รับหน้าที่เป็นแผนกศิลป์ของห้องเสมอๆ

      “ฉันลืมเอางานที่หัวหน้าสั่งมา!” เมฆว่า  หน้าที่ถอดสีนั้นยืนยันได้ว่าเจ้าตัวไม่ได้ล้อเล่นแต่ประการใด

      “แกลืม?  งานจัดบอร์ดต้องเสร็จเย็นนี้นะเว้ย!” เพชรย้ำ  หน้าตาเริ่มซีดอีกคน  

      อันที่จริงงานของวิชาภาษาอังกฤษนั้นไม่จำเป็นต้องเสร็จภายในเย็นวันนี้ก็ได้  ตามกำหนดส่งงานของอาจารย์  งานบอร์ดนี้ต้องส่งภายในวันที่ 28 ซึ่งเป็นวันจันทร์  แต่หัวหน้าก็ให้เหตุผลที่ฟังเข้าท่าว่าคงไม่มีใครอยากมาโรงเรียนวันเสาร์อาทิตย์เพื่อมาจัดบอร์ดให้เสร็จ  ดังนั้นพวกเขาจึงตกลงใจที่จะอยู่เย็นวันศุกร์เพื่อจัดการงานให้เรียบร้อยไป  แล้วคนบ้าอำนาจอย่างหัวหน้าก็ไม่มีทางที่จะยอมผิดแผนโดยไม่พูดต่อว่าอะไรโดยเด็ดขาด  

      โดยเฉพาะกับเรื่องที่เกี่ยวพันถึงคะแนนเก็บของคนทั้งห้องอย่างนี้ด้วยแล้ว

      “แกอย่าย้ำดิวะ  พวกแกก็รู้ว่าฉันชอบรู้สึกเหมือนลืมอะไรอยู่เรื่อย  ใครจะไปรู้ว่าคราวนี้ไอ้ความรู้สึกเหมือนจะลืมอะไรนี่มันเป็นเรื่องจริงขึ้นมา” เมฆแก้ตัว  ถึงจะเป็นข้อแก้ตัวที่ฟังออกจะดูแปลกประหลาด  แต่ว่าตั้งแต่พวกเขารู้จักเมฆมากว่าปีนั้น  พวกเขารู้ดีว่าข้อแก้ตัวที่เมฆว่ามันเป็นเรื่องจริงแค่ไหน  เจ้าตัวชอบบ่นว่ารู้สึกเหมือนลืมอะไรบางอย่าง  แต่นึกไม่ออกว่าลืมอะไรอยู่เรื่อยๆ  ที่ถูกก็คือ  เมฆรู้สึกเหมือนจะลืมอะไรซักอย่างอยู่ทุกวัน  ทั้งที่ๆ จริงๆ แล้วก็ไม่เคยลืมอะไร  ต้นเคยแซวว่าเมฆท่าจะเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำเหมือนคนแก่  แต่พวกเขาก็ไม่ได้เห็นว่าไอ้โรคพิลึกที่ว่านี่จะก่อความเดือดร้อนอะไรให้  เลยไม่มีใครแนะนำให้ไปหาหมอหรือรักษาอะไรแต่อย่างใด  และดูเหมือนเจ้าตัวก็ชินๆ ความรู้สึกที่ว่าด้วยเพราะรู้สึกมาตั้งแต่จำความได้แล้ว

      แต่ในที่สุด  ไอ้โรคพิลึกนี่ก็ก่อความวุ่นวายขึ้นมาจนได้

      “ไอ้เมฆ...หัวหน้าวีนแตกแน่ๆ  แล้วงานนี้เอ็งเป็นคนก่อนะเว้ย  ข้าไม่ได้มีเอี่ยวด้วย” ต้นว่า  และนั่นก็ทำให้เมฆหน้าซีดหนักขึ้นไปอีก  เอกเข้ามาแทรกอย่างเหนื่อยใจ

      “ไปซ้ำเติมไอ้เมฆให้มันได้อะไรขึ้นมาวะไอ้ต้น?  ที่สำคัญหาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ได้ก่อนดีกว่า  เมฆ  แกจำข้อความที่แกจะต้องเอามาได้เปล่าวะ?”

      “ใครจะไปจำได้  ตั้งยาว” เมฆว่า  และนั่นก็ดูเหมือนจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายหนักขึ้นไปอีกจนเอกถอนใจออกมาเบาๆ

      “งานนี้ก็มีสองทางล่ะวะ  ว่าขายผ้าเอาหน้ารอด  เขียนใหม่ขึ้นมาอย่างเร่งด่วน  แต่ข้อความก็คงจะห่วยลงไปเยอะ  กับสอง  สารภาพกับหัวหน้าตามตรงแล้วมาทำงานชดใช้วันหลัง  แต่จะข้อไหนแกก็โดนหัวหน้าด่าแน่  แต่อาจจะดีกรีต่างกันไปเท่านั้น”

      “เราว่าคงเหลือแค่ตัวเลือกที่สองให้เลือกแล้วว่ะ  นั่น  หัวหน้าเดินมาโน่นแล้ว” เขาเอ่ยขึ้นบ้างเมื่อเห็นผู้หญิงบ้าอำนาจในสายตาเขาเดินดุ่มๆ มา  ตอนนี้หน้าตาหล่อนก็ดูอารมณ์จะสู้ดีอยู่หรอก  แต่พอมาถึงพวกเขาแล้วนี่สิ

      งานนี้ไม่จบอย่างโสภาแน่






      คำสารภาพที่หลุดออกมาจากปากเมฆาผู้มีสีหน้าหงอยๆ เป็นเสมือนสายฟ้าฟาดผ่าลงมากลางศีรษะของเธอ  อารมณ์ขุ่นเคืองที่เคยเกิดในคาบก่อนสุดท้ายกลับมาหาเธออีกครั้ง  หากคราวนี้มันกลับมาในระดับที่มากกว่าเก่า  รุนแรงกว่า  และรวดเร็วกว่าเก่า  ชนิดที่ว่าทันทีเมฆาพูดจบ  มันก็ทำเอาเธอสั่นระริกไปทั้งตัวเลยทีเดียว

      “นายลองพูดใหม่อีกทีซิ...” เธอว่า  และเธอก็หวังว่าไอ้คำสารภาพนั่นมันจะเป็นเรื่องตลกแสบของไอ้ทโมนพวกนี้  ทั้งที่ๆ สีหน้าของเมฆาไม่ชวนให้เธอเชื่อสักนิดว่ามันจะเป็นตลกแสบแต่ประการใด

      “คือว่า...” เมฆาเริ่มพูดด้วยเสียงอ่อยๆ  แต่ไม่ทันไรตรีเทพก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน

      “เมฆมันบอกว่ามันลืมเอาชาร์ตจัดบอร์ดมา  แค่นี้หัวหน้าฟังไม่รู้เรื่องรึไง?”

      “ไอ้ต้น!!” เอกพลปรามเพื่อนขึ้นด้วยสีหน้าเครียด  แต่ตอนนี้  เธอไม่สนแล้วว่าใครจะห้ามใครหรือไม่ห้ามใคร  หัวสมองของเธอมีแต่คำสารภาพของเมฆาดังซ้ำไปซ้ำมาว่าลืมเอางานมา  ถ้าหากมันเป็นแค่ไอ้เรื่องตกแต่งบอร์ดอย่างงานของทวิภาคย์  ทำใหม่ตอนนี้ก็เห็นจะไม่มีปัญหาอะไร  แต่งานที่ต้องไปหาข้อมูลแล้วเอามาเรียบเรียงให้ดี  จะให้ทำใหม่ตอนที่ห้องสมุดของโรงเรียนปิดไปแล้วอย่างตอนนี้น่ะเหรอ... ขืนทำก็คงได้งานเผาอย่างที่เธอไม่อยากได้กันพอดี

      “แล้วนายจะทำยังไง!?  บอร์ดมันต้องเสร็จวันนี้นะ!” เธอว่าด้วยเสียงที่ดังลั่นอย่างลืมตัว

      “เดี๋ยวพวกฉันจะรับผิดชอบส่วนที่ไม่เสร็จเอง  หัวหน้าก็ทำส่วนที่ทำได้ไปก่อนแล้วงานที่เหลือพรุ่งนี้พวกฉันจะมาทำให้  หัวหน้ากับคนอื่นๆ ไม่ต้องมาก็ได้” เอกพลเข้ายื่นข้อเสนอทันที “รับรองวันจันทร์งานบอร์ดเสร็จสมบูรณ์อย่างที่หัวหน้าประชุมไว้แน่”

      “ใช่ๆ  เดี๋ยวเรื่องตกแต่งฉันจะรับผิดชอบส่วนที่ไอ้เมฆทำให้ทำในวันนี้ไม่ได้เอง” ทวิภาคย์รีบสนับสนุน  หากในยามนี้ไม่ว่าข้อเสนอใดจะมีเหตุผลเพียงไหน  เธอก็ไม่รับรู้อะไรนอกจากโทสะที่พุ่งเร่าๆ อีกแล้ว

      “แล้วทำไมนายถึงลืม!?  คนอื่นๆ เขาก็มีงานเหมือนกันยังไม่เห็นจะมีใครลืมเลย!” เธอว่า  ใช่ว่ามีแค่เมฆารับงานนี้ไปคนเดียวเสียที่ไหน  เธอเองก็ทำงานเขียนชาร์ตเองเหมือนกัน  แล้วทำไมนายนี่ถึงต้องลืมขณะที่เธอยังเอามาได้!

