บทเริ่มต้นของมหาพิบัติ - บทเริ่มต้นของมหาพิบัติ นิยาย บทเริ่มต้นของมหาพิบัติ : Dek-D.com - Writer

    บทเริ่มต้นของมหาพิบัติ

    ก่อนเหตุการณ์แพร่ระบาดของไวรัสมหาวิบัติจะทำลายล้างมหานครนิวยอร์กให้กลายเป็นนรก ชีวิตของหญิงสาวสองคนมาบรรจบกันด้วยเหตุการณ์บางอย่าง พร้อมอาวุธหนัก

    ผู้เข้าชมรวม

    648

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    648

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    1
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  18 ส.ค. 55 / 01:27 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
           
    มีคำสั่งอพยพพลเรือนออกจากพื้นที่ทางสะพานบรู๊คลิน
    มหานครนิวยอร์กถูกปิดล้อนด้วยกองทัพ บริเวณแมนฮันตันกลายเป็นขุมนรก ซากศพเดินได้เพ่นพล่านทั่วบริเวณ ขณะที่แหล่งข่าวไม่ทราบที่มาระบุว่าลูกสาวของท่านประธานาธิปดีติดอยู่ที่ไทม์แคว 
    รัฐบาลเพิ่งประกาศว่าเหนือน่านฟ้านิวยอร์กถูกโจมตีด้วยอาวุธ EMP จนทำให้ระบบสื่อสารทั้งหมดเป็นอัมพาต 
    เรือดำนำรัสเซียถูกสหรัฐยิงจมที่ท่าเรือขณะลักลอบขึ้นฝั่ง รายงานจาก CIA พบสายลับจากประเทศต่าง ๆ แทรกซึมเข้ามาในพื้นที่อันตราย
    ....................
    หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
       

       
      Jessics jung & Annabeth Smith Story

      United States of America

      New York City

      NYPD

      เวลา 15:23 นาที ตามเวลาท้องถิ่น

      “เจส หัวหน้าเรียกแน่ะ”เสียงทุ้มต่ำจากชายในเครื่องแบบตำรวจของ NYPD ดังขึ้นจากประตูห้องซึ่งเปิดทิ้งไว้ ทำให้หญิงสาวร่างสูงโปร่งเงยหน้าจากกองเอกสารเผยให้เห็นดวงตาคมและริมฝีปากบางเฉียบ

      “หัวหน้าเรียกฉันเหรอ? เขาก็น่าจะรู้ว่าตอนนี้ฉันอยู่ในช่วงเคลียร์เอกสารเก่า”เจสสิจ้าสาวสมัยใหม่ลูกครึ่งเกาหลี-สหรัฐพูดขึ้น อีกฝ่ายเพียงแค่ยักไหล่ก่อนจะพูดต่อคล้ายไม่ใส่ใจคำบ่นของหญิงสาวสวยเบื้องหน้า

      “ด่วนเลย”

      อีกครั้งที่คำพูดจากนายตำรวจคนนี้ทำให้เธอถอนหายใจก่อนจะผุดลุกจากเก้าอี้ หยิบตราตำรวจมาสวมที่คอแล้วเดินผ่านผู้ถูกใช้ให้มาเรียกออกไปด้านนอก สองเท้าก้าวยาวไปยังห้องของหัวหน้าหน่วยของเธอซึ่งกำลังจะกลายเป็นอดีตหัวหน้าในอีกไม่นานนัก

      “มีอะไรคะหัวหน้า ถึงได้เรียกดิฉันมาพบทั้ง ๆ ที่บอกแล้วว่าสองอาทิตย์นี้จะไม่รับงานอะไรแล้ว”ลูกครึ่งสาวพูดแบบไม่ค่อยจะพอใจนักทำให้คนเป็นหัวหน้าต้องปรามเสียงเหนื่อยหน่าย

      “เอาน่าเจส เธอก็รู้ว่าถ้าไม่มีเรื่องจริง ๆ ฉันคงไม่เรียกเธอมาในเวลาแบบนี้หรอก”ชายวัยกลางคนพูดพร้อมกับดันซองกระดาษสีขาวขุ่นมาให้

