บางทีคำว่า  รัก  อาจไม่ได้เริ่มต้นด้วยตัวสะกด  รอ  อะ  กอ  รัก  เสมอไป  เช่นความรักของผม  ที่ผมยังไม่อาจตัดสินให้แน่นอนว่า  เป็นความรัก  เพราะความรักของผม  มันเริ่มต้นสะกด  ด้วยคำว่า  คอ  วอ  อา  มอ  โอ๊ย  ยาวครับ  สรุปว่า  ความรักของผมเริ่มต้นด้วยคำว่า  ความรู้สึกดีๆ  ก็แล้วกัน
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
              วันนี้เป็นวันศุกร์วันที่นักเรียนทุกคนตั้งตารอคอยเพราะวันถัดไปเป็นวันเสาร์  จะได้หยุดพักผ่อนอยู่บ้านให้สมใจเสียที  แต่สำหรับผม นายต้นไม้ หรือไม้  ชื่อที่เพื่อนๆเรียกกัน  นักเรียนชั้น  ม.5 หน้าตาธรรมดา  และถูกเพื่อนๆให้คำนิยามว่า  ก็ดูดีใช้ได้  ผมไม่อยากให้วันศุกร์นี้เวียนมาถึง  เพราะผมมีคนที่อยากจะพบเจออยู่ทุกวันรอผมอยู่ที่โรงเรียน
              อากาศในยามเช้าวันนี้ค่อนข้างเย็นเนื่องจากเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูหนาว  ผมตื่นขึ้นขณะที่ฟ้ายังไม่สว่างนัก  แต่ก็เห็นขอบเมฆขลิบแสงอยู่ลิบๆ  เป็นสัญญาณเริ่มเข้าสู่เช้าวันใหม่  ผมลุกขึ้นจากที่นอน  จัดแจงพับผ้าห่มเก็บเตียงอย่างเรียบร้อยยิ่งกว่าผู้หญิง  (ช่วยไม่ได้ครับ  ก็ผมเป็นคนเรียบร้อยอยู่พอควร  แต่ผมไม่ได้เป็นเกย์นะ)  แล้วจึงไปทำธุระส่วนตัวก่อนจะออกจากบ้าน  มุ่งหน้าสู่โรงเรียน  ที่มีอาจารย์หน้าดุรออยู่หน้าประตู  และท้องทะเลของผม  ที่รอผมอยู่(รึเปล่า)ในห้องเรียน  ให้ผมแวะเวียนไปทักทายทุกเช้า
     
          “อรุณสวัสดิ์ครับ  ทะเล”
          “หวัดดี”
          เสียงสวัสดีนี่แหละครับ  เสียงของทะเล ไม่ใช่ทะเลจริงๆหรอกครับ  แต่เป็นเด็กสาวที่ชื่อทะเล  เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ  ผิวขาวๆ  ผมยาวสีดำสนิทมักถูกรวบเป็นหางม้าดูทะมัดทะแมงอยู่เสมอ  ภายนอกดูบอบบางนะครับ  แต่เธอน่ะห้าวและลุย  ยิ่งกว่าผู้ชายบางคนเสียอีก(และอาจจะยิ่งกว่าผมด้วยซ้ำ  ก็บอกแล้วไงครับ  ผมมันผู้ชายเรียบร้อยน่ะ) 
          เสียงของเธอในวันนี้ออกจะติดห้วนนิดๆ เหมือนคลื่นลูกเล็กๆที่มากระทบฝั่ง  ปกติเธอไม่ได้พูดอย่างนี้กับผมหรอกนะครับ  เมื่ออาทิตย์ก่อนเธอยังดีๆอยู่    แต่พักนี้เธอแปลกๆไป  ไม่ค่อยจะยอมมองหน้าผมสักเท่าไหร่  แถมยังเหมือนหนีผม  อาจจะเป็นเพราะเหตุเมื่ออาทิตย์ก่อน.......
