ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ข้อมูลแนวแฟนตาซี ( เหมาะกับนักเขียนที่ต้องการหาข้อมูล )

    ลำดับตอนที่ #25 : ตำนานของ Norse I - การกำเนิด

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.19K
      2
      1 ต.ค. 49


          

    ความเชื่อชาวเหนือมีตำนานการเกิดโลกเช่นเดียวกับคนเผ่าอื่นนั่นแหละ แต่อาศัยที่พวกเขาอยู่ในภูมิประเทศซึ่งเป็นน้ำแข็งแทบจะตลอดเวลา เรื่องของเทพจึงเกี่ยวพันกับน้ำแข็งค่อนข้างมาก และที่แตกต่างกว่าเทพในความเชื่ออื่นๆ ก็ตรงที่ เทพชาวเหนือเป็นเผ่าพันธุ์ครึ่งยักษ์ครึ่งเทพ มีความตายเป็นที่สุด (ก็คือตายได้นั่นเอง ไม่เหมือนเทพเมืองอื่นที่เป็นอมตะ)


    สำหรับชาวเหนือ วิธีที่จะตายอย่างมีเกียรติ คือตายในที่รบขณะยังมีวัยหนุ่ม เพราะเหตุที่เชื่อว่าจะทำให้ได้รับคัดเลือกไปอยู่ในวัลฮัลลา(Valhala) สวรรค์แห่งนักรบ ซึ่งวิญญาณของพวกเขาจะได้ต่อตีกันอย่างสนุกสนาน(ตื่นเช้าขึ้นมาก็ออกไปเที่ยวฝึกการต่อสู้ ฝึกดาบ หากพลาดพลั้งตาย ก็จะฟื้นขึ้นใหม่ตอนเย็น ได้เวลากินพอดี) และรับการเลี้ยงชนิดไม่มีหมดไม่มีอั้นจนกว่าจะถึงเวลาแรคนารอค เวลาที่ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง (อันนี้รวมทั้งพวกเทพด้วย) ฉะนั้นการตายแบบแก่ชรา โรคภัยไข้เจ็บถามหา นับเป็นเรื่องน่าอันอายสิ้นดี
    ด้วยความที่ศาสนาบอกไว้ว่า ไม่มีอะไรคงทนถาวรกระทั่งเทพเจ้า ชาวเหนือโบราณจึงคิดเสมอ การต่อสู้รบราด้วยความรุนแรงจนกระทั่งตายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความชั่วร้ายทั้งหลาย เพราะในช่วงเริ่มแรกของอารยธรรม พวกเขาต้องอยู่ในแผ่นดินที่มีแต่ความเย็นเฉียบ ไม่มีความสบาย แสงอาทิตย์จะปรากฏให้เห็นเพียงแค่ช่วงสั้นๆ ในปีหนึ่ง ปีหนึ่ง ชาวเหนือเปรียบเทียบความมืดและความสว่างกับความชั่วและความดี สรรพสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในธรรมชาติของเงามืดและธรรมชาติของความสว่างจึงเป็นของกันและกัน ช่วยไม่ได้เลยครับที่สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเป็นที่ของจินตนาการ เกิดเป็นยักษ์ เป็นพญางู พญาหมาป่า ผูกเป็นเรื่องราวแสนสนุกที่จะได้อ่านกันต่อไปนี้