      “คดีอื่น ๆ ที่เธอยังทำไม่เสร็จฉันจะให้มาร์กโอนไปยังคนอื่นส่วนเธอฉันอยากขอร้องให้ทำคดีนี้ที”นายตำรวจใหญ่ของ NYPD พูดถึงมาร์กผู้ที่คอยจัดการเกี่ยวกับเอกสารภายในและหน้าที่ของตำรวจแต่ละคนก่อนจะเอ่ยกับเจสสิก้าเป็นเชิงขอร้อง

      “คดีอะไรล่ะ ตำรวจคนอื่น ๆ ไม่ว่างกันรึไงถึงได้รอดมาถึงมือฉัน?”เจสสิจ้าถามน้ำเสียงประชด ดวงตาทอดมองไปยังนอกหน้าต่างมองเห็นแสงสะท้อนจากกระจกตึกวิบวับ

      “คดีใหญ่เลยแหละ ช่วงนี้เธอมัวแต่นั่งโต๊ะทำงาน คนอื่น ๆ ก็ไม่อยากกวนเธอก็เลยไม่บอกเรื่องนี้ให้รู้นะสิ”นายตำรวจพูดก่อนจะบอกให้หญิงสาวเปิดดูข้างในแล้วจึงอธิบายต่อ

      “ฆาตกรต่อเนื่องโรคจิต คาดว่าก่อคดีมาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบครั้งทั้งในนิวแม็กซิโก แอลเอหรือแม้กระทั้งในนิวเจนซี่ แต่ไม่เคยมีตำรวจรัฐไหนจับมันได้เลย”

      “มืออาชีพสินะ แล้วทำไมมันหลายศพขนาดนี้ ที่ให้นี่ใช่คดีเดียวรึเปล่า”เจสสิจ้าพูดพร้อมกับมองรูปในมือศพของหญิงสาววัยกลางคนที่ถูกกรีดคอจนเกือบขาดออกจากกัน และอีกสองรูปที่วางบนโต๊ะซึ่งมีสาเหตุการตายที่สยดสยองยิ่งกว่า

      “ใช่ ไอ้หรือนังนี่มันโรคจิตขนาดแท้เลยล่ะ สังหารโหดทั้งครอบครัวแต่ถ้าครอบครัวไหนมีเด็กมันจะไม่ฆ่าเด็ก”

      สาวผมทองขมวดคิ้ว “มันเกิดใจบุญขึ้นมาเหรอ”เธอถามแม้จะรู้คำตอบดีในใจ อีกฝ่ายส่ายศีรษะเป็นเชิงปฏิเสธ

      “มันคงต้องการให้คนที่รอดรู้สึกทรมานกับการเห็นคนตายต่อหน้าล่ะมั้ง เอาล่ะเข้าเรื่องของเราดีกว่า เจ้านี่มันโผล่มาเมื่อสามอาทิตย์ก่อน อาทิตย์แรกเหยื่อคือครอบครัวผิวดำ มีอยู่กับสามคน ลูกชายอายุเป็นทหารกลับมาเยี่ยมบ้านอย่างที่เธอเห็นในรูปโดนฟาดด้วยของแข็งจนหัวแตกกระจาย คนพ่อทำงานรับจ้างก่อสร้างให้บริษัทแห่งหนึ่ง ร่างกายถูกตีด้วยของแข็งหลายที่แต่ไม่ตายทันทีผิวหนังถูกกรีดด้วยของมีคนคนเละไปทั้งตัว”

      “ก่อนตายคงเจ็บน่าดู”หญิงสาวพูดขณะจิตนาการตามไปด้วย

      “สุดท้ายก็คือคนที่อยู่ในรูปที่เธอถือนั่นแหละ รายนี้ตายคนแรก หลอดลมโดนตัดขาดในครั้งเดียว น่ากลัวว่าจะตายโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ”คนพูดถอนหายใจยาวก่อนจะร่ายต่อ