  --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
                “น...นายจะมาจ้องหน้าฉันหาอะไรห๊ะ  ฮึก....นายไม้” ทะเลพูดติดขัดด้วยแรงสะอื้น  พลางเอาแขนเอามือปิดหน้าปิดตา  ปาดน้ำตาปาดน้ำมูกครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นพันละวัน  เธอไม่อยากให้ใครมาเห็นเธอร้องไห้เพราะมันดูอ่อนแอ  ในขณะที่เธอแสดงความเข้มแข็งปิดบังเอาไว้เสมอ
                “มีอะไรก็เล่าให้ผมฟังบ้างก็ได้นะครับ”  ผมพูดกับเธอด้วยความจริงใจ    ใครจะอยากเห็นคนที่ผมมองอยู่เสมอมีน้ำตากันเล่า
                “............” เธอเงียบ  แล้วหันมามองหน้าผม
                “ผ...ผู้..ช..ย..มะ...ทุ....ค..ปะ..ว”  เด็กสาวเจ้าของหางมายาวพูดติดๆขัดๆ
                “อ....อะไรนะครับ”  ผมต้องถามอย่างกลัวๆกล้าๆ  ผมลืมบอกไปหรือเปล่าครับ  ว่าเธอน่ะขี้หงุดหงิดง่ายเสียด้วย  และยังโกรธง่าย  แต่ก็หายเร็ว  ตามประสาท้องทะเล  ที่คลื่นลมไม่สงบเสมอไป
                “ฉันถามว่า!!!ผู้ชายน่ะมันเลวทุกคนรึเปล่า!!!”  คราวนี้เธอพูดเสียงดังแล้วจ้องหน้าผมอย่างกับผมเป็นคนผิด  น่าหวาดเสียวคลื่นยักษ์นะครับ  เพราะผมก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง
                “ตอนเริ่มก็รักกันจะตาย  แล้วเป็นไงล่ะ  ก็ไปมีผู้หญิงใหม่  แล้ว...แล้ว....”เธอร้องไห้ออกมาอีกครั้ง  ทำทำผมกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ  คิดในใจว่าเธอมีแฟนแล้วทะเลาะกันเหรอ  ทำเอาผมใจกระตุกวูบ  แล้วจะมาให้ผมปลอบใจเธอได้ไงกัน
                “พ่อ...ไปมีผู้หญิงใหม่  แม่รู้แล้วก็ทะเลาะกัน  แม่ฉันร้องไห้  นายเข้าใจมั้ย  เค้าทำแม่ฉันร้องไห้”
                  ผมอึ้งไปนิดหนึ่ง  เอ่อ.....พ่อ....เฮ้อ  ทำเอาตกใจหมด  ผมรู้สึกดีใจกับความทุกข์ของเธอ(มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น  พระเอกอะไรกัน)  จะว่าผมเลวก็ได้นะ  (เออก็รู้ตัวนี่)  แต่อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้ทะเลาะกับแฟน  นั่นหมายความว่าเธอไม่มีแฟน!!!!(.....รึเปล่า)  แล้วผมก็เรียกสติกลับมาว่าผมควรจะปลอบใจเธอไม่ใช่มานั่งดีใจ
                  “ครับ  ผมเข้าใจ  แต่เรื่องพ่อของเล  จะทำให้เลเกลียดผู้ชายทั้งโลกเลยเหรอครับ  เลครับ  โลกมีสองด้านนะ  ทุกคนในโลกไม่ได้ดีพร้อมไปทั้งหมด แม้กระทั่งผู้หญิง”  ผมพูด แล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองพูดไม่รู้เรื่องและไม่ได้ปลอบใจเธอเลย  เอ่อ......ก็ผมปลอบใจใครเป็นซะทีไหนกัน  คิดแล้วก็อยากจะตบปากตัวเอง  ผมน่าจะมีคำพูดที่ดีกว่านี้  หรือไม่ก็ไม่พูดเลยซะดีกว่า  คิดแล้วก็อยากตัดปากที่พูดไปไม่คิดทิ้งจริงๆ  เพราะทะเลตอนนี้เงียบ  และเงียบจนหน้ากลัว  เธอไม่ได้มองมาที่ผมอีกแล้วแต่ทอดสายตาไปที่ท้องฟ้ากว้างไกล 
                  ผมมองหน้าด้านข้างของเธอแล้วอดใจเต้นไม่ได้  แม้จะมีคราบน้ำตา  แต่ก็ยังน่ารักเหลือเกิน
                  “แต่เค้าทำแม่ฉันร้องไห้นะ.....”
