Promise Side Story - Once in the Blue Sky Day - Promise Side Story - Once in the Blue Sky Day นิยาย Promise Side Story - Once in the Blue Sky Day : Dek-D.com - Writer

    Promise Side Story - Once in the Blue Sky Day

    บางครั้งคนทีพบกันในปัจจุบันอาจเป็นคนที่เคยเจอกันมาก่อนในสมัยเด็กก็ได้ วันฟ้าใสที่สาวน้อยหวนนึกถึงสมัยเด็กของตัวเอง (เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างตอนที่ 16-17 ของเรื่องหลัก)

    ผู้เข้าชมรวม

    776

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    10

    ผู้เข้าชมรวม


    776

    ความคิดเห็น


    5

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  แฟนตาซี
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  3 ก.พ. 49 / 14:05 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      สายลมเย็นแห่งฤดูใบไม้ผลิโชยแผ่วในยามบ่ายแก่ๆ ท้องฟ้าใสไร้เมฆบดบังยังคงแสดงสีฟ้าสดดุจยามเที่ยงถึงแม้เวลาจะเคลื่อนเข้าใกล้ยามพลบค่ำแล้วก็ตาม ร่างบอบบางของสาวน้อยผมสีตะวันทองในเสื้อผ้าที่ใหญ่กว่าตัวของเธอค้อมลงอำลาบุรุษหนุ่มผมแดงเจือน้ำตาลที่แยกไปอีกทาง เธอยืนมองเขาส่งรอยยิ้มน้อยๆ กลับมาให้เพียงครู่เดียวก็หันหน้ามุ่งตรงไปยังบ้านของสตรีชราที่เธออาศัยอยู่ด้วย บ้านของเมเดีย

      สาวน้อยนางนั้นกระชับสัมภาระที่มีน้อยกว่ายามเธอออกไปจากหมู่บ้าน ถุงหนังใบย่อม ดาบใบเรียวประจำกายและเสื้อผ้าของเธอที่ม้วนเข้าหากัน เธอมองประตูบ้านเมเดียตรงหน้าแล้วเหลือบมองเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่พลางถอนหายใจอย่างหนักใจ สตรีชราที่เธออาศัยอยู่ด้วยถึงแม้จะอายุมากสำหรับมนุษย์แล้วก็ตาม แต่สายตานางหาได้แย่ตามไปไม่ เมเดียสามารถสังเกตสิ่งผิดปกติได้แทบจะในทันทีถ้านางมีแก่ใจจะสังเกต แล้วเสื้อผ้าของผู้ชายที่นางสวมอยู่ตอนนี้มันสะดุดตาน้อยอยู่เมื่อไหร่กันเล่า มีรึที่นางจะไม่สังเกตเห็น

      แต่ถึงจะสังเกตแล้วเธอจะทำอะไรได้ จะให้ผลัดผ้ากลับเป็นเสื้อตัวเก่าของเธอตรงนี้นะหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรกันเล่าในเมื่อมันเพิ่งแห้งแล้วก็ยังเย็นอยู่ด้วย อีกอย่างหลบเข้าพุ่มไม้ข้างบ้านเพื่อผลัดผ้ายิ่งดูมีพิรุธเข้าไปใหญ่

      ในเมื่อทางเลือกของเธอเหลือเพียงทางเดียว สาวน้อยนางนั้นจึงรวบรวมลมหายใจเคาะประตูบ้าน เมื่อจะเอื้อมมือไปบิดกลอนประตูบ้านก็เปิดผางออกราวกับเจ้าของบ้านมายืนรอเพื่อเปิดประตูอยู่ตั้งนานแล้ว

      เสียงแวดแหวอันเต็มไปด้วยความกังวลดังขึ้นต้อนรับการกลับมาของสาวน้อย

      "ไปไหนมา! หายตัวไปตั้ง 2-3 วัน! ไปทำอะไรมา! หา! เมไอย์!"

      "ข้าไป...เที่ยวเหมืองน่ะค่ะ" เมไอย์ตอบเสียงเรียบตามวิสัยของเธอ "พอดีป่าแถวนี้มันสวย ก็เลยไถลไปเรื่อย"

      "ระวังตัวบ้างสิ ถ้าโดนพวกสัตว์ป่าสัตว์ดุร้ายมันทำร้ายเข้าจะทำยังไง!?" หญิงชรายังคงตำหนิผู้ที่นางคิดว่าอ่อนวัยกว่าอย่างกังวล ทว่าผู้ถูกตำหนิเพียงเผยรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อยราวกับจะปลอบหญิงชราเบื้องหน้า ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่ในใจของเธอกำลังตกใจกับคำทัก แล้วพาลให้เธอนึกไปว่าบุคคลตรงหน้ามีตาทิพย์ ล่วงรู้เหตุการณ์นับหมื่นยาด

      "ไม่มีอะไรหรอกค่ะท่านยาย ข้า...ขอตัวได้ไหมคะ กลับมาเหนื่อยๆ ข้าอยากพักผ่อน" เมไอย์ตอบเสียงเรียบตามปกติก่อนจะตัดบทสนทนา ขณะที่เธอกำลังนึกว่าทุกอย่างไปได้สวยแล้วนั้นคำทักที่เธอภาวนาไม่ให้เมเดียถามก็หลุดออกมาตอนที่เธอกำลังจะก้าวขึ้นบันไดของบ้าน

      "ว่าแต่...เมไอย์...นั่นเสื้อใคร?"

      ลมหายใจของฮาฟเอลฟ์สาวกระตุกทันทีที่ได้ยินคำถาม เธอนับหนึ่งถึงสิบสงบสติอารมณ์ก่อนจะหันกลับไปตอบคำถามด้วยสีหน้าเรียบเฉยตามปกติ

      "ของข้าค่ะท่านยาย" เธอโกหกเจ้าของบ้านไปทั้งที่ถ้าเป็นไปได้เธอก็ไม่อยากทำ แต่เธอมีทางเลือกที่ไหน ความเป็นอริที่เจ้าของบ้านมีให้กับคุสตร้าผู้ช่วยชีวิตที่เป็นเจ้าของเสื้อตัวนี้มีมากเสียเมไอย์ไม่คิดว่านางจะรับได้หากตอบไปตามตรง แล้วอีกอย่าง...เมไอย์ไม่อยากให้เมเดียซักไซ้ว่าทำไมเธอจึงมาจบลงที่เสื้อของคุสตร้า ไม่ใช่เสื้อของเธอที่ม้วนแล้วหนีบอยู่ข้างตัว

      ไม่อยากให้ซักจนกระทั่งรู้ถึงความรู้สึกหวั่นไหวบางอย่างที่เธอเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