      “จะถามคำถามที่มันไม่ช่วยอะไรไปทำไม?  คนมันลืมมันก็ลืม  ถามว่าทำไมลืมไปมันก็ไม่ช่วยอะไรขึ้นมา” เสียงคนใจดำที่ดังขึ้นนิ่มๆ ทำเอาเธอต้องหันขวับไปมอง  ดวงตาคู่โตหลังกรอบแว่นที่มองมาอย่างรำคาญทำให้หน้าเธอร้อนผ่าวด้วยอารมณ์ที่เกินองศาเดือดไปหลายตลบ

      “ก็ฉันไม่เข้าใจ!!  คนอื่นๆ เขาก็มีงานมีการบ้านเหมือนๆ กันหมดเขาก็ยังเอามากันได้  แล้วทำไมพวกนายจะต้องเป็นกลุ่มเดียวที่มีปัญหาด้วย!!?”

      “เราคิดว่าหัวหน้าน่าจะรู้นะว่าเมฆมันเป็นโรคชอบนึกว่าตัวเองลืมอะไรอยู่เรื่อย  ทั้งๆ ที่จริงๆ มันก็ไม่ได้ลืมอะไร  คราวนี้มันนึกว่ามันก็เป็นเหมือนปกติ  แต่ที่ไหนได้มันดันลืมขึ้นมาจริงๆ  แล้วหัวหน้าจะให้ทำยังไง?”

      “ไอ้โรคบ้าๆ ของเมฆานี้ฉันได้ยินมาตั้งแต่ปีที่แล้วแล้ว  ไม่ต้องมาเล่าให้ฉันฟังอีกหรอก!!  ถ้ามีปัญหากับสมองนักทำไมไม่ไปหาหมอ!  ปล่อยให้มีปัญหาอยู่ได้!!” ทันทีที่เธอแผดเสียงจบ  หน้าคล้ำๆ ของคนตรงหน้าก็เครียดขึ้นอย่างไม่พอใจทันที  และแล้วคนใจดำของเธอก็ขึ้นเสียงอย่างที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน

      “ก็ถ้ารู้แล้วว่ามันมีปัญหาแบบนี้แล้วส่งงานที่ต้องรับผิดชอบมากๆ มาให้มันทำไม!  ทำไมไม่ส่งไปให้คนอื่นทำ!?  เป็นหัวหน้าก็หัดแบ่งงานให้มันตรงความสามารถคนซะบ้าง!  ไม่ใช่แจกงานไม่ดูแล้วก็มาตีโพยพายใส่ชาวบ้านเขา!  อย่าบ้าอำนาจให้มันมากนัก!!”

      เพี๊ยะ!!!

      อารมณ์ที่เกินองศาเดือดไปหลายขั้นทำให้มือเธอไวกว่าใจคิด  กว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรอีกทีแก้มคล้ำๆ ของคนตรงหน้าก็มีรอยสีชมพูจางๆ ประทับเสริมอยู่  ดวงตาคู่โตใต้กรอบแว่นเบิกและกระพริบถี่ๆ อย่างตื่นตะลึงไม่แพ้กับเพื่อนๆ อีกสี่คนที่ยืนอยู่ข้างหลัง  และหากเธอจะหันไปมองรอบๆ เธอเองก็คงจะเห็นสายตาของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆ ที่มองมาทางเธออย่างงงงวยไม่แพ้กัน  

      ทว่าอารมณ์เดือดดาลที่มันยังพุ่งพล่านในหัวสมองของเธอมันทำให้เธอไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น  ไม่สนใจที่จะหันไปมองเพื่อนร่วมชั้นรอบๆ  หรือลืมแม้กระทั่งจะเอ่ยปากขอโทษคนตรงหน้าที่ลงไม้ลงมือไปเกินกว่าเหตุ  ความโกรธและน้อยเนื้อต่ำใจที่ถูกว่าเอาแรงๆ ขนาดนั้นติดๆ กันในเวลาไม่นานนักทำให้ร่างบางหันขวับแล้วเดินลงส้นเท้าก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว  

      ความรู้สึกที่อยากจะไปให้พ้นๆ หน้าคล้ำๆ ที่ใจดำนั่นได้พาร่างบางมาหยุดอยู่ข้างๆ ห้องน้ำหญิงหลังตึกเรียน  แม้กลิ่นที่ไม่น่าพึงประสงค์จะโชยแผ่วๆ มาให้อัดอึดใจ  แต่เธอก็ไม่คิดจะย้ายตัวเองไปไหนอีกแล้ว  ตอนนี้เธออยากอยู่คนเดียว  ระเบิดอารมณ์ออกมาคนเดียวให้มันสาแก่ใจ  แล้วข้างๆ ห้องน้ำก็ไม่มีใครคิดจะมากวนดีเสียด้วย  

      เธอค่อยๆ ทรุดนั่งลงบนรากไม้ที่ปูดโปนออกมาจากดินของต้นไม้ที่ขึ้นใกล้ๆ ห้องน้ำอย่างเหนื่อยล้า  เธอไม่เข้าใจว่าทำไมนายนั่นจะต้องยืนยันที่จะว่าเธอให้ได้เสียขนาดนั้น  เธอไปทำอะไรให้เขาเจ็บแค้นตั้งแต่เมื่อไหร่?  ถึงเธอจะเห็นหน้าคล้ำๆ นั่นอยู่ข้างๆ บ้านเธอมาตั้งแต่จำความได้  แต่เธอก็ไม่เคยพูดกับเขามาก่อนเลยจนกระทั่งมาอยู่ห้องเรียนเดียวกัน  หึ!  ใครจะไปกล้าทัก  ไอ้มาดเก็กเงียบเอาแต่เหลือบตามองคนนู้นทีคนนี้ที  แถมปากยังกับตะไกรอย่างนี้  เธอคิดถูกแล้วที่ไม่คุยด้วยตอนเด็กๆ  ไม่งั้นเธอคงได้ร้องไห้จ้ากลับบ้านฟ้องแม่ทุกวันแหง

      ใช่...ปากตะไกรอย่างที่สุด  ตั้งแต่วันแรกที่เขาทักเธอ...ตั้งแต่วันนั้นมาเธอไม่เคยที่จะได้ยินคำพูดดีๆ จากหมอนี่แม้แต่ครั้งเดียว  ทุกครั้งตานี่จะต้องเสียดสีเธอ  ต่อว่าเธออยู่ร่ำไป  เหมือนจงใจจะกลั่นแกล้งเธอเสียแบบนั้น

      หรือว่านั่นเป็นเหตุผลที่นายนั่นจะต้องแกล้งเธอให้ได้ใช่ไหม?  เพราะเธอไม่เคยคิดจะคุยกับคนที่ไม่คิดจะทักเธอใช่ไหม?  มีโอกาสทีนายนั่นถึงได้เล่นงานซะขนาดนั้น  เขาจะเข้าใจอะไรเธอ  เขาจะเข้าใจหรือไงว่าภาระหน้าที่ของกระโถนอย่างหัวหน้ามันมีขนาดไหน  ตานั่นไม่มีวันเข้าใจหรอก  คนดีแต่ว่าคนอื่นแบบนั้น

      พระเจ้าขา  คนอย่างรุจิรา  ทองสังวาลคนนี้ไปทำความผิดบาปอะไรไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?  ลูกถึงต้องมาเจอคนที่เกลียดลูกอย่างตานั่นด้วย...  