      “อาทิตย์ที่สองเป็นพ่อม่ายลูกติด ตัวพ่อทำงานเป็นครูมัธยมในโรงเรียนส่วนลูกยังอายุไม่ถึงสิบขวบดีด้วยซ้ำ ตอนนี้เด็กคนนั้นก็ดูในความดูแลของแพทย์แล้ว ช็อคน่าดูเพราะไม่ยอมพูดอะไรเลยนอกจากร้องกรี้ด ส่วนเหยื่อกลุ่มสุดท้ายเป็นครอบครัวจีนในไซน่าทาว ไม่อยากอธิบายสภาพศพหรอกนะเธอไปดูเองแล้วกัน”

      “รายละเอียดมีแค่นี้เหรอคะท่าน”เจสสิจ้าเอ่ยถามเมื่อรายละเอียดที่มีนั้นน้อยเหลือเกิน

      “เอฟบีไอกำลังจะลงมาเล่นเรื่องนี้แล้ว พวกนั้นขอหลักฐานไปหลายอย่างเลยแหละไม่เคยเกรงใจใคร ที่ฉันเรียกให้เธอมาทำคดีนี้ส่งท้ายก็เพราะอยากให้เธอใช้งานใหม่ขู่พวกนั้นซะหน่อยว่าอย่าทำตัวกร่างนัก”

      หญิงสาวหัวเราะเสียงใสก่อนจะพูด “หึ คงทำได้อยู่หรอก ไอ้พวกนั้นมันเคยเกรงใจใครที่ไหนกันล่ะ”

      “เอาเถอะ ผมก็มีเรื่องจะคุยกับคุณแค่นี้แหละ เริ่มงานวันนี้เลยนะ”เขาลุกขึ้นพร้อมกับขยับเสื้อให้เข้าที่ เจสสิจ้าลุกยืนก่อนจะรวบแฟ้มทั้งหมดมาไว้ในอ้อมแขน

      “เอาเป็นว่าฉันขอเอาไปดูก่อนซักคืนก็แล้วกันนะ พรุ่งนี้จะมาแต่เช้า”เธอบอกง่าย ๆ แล้วเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าอนุญาตเธอก็หันหลังเดินออกจากห้องไปพร้อมกับภาระหนักอึ้ง

      ...................................

       

      United States of America

      Georgia

      เวลา 15:45 นาที ตามเวลาท้องถิ่น

      “เฮ้! แอนนาเบ็ตเธอลาออกจากกองทัพจริง ๆ นะเหรอ”เสียงตะโกนโหวกเหวกดังมาจากชายในเครื่องแบบทหารสหรัฐที่กำลังวิ่งเข้ามาก่อนจะหยุดอยู่เบื้องหน้าหญิงสาวร่างสูง ผมดำสนิทซอยประบ่า ที่คอขาวที่รอยแผลเป็นลากยาว

      หญิงสาวเจ้าของชื่อขมวดคิ้วก่อนจะพูด “ใช่ ถ้าฉันออกแล้วนายจะเดือดร้อนอะไร น่าจะดีใจที่ฉันไปได้พ้น ๆ เสียที”

      “ไม่ใช่นะ เธออย่าไปฟังที่พวกปากหมาปากแมวพูดสิเธอนะเป็นพลซุ่มยิงที่เก่งที่สุดในรุ่นเราเชียวนะ”ทหารหนุ่มสวมเสื้อพรางแบบ ACU หมวกแก๊ปลายเดียวกับเสื้อเอวขวามีปืกพกเสียบอยู่ในซอง แผงยศที่ไหล่บ่งบอกว่ายศสิบโทพูดขึ้น

      “ไม่เอาน่าแดเนียลฉันไม่ได้ไปตายที่ไหนเสียหน่อย ที่ลาออกเนี่ยก็เพราะว่าฉันได้งานใหม่ที่นิวยอร์กแล้วต่างหาก”แอนนาเบ็ตพูดกับชายหนุ่มที่แม้เธอจะไม่อาจนับได้ว่าเป็นเพื่อนจริง ๆ แต่ก็ถือว่าพยายามเข้าถึงตัวเธอมากกว่าคนอื่นหากไม่รวมผู้บังคับบัญชา

      “เธอจะไปนิวยอร์ก!”แดเนียลตะโกนอย่างตกใจ “เธอจะไปทำงานนิวยอร์กอย่างนั้นเหรอ เธอได้งานอะไรล่ะ?”