      แต่คำตอบสั้นๆ ของเธอไม่ทำให้หญิงชราเชื่อนัก เมเดียหรี่ตาลงราวกับจะจับพิรุธสาวน้อยเบื้องหน้า ทว่าเมไอย์เพียงยิ้มบางไม่ตอบอะไรออกไป ความเงียบเข้าปกคลุมราวกับว่าทั้งสองกำลังวัดใจกัน วัดใจว่าผู้มีพิรุธจะเผยพิรุธออกมาก่อนหรือไม่
       
      เมื่อสาวน้อยเบื้องหน้าที่เมเดียปักใจเชื่อนักหนาว่ากำลังโกหกเพียงยิ้มละไมออกมาอย่างปกติที่แสดงให้เห็นกันตามลำพัง หญิงชราจึงได้ถอนหายใจเบาๆ ก่อนทักขึ้นด้วยเสียงที่อ่อนลง

      "ก็...มันดูใหญ่พิกล"

      "เพราะแบบนี้ข้าถึงได้ไม่ค่อยใส่ยังไงล่ะคะ ท่านยาย...ข้าขอตัวนะคะ" พูดจบเมไอย์ก็หันหน้าเดินขึ้นบันไดไปด้วยย่างก้าวตามปกติ ทั้งที่ในใจของเธอนั้นแทบอยากจะแล่นให้พ้นๆ ไปจากสายตาของเมเดียเสียเต็มประดา

      แต่ขืนทำอย่างนั้นที่เธออุตส่าห์โกหกอย่างแนบเนียนก็พังทลายกันพอดี

      ประตูห้องของไมร่าซึ่งถูกเปลี่ยนใหม่ปิดลงอย่างแผ่วเบาพร้อมกับเสียงถอนหายใจด้วยความโล่งอกของเมไอย์ นับแต่วันที่เมเดียเอ่ยปากชวนเธอมาอาศัยอยู่ด้วย ห้องของลูกสาวที่ล่วงลับไปแล้วของนางก็ได้ถูกยกให้เป็นห้องส่วนตัวของเธอ ห้องส่วนตัวที่เมเดียแทบจะไม่เคยพรวดพราดเข้ามาโดยไม่เคาะประตูก่อนถ้าไม่จำเป็น ทำให้เมไอย์รู้สึกได้ว่าเธอปลอดภัยจากการซักถามของเมเดียแล้วจริงๆ

      เธอรู้สึกโล่งใจจนถึงกับทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างหมดแรง ดาบที่เคยสะพายหลังกับถุงและเสื้อผ้าถูกโยนไปกองรวมกันที่มุมห้องอย่างไม่ใส่ใจ สายตาของเธอเหลือบมองผ่านหน้าต่างใกล้หัวเตียงออกไปอย่างไร้จุดหมาย มองออกไปยังท้องฟ้าใสของยามบ่ายแก่

      สีฟ้าสดของมันทำให้เธอหวนนึกถึงเหตุการณ์สำคัญของชีวิตเธอ เหตุการณ์ในวัยเด็กอันแสนนานมาแล้ว เหตุการณ์ในวันฟ้าใสกระจ่างสวยไร้เมฆบดบังดุจวันนี้

      ภาพเหตุการณ์วันนั้นผุดขึ้นมาในความทรงจำของเธออย่างชัดเจน ชัดราวกับมันเพิ่งเกิดเมื่อวาน ภาพของเธอที่อายุเพียง 15 วิ่งผ่านทุ่งหญ้าเขียวกว้างอย่างเหนื่อยหอบ ความกลัวที่เข้าเกาะกุมใจมันมากเสียจนกระทั่งเธอไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองว่าผู้ที่ตามเธอมานั้นใกล้หรือกระชั้นขนาดไหนแล้ว

      ผู้ที่ตามมาพาเพื่อเธอไปขังคุกใต้ดินตลอดชีวิตพร้อมกับมารดาของเธอ เพราะเธอช่วยบิดาที่ติดอยู่ในโลกแห่งความฝันไม่สำเร็จ เพราะเธอทำอะไรสัตว์ประหลาดที่กักขังบิดาเธอไม่ได้ เพราะเธอไร้ความสามารถ เพราะเธอเป็นดรีมวอล์คเกอร์ที่ไม่ได้เรื่อง บิดาเธอจึงต้องตาย มารดาของเธอจึงต้องโทษไปด้วย แล้วเธอก็ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ฆ่าบิดาตนเอง

      เพราะเธอเกิดมามีความสามารถที่น่ารังเกียจนี่ ความสามารถที่ต้องสาปนี้

      เธอเกลียดตัวเองจนบางครั้งอยากจะหยุดวิ่งแล้วตายมันอยู่ตรงนั้น

      แต่เธอก็หยุดไม่ได้ คำสั่งเสียของมารดาที่ให้หนีไปดังก้องในหู รวมถึงความน่ากลัวประหวั่นพรั่นพรึงของคุกมืดที่ร่ำลือกันนั้นทำให้เธอกลัวเสียจนไม่กล้าหยุดวิ่ง ถึงจะเกลียดตัวเองแต่ความกลัวของเด็กมันมีมากเสียจนเธอหยุดไม่ได้

      กลัวเสียจนสมองคิดอะไรไม่ออกนอกจากหนีไปเท่านั้น

      ความเหนื่อยที่สะสมมานานทำให้ลมหายใจของเธอแสบร้อนขึ้นทุกขณะ หายใจก็ติดขัดราวกับปอดจะระเบิดออก ขาก็รู้สึกราวกับไม่มีกระดูกจะยึด ราวกับถูกหลอมเหลวไปแล้ว ทุกก้าวที่เธอก้าวออกไปคือความทรมาน ทรมานเสียจนเธออยากจะหยุดวิ่ง

      แล้วช่วงที่เธอกำลังคิดว่าไม่ไหวแล้วนั้น ขาน้อยๆ ของเธอก็สะดุดเข้ากับรากไม้ ร่างของเด็กหญิงล้มฟาดเข้ากับดินนิ่มๆ ความเจ็บปลาบวิ่งขึ้นทั่วตัวให้น้ำตาเริ่มจะหลั่งไหล แม้เธอจะพยายามกลั้นไว้เพราะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะร้องออกมา เพราะไม่มีใครเหลือมาเห็นใจแล้ว แต่เธอก็กลั้นไว้ไม่ได้ ความเจ็บรวมกับความสิ้นหวังทำให้หยาดน้ำใสๆ ที่คลอเบ้าไหลรินออมาในที่สุด

      สิ้นหวังที่รู้ว่ามีแต่คุกมืดชั่วชีวิตรออยู่เบื้องหน้า ในสมองคิดได้แต่ว่าไม่รอดแน่แล้ว
       