      เอาซี  ถ้านายเกลียดฉันได้  ฉันก็เกลียดนายได้เหมือนกัน... เธอคิดอย่างเจ็บแค้นในอารมณ์  แม้จะหมายมั่นปั้นมือไว้ในใจ  แต่แล้วสุดท้าย  น้ำตามันก็ยังอุตส่าห์ไหลเป็นสายมาจรดปลายคางจนได้  น้ำตาที่เธอก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงจะต้องไหลออกมาด้วยนะ  

      ก็ดีแล้วที่อยู่ข้างห้องน้ำ  จะได้ไม่มีใครเห็นความอ่อนแอ  ไม่งั้นอายเขาตาย

      แล้วเธอก็นั่งซบหน้ากับเข่าพลางร้องไห้ไปเงียบๆ ตามลำพัง

      แม้จะมีเหตุให้ตื่นตะลึงกันไปทั้งห้องบ้าง  แต่สุดท้ายเรื่องจัดบอร์ดก็จบลงอย่างที่เธอไม่อยากให้มันจบสักนิด  เธอกลับไปทำงานต่อหลังจากที่จูนเดินมาตามและปลอบใจเธอ  ถึงแม้ว่างานมันจะไม่เสร็จสมบูรณ์อย่างที่วางแผนไว้แต่แรก  แต่ว่าในเมื่อทำอะไรไม่ได้  เธอก็ต้องปล่อยให้เรื่องมันเลยตามเลย  รับข้อเสนอของเอกพลแต่โดยดี  ข้อเสนอที่เจ้าตัวยืนยันแล้วยืนยันอีกว่าคราวนี้จะเป็นคนตามงานของเมฆาให้เอง  แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นมาเท่าไหร่แต่อย่างใด

      ร่างบางเดินออกมาจากประตูโรงเรียนอย่างหงอยๆ  ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มครอบคลุมยามเย็นที่แม้เวลาบนนาฬิกาจะแสดงเพียงหกโมงเศษๆ เท่านั้น  หากแต่วันในฤดูหนาวอย่างวันคริสต์มาสเช่นนี้  แม้เพียงหกโมงเศษก็เริ่มจะมืดเอาเสียแล้ว  เธอเงยหน้ามองฟ้าที่เริ่มจะเผยให้เห็นดาวประจำเมืองอยู่ลิบๆ พลางถอนหายใจออกมา  ถึงวันนี้จะมีแต่เรื่องร้ายๆ  แต่ว่าเธอก็จะได้กลับไปฉลองวันคริสต์มาสกับที่บ้านแล้ว  อย่างน้อย  การได้ฉลองวันคริสต์มาสกับที่บ้านก็พอจะหักล้างอารมณ์แย่ๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปได้เสียสนิทใจ

      “เมย์!  ทางนี้ลูก” เสียงของบิดาที่ดังขึ้นเรียกให้เธอหันไปยิ้มให้พลางรีบสาวเท้าเข้าไปหา  แม้ปกติเธอจะกลับบ้านเองได้  แต่ว่าวันที่เธอคาดว่าจะกลับมืดเช่นนี้บิดาเธอมักจะมารับเสมอ  ด้วยว่ากรุงเทพฯ ปัจจุบันนี้ไม่ใช่ที่ๆ ปลอดภัยสำหรับเด็กๆ ยามมืดค่ำอีกต่อไปแล้ว  

      โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงอย่างเธอ

      “อ้าว!  รถพ่อไปไหนล่ะคะ?” เธอร้องถามขึ้นเมื่อเห็นบิดายืนอยู่ข้างๆ แท๊กซี่เขียวเหลืองที่จอดรออยู่แทนที่จะเป็นรถคันที่ใช้ประจำ  

      “อ๋อ!  แม่เขาขับออกไปกับพี่ภาน่ะ  เรื่องผ้าที่พี่ภาจะซื้อน่ะ  ไม่ห่วงนะลูก  แม่เขาบอกว่ากลับมาทันฉลองคริสต์มาสแน่”

      “งั้นกลับบ้านกันเถอะค่ะพ่อ” เธอว่า  ไม่ว่าที่โรงเรียนจะมีเรื่องอะไรมาก็ช่าง  ตอนนี้เธออยากกลับไปที่บ้านใจจะขาดแล้ว  หากแต่ผู้เป็นบิดากลับตอบเธอว่า

      “อือๆ  รอเดี๋ยวนะลูกนะ  อ๋อ!  เดินมานั่นพอดี  ทางนี้!  พ่อชัย!”

      เสียงเรียกของบิดาทำให้เลือดในกายเธอเย็นไปชั่วขณะ  พ่อของเธอเรียกคนใจดำที่เกลียดเธอคนนั้น!  ทำไมกัน?  ปกติพ่อเธอก็ไม่เคยมีธุระกับหมอนั่นนี่  ทำไมต้องมามีวันนี้ด้วยนะ

      “อะ...สวัสดีครับคุณลุง” ร่างคล้ำสูงผละจากพวกเอกพลที่โบกมืออำลาตรงมายังบิดาเธอพลางยกมือขึ้นไหว้  ตาหลังกรอบแว่นเบือนมามองเธอแวบนึงก่อนผละกลับไปมองผู้เป็นบิดาอีกครั้งอย่างไม่ใส่ใจเธอ

      “วันนี้กลับกับลุงนะ”

      “เอ๋!?” เสียงของคนใจดำดังขึ้นอย่างประหลาดใจ  และมันก็ตรงกับเสียงในใจของเธอพอดิบพอดี  ปกตินายคนนี้กลับบ้านมืดๆ ค่ำๆ ก็กลับเองทุกที  ไม่เคยเห็นบิดาของเธอจะดักรออย่างวันนี้มาก่อน

      “อือ  คุณอำนาจกับคุณจำเนียรไปงานศพกะทันหัน  เห็นว่าไปต่างจังหวัดด้วย  บอกว่าจะกลับดึก  เลยฝากเราไว้กับลุงวันนี้  คุณพ่อคุณแม่เราไม่อยากให้เราเฝ้าบ้านมืดๆ คนเดียวน่ะ  วันนี้อยู่บ้านลุงจนกว่าคุณพ่อคุณแม่จะกลับมานะ”

      “อะ...ครับ” คนใจดำตอบรับสั้นๆ พลางเหลือบมามองเธออีกครั้งก่อนจะก้าวขึ้นแท๊กซี่ตามบิดาของเธอไป  ทั้งที่ๆ คิดว่าเธอจะหนีพ้นคนๆ นี้แล้วแท้ๆ  แต่ไหงทุกอย่างมันถึงได้กลับตาลปัตรมาเป็นรูปนี้เสียได้

      วันนี้มันเป็นวันมหาวิปโยคของเธอรึยังไงกัน?






      แม้ใจจะไม่อยากแต่เขาก็ไม่อาจปฏิเสธคำชวนของคุณลุงให้ร่วมงานฉลองเทศกาลคริสต์มาสของท่านได้  แม้ว่าจะเป็นงานเล็กๆ กันเองภายในครอบครัวแล้วเขาก็เป็นเพื่อนบ้านกับคุณลุงมานานแล้ว  เขาก็ยังรู้สึกว่าเป็นส่วนเกินได้  อาจจะเป็นเพราะว่าข้อแรกเขาซึ่งนับถือพุทธไม่เห็นความสำคัญของวันคริสต์มาสแต่อย่างใด  และสอง  คดีวันนี้ทำให้เขาไม่อยากเห็นหน้าของหัวหน้ามากผิดปกติ  ทันทีที่นึกถึงเรื่องเมื่อเย็น  แก้มของเขาที่หายเป็นสีชมพูแล้วนั้นก็เจ็บแปลบขึ้นมาอีกครั้ง  ทำเอาเขาเผลอยกมือขึ้นมาลูบอย่างไม่รู้สึกตัว  

      ช่วงบ่ายก่อนเกิดคดีที่สอง  เขาเคยคิดตามที่เมฆว่าว่าเขาอาจจะว่าเธอแรงเกินไป  แต่ทันทีที่มือเล็กๆ บางๆ นั่นฟาดเข้ามาที่แก้มเขา  เขาก็เปลี่ยนความคิดทันที  ไอ้เรื่องที่ว่าจะไปขอโทษที่พูดแรงไปมลายหายวับไปทันควัน  เขาถือว่ารอยตบนั่นหักล้างหนี้สินที่ติดค้างกันไปหมดเรียบร้อยแล้ว  แล้วมันก็ย้ำว่าความคิดเขาถูกต้องอย่างหาที่สุดมิได้

      คนอะไร  บ้าอำนาจจนหยาดหยดสุดท้าย  

      คิดแล้วเขาก็ต้องเหลือบไปมองคนบ้าอำนาจอีกครั้ง  ตอนนี้เจ้าหล่อนผลัดเสื้อนักเรียนเป็นเสื้อที่ใช้อยู่บ้านเรียบร้อยแล้ว  และกำลังช่วยบิดาจัดโต๊ะแล้วต้นไม้อย่างร่าเริงราวกับว่าวันนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ไก่ย่างห้าดาวครึ่งตัวที่หล่อนเพิ่งเอามาวางบนโต๊ะทำให้เขาอดยิ้มเล็กๆ ไม่ได้