    เมื่อแรกเริ่ม จักรวาลก็คือสภาวะหมุนคว้าง มืดและสับสน และแล้วจู่ๆ ความสับสนนั่นก็ค่อยๆ แตกแยกออก เกิดห้วงว่างขึ้นตรงกลาง เป็นห้วงที่ความลึกหยั่งไม่ได้ ภายในห้วงนี้อุณหภูมิเริ่มต่ำลงขนาดที่จะแช่คนให้แข็งได้ในฉับพลัน ห้วงที่ว่าชาวเหนือเรียกกินนันกาแก็บ  ( Ginnungagap ) ทิศเหนือของกินนันกาแก็บ เป็นอาณาเขตของ นิฟล์เฮม ( Niflheim ) โลกแห่งความมืดมัวนิรันดร์ น้ำพุ เวอร์เกลเมอร์ ( Hvergelmir )  แฝงตัวอยู่ที่นี่ และน้ำจากน้ำพุก็เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำ 11 สาย ซึ่งก็ไหลไปไหนไม่พ้นนอกจากจะไปสู่ห้วงกินนันกาแก็บ เมื่อเจอเข้ากับความเย็นที่นี่ น้ำในแม่น้ำก็ค่อยๆ แข็งตัวแผ่ขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ มันค่อยๆ แทรกตัวเข้าไปในห้วงว่างจนเต็ม
    ทางใต้ของกินนันกาแก็บ คือมัสเปลส์เฮม ( Muspelsheim )  แผ่นดินแห่งไฟ ซึ่งมีความร้อนอยู่ตลอดเวลา (อันนี้ตรงข้ามกับนิฟล์เฮมอย่างกับหน้ามือเป็นหลังมือเชียว) เป็นที่อยู่อาศัยของเซิร์ท ( Surtr ) ยักษ์แห่งไฟ ผู้ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างแรก ที่มีบทบาทตั้งแต่การสร้างโลกจนกระทั่งล้างโลกในวาระสุดท้าย (ตอนแร็คนาร็อคนั่นเอง) หน้าที่ของยักษ์ตนนี้คือเฝ้ามัสเปลส์เฮมเอาไว้ ไม่ยอมให้ใครเข้า แต่เพราะความที่ตอนนั้นก็ไม่มีใครอยู่แล้ว ยักษ์เซิร์ทจึงเบื่อเอามากๆ มันไม่นรู้จะทำอะไรนอกจาก ตีดาบ ทำของ และส่งประกายไฟลอยเข้าไปในกินนันกาแก็บเล่นไปวันๆ


    ความร้อนที่มาจากประกายไฟนี่ละครับ นานเข้า บ่อยเข้า มันก็ทำให้น้ำแข็งในห้วงละลายกลายเป็นไอ ไอลอยขึ้นกระทบอากาศเย็นกลายเป็นน้ำค้างแข็งร่วงลงมากองอยู่กับพื้น นับเดือนนับปีน้ำค้างเหล่าก็รวมตัวกันจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตขึ้นมาสองอย่าง อย่างหนึ่งคือยักษ์ตนแรก อีเมอร์ ( Ymir ) กับวัวออดฮัมลา ( Audhumla ) เมื่อเกิดแล้ว ทั้งอีเมอร์และออดฮัมลา ก็หิวละซิครับ อีเมอร์ หันไปหันมาเจอกับเต้านมอันเต่งของวัวก็ตรงเข้าดูดนมวัวเป็นการใหญ่ แต่วัวออดฮัมลาโชคร้ายหน่อย หล่อนไม่มีอะไรจะกิน นอกจากน้ำแข็งข้างหน้า ก็เลยเลียน้ำแข็งกินไปพลางๆ ปรากฏว่าน้ำลายอุ่นๆ ของวัวที่เลียน้ำแข็ง ก็ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตอีกหนึ่งจากก้อนน้ำแข็งที่มันเลีย นั่นคือเทพบูรี ( Buri ) ผมของเขาโผล่ขึ้นมาก่อน จากนั้นก็เป็นหัว เป็นตัว เป็นชีวิตของชายอีกคนหนึ่ง คนนี้ละครับนับเป็นปู่ของเทพทั้งหมดทีเดียว


    แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ดูเหมือนว่าอีเมอร์จะไม่สนใจนอกจากทำให้ตัวเองอิ่มไว้ก่อน นี่เป็นความต้องการแรกของมนุษย์ตั้งแต่เกิดมา อีเมอร์ใช้เวลาไม่นานนักเขาก็อิ่ม แต่ดูจะอิ่มมากไปหน่อย เลยง่วง เขาก็ลงนอนบนพื้นน้ำแข็งแล้งหลับสนิทไปโดยพลัน ประกายไฟจากดาบของยักษ์เซิร์ทลอยละล่องเข้ามาตกอยู่ข้างตัวเรื่อยๆ มันสร้างความอบอุ่นทำให้เขาหลับนานขึ้นและเหงื่อออก แหม๊ แต่ว่าเหงื่อของยักษ์ตัวแรกนี่ประหลาดจริงๆ นะท่านผู้อ่าน เพราะมันทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นนะ ตัวแรกที่เกิดจากหยาดเหงื่อของอีเมอร์ เป็นยักษ์หกหัวที่แสนจะน่าเกลียด ธรุดเกลเมอร์  ( Thrudgelmir ) (ตนนี้เป็นปู่ของยักษ์น้ำค้างแข็งตัวอื่นๆ ต่อไปอีก พวกนี้นับเป็นศัตรูตลอดกาลของพวกเทพเชียวนะ) ส่วนเหงื่อจากใต้จั๊กกะแร้ข้างซ้ายกลายเป็นยักษ์ชายและหญิงคู่หนึ่งถึงแม้จะมีตนละหัวเดียว แต่ก็น่าเกลียดพอๆ กับเจ้าหกหัวตัวแรก ขนาดที่ไม่มีใครอยากจำชื่อด้วยซ้ำ


    กลับมาที่บูรี ต้นกำเนิดเผ่าพันธ์คนนี้มีลักษณะเดียวกับอีเมอร์ตรงที่จู่ๆ เมื่อเกิดขึ้นเองแล้วก็สามารถให้กำเนิดลูกได้เลย ลูกของเขามีชื่อว่า บอร์ ( Bor ) บอร์แต่งงานกับเบสล่า-( Bestla )  ยักษีลูกสาวคนหนึ่งของอีเมอร์ ได้ผลพวงจากการแต่งงานเป็นเทพสำคัญสามองค์ โอดิน ( Odin) วิลี ( Vili ) และวี ( Ve ) สามคนนี่ล่ะเป็นต้นวงศ์ของเทพอีเซอร์Aesir ผู้ครองสวรรค์


    คราวนี้พอเห็นเทพเกิดขึ้นเท่านั้น ธรุดเกลเมอร์ กับลูกชายชื่อ เบอร์เกลเมอร์ ( Bergelmir ) (คนนี้เกิดจากยักษ์ธรุดเกลเมอร์ด้วยการกระโดดออกมาจากร่างของพ่อ แบบเดียวกับที่เทพบอร์กระโดดออกมาจากร่างบูรี ดูแล้วเหมือนเทพีอธีน่ากระโดดออกมาจากหัวของซูสในนิยายกรีกเลยนะเนี่ย) ก็ชักจะตกใจกลัวเทพขึ้นมาตงิดๆ ทั้งสองก็เลยช่วยกันรวบรวมพี่น้องๆ ที่เกิดขึ้นจากอีเมอร์ไว้เป็นกำลังฝ่ายตัว


    ความกลัวเทพอาจจะมาจากคุณสมบัติที่ยักษ์ไม่มีนะครับ เช่นว่า ทั้งสามนั่นแข็งแรงเหลือเชื่อ แผลบาดเจ็บอะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็หายเองได้อย่างรวดเร็ว ต่างจากพวกยักษ์ซึ่งมีจะมีมากและมีเสริมขึ้นเรื่อยๆ แต่ความแข็งแรงและแข็งแกร่งกลับสู้เทพทั้งสามไม่ได้เลย สงครามระหว่างลูกๆ ของธรุดเกลเมอร์และลูกๆ ของบอร์ เกิดขึ้นเป็นเวลานานนับพันๆ ปีในห้วงกินนันกาแก็บ โดยที่ไม่มีฝ่ายใดชนะเด็ดขาด หรือฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำ


    ในที่สุดครับ พวกเทพจึงคิดจะต้องยุติการที่อีเมอร์จะให้กำเนิดอะไรต่อมิอะไรที่ไม่พึงปรารถนาอีกต่อไป ด้วยการฆ่าอีเมอร์ทิ้งเลือดของยักษ์ตนแรกไหลออกมาจากร่างกายมากมายจนกลายเป็นแม่น้ำเลือดขนาดใหญ่ ท่วมเข้าไปในห้วงว่างกินนันกาแก็บที่เหลืออยู่จนเต็ม ทายาทยักษ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในตอนแรก ต่างจมน้ำในแม่น้ำเลือดนี้ตายเกลี้ยง ยกเว้นลูกชายคนหนึ่งคือเบอร์เกลเมอร์ สามารถหนีไปกับเมียของเขา ไปขึ้นฝั่งทางใต้ และได้ตั้งอาณาจักรของยักษ์เรียกว่า โจตันเฮล์ม-Jotunheim ลูกหลานของพวกเขาได้รับการสั่งสอนให้เกลียดเทพเข้ากระดูกดำมาตั้งแต่เกิด (มันก็น่าอยู่หรอก)


    เกิดแผ่นดินและโลกต่างๆ


    พวกเทพคิดจะหาทางสร้างจักรวาลให้น่าอยู่เสียใหม่ ด้วยการใช้ประโยชน์จากร่างของอีเมอร์ พวกเทพลากศพอันมหึมาข้ามห้วงว่างกินนันกาแก็บ ส่วนต่างๆ จากร่างศพให้กำเนิดสรรพสิ่งต่างๆ ตามทางไปด้วย เช่นว่าเลือดของอีเมอร์กลายเป็นมหาสมุทร กระดูกเป็นภูเขา และฟันซึ่งแตกหักกลายเป็นหน้าผาต่างๆ ผมกลายเป็นต้นไม้ใบหญ้าหัวกะโหลกโค้งมโหฬารเทพก็เอามาทำโค้งสวรรค์ สมองของอีเมอร์กลาย เป็นเมฆซึ่งลอยอยู่ทั่วท้องฟ้า
    ที่สำคัญที่สุดเนื้อของอีเมอร์กลายเป็นแผ่นดินอันมั่นคงอยู่ตรงกลางมหาสมุทร เรียกกันว่า มิดการ์ด-Midgard แผ่นดินที่อยู่ตรงกลาง ซึ่งอันที่จริงมันก็อยู่ตรงกลางระหว่าง นิฟล์เฮม ดินแดนแห่งน้ำแข็ง ความเย็นและความเงียบนิรันดร์ และมัสเปลส์เฮม อาณาจักรแห่งไฟ แผ่นดินที่ถูกแผดเผาด้วยดวงอาทิตย์ในเวลากลางวัน และมันยังอยู่ตรงกลางของมหาสมุทรหรืออีกนัยหนึ่งคือถูกมหาสมุทรล้อมรอบซะอีก ยิ่งกว่านั้นมิดการ์ด เป็นแผ่นดินของมนุษย์ซึ่งพวกเทพวางไว้เป็นเขตกันกระทบระหว่างแอสการ์ดของตนกับโจตันเฮล์มของยักษ์


    เมื่อโลกดูเป็นที่เป็นทางเรียบร้อยขึ้น เทพทั้งหลายก็เห็นพ้องตรงกันว่าแสงสว่างเป็นสิ่งที่จำเป็น พวกเขาจึงเดินทางไปมัสเปลส์เฮมเก็บเอาประกายไฟที่กระเด็นมาจากดาบของเซิร์ท ขว้างดวงที่ไม่ดับพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เกิดเป็นดวงดาวพร่างพราวทั่วไปหมดและยังเกิดดวงที่สว่างมากที่สุดขึ้นสองดวงก็คือดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์


    เทพเจ้ายังคงเดินหน้าต่อไปด้วยการสร้างราชรถสำหรับลากลูกไฟทั้งสองดวงไปทั่วท้องฟ้า คันที่สร้างขึ้นเพื่อลากดวงอาทิตย์เป็นคันที่มีความปลอดภัยสูงมาก ด้วยเหตุที่มีทั้งน้ำแข็งและโล่"สวาลิน"เอาไว้ด้านหลังม้าและคนขับเพื่อป้องกันความร้อนอันรุนแรงของดวงอาทิตย์ ราชรถคันนี้มีม้าสองตัวลาก ตัวหนึ่งชื่อ อาร์วาคร์ ( Arvakr)ลากขึ้นแต่เช้า อีกตัวหนึ่งชื่ออัลสวิน ( Alsvin ) "ฝีเท้าเร็ว" ส่วนดวงจันทร์ ราชรถที่ลากไม่ต้องมีการสร้างที่ยุ่งยากมากเพราะแสงของดวงจันทร์ไม่แรงเท่าดวงอาทิตย์ทั้งมีขนาดเล็กกว่า จึงมีม้าลากตัวเดียวชื่อ อัลสไวเดอร์ ( Alsvider ) "เร็วเสมอ"