                  “ครับ  เรื่องนี้ถ้าเป็นผมผมก็โกรธ......ในตอนแรกนะ  แต่ถ้าผมได้มีโอกาสอยู่กับตัวเอง  ได้ลองคิดดู  ผมจะคิดว่าคนสองคนที่ใช้ชีวิตคู่ด้วยกันมาได้นานขนาดนี้  ตอนเริ่มก็ต้องเริ่มต้นจากความรักด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ตอนจบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน  ผมคิดว่าที่แม่คุณร้องไห้  แม่คุณอาจจะกำลังไม่ทันตั้งตัว  เพราะยังไงความรู้สึกดีๆในตอนแรกของทั้งคู่ไม่มีทางตัดเยื่อใยกันได้ภายในวันเดียว  แต่หลังจากนั้นอดีตก็จะกลายเป็นความทรงจำที่ดี  ผมจะคิดว่าเรื่องร้ายๆที่เกิดก็เหมือนเป็นครูที่สอนให้แม่เข้มแข็งขึ้น  แล้วก็นะครับในชีวิตคนเราก็ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องที่สมหวังเสมอไปใช่ไหมล่ะ  อืม......แล้วก็ใช่ว่าคนเรามีแต่เรื่องที่ผิดหวังเสมอไปด้วย  ต่อไปอาจมีอะไรดีๆ รออยู่โดยที่เลไม่รู้ก็ได้นะ”    ผมพูดยืดโดยนึกถึงเพลง Live and Learn  ของบอย  โกสิยพงศ์ไปด้วย  ก็เอาเนื้อเพลงมาพูดๆบ้างล่ะครับ  แล้วผมก็ยิ้มให้เธอเผื่อเธอจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
                    แต่เลก็หันหน้าไปทางอื่น  นั่นทำเอาผมใจเสียไปเลย
                    “.............ขอบใจ”
                  แล้วเสียงใสยามที่ทะเลสงบก็ดังขึ้นกลางใจผม แค่คำว่าขอบใจก็เกินพอ
                  “นี่  มีทิชชู่มั้ย”  เธอถามผมทั้งยังไม่มองหน้า
                    “อ่ะครับ”
                    ผมรีบยื่นให้  แม้ทะเลจะสงบแต่เราก็ยังไว้ใจไม่ได้  เหมือนตามทฤษฎีเดินเรือ  เพราะไม่รู้พายุจะมาอีกเมือไหร่ 
                    “ฟืดดดด  ฟืดดด”  ขณะที่ผมกำลังคิดถึงท้องทะเลยามปั่นป่วนอยู่อย่างสยดสยอง  ก็ได้ยินเสียงที่ทำเอาผมนึกว่า  เรือแตก  แต่เปล่าหรอกครับ  เด็กสาวชื่อทะเลต่างห่างที่กำลัง.........สั่งน้ำมูก
                  “ฮ่าๆ” ผมหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้  ก็เธอไม่มีความเป็นผู้หญิงเอาซะเลยนี่ครับ  เพิ่งร้องไห้ปลอบใจกันไปหมาดๆ  เสียบรรยากาศกันหมด  แต่เธอก็น่ารักนะ(ยังยืนยันอย่างเดิม)
                  “ไม่ต้องมาหัวเราะเลย  จะไปไหนก็ไป  ถ้าจะขำน่ะ”  ผมเห็นเธอยิ้ม  แล้วก็เขินอยู่หน่อยๆ  แต่ก็เก๊กขรึม  จนผมอดยิ้มไม่ได้  หมายความว่าถ้าผมไม่ขำเนี่ย ผมจะนั่งอยู่ได้ล่ะสิ
                  “ไม่หัวเราะแล้วครับๆ”  แล้วผมก็นั่งเหม่อมองท้องฟ้าสีสวยสดใส  แสงแดดอบอุ่นกับลมพายุจากทะเลสงบลงเรียบร้อยไร้กังวลแล้วอย่างเพลิดเพลินใจ  ผมรู้สึกดีที่ได้มานั่งคุยกับเธอแบบนี้  ได้ปลอบใจ  ได้เห็นเธอในมุมที่ไม่เคยได้เห็น  ผืนทะเลที่กว้างใหญ่  ดูมั่นคง  เมื่อมีลมพายุก็โหมกระหน่ำอย่างไม่กลัวเกรง  แต่ยามที่สงบไร้แรงสร้างเกลียวคลื่นก็เหมือนกับที่มีช่วงเวลาที่อ่อนแอบ้าง    ผมอยากให้เรานั่งกันอยู่แบบนี้ไปนานๆ