      แล้วเมื่อคิดว่าหมดสิ้นซึ่งทุกอย่างแล้วนั้นเด็กหญิงจึงได้ตัดสินใจเงยหน้าขึ้นเพื่อหันกลับไปมองว่าอิสรภาพของเธอจะสิ้นสุดเมื่อไร

      นึกไม่ถึงว่าเธอจะเงยหน้าขึ้นมาพบกับดวงตากลมโตสีน้ำตาลแดงที่จ้องกลับมาอย่างประหลาดใจ

      เจ้าของดวงตาคู่นั้นเป็นเด็กผู้ชายฮาฟเอลฟ์ที่ดูแก่กว่าเธอไม่มาก ผมสีแดงสดเจือน้ำตาลประบ่าพริ้วตามลมโชยเผยให้เห็นรอยแผลเล็กๆ บนหน้าผากของเขา แต่เธอไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดของบุคคลตรงหน้ามากนัก ความกลัวผู้ที่ตามเธอมามีมากเสียจนเธอต้องหันกลับไปมอง

      แล้วเธอก็ไม่มีวันล่วงรู้เลยว่าช่วงที่เธอหันกลับไปมองผู้ที่ไล่ตามเธอมา เด็กผู้ชายที่จ้องมองเธออย่างประหลาดใจนั้นก็ชะโงกหันไปมองตามเธอเช่นกัน แม้จะไม่เห็นอะไรก็ตามที เขาก็พอเดาได้จากท่าทางกระสับกระส่ายของเธอ

      มือของเขาเอื้อมมาจับข้อมือเล็กๆ ของเธอพลางรั้งให้เธอลุกขึ้น เสียงที่เริ่มจะทุ้มอย่างผู้ที่จะย่างก้าวเข้าสู่วัยรุ่นดังขึ้นเหนือหัวของเธอ

      "ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ซิ เร็วๆ"

      "หา!?" เธอได้แต่อุทานออกมาเบาๆ อย่างงงงวย แต่เด็กผู้ชายตรงหน้าไม่ใส่ใจกับท่าทางงงงวยของเธอ เขาเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางรีบร้อนอีกครั้ง

      "เถอะน่า ไม่ต้องถามมาก รีบๆ ขึ้นไปซะ" ไม่พูดเปล่าเขาทั้งรุนหลังทั้งดันบั้นท้ายเธอให้ขึ้นไปนั่งบนกิ่งไม้ที่รกทึบไปด้วยใบเขียว "ไม่ต้องลงมาล่ะ เดี๋ยวที่เหลือข้าจัดการเอง"

      ความงงงวยผสานกับความกะทันหันทำให้เด็กหญิงได้แต่นั่งมองเด็กผู้ชายผู้นั้นกลับไปเอนหลังกับโคนต้นไม้อย่างที่เธอเองไม่รู้จะพูดอะไรดี ท่าเอนหลังของเขาก็ดูสบายราวกับไม่มีเรื่องเดือดร้อน ราวกับว่าเขาไม่เคยพบเจอเธอมากระนั้น

      ขณะที่เธอเองกำลังกังวลว่าจะไปรอดหรือ ผู้ที่ตามเธอมานั้นก็ส่งเสียงเอะอะมะเท่งขึ้นก่อนที่ร่างพวกเขาจะปรากฏขึ้นใต้ต้นไม้แล้วมุ่งตรงไปถามผู้ที่ดันให้เธอขึ้นมานั่งจุมปุ้กบนต้นไม้

      "เห็นเด็กผู้หญิงผมทองอายุราวๆ 14-15 ใส่เสื้อสีออกเหลืองๆ ส้มๆ อมชมพูบ้างไหม?"

      เด็กผู้ชายผู้นั้นเงยหน้าขึ้นสบตาผู้ถามด้วยสายตาที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ รอยยิ้มที่ผุดพรายขึ้นบนใบหน้าของเขาทำเอาหัวใจเธอเต้นโครมครามแถมยังเกือบจะหล่นไปยังตาตุ่ม ขณะที่เธอภาวนาให้เขาโกหกไปว่าไม่เห็นเธอนั้น เสียงของเด็กชายก็ดังขัดความหวังของเธอขึ้น

      "อ๋อ! เห็นสิ" คำตอบนี้ทำเอาเธอแทบจะกรีดร้อง แต่ก็ห้ามตัวเองไว้ได้ทันเมื่อประโยคต่อไปของเด็กชายดังขึ้น "เขาวิ่งข้ามสะพานออกไปทางเกรทเดสเซิร์ท (Great Desert) แล้วล่ะฮะ"

      ตาของเธอเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ

      "ขอบใจมาก เจ้าก็รีบกลับบ้านไปได้แล้วล่ะ เดี๋ยวแม่เจ้าจะเป็นห่วง" ผู้ที่ตามเธอมาทิ้งท้ายให้เด็กผู้ชายผู้นั้นก่อนจะพากันวิ่งไปทางที่เขาชี้ ส่วนผู้ที่ทำหน้าที่บอกทางก็พยักหน้าหงึกอย่างว่าง่ายก่อนที่จะโบกมืออำลาไล่หลังผู้ใหญ่ที่ตามเธอมา รอยยิ้มกริ่มผุดพรายขึ้นบนใบหน้าเขาขณะที่มือก็โบกหยอยๆ

      "ฮะ ขอให้เจอเร็วๆ ก็แล้วกันนะครับ"

      สิ้นประโยคนั้นแล้วเข้าถึงได้เงยหน้าขึ้นมาเรียกเธอลงไปจากต้นไม้

      "ลงมาได้แล้วล่ะ ปลอดภัยแล้ว"

      แม้เธอจะไม่แน่ใจนักแต่ท่าทางรบเร้าของเขาก็ทำให้เธอต้องค่อยๆ ไต่ลงมาจากต้นไม้อย่างระแวดระวัง สิ่งแรกที่เธอทำทันทีที่เท้าสัมผัสพื้นคือหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่ารอบๆ ไม่มีใครนอกจากเธอ เขา และต้นไม้ที่เธออาศัยหลบเมื่อครู่ เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกก็ดังขึ้นมาทันที

      พอโล่งใจ สมองที่คิดอะไรไม่ออกเมื่อครู่ก็ตั้งคำถามขึ้นมาแทบจะทันควันเหมือนกัน
      "ทำไมถึงช่วยข้าล่ะ?" เธอถามเขา และก็เป็นครั้งแรกที่เธอได้สังเกตเห็นผู้ช่วยชีวิตเธอชัดๆ สีผมแดงสวยดึงดูดให้เธอละสายตาไม่ได้ สวยอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน

      สวยอย่างกับคำบรรยายของท่านเอลน่าในตำนาน

      "ก็อยากช่วย เห็นเจ้าลำบากแล้วก็เลยอยากช่วย" เขาตอบกลับมาอย่างไม่แยแส ตาสีน้ำตาลอ่อนของเด็กหญิงเบิกโพลงอย่างประหลาดใจ

      "แต่พวกเขาต้องการตัวข้า เจ้าไม่กลัวช่วยผิดเหรอ เจ้าไม่กลัวว่าถ้าเขาจับได้ว่าเจ้าโกหกจะเดือดร้อนเหรอ?"