      “อืม...รู้สึกจะเป็นรปภ.ให้กับบริษัทอะไรซักอย่างนี่แหละ”หญิงสาวพูด ความจริงแล้วกำหนดเข้างานของเธอคือสองอาทิตย์ข้างหน้า แต่ว่าสาเหตุที่เธอต้องลาออกจากกองทัพก่อนเวลานั้นก็เพราะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นที่นิวยอร์กซึ่งอาจจะเกี่ยวพันกับอดีตของเธอ

      “แล้วเธอจะขึ้นเครื่องเมื่อไรล่ะ?”แดเนียลถามเนื่องจากอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะไปตอนไหน หากไม่เร็วเกินจะจะได้จัดงานเลี้ยงอำลาทว่าคำตอบของอีกแอนนาเบ็ตก็ทำให้เขาต้องถอนใจ  

      “เย็นนี้แหละ ตอนห้าโมงเพราะท่านผบ.อนุญาตให้ฉันติดเครื่องของกองทัพไปลงที่สนามบินในนิวยอร์กได้นะ บังเอิญว่ามันทางเดียวกัน”

      “ว้า ถ้าอย่างนั้นยังไงว่าง ๆ อย่าลืมมาเยี่ยมพวกเรานะ อย่าลืมว่ายังไงเราก็เป็นเรนเจอร์เหมือนกัน”

      “แน่นอน”แอนนาเบ็ตพยักหน้า มีเพียงกองทัพเท่านั้นที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้อยู่บ้าน แม้จะเพราะตัวเธอเองที่พยายามไม่สนิทชิดเชื้อกลับใครแต่เพราะบางครั้งการร่วมเป็นร่วมตายกันมาก็ทำให้ทุกคนวางใจกันมากขึ้น

      “ฉันขอตัวไปเก็บของก่อนนะ ส่วนคนอื่นคงไม่ได้ลาเพราะว่ารถจะออกไปที่สนามบินตอนสี่โมงกว่า ๆ”

      “อืม โชคดีเพื่อน”ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วโบกมือลา ก่อนที่หญิงสาวจะหันหลังจากไปเพื่อจัดการกับธุระของตนให้เรียบร้อย

      ฮัมวี่ที่มีแอนนาเบ็ตโดยสารอยู่เคลื่อนตัวเข้าสู่เขตสนามบินทหารซึ่งมีเครื่องบินลำเลียงแบบ C-130 จอดอยู่แล้ว ด้านในของอากาศยานลำใหญ่คือรถถังสงครามที่ถูกรัดอย่างแน่นหนาซึ่งจะถูกส่งไปช่วยรบในแนวหน้า

      “ร้อยตรีหญิงแอนนาเบ็ต สมิธ”เมื่อเธอก้าวขึ้นไปบนเครื่องชื่อของเธอก็ถูกเรียกทันที ผู้เรียกคือนายทหารยศพันตรีร่างใหญ่ยืนถือกระดาษใบหนึ่งซึ่งเธอเดาว่าเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัวเธอเอง

      “ค่ะท่านผู้พัน”แอนนาเบ็ตตอบรับอย่างว่าง่าย “มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ?”

      “เปล่าหรอก ผมก็แค่อยากเห็นหน้าแชมป์แม่นปืนของหน่วยเรนเจอร์สองปีซ้อนเท่านั้นแหละ”

      “ต้องบอกว่าอดีตคะท่าน เพราะตอนนี้ดิฉันลาออกจากกองทัพแล้ว”

      “ถึงลาออกแต่ยศเธอก็ไม่ได้หายไปนี่ ตอนนี้เธอยังยังเป็นนายทหารอยู่เพียงแต่เป็นนายทหารนอกราชการเท่านั้น แล้วอะไรกันที่ทำให้เธอลาออกจากงานที่ดูจะไปได้สวยอย่างนี้?”