    สำหรับปัญหาต่อไปว่าจะหาใครเป็นผู้ขับรถพระอาทิตย์และรถพระจันทร์ ตำนานชาวเหนือแบ่งความเชื่อออกเป็นสองพวก พวกหนึ่งกล่าวว่า โอดินได้มองหาจากบรรดาลูกหลานที่เหลืออยู่ ซึ่งค่อนข้างจะเป็นพวกนอกคอกหน่อยคือเป็นลูกผสมของยักษ์กับเทพ ชื่อ มานิ ( Mani ) และโซล ( Sol )  ชื่อของพี่น้องทั้งสองแปลได้ความเดียวกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เพราะพ่อของทั้งสองคิดว่าพวกเขางดงามเหมือนดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จริงๆ ส่วนอีกตำนานหนึ่งกล่าวว่า พี่น้องสองคนนี้เป็นลูกของมันดิลฟาริ ( Mundilfari ) มนุษย์จากมิดการ์ด ซึ่งพ่อของเขาอาจหาญตั้งชื่อว่า อาทิตย์และจันทร์ ด้วยคิดว่าลูกของตัวงดงามเหมือนดวงดาวทั้งสองจริงๆ การหาญตั้งชื่อเปรียบเทียบเช่นนี้ทำให้โอดินโกรธมาก เลยพรากตัวสองพี่น้องจากพ่อ มาทำหน้าที่สารถีขับรถพระอาทิตย์และรถพระจันทร์เสียเลย สองตำนานที่ว่ามาก็แล้วแต่อยากเชื่ออันไหนนะ


    อย่างไรก็ตามตำนานชาวเหนือได้กล่าวถึงศัตรูตัวฉกาจของ อาทิตย์และจันทร์ไว้ด้วย นั่นก็คือพญาหมาป่าสองตัวชื่อ สกอลล์ ( Skoll ) และฮาติ ( Hati ) สัตว์สองตัวนี่มีความปรารถนาเพียงอย่างเดียวที่เกาะกินหัวใจมาตั้งแต่เกิด คือ อยากจะงาบดาวทั้งสองให้สิ้นซาก แล้วพวกมันก็ทำได้จริงๆ ในช่วงแร็คนาร็อค


    นรกภูมิ


    อันนี้ขอนอกเรื่องบอกไว้เสียหน่อยก็แล้วกัน ทั้งๆ ที่ชาวเหนือไม่ค่อยกล่าวถึงเรื่องนรก หรือแทบไม่เน้นความสำคัญเลย แต่นรกของชาวเหนือก็มีอยู่ดีแหละ โดยที่เขาบอกไว้ว่านรกที่ว่า คือนิฟล์เฮม เป็นแผ่นดินของคนตาย (มันคงหนาวเย็นสาหัส จนกระทั่งคนเหนือซึ่งคุ้นต่อความหนาวยังไม่อยากเจอ เลยยกให้เป็นนรกไปซะ เหมือนพวกเราพี่ไทยเหมือนกัน ที่เกลียดความร้อน ทั้งที่อยู่ในเมืองร้อน เลยยกให้นรกมีแต่ไฟเผา..แฮ่ แฮ่) มีแค่ยักษ์กับคนแคระเท่านั้นที่อยู่ร่วมกับวิญญาณคนตายได้ นรกของชาวเหนือเป็นอาณาจักรของเทพี เฮล (Hel) คนนี้ละครับที่จะกลายเป็นคนสำคัญของเรื่องในตอนต่อไปข้างหน้า




    เครดิตจาก http://www.all-final.com/forum/read.php?tid=26512&forumid=9&page=1&PHPSESSID=13ef34ae5816ef6310327c14a11a574e


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×