      "ช่างมัน ยังไงก็จับไม่ได้หรอก แล้วอีกอย่างข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะมีเด็กที่ไหนที่จะทำความผิดขนาดต้องถูกตามล่ากันขนาดนั้น พวกผู้ใหญ่เรื่องมากกันไปเอง" เด็กชายเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะหันมาทางเธอราวกับขอคำสนับสนุน "จริงมั้ย พวกผู้ใหญ่น่ะเรื่องมาก กะเกณฑ์นู่นนี่ไปตามใจอยากแล้วก็มาบังคับเด็ก แกล้งซักทีเจ้าว่าดีไหม?"

      ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอมแดงที่หันมาทางเธอส่องประกายสนุกในที และเมื่อรวมกับคำพูดและน้ำเสียงของเขาเธอก็อดหัวเราะขึ้นไม่ได้ หัวเราะทั้งที่ยังคงกลุ้มใจอยู่ เสียงหัวเราะที่ทุ้มกว่าดังขึ้นประสานกับเสียงของเธอ

      หลังจากที่เสียงหัวเราะสงบลง เด็กหญิงจึงถามเด็กชายเบื้องหน้าไปว่า

      "แล้วเจ้าไม่คิดจะถามข้าเหรอว่าข้าไปทำอะไรมา?"

      "มันไม่สำคัญเท่ากับเจ้าจะทำยังไงต่อไปหรอก" เขาสวนกลับมาแทบจะทันควันเหมือนกัน "ถูกตามแบบนี้คิดรึยังว่าจะทำยังไงต่อไป"

      คำตอบที่เขาได้รับคือความเงียบและใบหน้าที่สลดของลงเด็กหญิง เสียงหายใจหนักๆ ของเด็กชายดังขึ้นก่อนที่คำถามต่อไปจะถูกถามขึ้น

      "มีญาติให้ไปพึ่งไหม?"

      คำถามนั้นทำเอาเธอถึงกับต้องหยุดคิดขึ้นเป็นครั้งแรกนับแต่ออกวิ่งมา ถ้าถามว่าญาติเธอมีไหม คำตอบคือมี ทว่ามีแล้วจะทำอย่างไรได้ ในเมื่อญาติทั้งหมดของเธอก็แทบจะวิ่งไล่ตามเธอมาอยู่แล้ว ที่แย่ยิ่งกว่าคือหนึ่งในญาติของเธอนั้นเป็นผู้ประกาศิตโทษคุกมืดตลอดชีวิตให้เธอเอง

      ในตอนนั้นเธอนึกไม่ถึงเลยว่ายังมีญาติอีกตนของเธอที่อาศัยอยู่ใจกลางป่าแห่งนั้น เป็นผู้ที่มีอำนาจมากพอที่จะทำให้ฮาฟเอลฟ์ทุกตนฟังคำพูดของเขาได้ แต่เธอก็นึกไม่ถึง

      หลังจากที่เธอเงียบพิจารณาผู้ที่จะสามารถไปขอความช่วยเหลืออยู่นาน เด็กหญิงก็ส่ายหน้าอย่างเศร้าสร้อย

      เสียงถอนหายใจของเด็กชายนำขึ้นก่อนที่คำพูดอย่างปลดปลงจึงได้ดังตามมา

      "งั้นก็ช่วยไม่ได้ ถ้าจะหนีให้พ้นเจ้าก็มีแต่ต้องข้ามเกรทเดสเซิร์ทไปเท่านั้น"

      คำแนะนำของเขาทำเอาความกลัววิ่งวาบเข้าจับใจเด็กหญิงทันที เกรทเดสเซิร์ทคือทะเลทรายอันกว้างใหญ่ที่ล้อมรอบป่าที่เธออาศัยอยู่นี้ การเดินทางที่ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสองวันสำหรับผู้ใหญ่ที่รู้ทาง ความลำบากที่มากมายจนกระทั่งมีข้อห้ามไม่ให้เด็กที่อายุไม่ถึง 30 ข้ามทะเลทรายออกไปยังสังคมของมนุษย์

      กับสิ่งที่กว้างใหญ่และแห้งแล้งขนาดนั้น เธอจะข้ามไปรอดโดยไม่มีแม้แต่เสบียงและไม่รู้กระทั่งทิศกระนั้นหรือ

      ความกลัวตายที่พุ่งเข้ามาจับใจรวมถึงความสิ้นหวังที่ต้องท้าทายกับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ทำให้น้ำตาของเธอเริ่มไหลรื้นขึ้นมาคลอเบ้าอีกครั้ง

      แล้วมันก็ถูกชะล้างด้วยน้ำเย็นที่ถูกสาดเข้ามาจากผู้ช่วยชีวิตเธอ เสียงของเขาดังขึ้นราวกับงงงวยระคนไม่พอใจ

      "ข้าไม่เข้าใจเลย ทำไมเด็กผู้หญิงชอบร้องไห้นะ? น้องสาวข้าก็เหมือนกัน ทั้งที่ร้องไห้แล้วก็ใช่ว่าจะดูดีขึ้น มีแต่จะแย่ลงล่ะสิไม่ว่า"

      เด็กหญิงมองต้นตอของความเปียกของเธอที่บัดนี้ยืนกอดอกมองเธอในลำธารตื้นๆ ใกล้ๆ น้ำที่สูงถึงระดับเข่าของเขาทำให้เธอพอจะลุยลงไปได้อย่างไม่ลำบาก รวมกับสีหน้าที่ดูรำคาญซะเต็มประดาทำให้ความกลัวที่พุ่งรื้นเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความหงุดหงิด เธอเองก็กังวลจะแย่อยู่แล้ว นอกจะไม่ปลอบแล้วเขายังมาทำให้ทุกอย่างลำบากขึ้นไปด้วยการทำให้เธอเปียกอีก

      เธอไม่รู้เลยว่าหน้าของเธอที่ค่อยๆ ง้ำลงด้วยความไม่สบอารมณ์รวมถึงผมเผ้าที่เปียกแนบลู่หน้าทำให้เขารู้สึกขบขันได้เพียงไร ที่เธอรู้ได้ก็คือเพียงครู่เดียวเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นมาจากเขาเบาๆ เท่านั้น