      นี่คงแทนไก่งวงที่หายากในเมืองไทยสินะ  คุณลุงนี่ก็หัวครีเอทใช้ได้แฮะ  

      ไม่น่าเชื่อว่าผู้ใหญ่ใจดีหัวครีเอทแบบนี้จะมีลูกออกมาเป็นคนบ้าอำนาจหัวทึมทึบทำตามแบบแผนเดิมๆ อยู่ซะได้  สุดท้ายเขาก็อดไพล่ไปแขวะคนบ้าอำนาจในใจไม่ได้  แต่เขาก็ยอมรับว่าหัวหน้าปั้นสีหน้าได้ดีเกิดคาด  ตั้งแต่กลับบ้านมานี่เธอไม่ได้แสดงอาการใดเลยว่ามีคดีกับเขา  เสียอย่างเดียวคือเธอไม่หันสบตาเขาแม้แต่นิดเดียว  แต่ก็ช่างเถอะ  ใช่ว่าตอนนี้เขามีอารมณ์จะสบตาเธอที่ไหนกัน   ก็ดีไปอีกแบบ  ไม่งั้นเรื่องของเด็กๆ มันจะลามไปหาผู้ใหญ่เสียเปล่าๆ

      ท่าทางร่าเริงของหัวหน้าค่อยๆ ลดน้อยลงทีละนิดๆ เมื่อเข็มนาฬิกาขี้เวลาจากเกือบทุ่มเป็นหนึ่งทุ่มตรง  แล้วก็เป็นทุ่มครึ่ง  เป็นสองทุ่ม  แล้วในที่สุดก็เคลื่อนคล้อยไปเป็นสองทุ่มครึ่ง  หากเงาของคุณป้าผู้เป็นมารดายังไม่โผล่เข้ามาบนห้องครัวซึ่งอยู่บนชั้นที่สองของบ้าน  ไม่มีแม้แต่เงาจากบันไดหรือแม้แต่กระทั่งเสียงรถที่ชะลอเข้ามาจอดอันเป็นสัญญาณว่าท่านได้กลับมาถึงแล้ว

      และในที่สุดจุดสิ้นสุดของความร่าเริงอันนั้นก็ได้มาถึง  หลังจากที่หล่อนกระวนกระวายขนาดหนักจนกระทั่งเดินไปเดินมารอบๆ โต๊ะอาหารด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มเป็นกังวล  ดูไปให้ละม้ายคล้ายกับภาพสะท้อนของคุณลุงที่นั่งมองหนังสือพิมพ์ตรงหัวโต๊ะ  แต่ดูๆ ไปแล้วก็เสมือนเพียงมองผ่านๆ เท่านั้น  นัยน์ตาหลังแว่นเรียวของคุณลุงดูเหมือนจะไม่ได้จับจ้องตัวอักษรแต่อย่างใด  

      ปี๊บๆๆ

      เสียงเพจเจอร์ที่ดังขึ้นเรียกให้คุณลุงผู้เป็นเจ้าของสะดุ้งพรวดพลางกระวีกระวาดไปกดรับข้อความที่เพิ่งเข้ามา  ดูไปก็ให้รู้สึกแปลกพอสมควรที่ยังมีคนใช้เพจเจอร์ในยุคที่โทรศัพท์มือถือเกร่อบ้านเกลื่อนเมืองเช่นนี้  แต่ก็อีกนั่นแหละ  คุณลุงเป็นหมอประจำโรงพยาบาล  เรื่องจะพกโทรศัพท์มือถือในโรงพยาบาลเห็นทีคงไม่จำเป็นต้องพูดถึง  พกโทรศัพท์ที่ต้องปิดไว้ตลอดเวลาจะพกไปทำไม?  มีแค่เพจเจอร์ไว้ตามตัวกรณีฉุกเฉินมันก็น่าจะเพียงพอแล้ว  ประหยัดค่าใช้จ่ายรายเดือนดีด้วย

      ทันทีที่ดวงตาของคุณลุงกวาดมองข้อความที่เพิ่งส่งเข้ามาเสร็จ  สีหน้าที่เคยกลัดกลุ้มก็ซีดเผือดลงไปถนัดใจ  และมันคงเป็นที่สังเกตได้เพราะคนเป็นลูกอย่างหัวหน้าถามแทรกขึ้นมาทันที

      “มีอะไรเหรอคะพ่อ?”

      “เอ่อ...พ่อ...พ่อมีเคสด่วนน่ะ  ลูกรออยู่บ้านก่อนนะ  เดี๋ยวพ่อกลับมา” คนเป็นพ่อตอบท่าทางตะกุกตะกักดูน่ามีพิรุธเป็นอย่างยิ่ง  ยังไม่นับว่าคำตอบฟังดูแปลกๆ ว่าถ้ามีเคสเข้ามาด่วนแล้วทำไมถึงกลับบ้านได้เร็วนัก  แต่ก่อนที่หัวหน้าจะได้ถามอะไรไปมากกว่านั้น  คุณลุงก็วิ่งลงบันได้จากไปอย่างรวดเร็ว  โดยลืมเพจเจอร์ไว้ที่เดิมอย่างนั้น  

      อาการที่รีบร้อนจากไปของคุณลุงรวมกับการที่คุณป้ายังไม่โผล่เข้ามาทำให้เขาต้องเหลือบมองคนที่รอให้พ่อแม่มาฉลองวันคริสต์มาสอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง  หน้าขาวเรียวรูปไข่ทั้งง้ำทั้งกลุ้มใจปนเปไปพร้อมกันๆ  ดูแล้วก็ให้น่าเหนื่อยหน่ายใจเป็นอย่างยิ่ง  ทำไมคนบางคนถึงไม่เข้าใจนะว่าอุบัติเหตุมันเกิดไม่เลือกเวลาซะบ้าง  

      แล้วยังไม่ขาดคำ  เสียงที่บ้าอำนาจนั่นก็ต่อว่าเขาขึ้นมาอีกจนได้

      “นี่ถ้าไม่พูดเรื่องงานศพในวันนี้  ก็คงไม่ต้องมีเรื่องแบบนี้ขึ้นมาหรอก  ทำไมนายต้องถามพ่อให้พ่อฉันพูดเรื่องงานศพขึ้นมาด้วยนะ  ซวยชะมัด”

      “อ้าว!” เขามึนกับคำต่อว่าเป็นอย่างยิ่ง  ทำไมอยู่ๆ มันกลายเป็นความผิดเขาไปตั้งแต่เมื่อไหร่  แบบนี้มันพาลนี่หว่า “ปกติพ่อหัวหน้าไม่เคยมารับเราซักครั้ง  แล้ววันนี้มารับ  ใจคอหัวหน้าจะไม่ให้เราถามเลยรึไงกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”

      “ก็นั่นแหละ  เพราะงั้นไง  ถึงได้ซวย  ทำไมต้องมามีวันนี้ด้วยนะ  งานศพเนี่ย” คนพาลยังคงพาลพาโลไม่เลิก  แล้วนั่นก็ชักจะเริ่มทำเอาเขาหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้งแล้วสิ

      “อ้าวๆๆ หัวหน้า  พูดแบบนี้มันก็ไม่ถูก  ฝนจะตก  แดดจะออก  เด็กจะคลอด  คนจะขี้มันห้ามกันไม่ได้  แล้วทำไมคนจะตายวันนี้ไม่ได้?”

      “ก็...นั่นแหละ” คนพาลดูเหมือนจะจนด้วยคำแย้งของเขา  ก็ดี  หัดมีเหตุผลซะบ้าง  ไม่เอะอะเอาแต่โทษชาวบ้านมั่วซั่ว  แต่กระนั้นคุณเธอก็ยังไม่วายไปเล่นงานเคสด่วนของพ่อที่เข้ามาจนได้ “แล้วนี่ก็เหมือนกัน  เคสด่วนอะไรนักหนา...” หัวหน้าว่าพลางถืออภิสิทธิ์คว้าเพจเจอร์ของบิดาขึ้นมาอ่านข้อความสุดท้าย  ทันทีที่ดวงตาคู่เรียวกวาดไล่อ่านข้อความจนจบ  หน้าหล่อนก็ซีดเผือดลงกะทันหัน  แถมยังเซแท่ดๆ เหมือนจะเป็นลมให้เขาอดวิ่งเข้าไปพยุงไม่ได้

      เคสอะไรกันทำไมหัวหน้าถึงได้หน้าซีดได้ขนาดนี้?

