The lion, the wish and the tent (Takaki Yuya x Seohyun )
Fanfic: Takaki Yuya x Seohyun Fandom: Hey!Say!JUMP, SNSD เมื่อทาคาคิ ยูยะ และ ซอฮยอนได้มาเจอกัน OOC
ผู้เข้าชมรวม
449
ผู้เข้าชมเดือนนี้
4
ผู้เข้าชมรวม
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ เรียกชั้นว่าซอฮยอนก็ได้” ภาษาอังกฤษเจือสำเนียงเกาหลีเพียงน้อยนิด “日本語が少ししか話せません(ชั้นพูดภาษาญี่ปุ่นได้นิดหน่อยค่ะ)” ประโยคนี้เธอพูดออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่นชัดถ้อยชัดคำ
ทาคาคิ ยูยะ เลิกคิ้วสูง ก่อนจะยิ้มจนตาปิด แล้วยกนิ้วโป้งให้เธอ “ 대박 (สุดยอด!)”
ถ้าหากว่ายูยะมองซอฮยอนเป็นคุณหนู
ตอนนี้ซอฮยอนเองก็กำลังมองหนุ่มญี่ปุ่นผิวสีแทนไหล่กว้างคนนี้เป็นเหมือนแบดบอยเหมือนในละครซีรี่ส์อยู่เหมือนกัน
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
The lion, the wish and the tent (Takaki Yuya x Seohyun )
Cameo: Nakajima Yuto
Fandom: Hey!Say!JUMP, SNSD
OOC
คืนนั้นเป็นคืนแรกที่ซอฮยอนต้องนอนร่วมเต๊นท์กับผู้ชายสองต่อสอง
และเป็นผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันยังไม่ถึง 24 ชั่วโมงเสียด้วย
ร่างสูงของทาคาคิ ยูยะผลุบเข้ามาในเต๊นท์ของนักชีววิทยาสาวหน้าใหม่อย่างรวดเร็ว หลังจากได้ยินเสียงคำรามดังก้องมาจากอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ
นาทีนั้นซอฮยอนรู้ดีว่าเธอไม่ควรจะตื่นตระหนก ไม่ใช่เวลาที่จะมาตกใจเมื่อฝ่ามือใหญ่ของยูยะกดศีรษะเธอให้หมอบลงนอนราบข้างๆ เขา และไม่ใช่เวลาที่จะนึกไม่ชอบใจกลิ่นบุหรี่ที่ปะปนกับมากับกลิ่นใบชาจากตัวยูยะ
และแล้วอีกเสียงหนึ่ง คล้ายจะเป็นเสียงคำรามตอบรับเสียงแรก ดังมาจากพุ่มไม้ทึบจากฟากที่เต๊นท์ของเธอตั้งอยู่ เสียงกิ่งไม้หัก ยิ่งทำให้เธอใจคอไม่ดี
นี่เองคือสาเหตุที่ยูยะกระโจนเข้ามาแล้วรูดซิปปิดเต๊นท์อย่างเงียบเชียบที่สุดเท่าที่จะทำได้
ไม่มีเวลาให้ชายหนุ่มคิดหาทางหนีทีไล่อื่น หรือคำนึงถึงเรื่องเกียรติยศศักดิ์ศรีของฝ่ายหญิง
นาทีนี้มีเพียงคำว่าต้องรอดเท่านั้น
