ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ข้อมูลแนวแฟนตาซี ( เหมาะกับนักเขียนที่ต้องการหาข้อมูล )

    ลำดับตอนที่ #26 : ตำนานของ Norse II - การกำเนิด

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 825
      0
      1 ต.ค. 49


        
         

    คนแคระกับเอลฟ์


    ระหว่างที่เทพทั้งสามองค์ช่วยกันสร้างโลกเป็นพัลวันนั่นเอง  เนื้อส่วนหนึ่งของอีเมอร์ที่ยังไม่ทันสร้างเป็นอะไรก็เริ่มเน่า และมันได้ผลิตสิ่งมีชีวิตขึ้นพวกหนึ่ง (อีกแล้ว) เทพพบว่ามันเป็นแบบเฉพาะที่ทั้งดำและเหม็น ถึงแม้จะขยะแขยงกันขนาดไหน แต่เมื่อมันมีชีวิตขึ้นเองเสียก่อนก็เป็นภาระที่พวกเขาจะต้องช่วยมันต่อไป


    เทพสำรวจอุปนิสัยของมันแล้วหาทางเปลี่ยนรูปร่างให้เข้ากับอุปนิสัย พวกที่ทำท่าทางโลภ ชอบขู่คำรามและโค้งตัวคุ้ยเขี่ยพื้นดิน สามารถรอดชีวิตได้โดยที่พวกอื่นตาย เทพสร้างให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนแคระ ( Dwarf ) ให้ไปอยู่ในอาณาเขต สวาทัล์ฟเฮม ( Svartalfheim ) ใต้พื้นผิวแผ่นดินมิดการ์ด ซึ่งพวกมันสามารถจะขุดดินหาแร่มีค่าและอัญมณีมาเก็บไว้เป็นสมบัติ สิ่งเดียวที่พวกมันต้องระวังคืออย่าโผล่ขึ้นมาบนพื้นดินในเวลากลางวัน เพราะแค่แสงแดดอ่อนๆแตะต้องผิวเท่านั้นมันจะกลายเป็นหินทันที


    ส่วนสิ่งมีชีวิตอีกพวกหนึ่งที่ดูสุภาพกว่า ไม่มีความโลภโมโทสัน ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นชนิดที่สวยงาม ตัวเบาเหมือนอากาศ เรียกกันว่าพวกเอลฟ์ ( Elf ) ได้อาณาเขตอัล์ฟเฮม ( Alfheim ) หรือหมายความถึงดินแดนแห่งพวกเอลฟ์ขาว อยู่ระหว่างกลางแอสการ์ดกับมิดการ์ด พวกนี้มีสิทธิพิเศษกว่าคนแคระเยอะ ตรงที่ถึงแม้ถิ่นที่อยู่ของพวกเขาจะปลอดภัยดี แต่ก็สามารถเดินทางลงมาเที่ยวเล่นบนโลกมนุษย์ได้โดยไม่มีอันตราย

    กำเนิดมนุษย์


    ครั้งหนึ่งเมื่อเทพสามองค์ มีโอดิน โฮเนอร์ (Hoenir) และโลเดอร์ (Lodur) กำลังเดินไปตามชายหาด ได้บังเอิญพบต้นไม้สองต้นที่ลอยมาติดหาด ต้นหนึ่งคือแอช ( Ash ) ต้นหนึ่งคือเอล์ม ( Elm ) โอดินหักเอากิ่งที่มีสาขาของต้นไม้ทั้งสองขึ้นมา แล้วถากให้เข้ารูปเป็นตุ๊กตามนุษย์ผู้ชาย และตุ๊กตามนุษย์ผู้หญิง โอดินให้วิญญาณ โฮเดอร์ให้ความรู้สึก และโลเดอร์ให้ชีวิตกับสีผิวที่เต็มไปด้วยเลือดเนื้อ จากนั้นกิ่งไม้ทั้งสองก็ปรากฏร่างขึ้น เป็นรูปร่างที่ใกล้เคียงเทพแต่มีขนาดเล็กกว่า นับเป็นมนุษย์คู่แรกของโลก ผู้ชายมาจากต้นแอช มีนามว่า อากสค์ (Askr)หรือ ( Ask ) แปลว่าถาม ส่วนผู้หญิงมาจากต้นเอล์มชื่อ เอมบลา (Embla) เทพได้ชี้ทิศให้ทั้งสองหาที่ทางตั้งที่อยู่กันในมิดการ์ด