      คิดแล้วก็เขาถึงกับต้องขอโทษคุณลุงในใจก่อนจะหยิบเพจเจอร์ในมือหัวหน้าที่ตอนนี้ตาเลื่อนลอยเหมือนไม่รับรู้อะไรแล้วมาอ่าน  ข้อความสุดท้ายที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอทำเอาเขาเข้าใจทันทีว่าทำไมหัวหน้าถึงได้ซีดได้ขนาดนั้น

      รถชนที่แถวอ่อนนุชพังยับไปทั้งคัน  ไม่รู้จะทำยังไงดี  มาช่วยด่วนที        

      ภา







      ข้อความที่ปรากฏในเพจเจอร์ของบิดาเป็นยิ่งกว่าสายฟ้าฟาดที่ผ่าลงกลางศีรษะอย่างคำสารภาพของเมฆา  ทันทีที่สมองรับรู้ว่าอะไรเป็นอะไรเท่านั้น  เธอก็รู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกไร้น้ำหนัก  แม้ตาจะยังคงเห็นภาพแต่เธอก็ไม่รับรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น  เธอรู้แต่เพียงว่ารถที่มารดาขับออกไปกับลูกพี่ลูกน้องถูกชนยับไปทั้งคัน  แล้วข้อความนี้มันก็วนเวียนไปมาหัวเธอพร้อมกับส่งเสียงก้องเหมือนไปตะโกนอยู่กลางหุบเขายังไงยังงั้น  

      ขนาดรถยังพังยับไปทั้งคัน  แล้วคนขับล่ะ?  เพียงเธอนึกว่ามารดาจะเป็นอะไรไปแล้วเธอก็ระงับอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจไม่ไหวขึ้นมา

      พระเจ้าขา...ทำไมวันนี้ถึงได้เป็นแบบนี้ไปได้คะ?

      น้ำตาไหลรินเป็นสายออกมาพร้อมกับเสียงสะอื้นที่ดังออกมาเบาๆ อย่างที่เธอไม่คิดจะห้ามมันแล้ว  

      คุณแม่...






      เสียงสะอื้นเบาๆ ที่ดังขึ้นมาจาากคนข้างตัวทำเอาเขาถึงกับต้องกลอกตาขึ้นมองเพดานอย่างไม่รู้ว่าจะเอาตาไปมองอะไรดี  เขาไม่อยากจะว่าหัวหน้าว่าทำไมต้องร้องไห้  เป็นใครเจอข่าวแบบนี้เข้าไปไม่ช็อคก็มีสิทธิ์ร้องไห้กันทั้งนั้น  แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่อยากอยู่กับผู้หญิงที่กำลังร้องไห้ตามลำพังนี่  มันเป็นสถานการณ์ที่ชวนให้ทำอะไรไม่ถูก  จะปลอบก็ไม่ใช่วิสัยเขาเท่าไหร่  จะว่าก็กระไร  มีหวังฟูมฟายหนักกว่าเดิม  ทางออกเดียวที่เขาคิดได้คือพาหัวหน้าไปนั่งบนเก้าอี้ก่อนจะดึงกระดาษทิชชู่ที่หัวโต๊ะส่งให้คนที่เอาแต่ร้องไห้อย่างไม่สนใจตัวเอง  ก่อนที่จะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวข้างๆ บ้าง  แล้วหันหน้าไปมองทางอื่นอย่างเหนื่อยใจ

      อารมณ์เคืองหัวหน้าที่เกิดขึ้นจากเมื่อตอนบ่ายสลายหายไปกับน้ำตาหัวหน้าสิ้น

      เสียงสั่งน้ำมูกดังขึ้นมาจากคนข้างๆ ทำลายความเงียบของห้องไปชั่วขณะก่อนที่ทุกอย่างจะกลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง  มีเพียงเสียงเข็มนาฬิกาที่ดัง  ติ๊ก  ติ๊ก  ติ๊ก  เป็นระยะๆ  ไม่มีใครพูดอะไรอยู่นาน  เขาเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร  ปลอบคนก็ไม่เป็น  ส่วนหัวหน้าก็คงช็อคจนพูดอะไรไม่ออกกระมัง

      แต่แล้วคนที่น่าจะช็อคจนพูดอะไรไม่ออกก็เป็นคนทำลายความเงียบลงเสียเอง

      “ฉันไม่เคยคิดเลยนะว่าคนที่เกลียดฉันอย่างนายจะมาทำดีกับฉันแบบนี้  ขอบใจนะ”

      โอ  นี่เป็นความรู้ใหม่สำหรับเขาเลยนะเนี่ย  เขานี่นะเกลียดหัวหน้า?

      “เราไม่เคยเกลียดหัวหน้านะ  อะไรทำให้หัวหน้าคิดอย่างนั้น?” เขาว่า  

      “ก็นายชอบว่าฉันทุกที  พูดทีไรนายก็ว่าฉันทุกที  ไม่ให้ฉันคิดว่านายเกลียดฉันแล้วจะให้ฉันคิดอะไร?”

      “ก็หัวหน้าอ้าปากทีไรหัวหน้าก็ตวาดพวกเราทุกที  เราก็ไม่พอใจสิ  หรือหัวหน้าชอบให้คนตวาด?”

      “ก็ถ้าไม่ทำอย่างนั้นแล้วพวกนายจะเลิกโวยวายเหรอ?  นายเคยเข้าใจคนเป็นหัวหน้าไหม?  เข้าใจไหมว่าเวลารับหน้าอาจารย์ในเรื่องที่ไม่ได้ก่อเองมันรู้สึกยังไงบ้าง?” ดูเหมือนเรื่องนี้จะเป็นเรื่องต้องห้าม  ทันทีที่พูดขึ้นมา  เสียงที่เคยเจือสะอื้นก็ดูเหมือนจะเริ่มเผ็ดร้อนขึ้นทีละนิด

      “ขอกันดีๆ ก็ได้หัวหน้า  เรื่องแค่นี้พูดขอร้องกันดีๆ ก็ได้  พวกเราเข้าใจ  ไม่ต้องใช้เสียงตวาดหรอก” เขาอธิบาย  ต่อให้ตอนนี้เสียงเธอจะเริ่มเผ็ดร้อนยังไงแต่ไอ้คราบน้ำตาบนหน้ามันก็ทำให้เขาขึ้นเสียงไม่ลง

      “ฉันไม่เห็นจะมั่นใจเลยว่าพวกนายจะเข้าใจ...” เธอว่าเสียงอ่อยๆ พลางมองไปทางอื่น  และนั่นก็ทำให้เขาถึงกับลอบถอนใจ

      “ถ้าหัวหน้ากลัวว่าต้นมันจะไม่เข้าใจล่ะก็  ไม่ต้องห่วงหรอก  ยังไงพวกเราอีกสี่คนก็เข้าใจ  ไม่มีคนร่วมวงต้นมันก็เลิกไปเองแหละ” เขาหยุดก่อนจะตัดสินใจเลียบเคียงถามไปอีกครั้ง “ทำไมหัวหน้าไม่ลองขอร้องพูดกับพวกเราดีๆ ก่อนล่ะ  ถ้าไม่ได้แล้วจะตวาดก็จะไม่ว่าเลย”

      เงียบ...  ไม่มีคำตอบใดๆ กลับมาจากคนข้างๆ  และนั่นก็ทำให้เขาชักสงสัย  จะว่าไปเขาไม่เคยเห็นหัวหน้าขอร้องใครในห้องมาก่อนเหมือนกัน  ข้อสังเกตที่ผุดขึ้นมานี้ทำให้เขาตัดสินใจถามหัวหน้าต่อไปอีกว่า

      “ชีวิตนี้หัวหน้าเคยขอร้องอะไรใครหรือยัง?”

      “คนที่เอาแต่ขอร้องหรือขอคนอื่นเป็นคนอ่อนแอไม่ยอมทำอะไรด้วยตัวเอง  ฉันไม่อยากเป็นคนแบบนั้น” คนถูกถามตอบกลับมาอย่างมั่นใจยิ่ง  โอ  สวรรค์ทรงโปรด  นี่คุณลุงคุณป้าสั่งสอนหัวหน้าแบบนี้เหรอเนี่ย?

      “คุณลุงบอกอย่างนี้เหรอหัวหน้า?”

      “เปล่า!  แต่ฉันสรุปได้เองจากสมัยเรียนประถม  ทำไม?  มีอะไรผิดตรงไหน?”

      “หัวหน้า...” คำถามที่คนข้างๆ ถามกลับทำให้เขาถึงกับต้องพูดออกมาอย่างอ่อนใจ “หัวหน้าคิดว่าคนเราจะทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเองหรือไง?  บางครั้งมันก็มีเรื่องที่ทำอะไรเองไม่ได้  ตอนนั้นจะขอร้องคนอื่นหรือขอให้คนอื่นช่วยก็ไม่มีใครว่าว่าเป็นง่อยหรอก”

      “ฉันไม่อยากเป็นคนขี้ขอนี่  ฉันโดนขอบ่อยจนอัดอึดใจ  ฉันไม่อยากให้คนอื่นรู้สึกอย่างนั้นบ้าง”

      “นานๆ ครั้งไม่มีใครว่าอะไรหรอกหัวหน้า  หรือจะขอในเทศกาลพิเศษก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอก  ไม่เชื่อหัวหน้าก็ลองขอดูสิ”

      “จะให้ขอใคร?”