เสียงฝีเท้าสวบสาบดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ซอฮยอนได้แต่นอนตัวแข็ง ภาวนาขออย่าให้เจ้าสิงโตเดินเข้ามาใกล้เต๊นท์อีกเลย ขอให้มันตัดสินใจเดินกลับไปยังที่เดิมที่มันมาโดยเร็ว
แต่ดูเหมือนคำอ้อนวอนจะไม่เป็นผล
เพราะคราวนี้เงาร่างใหญ่โตของจ้าวป่าทิ้งตัวลงช้าๆ นอนทอดกายพิงเต๊นท์หลังน้อยที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวห่างจากเต๊นท์หลังอื่นๆ
เสียงลมหายใจดังฟืดฟาด และเสียงสะบัดหางฟาดลงมา ทำให้ผนังเต๊นท์ยุบยวบลงมามากกว่าเดิม
ไม่นาน แต่ในความรู้สึกของซอฮยอนนั้น รู้สึกราวกับแต่ละวินาทีนั้นเชื่องช้าราวกับชั่วโมง เสียงลมหายใจของจ้าวป่ากลับกลายเป็นเสียงครางเบาๆ และเสียงหายใจนั้นก็แผ่วลงและสม่ำเสมอ ตอนนี้เจ้าสิงโตคงจะหลับปุ๋ยไปแล้ว
แต่นาทีนี้ ซอฮยอนข่มตาให้หลับไม่ลง ได้ยินแต่เสียงหัวใจตัวเองเต้นระทึก ดังออกมานอกอก โสตประสาทอื้ออึง ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว ด้วยเกรงว่าจ้าวป่าที่นอนห่างกันเพียงผนังเต๊นท์กั้น อาจจะตื่นขึ้นได้ทุกเมื่อ
แต่แล้วความรู้สึกหวาดกลัวที่สุมแน่นอยู่นั้นก็ค่อยๆ คลายลงเล็กน้อย
เมื่อรู้สึกถึงสัมผัสอบอุ่นจากฝ่ามือของยูยะ ที่ลูบศีรษะของเธอแผ่วเบา ราวกับจะปลอบโยนว่าเธอจะต้องปลอดภัย
ซอฮยอนไม่รู้ว่าเธอผลอยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่
เมื่อยามเช้ามาถึง ร่องรอยผนังเต๊นท์ที่ยุบไปแถบหนึ่งยังคงอยู่ แต่ปราศจากร่างของจ้าวป่าเมื่อคืน และเป็นโชคดีเมื่อตื่นมาพบรอยเท้าสิงโต ยูยะคาดว่ามันคงเดินกลับไปยังอีกฟากหนึ่งแล้ว
ชายหนุ่มผิวสีแทนจัดการเก็บเต๊นท์ของหญิงสาวสะพายหลัง มือซ้ายก็หิ้วกระเป๋าเป้แบคแพคใบโตของอีกฝ่ายมาด้วย
“ทีนี้คุณก็เข้าใจที่เมื่อคืนผมบอกคุณแล้วใช่มั้ย ว่าให้ไปตั้งเต๊นท์รวมกับคนอื่นๆ บนลานยกพื้นด้านโน้นจะปลอดภัยกว่า”
ซอฮยอนพยักหน้าน้อยๆ แล้วตอบเสียงอ่อย "ชั้นขอโทษค่ะ ชั้นไม่น่าเสี่ยงมานอนที่ใกล้แม่น้ำแบบนี้เลย คิดว่าเอาเต๊นท์ออกมาพ้นทางเดินของพวกฮิปโปก็น่าจะปลอดภัยแล้ว"
แม้เขาจะอิดโรยจนใต้ตาดำเป็นตาแพนด้าเพราะอดนอนทั้งคืน แต่รอยยิ้มก็ผุดขึ้นมาบนริมฝีปากของยูยะ เมื่อเขาสบตาสีดำใสแจ๋วที่ฉายแววรู้สึกผิดของหญิงสาว
“คิดซะว่าเป็นการรับน้องจากจ้าวป่าก็แล้วกัน นะ?”