                  หลายคนคงคิดว่ามันดูโรแมนติคดีที่มีเด็กสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ด้านหนึ่งของเก้าอี้หินอ่อน  แล้วอีกด้านก็มีเด็กหนุ่มนั่งอยู่ห่างๆ  เด็กหนุ่มนั่งเหม่อมองท้องฟ้า  ใบหน้าระบายยิ้มอ่อนๆ  กับเด็กสาวหางม้า  ตัวเล็กๆ  นั่งเท้าแขนกับตัก    แต่มันคงจะดีกว่านี้หากไม่มีเสียงสั่งน้ำมูกดังออกมาเป็นระยะ...ของเด็กสาว.....ฟืดดดดดดดด
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
                    นั่นแหละครับ  ไม่รู้ว่าเธอเป็นอะไรหลังจากนั้นก็  ไม่ยอมมองหน้า  ไม่คุยกับผมเลย  หรือว่าผมพูดอะไรแย่ๆออกไป  นั่นมันทำให้ผมคิดมากทีเดียว  กับแค่ผู้หญิงคนเดียว  ผมกลับต้องมานั่นกลุ้มอย่างนี้  ปกติถ้าเธอโกรธใคร  ก็อย่างที่บอกไปแล้วว่ามักจะโกรธง่ายหายเร็ว  แต่นี่เธอไม่หาย  และไม่รู้ด้วยว่าโกรธผมหรือเกิดอะไรขึ้นกันแน่  ดังนั้นถ้าปล่อยไปอย่างนี้  เธอคงไม่คุยกับผมตลอดชีวิตแน่ๆ  วันนี้ผมเลยตัดสินใจที่จะพูดกับเธอให้รู้เรื่อง
                    “เลๆ กลับด้วยกันนะ” ผมเดินเข้าไปชวนทะเลตัวน้อยท่ามกลางเพื่อนผู้หญิงคนอื่นอย่างใจกล้าที่สุดที่เคยทำมา
                    เธอหันมามองหน้าผมงงๆนิดหน่อยอย่างตกใจ  แล้วก็หันกลับไปอีก 
                    “ก็คือวันนี้จะอยู่เย็นน่ะ โทษที” เธอตอบผมเหมือนจะเลี่ยงๆยังไงไม่รู้ 
                    “งั้นไม่ต้องกลับด้วยก็ได้  แต่ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”  ผมพูดออกไปตรงๆอย่างที่ไม่คิดว่าตัวเองจะพูดได้  ก็เธอเอาแต่หนีนี่แล้วผมก็อยากพูดกับเธอให้เข้าใจ  มากกว่าจะมาพะวงกับการไม่กล้าพูดตรงๆ
                    ผมเห็นเลชะงักไป  หันมามองตาตรงๆ  เป็นครั้งแรกในรอบอาทิตย์  แล้วก็ดูเหมือนจะมีน้ำโหอยู่หน่อยๆด้วย  เอาล่ะสิ  ทะเลจะเดือด  (เหมือนมาม่า)รึเปล่าหนอ  ผมคิดในใจ  แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว  ลุยให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย  จะโกรธผมก็ได้ ผมรับได้  ถ้าทำให้ผมกับเลเข้าใจกัน
                  แล้วเลก็พาผม  (ไม่ใช่สิลากผม)  แทนที่ผมจะพา(ไม่กล้าลากหรอกครับ)เลมาคุย  มาตรงที่เดิม  ที่ๆวันนั้นเธอร้องไห้  ทะเลเดินเร็วๆ  รู้สึกได้ว่าหงุดหงิด  หรือโมโห
                  “จะพูดอะไรก็พูดมา.....เร็ว”  เธอหันมาเผชิญหน้าผม  ยืนกอดอกเงยหน้าขึ้นมอง  แก้มขาวๆแดงหน่อยๆด้วยอารมณ์ที่ไม่สู้จะดีนัก
                  “โกรธผมเรื่องอะไร”
                  “ใครโกรธ”
                  “ก็เลไง”
                  “ฉันเปล่า”
                  “แล้วทำไมต้องอารมณ์เสียแล้วก็ไม่มองหน้าผม  หนีผมมาตลอดอาทิตย์เลยล่ะ”  พอเธออารมณ์เสียผมก็อารมณ์เสียเป็นเหมือนกันนะครับ  ก็ผมไม่รู้ว่าผมผิดอะไร  ผมมองเข้าไปในตาเธอตรงๆ  ตอนแรกเธอก็จ้องผมอย่างไม่กลัวแต่แล้วเธอก็หลบสายตาผมไป
                  “ก็เปล่าอีกนั่นล่ะ” คราวนี้เสียงเธออ่อนลง
                  “ผมขอโทษ”  พอเห็นเธอทำเสียงอ่อนลง  ผมก็รู้สึกไม่ดีว่าพูดแรงไปหรือเปล่า
                  “ไม่เป็นไรหรอก  นายไม่ผิด”  ทะเลพูดอีกครั้ง  แล้วเราทั้งสองคนก็ตกอยู่ในความเงียบ 
                  “ถ้าเลไม่ได้โกรธผม  แล้วทำไมเดี๋ยวนี่เล.... คือผม....”