      “ใครก็ได้ที่หัวหน้าคิดว่าให้ได้  พ่อ  แม่...” แล้วเขาก็ต้องเบาเสียงลงเมื่อเห็นหน้าคนข้างๆ ซีดเผือดพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มจะไหลออกมาอีกครั้ง  เขาดึงทิชชู่แผ่นใหม่ส่งให้แทนแผ่นเก่าที่เน่าเละคามือหัวหน้าไปเรียบร้อยแล้วก่อนจะพูดต่อไปว่า “นี่...บางเรื่องถ้าหัวหน้ากลุ้มใจมากๆ  หัวหน้าก็ลองขอกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของหัวหน้าดูสิ  ในเมื่อเราทำอะไรไม่ได้  จะลองขอดูมันก็ไม่เสียหายนี่...”  

      “แล้วจะช่วยได้เหรอ?” หัวหน้าถาม  เสียงเริ่มสั่นอีกครั้ง

      “ก็ไม่รู้เหมือนกัน  สำหรับเรามันก็ได้ทางใจ  แต่ว่าเราก็เคยได้ยินเรื่องคนที่เขามีศรัทธามากๆ มันก็มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นมาเหมือนกันนะ” เขาว่าพลางแปลกใจตัวเองพิกล  สหัสชัยคนนี้ปลอบใจคนอื่น?  วันนี้ต้องมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นเสียแน่แล้ว

      แต่มันก็อาจเป็นเพราะว่าเขาเปลี่ยนทัศนคติต่อหัวหน้าไปบ้างแล้วก็เป็นได้  เด็กผู้หญิงที่เขาคิดว่าท่ามากบ้าอำนาจ  จริงๆ แล้วก็ไม่ได้บ้าอำนาจอย่างที่คิด  คุณเธอดูมีท่ามากก็อาจเป็นเพราะคุณเธอไม่อยากจะพึ่งใคร  แล้วที่เธอบ้าอำนาจก็อาจเป็นเพราะเธอขอร้องใครไม่เป็น  เพราะเธอคิดว่าการขอร้องคนอื่นการขอคนอื่นจะทำให้กลายเป็นคนอ่อนแอ  จริงแล้วๆ คนท่ามากบ้าอำนาจอาจเป็นแค่คนเจ้าอารมณ์ที่ไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็นก็เป็นได้

      ที่ว่าคนเราถ้าไม่เปิดอกคุยกันก็ไม่มีทางเข้าใจกันนี่มันท่าจะจริงแฮะ

      คิดแล้วเขาก็อ้าปากจะพูดต่อ  แต่หากยังไม่ทันจะพูดอะไรออกมา  แสงไฟในห้องครัวทุกดวงก็พร้อมใจกันดับลง  ทิ้งให้เขาและก็อาจจะคนข้างๆ ด้วยนั่งทำตาปริบๆ ท่ามกลางความมืด  ปล่อยให้เขานึกสาปแช่งการไฟฟ้าชุดใหญ่ที่ยังอุตส่าห์ปล่อยให้ไฟดับวันอากาศดีอีกเสียได้  

      แต่ก็ช่างเถอะ  ดับเดี๋ยวเดียวก็คงติดขึ้นมาอีก  ไม่ใช่วันฝนฟ้าคะนองคงไม่มีอะไรมาก  อยู่มืดๆ แป๊บเดียวคงไม่มีอะไรล่ะมั้ง...

      แกร๊ก...

      เสียงบานประตูของร้านตัดเสื้ออันเป็นชั้นล่างสุดของบ้านที่ถูกเปิดออกโดยไม่มีเสียงทักนำอันเป็นปกติวิสัยของคุณลุงทำให้เขาถึงกับรู้สึกเครียดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว  แล้วเมื่อได้ยินเสียงเหมือนเสียงซุบซิบกันแผ่วๆ พร้อมกับฝีเท้าเบาๆ ข้างล่างแล้วเขาก็รู้สึกเครียดหนักขึ้นไปอีก....

      ซวยซ้ำกรรมซัด  วันนี้มันวันมหาวิปโยครึไงกัน!?






      ไฟที่ดับลงพร้อมๆ กับเสียงแกรกกรากตรงบริเวณร้านตัดเสื้อของบ้านทำให้เธอรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ  ยังไม่นับว่าอารมณ์เธอไม่นิ่งจากข้อความในเพจเจอร์ของบิดาอีก  เมื่อรวมทั้งสองอย่างเข้าด้วยกันมันทำเอาเธอแทบอยากจะหวีดร้องออกมาเสียให้ได้  หากยังไม่ทันที่เธอจะส่งเสียงอะไรออกมา  ต้นแขนของเธอก็ถูกคว้าหมับเข้าให้  และเธอก็คงจะกรี๊ดออกไปแล้วหากไม่เป็นเพราะเสียงทุ้มๆ ของคนข้างบ้านที่กระซิบกระซาบขึ้นมาเสียก่อน

      “เบาๆ หัวหน้า  พวกมันอาจจะยังไม่รู้ตัวก็ได้ว่าพวกเราอยู่บนนี้  ไม้ซอฟท์บอลของหัวหน้าอยู่ที่ไหน?”

      “หา?”

      “เราจำได้ว่าหัวหน้าเป็นนักกีฬาซอฟท์บอลไม่ใช่เหรอ?  หัวหน้ามีไม้ใช้เล่นซอฟท์บอลเป็นของตัวเองใช่ไหม?”

      “มี  ถามทำไมเหรอ?”

      “ขอยืมหน่อย” เขาตอบสั้นๆ  แต่ว่าเธอก็จะพอเข้าใจแล้วว่าคนตรงหน้าจะเอาไปทำอะไร

      “นายคิดจะทำอะไร?  มันอันตรายนะ”

      “ถ้าปล่อยให้พวกมันขึ้นมาเจอพวกเราอยู่กันแค่สองคนสิอันตราย  มืดๆ แบบนี้มันดูไม่ออกว่าใครเด็กใครผู้ใหญ่  ถ้าลงไปเล่นงานมันก่อนมันอาจจะปอดแหกเผ่นหนีไปก่อนก็ได้”

      “แต่ว่า...”

      “หัวหน้าไม่ต้องกลัว  เราอยู่ตรงนี้ทั้งคน  สัญญาด้วยเกียรติของลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่กับเกียรติของลูกผู้ชายว่าเราจะไม่ให้หัวหน้าเป็นอะไรเด็ดขาด  เอาไม้ซอฟท์บอลให้เรายืมเหอะ” น้ำเสียงจริงจังของคนเคยใจดำทำให้เธอพูดอะไรไม่ออกนอกจากอาสาไปหยิบมาให้เขาเอง  มันไม่ใช่เรื่องลำบากนักในการคลำไปห้องของตัวเองด้วยสายตาที่จะเริ่มชินความมืด  เธอคลำทางไปเอาของให้พลางรู้สึกประหลาดใจระคนกัน  

      คนปากตะไกรใจดำกลับไม่ใช่คนใจดำอย่างที่คิด  มันจะมีคนใจดำที่ไหนที่จะมานั่งปลอบเธอ  ยื่นทิชชู่ให้กับเธอแถมยังพูดอะไรต่อมิอะไรราวกับพระเอกหนังว่าจะไม่ให้เธอได้รับอันตรายแม้แต่นิดเสียแบบนั้น  

      บางทีคนปากตะไกรใจดำอาจจะเป็นแค่คนปากหนักแต่ใจดีก็เป็นได้

      เธอใช้เวลาไม่กี่อึดใจก็คลำไปเอาไม้ซอฟท์บอลมาให้คนขอได้  มันจะไปใช้เวลานานได้อย่างไรกันก็ในเมื่อบ้านเธอไม่ได้ใหญ่ไม่ได้โตอะไรนัก  คนขอยืมรับไปเพียงครู่เดียวก็เอามือตบบ่าเธอพลางกระซิบบอกเบาๆ ว่า

      “หัวหน้ารออยู่นี่แหละ  เดี๋ยวเรามา”

      “ไม่!  ถ้าจะเสี่ยงก็ต้องเสี่ยงด้วยกัน  ฉันไม่ปล่อยให้นายไปเสี่ยงคนเดียวหรอก” เธอว่า  ใช่  เธอจะปล่อยให้เขาไปเสี่ยงคนเดียวได้ไง  มันเห็นแก่ตัวเกินไป

      “แต่ว่า...” เสียงทุ้มแย้งขึ้นหากแต่เธอไม่ยอมให้เขาพูดจบประโยค  

      “ไม่ต้องแต่  ฉันเป็นหัวหน้า  จะปล่อยให้ลูกน้องไปลำบากคนเดียวไม่ได้” ถึงเธอจะพูดออกไปแบบนี้  แต่เธอไม่ได้หมายความแบบนั้นนะ  จะให้เธอพูดเหมือนพระเอกหนังแบบคนตรงหน้าน่ะเธอทำไม่ได้หรอก  แต่ก็ดูเหมือนคนฟังจะไม่ถือสาหาความเธอคราวนี้  เสียงหัวเราะหึดังขึ้นเบาๆ ก่อนเสียงทุ้มจะดังตามมาว่า