      เพียงเท่านั้นมันก็ทำให้เธอลืมความกังวลที่มีอยู่สิ้น ความหงุดหงิดพุ่งขึ้นปรี๊ดจนเธอกระโจนลงไปในลำธารหมายแก้แค้นเขาคืน เรื่องอะไรเธอจะต้องมาเปียกให้เขาหัวเราะอยู่ฝ่ายเดียวเล่า

      แล้วสงครามสาดน้ำก็เริ่มขึ้นก่อนที่จะดำเนินไปอย่างยาวนานจนในที่สุดก็แปรเปลี่ยนเป็นมวยปล้ำในลำธาร สุดท้ายศึกกลางน้ำก็จบลงตรงที่ทั้งสองฝ่ายหมดแรง ขึ้นมานอนแผ่หราบนตลิ่งอย่างเปียกปอน

      คิดๆ แล้วก็อาจกล่าวได้ว่าศึกนี้เสมอกันทั้งคู่ก็ว่าได้

      เสียงทุ้มของเด็กชายดังขึ้นหลังจากที่เสียงหอบของเขาจางลงไป

      "ท่าทางเจ้าดูดีกว่าเมื่อกี้เยอะ" คำทักของเขาทำเอาเธอต้องหันไปมองอย่างพิศวง เขาลุกขึ้นนั่งก่อนที่จะพูดต่อไป "ก็จริงไหมล่ะ!? ถามจริงเถอะ ร้องไห้แล้วช่วยอะไรได้ไหม? ก็เปล่า ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะคิดอะไรออกตอนร้องไห้หรอกนะ"

      เด็กหญิงลุกขึ้นนั่งพลางมองตามเด็กชายที่บัดนี้ถอดรองเท้าออก พับกางเกงขึ้นแล้วลงไปลุยในน้ำใหม่อีกครั้ง ปากของเขายังคงเจรจาไม่หยุด

      "ไม่มีใครห้ามเจ้าร้องไห้ แต่ว่าข้าถูกสอนมาว่าร้องไห้ไม่ช่วยให้แก้ปัญหาได้ ไม่มีใครห้ามเจ้ากังวล แต่ข้าก็ถูกสอนมาอีกว่ากลุ้มใจไปก็ใช่ว่าจะได้อะไรขึ้นมา ทำเท่าที่จะทำได้ดีกว่า"

      "เท่าที่จะทำได้เหรอ?" เธอไม่รู้สึกมั่นใจในคำตอบของเขา ในเมื่อสมองของเธอแทบจะไม่สามารถคิดถึงทางที่เป็นไปได้ออกมาได้เลย แต่เด็กชายตรงหน้าก็ยิ้มออกมาพลางตอบเธอกลับมาว่า

      "ใช่! เท่าที่ทำได้ ปัญหาทุกปัญหามีทางออกเสมอล่ะน่า ข้าถูกเลี้ยงมาให้เชื่อแบบนั้น"

      "แล้วทางออกของปัญหาของข้าล่ะ? ข้าต้องข้ามทะเลทรายโดยที่ไม่มีเสบียง ไม่รู้กระทั่งทิศ แล้วข้าจะรอดไปได้ยังไง"

      แทนที่คำถามของเธอจะดึงให้เขาคิ้วขมวดตามไปด้วยความกลุ้มใจ ทว่าเด็กชายเบื้องหน้ากลับยิ้มกว้างก่อนจะตอบอย่างอารมณ์ดีว่า

      "ไม่ยาก เรื่องทิศนั่น...ข้ารู้มาจากพี่ชายที่เลี้ยงข้านะว่าถ้าตามดาวเหนือไปเรื่อยๆ จะถึงแดนของมนุษย์ได้ เจ้าอยู่แถวนี้ต้องรู้จักดาวเหนืออยู่แล้วใช่ไหมล่ะ?" เมื่อเธอพยักหน้าอย่างงงๆ ตอบรับ เขาถึงได้พูดต่อไปพลางเดินไปยังโคนต้นไม้ที่เธอขึ้นไปหลบผู้ที่ไล่ตามมา "ส่วนเรื่องเสบียงก็ไม่มีปัญหาอีก ข้าจะสละข้าวกับน้ำที่ข้าพกมาให้ ปัญหามันมีอยู่เพียงว่าเจ้าจะอดทนกระเหม็ดกระแหม่มันแบบสุดยอดจนพ้นทะเลทรายไปได้รึเปล่าก็เท่านั้น" เขากวาดสายตามองเธอขึ้นๆ ลงๆ อยู่ครู่หนึ่งก็ถอนหายใจออกมาเสียดังลั่น "เป็นไปไม่ได้แหง ดูท่าเจ้าจะถูกเลี้ยงมาสบาย"

      "ได้สิ! อย่ามาดูถูกข้านะ!" เธอเถียงกลับในทันควัน ใครจะไปชอบให้ผู้อื่นมาดูถูกกันเล่า ถึงเธอจะไม่เคยลำบากมากนักแต่เธอก็มั่นใจว่าไม่ได้ถูกเลี้ยงมาสบายแน่นอน เขาเสียอีกที่น่าจะถูกเลี้ยงมาสบาย ก็ท่าทางไม่เคยกังวลหรือกลุ้มใจอะไรเลยนี่นา

      รอยยิ้มกว้างของเขาตอบรับเสียงแหวของเธอ

      "ก็ดี ในเมื่อข้าตอบปัญหาให้เจ้าหมดแล้วเจ้าก็ควรทำใจให้สบายๆ เก็บแรงไว้จนพลบค่ำแล้วก็ออกเดินทางไปซะ"

      "แล้วจะให้ข้าทำอะไรล่ะตอนรอล่ะ อีกอย่าง...พวกที่ตามข้ามาจะย้อนกลับมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้..."

      เสียงถอนหายใจของเด็กชายดังขึ้นอีกครั้ง

      "นี่เจ้าจะเลิกกังวลไม่ได้เลยใช่ไหมเนี่ย? ข้าจะบอกให้ พวกเขาไม่มีทางย้อนกลับมาทางนี้หรอก ถ้าจะหาเจ้านะ...เป็นข้าไม่ย้อนกลับไปทางเก่าให้เสียเวลาหรอก"

      "แต่พวกเขาอาจจะคิดได้ว่าเจ้าโกหกก็ได้"

      "ไม่มีทาง" เขาตอบอย่างมั่นใจ "ข้าไม่ได้มีชื่อเสียขนาดนั้น ยังไงพวกเขาก็ต้องคิดว่าข้าพูดจริงอยู่แล้ว ไม่ย้อนกลับมาหรอกน่า"

      "แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอะไร..." เด็กหญิงถามเสียงอ่อย เธอนึกไม่ออกเลยว่าจะนั่งรออย่างใจสบายได้อย่างไร แต่ดูเหมือนคำตอบของเธอจะไม่สบอารมณ์เด็กชายเบื้องหน้าเขา คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันอย่างไม่พอใจ ตัวเขาก็ยังยืนกอดอกท่าทางรำคาญเต็มที่

      "เด็กผู้หญิง! เหมือนกันหมดเลย! นี่เจ้าจะคิดอะไรเองไม่ได้เลยใช่ไหมเนี่ย!? ว่างก็นั่งจำภาพที่นี่เข้าซี อยากหาอะไรเป็นที่ระลึกก็เอาไป เด็กอย่างเจ้าหนีออกไปแล้วไม่ใช่กลับเข้ามาง่ายๆ นะ คงอีกนานหลายปีกว่าเจ้าจะได้กลับเข้ามา จะไม่มีอะไรเอาไว้ดูไว้คิดถึงหน่อยเหรอ?"