                  “ก็นายมาทำให้ชั้นแปลกๆนี่”  เลพูดไม่ทันที่ผมจะพูดจบ
                  ผมรู้สึกงงๆกับคำพูดของเธอ  แปลกๆ  เอ่อ ไม่เข้าใจครับ  บอกตามตรง
                  “ก็...ก็  โธ่เว้ย  ก็มันไม่รู้นี่  มันแปลกๆน่ะเข้าใจป่ะ”  เลเริ่มรวน(อีกแล้ว)  ผมก็ได้แต่เซ่ออยู่เหมือนเดิม  ความหมายของเลเข้าใจยากจริงๆ  แล้วผมก็ไม่ได้ฉลาดพอด้วย  แล้วความเงียบก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
                  “นี่  นายไม้  นายเรียกชั้นมาคุย  แล้วยืนบื้ออยู่อย่างนี้มันเสียเว...”
                  “ผมรู้สึกดีๆ  กับเลนะ” ผมไม่ทันได้ให้เลพูดจบ  ก็พูดขึ้นมา 
                  เลมองหน้าผม  ผมมองหน้าเล  หรือคำว่ารู้สึกดีๆของผม  มันจะเข้าใจยากพอกับคำว่ารู้สึกแปลกของเล  เลเลยดูงงๆในอย่างที่ผมคิดแบบเดียวกัน  และยังทำหน้าเอ๋อ  ในแบบที่ผมไม่เคยเห็น
                  “อะไรนะ  รู้สึกดีๆ”  เลทวนคำของผมซ้ำ
                  “ครับ”  ผมก็ได้แต่พยักหน้าเขินๆ  ก็ไอ้ที่ผมพูดน่ะหมายถึง  หมายถึง ประมาณว่าผมชอบเลครับ  (แล้วทำไมไม่พูดว่าชอบไปเลยเล่า)
                  “ฉันไม่เข้าใจ”
                  “ผมก็ไม่เข้าใจครับที่เลบอกว่าแปลก”
                  แล้วเราก็มองหน้ากัน(อีกแล้ว)
                  “ก็ประมาณว่าชอบน่ะครับ”  แล้วผมก็เป็นฝ่ายพูดก่อน  เฮ้อ  ในที่สุดผมก็บอกออกไปแล้ว  รู้สึกหน้ามันร้อนๆยังไงไม่รู้  ผมเงยหน้ามองฟ้าพยายามเก็บอาการ  แล้วก็พยายามไม่มองทะเลด้วย  ผมกลัวคลื่นยักษ์น่ะครับ  เพราะถ้าเธอปฏิเสธ  ผมอาจหายไปกับเกลียวคลื่น  แต่คลื่น....เอ่อ....ก็ไม่มาอย่างที่คิด  ผมใช้ความพยายามที่มีทั้งหมดก้มลงมองคนตัวเล็กกว่าข้างหน้า
                  ผมยังเห็นเธอยืนอยู่ในท่าเดิม  ยืนนิ่งเหมือนรูปปั้น  เงยหน้าขึ้นมองผม  ตาเบิกกว้าง  แต่จะต่างจากเดิมตรงที่แก้มเธอเป็นสีแดงเรื่อ
                  มันน่าหมั่นเขี้ยวมั้ยครับ  ผมบอกว่าชอบแล้วนะ
                  “เอ่อ....เล  คือว่า...” ยังไม่ทันผมจะพูดจบ  เลก็ลงไปนั่งยองๆเอามือปิดหน้า
                  \"อ่ากกกก  อย่ามองหน้าฉันนะ”
                  ผมดูเลนั่งลงไป  เห็นมือแดงๆ  ปิดหน้าแดงๆที่ปิดไม่มีทางมิดอยู่  มันน่าเอ็นดูมั้ยล่ะครับ  ผมเลยนั่งยองๆข้างๆเธอ 
                  “บอกว่าอย่ามองไงเล๊า”  เลพูดอีก  คราวนี้เอามือออก  แต่พยายามเก๊กหน้าเต็มที่ทั้งหน้ายังแดง
                “ฮ่าๆๆ”  ผมอดหัวเราะไม่ได้นี่  เธอทำหน้าตลกจริงๆ แล้วที่เธอหน้าแดงนี่มันทำให้ผมอารมณ์ดียังไงไม่รู้ 