      “ก็ได้  งั้นหัวหน้าอยู่ข้างหลังเราละกัน  ระวังๆ ด้วยล่ะ” ว่าแล้วเขาก็คลำทางในความมืดไปยังบันไดโดยมีเธอตามไปติดๆ  

      ยิ่งเดินลงบันไดไปมากเท่าไหร่หัวใจเธอก็เริ่มเต้นแรงขึ้นๆ มากเท่านั้น  ด้วยเสียงฝีเท้ากับเสียงซุบซิบที่คิดว่าอาจจะคิดกันไปเองมันกลับได้ยินชัดถนัดหูจนเธอรู้สึกเหมือนเผลอกลั้นหายใจไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้  และเมื่อคนตรงหน้าเกร็งไหล่ขึ้นมาทันทีที่เดินมาจนเกือบสุดบันได   เธอก็ทำในสิ่งที่เธอไม่คิดจะทำมาก่อนเลยในชีวิต

      คุณลุงซานต้าขา  หนูไม่เคยขออะไรคุณลุงเลยในชีวิตตลอดสิบสามปีที่ผ่านมา  แต่ปีนี้หนูขอของขวัญอย่างเดียวค่ะ  หนูขอแค่อย่าให้คืนนี้มีอะไรร้ายๆ เกิดขึ้นเลยนะคะ

      ใช่...เธอขอของขวัญกับซานตาครอสบุคคลที่เธอเชื่อว่ามีจริงมาตลอด  แต่เธอไม่เคยคิดจะขออะไรกับซานต้าด้วยว่าการขอเป็นการแสดงความเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ  แต่ ณ วันนี้  เวลานี้  เธอขอบุคคลในตำนานเป็นครั้งแรก  อาจจะเป็นเพราะคำพูดของคนข้างบ้านก็เป็นได้  แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด  เธอได้หวังกับคำขอของเธอไว้พอตัวทีเดียว

      “เราเห็นเงาไอ้พวกนั้นแล้วหัวหน้า  ตะคุ่มๆ ใกล้ๆ บันไดนี่แหละ” เสียงทุ้มพูดขึ้นเบาๆ อีกครั้ง  และนั่นก็ทำให้เธอถึงกับชะโงกข้ามไหล่สูงไปมองตามที่เจ้าของไหล่ว่า

      “ระวังตัวด้วยนะชัย”

      “อือ”

      และแล้วเหตุการณ์หลังจากคนข้างบ้านรับคำมันก็เหมือนกับฝันไปสำหรับเธอ  ทันทีที่สหัสชัยรับคำเขาก็พุ่งพรวดออกไปจากมุมบันได  ปล่อยให้เธอที่เผลอทิ้งน้ำหนักใส่หลังเขาเซถลาไปข้างหน้าคว้าราวบันได้ทรงตัวแทบไม่ทันพลางเผลอกรีดร้องออกมาลั่นด้วยความตกใจ  และทันทีที่สิ้นเสียงร้องเธอ  เสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้นอย่างรีบร้อนจากกลุ่มเงาตะคุ่มกลุ่มนั้น

      “หัวหน้าอย่า!  นี่พวกฉันเอง!!!”

      พรึ่บ!

      ไฟที่ดับกลับมาติดพร้อมกันหมดทุกดวง  เผยให้เห็นเจ้าของเงาตะคุ่มที่ว่า  เมฆาค้างท่าโบกมือโบกไม้ห้ามเป็นพัลวัน  ข้างๆ คือเอกพลที่บังกล่องที่อุ้มไว้จากจักรเย็บผ้าที่วางแถวๆ นั้น  ถัดไปคือตรีเทพที่เกาะไหล่เอกพลหนึบ  และคนที่อยู่ข้างหน้าสุดคือทวิภาคย์ที่ลงไปนั่งยองๆ พลางเอามือกุมหัวพลางหลับตาปี๋เบือนหน้าหลบไม้ซอฟท์บอลที่ห่างออกไปไม่ถึงศอก  สหัสชัยคนถือกระพริบตาปริบๆ มองกลุ่มคนตรงหน้าอย่างงงงวย

      “พวกนาย?” คนผิวคล้ำอุทานออกมาเบาๆ อย่างไม่เชื่อสายตาก่อนจะขึ้นเสียงดังถามขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “พวกนายเล่นบ้าอะไรกันวะเนี่ย!?  รู้ไหมว่าคนอื่นเขาตกอกตกใจขวัญหนีดีฝ่อกันแค่ไหน?”

      “ใจเย็นชัย  พวกฉันไม่ได้กะแกล้งหัวหน้านะเว้ย  แกอย่าเพิ่งเข้าใจผิด” เอกพลว่า  ทวิภาคย์รีบสำทับขึ้นทันที

      “ใช่ๆ  พวกฉันจะมาหาหัวหน้า  แต่ตอนมาถึงเห็นบ้านหัวหน้ามืดๆ  กลอนก็ไม่ได้ล็อค  เลยสงสัยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่าก็เลยค่อยๆ แอบเข้ามาดูเนี่ยแหละ  กลัวกระโตกกระตากแล้วพวกโจรมันจะเชือดเอา”

      คำพูดของทวิภาคย์ทำให้เธอต้องหันไปมองคนผิวคล้ำข้างๆ  หากดวงตาคู่โตหลังกรอบแว่นที่มองกลับมาอย่างงงงวยพอกับเธอยืนยันว่าเขาเองก็ไม่ได้รู้เรื่องที่เพื่อนในกลุ่มจะมาหาเธอมาก่อนเช่นกัน

      “แล้วพวกนายมาหาฉันมีอะไรรึเปล่า?” เธอว่า  เมฆาเกาท้ายทอยตัวเองแกรกๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยสีหน้าเจี๋ยมเจี้ยม

      “คืองี้...ฉันรู้สึกผิดเอามากๆ เลยเรื่องเมื่อเย็นน่ะ  พูดตามตรงเลยว่าจริงๆ มันก็เป็นความผิดของฉันทั้งหมดนั่นแหละ  แต่ว่าเพราะไอ้ชัยมัน...คงทนเห็นพวกเราโดนหัวหน้าด่าไม่ได้มั้งมันเลยไปว่าหัวหน้าเอาแบบนั้น  เอาเป็นว่าที่พวกฉันมานี่คือจะมาขอโทษหัวหน้าจริงๆ นั่นแหละ  มาขอโทษแกด้วยชัยที่ทำให้โดนตบฟรี” แล้วเจ้าตัวก็หันไปพูดกับเพื่อนด้วยน้ำเสียงคนละโทนที่พูดกับเธอ  

      “โฮ้ย!  จะทำให้เป็นเรื่องยุ่งยากกันทำไมนะ  ไอ้ชัยมันก็เป็นองครักษ์พิทักษ์พวกเราอยู่แล้ว  ส่วนหัวหน้าก็วีนแตกเพราะพวกเราเป็นประจำ  น่าจะชินได้แล้วนะ” ตรีเทพว่าด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย  ซึ่งนั่นก็ทำให้เอกพลคว้าคอเสื้อด้านหลังของอาตี๋ร่างท้วมพลางดันมาด้านหน้าจนคนถูกดันเซแท่ดๆ  พลางกำชับเสียงเข้มว่า

      “แกนั่นแหละตัวดีไอ้ต้น  ไอ้เวร...ก่อเรื่องมากกว่าคนอื่นแล้วแม่งยังจะปากดีอีก  ขอโทษหัวหน้าเขาไปซะ!!” แต่กระนั้นคนปากดีก็ยังไม่ยอกปริปากพูดอะไรซักคำจนกระทั่งเอกพลกระตุ้นซ้ำด้วยการยันฝ่าเท้าหนักๆ ไปที่บั้นท้ายของเพื่อนคนนี้นั่นแหละคนร่างท้วมถึงได้ยอมพูดออกมาอย่างเสียไม่ได้

      “ขอโทษ!!”

      มันเป็นภาพที่ตลกมากจนเธออดหัวเราะออกมาไม่ได้  และนั่นก็ทำให้เอกพลหลุดปากออกมาอีกครั้ง

      “เฮ้  จริงๆ แล้วเวลาหัวหน้ายิ้มก็ดูดีนี่นา  วันหลังหัวหน้ายิ้มดีกว่า  ดีกว่าทำหน้าดุใส่พวกฉันเยอะ  นะหัวหน้า” ไม่ว่าเปล่าเจ้าตัวยักคิ้วข้างนึงอีกด้วย  

      คำพูดของเอกพลทำเอาหน้าเธอร้อนผ่าวไปหมด  และเธอก็คงจะยืนพูดอะไรไม่ออกไปอีกนานหากคนผิวคล้ำข้างๆ ไม่เปลี่ยนเรื่องเสีย

      “ว่าแต่นายอุ้มอะไรมาวะเอก?”