      "ที่ระลึกเหรอ..." เธอเปรยขึ้นเบาๆ พลางเหลียวซ้ายแลขวารอบตัว ของทุกอย่างก็ดูไม่น่าจะมีอะไรเป็นที่ระลึกได้ ใบไม้เปลือกไม้พอเหี่ยวแล้วก็ใช่ว่าจะน่าดู อีกอย่างมันคงไม่ทรหดพอที่จะอยู่เป็นที่ระลึกได้ชั่วนาตาปี

      เสียงถอนหายใจดังขึ้นพร้อมกันกับเสียงลุยน้ำจ๋อมแจ๋ม เมื่อเด็กหญิงหันไปทางต้นตอของเสียง เธอก็พบว่าเด็กชายได้ลุยกลับลงไปในลำธาร ปากของเขาพึมพำขึ้นเบาๆ แต่ก็เหมือนจะจงใจให้เธอได้ยินขณะที่มือของเขาก็พับแขนเสื้อขึ้นสูงไปด้วย

      "ให้ตายสิ ต้องถูกเลี้ยงมาสบายแน่ๆ ไม่ก็ต้องอยู่แต่ในกรอบถึงได้คิดอะไรไม่ค่อยจะออกเอาซะเล้ย"

      "นี่!" เธอส่งเสียงประท้วงอย่างไม่พอใจ แต่ทว่าเขาดูจะไม่สนใจต่อเสียงประท้วงนั้น เด็กชายก้มลงจ้องลำธารพลางหันไปมาราวกับจะหาอะไรในลำธารนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานนักเขาก็เอื้อมมือลงไปในลำธารท่าทางเหมือนกับควานหาบางสิ่งในนั้น

      "เอ้ารับ!" เสียงของเขาดังขึ้นพร้อมกับวัตถุเล็กๆ ที่ปลิวขึ้นฟ้า ละอองน้ำพริ้วเป็นฝอยตามวัตถุนั้นเป็นประกายสวย ด้วยความที่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นโดยที่เด็กหญิงไม่ทันได้ตั้งตัว เธอจึงกระโจนออกไปรับแทบไม่ทัน

      เมื่อผิวสัมผัสได้ถึงความเย็นฉ่ำจากผิวของแข็งเด็กหญิงจึงได้เปิดอุ้งมือออกดูวัตถุภายใน หินสีสวยทอประกายเหลือบแปรเปลี่ยนสีไปมายามแสงทำมุมต่างกันเคลือบด้วยหยดน้ำบาง ขนาดของมันเล็กเพียงเธอกำฝ่ามือก็มิดหายไปอย่างง่ายดาย

      เล็กและหายไปได้ง่ายเช่นนี้จะเหมาะเป็นของที่ระลึกกระนั้นหรือ?

      เงาตะคุ่มของเด็กชายบดบังแสงตะวันยามบ่ายไปจากเธอ เสียงของเขาดังขึ้นเหนือศีรษะ

      "หินแบบนี้หาในเมืองมนุษย์ไม่มีนะ มีแต่ที่นี่ที่เดียวเท่านั้น พี่ชายข้าบอกมา" รอยยิ้มของเขาผุดปรายขึ้นอย่างภูมิใจกับผลงานของตนเอง เด็กหญิงกำลังจะอ้าปากค้านในความเล็กของมันทว่าเขาก็เอื้อมมือมาหยิบมันไปจากฝ่ามือเธอเสียก่อน

      "เจ้าจะเอามันไปไหน?" เธอไม่เข้าใจในพฤติกรรมของเขา ในเมื่อเขาบอกว่านี่คือของระลึกยามเธอจากไปจากที่นี่แล้วทำไมเขาจึงหยิบมันไปอีกเล่า?

      "มันก้อนเล็กก็หายง่าย น่า...ข้าไม่ทวงคืนหรอก แปรรูปหน่อยเดียวเท่านั้นแหละ" ว่าแล้วเขาก็เดินตรงไปยังไม้ใหญ่ต้นนั้นพลางโยนหินขึ้นลงไปอย่างสบายอารมณ์ เด็กชายกระชากมีดพกที่เอวออกมาขูดๆ ขีด เปลือกไม้ครู่ใหญ่ๆ ก่อนที่เขาจะหันไปหักกิ่งไม้ขนาดใหญ่พอตัวแล้วหันหลังให้เธอกลับไปทำงานง่วนอีกครั้ง

      ความสงสัยใคร่อยากรู้ของเด็กหญิงพุ่งขึ้นสูงจนเธอนั่งที่เดิมไม่ไหว ต้องลุกขึ้นเดินไปหาเขาหมายจะดูว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แต่พอเธอเข้าไปจนเกือบจะได้ระยะที่สังเกตเห็นถนัดถนี่แล้วเด็กชายก็หันมาชูผลงานของเขาให้ดูเสียก่อน

      วัตถุที่แกว่งไกวในมือของเขาคือสายสร้อยเชือกสีดำ จี้ไม้รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนฝังหินก้อนเมื่อครู่แขวนอยู่ปลายสร้อย จากสภาพของกิ่งไม้ที่ถูกถากถูกเซาะจนเรียบและต้นไม้ที่ถูกลอกเปลือกออกจนยางไหลเยิ้มแล้วเธอก็พอจะเดากรรมวิธีในการแปลงรูปหินนั้นให้กลายเป็นจี้ได้ หากแต่จุดที่เธอไม่เข้าใจก็คือว่าสายสร้อยเชือกสีดำเส้นนี้เขาเอามาจากไหนกัน

      เมื่อมองไปรอบๆ แล้วไม่พบคำตอบ เธอจึงตัดสินใจถามเขาตรงๆ

      "เอาสร้อยมาจากไหน?" ทว่าคำตอบที่เธอได้รับกลับมาคือรอยยิ้มบางพร้อมกับมือขวาที่ชูสร้อยนั้นยื่นมาตรงหน้าเธอ เด็กชายพูดขึ้นสั้นๆ ง่ายๆ ว่า