                “เล  แล้วไอ้ที่เลบอกว่ารู้สึกแปลกๆเนี่ย  หมายความว่าไงครับ”  ผมถามเธอด้วยรอยยิ้มทั้งๆที่ผมก็พอจะเดาออกอยู่หรอก  ความหมายของคำว่าแปลกๆเนี่ย  มันอยู่บนใบแก้มแดงๆของเธออยู่แล้วชัดๆ
                “ก็    ก็........นายก็รู้นี่  ฮึ้ย จะต้องให้ชั้นพูดเหรอไง”  นั่นไง  โกรธอีกแล้วครับ  มีสัญญาณเตือนว่าคลื่นยักษ์จะมาอีกแล้ว 
                “หมายความว่าชอบ”  ผมยิ้มแก้มแทบปริ
                “เออ”  ทะเลตอบห้วนๆ  ผมตีค่าเสียงของเธอเป็นลูกคลื่นสูง 2 เมตร  เธอพูดเหมือนไม่ได้ชอบผมเอาซะเลย  แต่ไอ้อาการของเธอมันบอกทุกอย่างแทนคำพูดไปแล้ว  แค่นี้ก็พอใจแล้วล่ะครับ
                “ยิ้มอยู่ได้บ้ารึเปล่า” แล้วเลก็เงยหน้า  ลุกขึ้น
                “ก็ผมดีใจนี่”  ผมพูดด้วยความจริงใจ  ผมชอบเธอจริงๆนะ
                  “อือ”  แล้วทะเลก็ยิ้ม  ยิ้มหวาน    ยิ้มที่สวยที่สุดในโลก  ทำเอาผมตะลึงไปเลย  เหมือนกับเราล่องเรือไปในเวลามีพายุ  แต่จู่ๆ  ฟ้าก็สว่าง    เมฆทะมึนเคลื่อนตัวออกไปเร็วชนิดสายฟ้ายังอาย  แล้วพายุก็สงบโดยไม่คาดคิด คราวนี้คนที่หน้าแดงเลยกลายเป็นผมแทน
                  “เฮ้อ  ไปเถอะ  กลับบ้านได้แล้ว  จะกลับด้วยกันใช่มั้ย”  เด็กสาวยิ้มหวานคนที่เพิ่งทำเอาผมตะลึงไปเมื่อครู่  พูดพร้อมกับก้าวเดินออกไป เรียกสติผมกลับคืนมา
                    “ครับๆ”  ผมตอบด้วยใจเบิกบาน
                    แล้วผมก็เดินตามเธอไป  ทะเลหัวเราะหน่อยๆ  กับท่าทางของผม
                    อารมณ์ของผมในตอนนี้เหมือนนักเดินเรือที่เพิ่งฝ่าทะเลพายุพร้อมกับคลื่นลูกโตมาได้อย่างภาคภูมิ  เหมือนผมเป็นวีรบุรุษ  ที่พิชิตหัวใจของท้องทะเลไว้ได้  ท้องทะเลที่กว้างใหญ่  สดใส  และอ่อนโยนอบอุ่น  ที่โอบอุ้มสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลสีคราม  และครอบครองหัวใจของผมไว้ไปพร้อมๆกัน 
                  เด็กสาวและเด็กหนุ่มเดินเคียงคู่กันไป  บนเส้นทางที่พวกเขาเรียกว่า ความรู้สึกดีๆ  ที่พวกเขาคิดว่ามีค่ายิ่งกว่าคำว่า รัก  เสียอีก
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
                แม้จะเป็นเพียงแค่คำว่า  ความรู้สึกดีๆ  กับคำว่า  ชอบ  ที่ผมได้พูดไปในครั้งนั้น  มันก็มีค่าและความหมายเกินพอสำหรับเด็ก ม.5 อย่างผม  วัยรุ่นที่ยังไม่ประสีประสาในความรัก  แต่คำว่าความรู้สึกดีๆนี่แหละครับ  มันจะเป็นบันไดสอนให้ผมรู้จักความรักต่อไป  เพราะยังไงความรัก  ก็มีอะไรให้ผมได้เรียนรู้กับมันอีกมาก  พอๆกับช่วงชีวิตที่ยังเหลืออยู่อีกตั้งนานของผม
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น