แล้วฝ่ามือขวาที่ว่างอยู่ก็ยื่นมาตรงหน้าซอฮยอน
“ไปกันเถอะ เรายังมีอะไรที่ต้องเรียนรู้กันอีกมาก”
ณ ห้องประชุมของสำนักงานภาคสนาม พูดให้ฟังดูสวยงาม แต่อันที่จริงมันคือแคมป์ขนาดใหญ่กลางป่าในรูอาฮา แทนซาเนีย
รถกระบะ รถออฟโร้ด และรถโคบอลต์ สภาพเปรอะฝุ่นจอดเรียงรายอยู่ภายนอก
เมื่อมองเลยออกไป ทัศนียภาพที่เห็นคือทางเดินไปสู่แม่น้ำ ฮิปโปโปเตมัสฝูงหนึ่งนอนแช่น้ำ ท้าทายแสงอาทิตย์ร้อนแรงยามบ่าย
ทาคาคิ ยูยะ หยิบภาพถ่ายออกจากซองเอกสารสีน้ำตาล ที่หน้าซองเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ของตัวเอง
ชายหนุ่มหยิบภาพถ่ายออกมาดูทีละใบ ทีละใบ
ภาพที่ถูกถ่ายส่วนมากคือภาพของสิงโตตามหัวข้อของงานวิจัย
แต่มีภาพหนึ่งที่ต่างออกไป
เป็นภาพพอร์เทรตที่คนในรูปไม่รู้ตัวว่าถูกแอบถ่าย หญิงสาวผมยาวสลวยสีดำขลับ ปลิวไปเบื้องหลังตามแรงลม ใบหน้าสวยรูปไข่ แขนเรียวยกขึ้นป้องแสงตะวัน ที่ส่องกระทบผิวขาว ดวงตาสีดำเป็นประกายมองไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้า
ซอจูฮยอน นักชีววิทยาเชิงอนุรักษ์ คือผู้หญิงในภาพถ่ายใบนี้
ผู้หญิงที่ยูยะไม่อาจทำเมินเฉย ปล่อยเธอไว้ตามลำพังได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน
“รุ่นพี่ยูยะ” นาคาจิมะ ยูโตะชะโงกหน้ามาจากด้านหลัง ร้องเรียกเพื่อนรุ่นพี่ ที่กำลังนั่งเขียนงานวิจัยด้วยสีหน้ารื่นรมย์
“รุ่นพี่คร้าบ~"
แต่ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา ยูโตะมองภาพถ่ายในมือคนอายุมากกว่า ที่ตอนนี้กำลังนั่งกัดปลายปากกา ยิ้มหวานเป็นเด็กประถมอยู่คนเดียว
รุ่นน้องตัวสูงเก้งก้างส่ายหัวเดินจากไป พึมพัมอยู่ในลำคอ "สงสัยจมอยู่ในภวังค์ มุ้งมิ้งงุ้งงิ้ง อาการหนักแฮะ"
--ภาพมุ้งมิ้งในหัวของยูยะ ย้อนกลับไปบ่ายวันแรกที่ได้พบกัน--
ทาคาคิ ยูยะดับบุหรี่ในมือกับที่ดับพกพา แผ่นหลังที่เมื่อครู่เอนพิงตัวรถกระบะ เหยียดตรง เมื่อมองเห็นคนที่คาดว่าเป็นคนที่เขาต้องมารอรับ กำลังเดินตรงมา ชายหนุ่มถอดแว่นกันแดดสีดำคล้องไว้ที่คอเสื้อยืดสีเขียวขี้ม้าไร้ลวดลาย
หญิงสาวผิวขาว รูปร่างโปร่งระหงในชุดเสื้อเข้ารูปสีน้ำตาลเข้มแบบเรียบๆ กับกางเกงคาร์โก และรองเท้าผ้าใบ สองมือกระชับสายสะพายกระเป๋าเป้แบคแพค
หน้าตาสวย น่ารัก แบบที่เห็นแวบเดียวก็ฟันธงได้ว่าน่าจะเป็นลูกคุณหนูนั้น มีเหงื่อซึมตามไรผมบริเวณหน้าผาก
ยูยะยิ้มนิดๆ ให้คุณหนูโพรไฟล์ดี ที่เรียนจบด้านชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก
“คุณซอจูฮยอน ผม ยูยะ ทาคาคิ เรียกว่ายูยะก็ได้ ทางทีมวิจัยส่งผมมารับคุณแทนนาคาจิมะ คือเขาต้องไปที่โรงพยาบาลกระทันหันน่ะ” ทักทายด้วยภาษาอังกฤษติดสำเนียงญี่ปุ่น พลางยื่นมือมารับกระเป๋าเป้จากหญิงสาวเพื่อนำไปไว้บริเวณด้านหลังของรถกระบะ แล้วยื่นมือออกไปจับมือกับตัวแทนทีมวิจัยหน้าใหม่ตรงหน้า
มือเรียวขาวของหญิงสาวนั้นนุ่มอย่างที่ยูยะคาดไว้ไม่มีผิด
คุณหนูขนานแท้ แต่ทำไมถึงเลือกที่จะมาทำวิจัยเรื่องสัตว์ป่าที่นี่นะ
ซอฮยอนมองคนตรงหน้าอย่างแปลกใจเล็กน้อย “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ เรียกชั้นว่าซอฮยอนก็ได้” ภาษาอังกฤษเจือสำเนียงเกาหลีเพียงน้อยนิด “日本語が少ししか話せません(ชั้นพูดภาษาญี่ปุ่นได้นิดหน่อยค่ะ)” ประโยคนี้เธอพูดออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่นชัดถ้อยชัดคำ
ทาคาคิ ยูยะ เลิกคิ้วสูง ก่อนจะยิ้มจนตาปิด แล้วยกนิ้วโป้งให้เธอ “ 대박 (สุดยอด!)”