      “เอ้อ  ลืมไปเลย” คนถูกถามร้องขึ้นมาอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ “คืองี้  พวกเราจำได้ว่าหัวหน้าเป็นคริสต์แล้วก็วันนี้ก็เป็นวันคริสต์มาส  พวกเราก็เลยลงขันซื้อของขวัญมาให้หัวหน้า  เป็นการขอขมาลาโทษที่เคยวีนแตกหัวหน้าหลายหนไปในตัว  มันอาจจะไฮคลอเรสเตอรอลไปหน่อยแต่ว่าพวกเราเป็นเด็ก  คงไม่เป็นอะไรมั้ง  อีกอย่างหัวหน้าก็ไม่ใช่คนอ้วนด้วย” ว่าแล้วคนถือของขวัญก็เปิดฝาพร้อมกับยื่นมาให้เธอด้วยท่าทางภูมิใจเหมือนกำลังจะนำเสนอขายสินค้าแบบไดเรกเซล

      ขนมเค้กก้อนเล็กๆ ราวๆ ครึ่งปอนด์วางอย่างอยู่กลางกล่องอย่างพอดิบพอดี  บนหน้าครีมสีขาวมีตัวอักษรสีแดงเขียนว่าเมอรี่คริสต์มาสเป็นภาษาอังกฤษ  ดูๆ ไปก็กระโย้กระเย้พอสมควร  แล้วยังไม่ทันที่เธอจะคิดอะไร  คนที่เสนอของขวัญอย่างภาคภูมิใจก็ชิงแทรกขึ้นมาก่อนว่า

      “หัวหน้าอย่าแปลกใจ  ร้านที่พวกฉันไปซื้อเขามีโปรโมชั่นให้ลองเขียนหน้าเค้กเอง  แล้วถ้ามันจะดูอุจาดตาก็ต้องโทษว่าไอ้เมฆมันลายมือห่วย”

      “ไอ้เอก...แก...” เมฆาคำราม

      “ว่าแต่หัวหน้าอยู่บ้านคนเดียวเหรอ?  พ่อแม่หัวหน้าล่ะ?” ทวิภาคย์ถามขึ้นพลางมองไปรอบๆ  คำถามนั้นทำให้เธอสลดลงไปอีกครั้ง  

      “พ่อกลับมาแล้วลูก...อ้าว...เกิดอะไรขึ้นลูก  เพื่อนมากันให้เต็มไปหมด?” เสียงของผู้เป็นบิดาดังขึ้นที่ประตูเลื่อนของร้านทำเอาเธอหันขวับไปมองทันที  แล้วเมื่อเห็นชัดว่าใครเขยกๆ ตามหลังบิดามานั้น  เธอก็ถลาไปหาทันที

      “แม่!!”

      “เบาลูกเบา  แม่เขาขาแพลง  ขืนโถมเข้าไปอย่างนั้นแม่เขาจะยืนไม่อยู่เอา” บิดาเธอว่าพลางหัวเราะเบาๆ ไปพร้อมกับมารดาที่บัดนี้กำลังลูบหัวเธอที่เข้าไปซบอย่างอ่อนโยน

      “ไหนพี่ภาเพจมาบอกพ่อว่ารถชนพังยับไปทั้งคันไงคะ?  แล้วทำไม...” เธอถามขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ผละออกมาจากอ้อมกอดของมารดาแล้ว

      “อ๋า?  นี่ลูกแอบอ่านเพจของพ่อเหรอเมย์?” บิดาเธอว่าพลางทำหน้าดุๆ  ทำเอาเธอรู้สึกจ๋อยไปถนัดใจ  แต่แล้วท่านก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอามือมาโยกหัวเธอน้อยๆ แล้วอธิบายต่อไปว่า “ก็นี่ละที่เขาเรียกว่าพูดคลุมเครือ  ตอนที่เพจมาน่ะ  ภาเขาตกใจกับเลือดที่โดนเศษกระจกบาดมากจนสติกระเจิงหมด  ลูกก็รู้นะว่าพี่ภาเขากลัวเลือดขนาดไหน  แล้วพอดีรถไปชนใกล้ๆ ป้อมตำรวจพอดี  ตำรวจก็มาทำคดีน่ะสิ  ยัยภาก็ทำอะไรไม่ถูก  ตอนนั้นแม่เขาก็สลบอยู่  ภาเขาก็เลยเพจหาพ่อให้พ่อช่วยคุยกับตำรวจให้  นี่ก็โดนปรับไปฐานขับรถโดยประมาท  ส่วนพ่อเห็นว่าถึงแม่จะไม่มีแผลอะไรมากแต่ว่าสลบไปพ่อก็ไม่ไว้ใจ  ก็เลยพาแม่เขาไปสแกนสมองมา  นี่ก็ไม่มีอะไร  ปกติดี”

      “แล้วทำไมแม่ขับรถไปชนเข้าได้ล่ะคะ?”

      “ใครว่าแม่ขับ” มารดาเธอท้วงขึ้นบ้าง “พี่ภาของเราเป็นคนขอขับต่างหาก  ขับรถก็ยังไม่แข็ง  พอเจอเสียงแตรเข้าไปก็ตกใจจนปัดพวงมาลัยไปชนเสาไฟฟ้าเข้าโครมเบ้อเริ่ม  ไม่รู้สอบใบขับขี่ผ่านมาได้ยังไง”

      “ขอโทษค่ะคุณน้า” พี่ภาที่ตามหลังมารดาเธอมาอีกทียกมือขอโทษไหว้ปะลกๆ

      “แต่รถพังยับทั้งคันจริงเหรอคะ?”

      “อือ  ยับทั้งคัน  พ่อไม่ต้องซ่อมให้เสียเวลาเลย  ขายเขาไปแล้วไปผ่อนซื้อคันใหม่รู้สึกจะง่ายกว่า” บิดาเธอตอบ  และคำตอบนั้นก็ทำให้เธอถึงกับอดคิดขึ้นมาในใจไม่ได้
      ขอบคุณค่ะ  คุณลุงซานตาครอส






      พวกเอกมาได้ถูกจังหวะพอดี  พอคุณลุงรู้ว่าเอาเค้กมาให้เป็นของขวัญวันคริสต์มาสหัวหน้า  พวกนั้นก็ได้รับการเชิญให้อยู่ร่วมงานฉลองของครอบครัวนี้  แม้ว่าเมฆกับเอกอาจจะอยากขอตัวกลับ  แต่การแทรกขึ้นมากลายคันของต้นที่รับคำเชิญอย่างเต็มอกเต็มใจกับการพยักหน้าสนับสนุนของเพชรก็ทำให้สองคนนี้ได้แต่มองหน้ากันก่อนจะขออนุญาตรบกวนคนลุงไปด้วยอีกราย  

      มันเป็นงานที่ครึ้กครื้นเกินความคาดหมายทันทีที่มีพวกเอกเข้ามาร่วมวงไพบูลย์ด้วย  แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เจ้าของบ้านรู้สึกแย่แต่ประการใด  ตรงกันข้าม  คุณลุงคุณป้าดูจะสนุกเสียด้วยซ้ำกับความครึกครื้นเกินพิกัดอันนี้  

      แต่เขาต้องยอมรับว่ามันมีเรื่องเหลือเชื่ออยู่เพียงเรื่องเดียวคือเรื่องที่ว่ารถพับยังทั้งคันแต่คนขับอย่างพี่ภา  ลูกพี่ลูกน้องหัวหน้า  กับคนนั่งข้างที่เป็นคุณป้ามีเพียงแผลกระจกบาดกับขาแพลงเท่านั้น  มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ยิ่งกว่าดูพวกเชื่อหรือไม่  หรือเรื่องแปลกแต่จริงเสียอีก...

      กริ๊ง  กริ๊ง...

      โฮ่ๆๆๆๆ

      เสียงที่เขาได้ยินแว่วๆ นอกหน้าต่างชั้นสองที่เปิดเอาไว้ทำเอาเขาถึงกับรีบชะโงกหน้าออกไปมอง  ท่ามกลางท้องฟ้าสีดำสนิทที่เจือไปด้วยดาวอันถูกบดบังแสงจากแสงไฟของเมืองหลวงนั้น  ยังมีจุดสีแดงเล็กๆ ที่เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกทีละนิดทีละนิด  มันช้าเกินกว่าที่จะเป็นไฟจากเครื่องบิน  แล้วเขาก็รู้มาว่าดาวอังคารที่ปรากฏบนท้องฟ้ายามค่ำคืนไม่เคลื่อนที่ให้เห็นได้  แล้วหัวหน้าก็เป็นคริสต์...

      บางครั้งศรัทธาที่เชื่อมั่นก็อาจนำมาซึ่งปาฏิหาริย์ก็เป็นได้

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×