    ที่อยู่ของเทวา


    เสร็จภารกิจสร้างโลกและจัดระบบเสร็จเรียบร้อย เทวดาก็หันมามองตัวเอง ในเมื่อยังไม่มีที่อยู่เป็นที่เป็นทางพวกเขาสร้างแอสการ์ด (Asgard) ขึ้น ตามชื่อวงศ์อีเซอร์(Aesir) ของตน แล้วตกลงกันว่า ที่นี่เป็นที่ที่ไม่ต้องการสงคราม ไม่มีการสู้รบ สันติภาพจะต้องอยู่ตลอดไปตราบเท่าที่เทพอีเซอร์ปกครองโลก


    ถึงอย่างนั้น พวกอีเซอร์ก็ไม่ประมาท จึงสร้างโรงตีเหล็กเพื่อตีอาวุธยุทโธปกรณ์ และเป็นที่ๆ ค่อยๆ สร้างสรรค์ส่วนต่างๆ ของแอสการ์ดให้ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ แอสการ์ดเชื่อมกับโลกมนุษย์ ด้วยสะพานรุ้งน้ำแข็งเรียกกันว่า ไบฟรอส  (Bifrost)  สะพานนี้ก่อร่างขึ้นมาจากสายรุ้งที่กลายเป็นน้ำแข็ง มันทั้งกว้างและแข็งแรงพอที่บรรดาเทพทั้งหลายจะใช้ชักรถศึกออกไปได้

    อิกดราซิล

    ตรงกลางของแดนสวรรค์ มีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่ง เป็นไม้แอช ( Ash ) (พวกเดียวกับมะกอก) นับว่าเป็นต้นไม้ที่สำคัญที่สุดเพราะอันที่จริงมันโอบรับโลกทั้งเก้าแห่งไม่ว่าจะเป็นแดนสวรรค์โลกมนุษย์ โลกของยักษ์ โลกของคนแคระหรือเอลฟ์ไว้กับกิ่งก้านสาขาและรากของมัน โลกมนุษย์อยู่ภายใต้ร่มเงากิ่งก้านสาขา ยอดไม้ระเมฆบนท้องฟ้า ความแข็งแกร่งของไม้ทำให้โลกทั้งหมดตั้งอยู่อย่างมั่นคง (เอ้อ ลืมบอกท่านผู้อ่านไปอย่างว่า ตอนที่คนโบราณคิดเรื่องตำนานของชาวเหนือขึ้นเนี่ย พวกเขายังเชื่อว่าโลกแบนอยู่นะครับ แปลกเหมือนกัน ทีโลกเห็นว่าแบน แต่ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์กลับกลม)


    ต้นอิกดราซิลมีรากใหญ่สามรากหยั่งลึกลงไป อันหนึ่งไปถึงโจตันเฮล์ม แผ่นดินของยักษ์ อันหนึ่งไปถึงนิล์ฟเฮมแผ่นดินน้ำแข็งและอีกอันหนึ่งไปถึงแอสการ์ดแผ่นดินของชาวสวรรค์ รากทั้งสามรากนี้ทำให้ต้นอิกดราซิลสัมพันธ์กับโลกทั้งสาม คือยักษ์ เทพ และมนุษย์ และได้ดูดเอาน้ำจากบ่อน้ำแต่ละแห่งไว้หล่อเลี้ยงต้น โดยรากที่อยู่กับชาวแอสการ์ด ไปโผล่แถวน้ำพุ เอิด น้ำพุแห่งเยาวภาพ (Fountain of Youth) มันเป็นน้ำพุที่ชาวสวรรค์ใช้ดื่มกินเพื่อให้มีความเยาว์วัยอยู่เสมอ เทพีที่คอยรักษาแหล่งน้ำและมีหน้าที่ตักน้ำไปให้ชาวสวรรค์วันละครั้งคือ พวกนอร์น (the Norns) สามพี่น้อง นามว่า เอิด ( Urd ) (อดีต),เวอร์ดานดิ ( Verdandi ) (ปัจจุบัน) และสกัลด์ ( Skuld ) (อนาคต) จะเรียกรวมกันว่าเป็นเทพีแห่งชะตามนุษย์ก็ไม่ผิดครับ ด้วยเหตุนี้อิกดราซิลจึงมีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า ต้นไม้แห่งชะตาลิขิต (tree of destiny)ด้วยเหมือนกัน