      "อย่าไปสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ การคิดมากปล่อยให้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่"

      หากแต่การที่เด็กชายยื่นสร้อยมาให้เธอนั้นเป็นการเปิดช่องให้เด็กหญิงสังเกตเห็นบางอย่างที่เจ้าตัวอาจไม่อยากให้เห็น มือซ้ายของเขาไพล่ไว้ที่หลังตลอดราวกับว่าเขาซ่อนอะไรหรือมีอะไรที่ไม่อยากให้เธอเห็นอยู่

      แล้วก็มีภาษิตว่าเอาไว้ว่ายิ่งห้ามยิ่งยุ ยิ่งมีอะไรที่ไม่อยากให้เห็นคนยิ่งจะอยากเห็นอยู่ร่ำไป ไม่เว้นแม้แต่ฮาฟเอลฟ์อย่างเธอเช่นกัน

      ไวเท่าความคิด แทนที่เด็กหญิงจะเอื้อมมือไปรับสร้อยที่ถูกยื่นมา เธอกลับเอื้อมมือไปคว้ามือซ้ายของเด็กชายที่ถูกไพล่หลังไว้ สภาพของมือนั้นทำให้เธอเผลอกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว บาดแผลจากมีดที่ปรากฏประปรายตามมีดยังคงสดและมีเลือดซึมอยู่บ้าง ยังไม่รวมถึงว่ามือซ้ายของเขากำวัตถุบางอย่างเอาไว้อย่างเหนียวแน่น

      ก็แล้วมันเป็นวัตถุอะไรกันแน่ล่ะ?

      ขณะที่เด็กหญิงพยายามจะแกะมือของเขาเพื่อดูสิ่งที่เขาซ่อนไว้นั้น เด็กชายเองก็พยายามดึงมือออกไปเช่นกัน เธอเองรู้ดีว่าหากสู้กันด้วยแรงเธอไม่มีทางที่จะสู้แรงเขาได้เธอจึงตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่อยากทำเท่าไรนัก

      เธอกดลงไปบนแผลของเด็กชายเสียเต็มแรง

      เสียงร้องโอ๊ยดังขึ้นจากเด็กชายเบาๆ ก่อนที่มือของเขาจะคลายลง ปล่อยให้วัตถุที่เขากำเอาไว้ร่วงหล่นลงสู่พื้นหญ้า เด็กหญิงไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป เธอรีบก้มลงหมายจะเก็บวัตถุนั้นขึ้นมาก่อนเขาแต่แล้วเธอต้องชะงักค้างเมื่อเห็นวัตถุชิ้นนั้นเต็มตา

      วัตถุที่นอนนิ่งบนพื้นหญ้าคือเครื่องรางสำหรับเด็กผู้ชาย เครื่องรางที่ทำจากผ้าทอมือสีขาวสะอาดแล้วปักด้ายเงินลวดลายภาษาโบราณเป็นใจความให้แคล้วคลาดจากภัยทั้งปวง ผมของมารดาของเด็กจะถูกสอดใส่ในผ้าปักนั้นเสมือนตัวแทนว่ามีมารดาคุ้มครองตลอดเวลา ให้แคล้วคลาดจากอุบัติเหตุทั้งปวง แต่ที่ทำให้เธอแปลกใจยิ่งคือเครื่องรางนี้ไม่มีสายสร้อยร้อยทั้งที่ปกติแล้วเครื่องรางประเภทนี้จะร้อยกับสร้อยเพื่อให้เด็กผู้ชายสวมมันตลอดเวลา

      จากท่าทางยิ้มแหยๆ ของเขาแล้วเด็กหญิงก็พอเดาได้ไม่ยาก สร้อยเส้นนั้นมันถูกแปรรูปไปแล้วด้วยนั่นเอง

      แต่เมื่อเธอขยับจะอ้าปากถามให้แน่ใจเท่านั้น สายสร้อยพร้อมจี้ไม้ก็ถูกสวมให้เธอแทบจะในทันที ตัวสร้อยยาวเสียจนจี้ลงไปห้อยอยู่บริเวณท้องของเธอ หากแต่เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา สิ่งที่เธอไม่เคยเข้าใจเลยก็คือพฤติกรรมของเขาต่างหาก

      "หมายความว่าไงเนี่ย" เธอถามพลางหยิบทั้งจี้และคืนเครื่องรางให้เขา เด็กชายรับเครื่องรางคืนก่อนจะตอบเธอราวกับไม่มีอะไรใหญ่โต

      "ก็ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าไม่ทวงคืน ในเมื่อหินมันเล็กก็ต้องแปรรูปไม่ให้มันหายง่าย แล้วสร้อยที่แขวนคอน่ะหายยากจะตาย"

      "แต่สร้อยนี่มันของเจ้า ข้ารับไม่ได้หรอก!"

      "มันถูกแปรรูปไปแล้ว จะคิดอะไรกันนักหนา บอกแล้วว่าเรื่องคิดมากให้ปล่อยเป็นเรื่องของผู้ใหญ่" เด็กชายย้อนกลับ เมื่อเธอทำท่าจะถอดสร้อยคืนให้เขาเสียงของเขาก็ดังแทรกขึ้นมาทันที "แล้วข้าไม่รับของที่ให้ไปแล้วคืนหรอกนะ"

      คำตอบของเขาทำให้เธอหยุดมือเพียงแค่นั้น เธอมั่นใจว่าเธอไม่เคยพบกับเขามาก่อน หากแต่สิ่งที่เขาทำให้มันมากเสียจนเธอตื้นตัน ทั้งตื้นตันทั้งไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องทำให้เธอขนาดนั้นด้วย

      "ทำไม...เจ้าถึงทำให้ข้าขนาดนี้ด้วย..." เด็กหญิงถามเสียงแผ่วเบา แต่ราวกับคำถามนี้เป็นปัญหาโลกแตก เด็กชายเกาหัวแกรก สีหน้าของเขาขมวดยุ่งเข้าหากันราวกับเขากำลังระดมพลังสมองขนานใหญ่

      "ไม่รู้ดิ อยากทำมั้ง ข้าบอกแล้วว่าเรื่องคิดมากให้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ข้าเองก็เป็นเด็ก ข้าไม่คิดอะไรมากหรอก แต่ถ้าเจ้าอยากให้มันฟังดูเข้าท่ากว่านี้ข้าก็คิดได้แต่ว่า...พรหมลิขิตมั้ง ชาติที่แล้วข้าคงสัญญาอะไรไว้กับเจ้าแน่เลย"