ถ้าหากว่ายูยะมองซอฮยอนเป็นคุณหนู
ตอนนี้ซอฮยอนเองก็กำลังมองหนุ่มญี่ปุ่นผิวสีแทนไหล่กว้างคนนี้เป็นเหมือนแบดบอยเหมือนในละครซีรี่ส์อยู่เหมือนกัน
ซอฮยอนเหลือบมองขณะที่ยูยะกำลังขับรถ เธอไม่รู้ตัวว่าเหลือบมองเขาเป็นระยะๆ แต่อีกฝ่ายนั้นรู้ตัวเต็มที่ ยูยะขยี้ผมทรงสิงโตสีน้ำตาลทองของตัวเอง ก่อนจะหัวเราะเบาๆ เมื่อหันมาสบตาเธอ
“ไหนๆ ระยะทางก็ยังอีกไกลกว่าจะถึงแคมป์ เรามาลองทำความรู้จักกันไปพลางๆ ก่อนดีมั้ย”
ซอฮยอนพยักหน้าตกลง รู้สึกยินดีที่อีกฝ่ายเริ่มทำลายความเงียบก่อน
“ผมมีหมาชิวาว่าหนึ่งตัวชื่อช็อคโก้”
“เอ๊ะ?” ซอฮยอนอุทานเบาๆ อย่างไม่อยากเชื่อ ผู้ชายลุคแบดบอยเลี้ยงสุนัขพันธุ์ชิวาว่า!
“ 'เอ๊' นี่หมายความว่าไงอ่ะ” ยูยะย่นจมูก ยิ้มเขินๆ
“ขอโทษค่ะ คือ...แค่แปลกใจว่ายูยะซังเลี้ยงชิวาว่า” ซอฮยอนตอบด้วยน้ำเสียงสดใส “ชั้นเลี้ยงมัลทีสค่ะ ชื่อดูบู ภาษาเกาหลีแปลว่าเต้าหู้”
คราวนี้ยูยะหัวเราะออกมาเสียงดัง “ดีเนอะ ไม่ต้องถามก็รู้เลยว่าหมาสีอะไร”
“อ๊ะ จริงด้วยค่ะ” ซอฮยอนยกมือป้องปากแล้วหัวเราะ “แถมชื่อยังเป็นของกินเหมือนกันอีก”
นั่นคือครั้งแรกที่หนุ่มญี่ปุ่นกับสาวเกาหลีได้พบกัน ในฐานะผู้ร่วมทีมวิจัยสิงโต สัตว์ในวงศ์แมว แห่งแทนซาเนีย
ในตอนนั้น ทั้งคู่ไม่ได้คาดคิดเลยว่า จะมีเหตุให้ต้องได้ใกล้ชิดกันในชั่วข้ามคืน
และคำพูดของยูยะในตอนหลังที่ว่า 'เรายังมีอะไรที่ต้องเรียนรู้กันอีกมาก' นั้น
นอกจากจะหมายถึงเรื่องงานวิจัยและการปรับตัวให้เข้ากับทีมและธรรมชาติในแทนซาเนียแล้ว
เขายังหมายความรวมถึงเรื่องระหว่างเขาและเธอด้วย
มันเป็น Love at first sight
Love at first risk
--Fin--
*เนื้อเรื่องดัดแปลงมาจาก คู่มือเอาชีวิตรอด ของเอมี ดิกแมน เนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก เดือนธันวาคม 2556
เรียงลำดับเหตุการณ์กัน คือเหตุการณ์แรกสุด ยกมาไว้ตอนท้ายสุด ส่วนเหตุการณ์ตอนกลางเรื่องเอามาไว้ตอนแรกสุด และเหตุการณ์ตอนปัจจุบันที่ยูยะนั่งมุ้งมิ้งงุ้งงิ้ง ยกเอามาไว้ตอนกลางเรื่องค่ะ
ไม่รู้จะทำให้งงกันรึเปล่านะ
ผลงานอื่นๆ ของ rolybear ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ rolybear
ความคิดเห็น