    รากอันต่อมาแผ่ไปถึงแผ่นดินนิฟล์เฮม แผ่นดินแห่งน้ำแข็งได้น้ำจากน้ำพุ ฮเวอร์เกลเมอร์ (Hvergelmir) ซึ่งมีน้ำตกหลั่นเป็นชั้น แผ่สาขาออกไปเป็นแม่น้ำสายใหญ่ๆ ของโลก ส่วนรากที่สาม แผ่ไปถึงแผ่นดินของพวกยักษ์ซึ่งปกคลุมด้วยน้ำแข็งตลอดกาล ได้น้ำจากน้ำพุ ไมเมอร์ (Mimir) น้ำจากน้ำพุแห่งนี้เป็นน้ำวิเศษแห่งความรอบรู้ พวกยักษ์จึงต้องจัดเปลี่ยนเวรยามกันเฝ้าไม่ยอมให้ใครตักไปดื่มได้ง่ายๆ


    อิกดราซิล จะเขียวสดอยู่ตลอดทั้งปีและตลอดไป แม้ว่าใบของมันจะกลายเป็นอาหารของสัตว์ต่างๆ ไปมั่งก็ตาม เหตุเพราะบนต้นยังมีสัตว์อีกตั้งหลายอย่างที่อาศัยอยู่ เช่นบนยอดไม้สูงสุดมีไก่ตัวผู้สีทองตัวหนึ่งคอยตรวจตราขอบฟ้า เจ้าตัวนี้มีหน้าที่จะต้องขันเตือนเทพเจ้าหากศัตรูตลอดกาลของพวกเขาเตรียมยาตราทัพเข้ามาหา นอกจากนี้มีนกอินทรีอีกตัวหนึ่งจะคอยเกาะกิ่งไม้มองสำรวจเช่นเดียวกับไก่ นกตัวนี้มีผู้ช่วยก็คือนกเหยี่ยวซึ่งเกาะอยู่ระหว่างตาของมัน


    ส่วนสัตว์ที่ไม่ใช่พวกนกก็มีกระรอกชื่อ ราตาโทสค์ (Ratatosk) เป็นอีกตัวที่อยู่บนไม้อิกดราซิล มันไม่เคยหยุดวิ่งขึ้นวิ่งลง ระหว่างตำแหน่งที่นกอินทรีเกาะอยู่ กับตรงรากของต้นอันที่อยู่บนแผ่นดินน้ำแข็งนิล์ฟเฮม เพราะว่าที่นี่มีพญางูนิดฮอก (Nidhoggr) ขดล้อม มันจะเป็นตัวที่คอยตรวจตราไม่ให้พญางูตัวนั้นกัดกินรากต้นไม้มากเกินไปยามที่เบื่อจะแทะศพมนุษย์แล้ว


    รวมความแล้วอิกดราซิลเป็นต้นไม้ที่ให้ประโยชน์หลายสถานเชียว  ความมีประโยชน์ของต้นไม้ทำให้แม้กระทั่งโอดิน จอมเทพเองก็เคยแขวนคออยู่บนต้นไม้นานถึงเก้าคืนเพื่อล่วงรู้ความลับแห่งความตาย (เล่ากันว่าที่แขวนคอน่ะ ตายไปเหมือนกันนะครับ แต่เนื่องด้วยตอนนั้นจอมเทพน่าจะได้ดื่มน้ำพุของไมเมอร์แล้ว ทำให้รู้มนต์แห่งการคืนชีพ โอดินก็เลยฟื้นขึ้นมาครองสวรรค์เหมือนเดิม-การแขวนคอเช่นนี้ปรากฏว่ามันกลายเป็นประเพณีในชั้นหลัง เนื่องจากมีการพบศพเรียกกันว่ามนุษย์โทลลันถูกแขวนคอตาย ศพอยู่ในปลักตมที่จัตแลนด์ ความตายของศพพาให้คิดถึงการบูชายัญพลีแก่โอดินเมื่อฝ่ายตรงข้ามชนะศึก )




    เครดิตจาก http://www.all-final.com/forum/read.php?tid=26512&forumid=9&page=1&PHPSESSID=13ef34ae5816ef6310327c14a11a574e



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×