      คำตอบของเขาทำเอาน้ำตาของเธอร่วงเผาะ ไม่ใช่ร่วงเพราะความเสียใจ หากแต่เป็นความตื้นตันและซาบซึ้งใจ

      แต่เสียงตอบรับของเด็กชายต่อน้ำตาเธอกลับเป็น
       
      "ว้า ร้องอีกแล้ว ทำไมเด็กผู้หญิงบ่อน้ำตาตื้นชะมัด"

      ขณะที่เธอกำลังจะเถียงกลับไปนั้น เสียงทุ้มต่ำของผู้ชายก็ดังขึ้นมาแต่ไกล

      "ไอ้หนู! กลับได้แล้ว จะเย็นแล้วนา ไว้มาเล่นต่อพรุ่งนี้ก็ได้"

      เสียงที่ดังขึ้นทำเอาเธอตกใจแทบสิ้นสติ ตกใจที่มีผู้อื่นอยู่ด้วยแล้วเธอก็กลัวว่าเขาจะมาลากตัวเธอกลับไป เสียงที่ในตอนนั้นเธอไม่รู้สึกคุ้นหูเอาเสียเลยหากแต่ในกาลต่อมาเธอจะทั้งจำได้และคุ้นหูกับเสียงนี้ดี ด้วยเสียงนี้คือเสียงของผู้ที่จะอาจารย์อันเป็นที่เคารพรักของเธอนั่นเอง

      "ฮะ จะไปเดี๋ยวนี้แหละพี่" เด็กชายหันกลับไปตะโกนตอบต้นเสียงก่อนจะหันกลับมาพูดกับเธออีกครั้ง "เอาละ ข้าว่าคงได้เวลาลากันแล้วนะ แล้วก็เลิกร้องไห้เหอะ มันไม่ช่วยอะไรหรอก"

      แทนที่เสียงต่อว่าจะดังขึ้น เธอกลับพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่ายแล้วปาดน้ำตาทิ้ง ดุจน้องสาวที่เชื่อฟังพี่ชาย

      แต่น้องสาวก็ย่อมเอาแต่ใจตัวเป็นธรรมดา คำถามต่อมาของเธอจึงเป็น

      "นี่...เจ้าไปกับข้าได้ไหม?" คำถามที่เธอเองก็ไม่คิดว่าจะถาม หากเธอรู้สึกว่ายามที่อยู่กับเขาปัญหาต่างๆ ได้ถูกปัดเป่าไป ความกังวลก็ถูกเขาปัดเป่าไป รู้สึกว่าเขาเป็นได้กระทั่งที่พึ่งพิงของเธอ รู้สึกว่าหากมีเขาอยู่เธอจะสามารถเอาตัวรอดได้ทุกที่

      ทำให้การตัดใจลาจากเด็กชายตรงหน้าเป็นเรื่องหนักใจเสียยิ่งกว่าการเอาตัวรอด

      "ไม่ได้หรอก" เด็กชายตอบกลับมาในทันที "ถ้าไปท่านพ่อกับท่านแม่ข้าคงเป็นห่วง แต่ว่านะ...ข้าก็คิดจะออกไปดูสังคมมนุษย์สักวันเหมือนกัน เจ้าต้องเอาตัวรอดให้ได้นะ จะได้มาเจอกันอีกไง? ดีไหม?"

      "สัญญานะ?"

      "สัญญาสิ ด้วยเกียรติของลูกหลานของเอลน่าเลย"

      แล้วเด็กชายผู้นั้นก็จากไปโดยทิ้งข้าวน้ำและมีดพกของเขาไว้ให้เป็นการตบท้าย

      เมไอย์เอื้อมมือไปหยิบจี้ไม้ที่บัดนี้ห้อยอยู่บริเวณอกของนางขึ้นมามอง ถึงสภาพของมันจะเก่าไปตามกาลเวลาแต่ความทรงจำในวันที่เธอได้มันมาไม่ได้เก่าไปด้วยเลย ทุกอย่างยังคงชัดเจนราวกับมันเกิดขึ้นเมื่อวานนี้

      สิ่งที่เธอรู้สึกเสียใจมีเพียงอย่างเดียวคือทำไมตอนนั้นเธอถึงไม่ถามชื่อเขาไป หากรู้ชื่อเธอคงเจอเขาง่ายขึ้น เบาะแสเดียวที่เธอรู้ก็คือเขาต้องเป็นฮาฟเอลฟ์หนุ่ม มีผมสีแดงสวยเจือน้ำตาล ดวงตาน้ำตาลอมแดง และรอยแผลที่หน้าผาก...

      เพียงเท่านี้เธอก็ประหวัดนึกถึงผู้หนึ่งที่ตรงกับลักษณะของเด็กชายผู้นั้นได้ ผู้ที่เพิ่งช่วยชีวิตเธอหมาดๆ ผู้ที่ทำให้เธอรู้สึกแปลกประหลาดได้ทุกครั้งที่พบหน้า ผู้ที่เป็นเจ้าของเสื้อที่เธอกำลังสวมใส่อยู่ ยิ่งเห็นเขายามปล่อยให้ผมสีแดงคลอไหล่แล้วยิ่งคล้าย

      คุสตร้า...

      เพียงนึกชื่อเมไอย์ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางอมยิ้ม ความขบขันที่เกิดขึ้นในใจเป็นเพราะบุคลิกของเขากับเด็กชายผู้นั้นแตกต่างกันพอควร เด็กชายที่ร่าเริงไม่คิดอะไรมากจะโตขึ้นมาเป็นหนุ่มพูดน้อยที่ดูครุ่นคิดตลอดเวลาได้อย่างไร ที่พวกเขาทั้งสองพอจะเหมือนกันก็มีแต่ความใจดีและทำเท่าที่จะทำได้ก็เท่านั้นเอง

      แต่อย่างว่า เธอเองยังหายจากโรคเจ้าน้ำตา ยังเย็นชาขึ้นแล้วทำไมเขาจะเปลี่ยนไปไม่ได้บ้าง

      เด็กชายผู้นั้นยังบอกเลยว่าเรื่องคิดมากให้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่.... คุสตร้าเองก็เป็นผู้ใหญ่แล้วนี่นะ

      ข้อสรุปข้อสันนิษฐานในใจทำให้เมไอย์ดีดตัวขึ้นมาจากที่นอน ลุกขึ้นไปนั่งโต๊ะและเปิดลิ้นชักหยิบสมุดบันทึกปกหนังสีเหลือบลายออกมา มือขาวนวลพลิกสมุดไปยังหน้าที่ว่าง ปลายที่ปากกาที่จุ่มหมึกขีดเขียนตัวอักษรขึ้นอย่างเป็นระเบียบ

      เสียงปากกาลากบนกระดาษดังขึ้นติดต่อกันเนิ่นนาน

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×