      “ท่านนายพลบอกให้ผู้พันมาแอบถามสาเหตุของฉันหรือคะ?”แอนนาเบ็ตหรี่ตาถาม หากอีกฝ่ายเพีนงหัวเราะในลำคอโบกมือไปมา

      “เรื่องนี้อย่าว่าแต่ฉันเลย ใครที่รู้เรื่องเธอก็สงสัยเหมือนกันแหละ”

      การสนทนาของทั้งสองถูกหยุดลงโดยเสียงประกาศเตือนของนักบินว่ากำลังจะนำเครื่องไปยังลานวิ่งและขอให้ทุกคนเข้าประจำที่รวมถึงรัดเข็มขัดให้เรียบร้อย เสียงเครื่องยนต์ของ C-130 ดังกระหึ่มจนหญิงสาวต้องหลับตาลงเพื่อขับไล่ความอ่อนล้าและหลับไปในที่สุด

      New York City

      เวลา 07:51 นาที ตามเวลาท้องถิ่น

      เสียงพาหนะมากมายบนท้องถนนของเมืองนิวยอร์กดังสนั่นพอ ๆ กับผู้คนที่เดินขวักไขว่บนทางเท้า บนท้องฟ้าก็มีเฮลิคอปเตอร์พลเรือนสองถึงสามลำบินผ่านไปเหนือยอดตึกสูง

      ร่างบางของหญิงสาวผมทองที่ถูกมัดรวบแบบหางม้าในชุดเสื้อยืดสีดำทับด้วยเสื้อโค้ดสีน้ำตาลกางเกงยีนสีน้ำเงินเข้มรองเท้าผ้าใบสีขาวเดินย่ำเท้าฝ่าฝูงชนเข้าไปยังสถานีรถไปอย่างเร่งรีบ กระเป๋าสะพายสีครีมสะบัดไปมาตามแรงปะทะของฝูงชนเพื่อให้ทันขึ้นรถไฟก่อนที่เธอจะไปทำงานสาย

      “วันนี้มาสายนะคะคุณตำรวจ”เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหญิงที่ยืนทำหน้าที่อยู่ตรงกระจกกั้นรางรถเอ่ยขึ้นเนื่องจากปกติทั้งสองจะมีเวลาคุยกันนานกว่าครึ่งชั่วโมงเพื่อฆ่าเวลาในการรอรถไฟ แต่วันนี้ดูเหมือนว่าตำรวจหญิงคนนี้จะมาสายกว่าเดิมเพราะเพียงแค่บอกสาเหตุของการมาสาย รถไฟก็เคลื่อนตัวเข้ามาเสียแล้ว

      “พอดีเมื่อคืนทำงานดึกไปหน่อยนะค่ะ อ๊ะ! รถไฟมาพอดีเลย เจอกันพรุ่งนี้เช้านะคะ”เจสสิจ้าพูดพร้อมกับขยับกายถอยออกมาเล็กน้อยเมื่อประตูกระจกเลื่อนออกและฝูงชนกรูกันเข้าไปด้านใน การขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินในเวลานี้ไม่เป็นที่ปารถนาของของเธอนักจากต้องเบียดเสียดกับคนอื่นที่ดูเหมือนว่าจะตื่นสายเหมือนเธอ

      “อ๊ะ! ขอโทษค่ะ”หญิงสาวรีบเอ่ยของโทษคนข้างหลังเมื่อถูกดันจนชนใครบางคนและทำให้ต้องหันไปมอง

      “ไม่เป็นไรหรอก”คนถูกชนพูดเสียงเย็นชา ซ่อนใบหน้าไว้ใต้หมวกแก๊ปลายพราง สวมเสื้อยืดคอปกสีน้ำเงินไร้รวดลายใด ๆ ก้มหน้ามองพื้นตาสายตาของเจสสิก้าก็มองเห็นบางอย่างที่ต้นคอ

      รอยแผลเป็น เจสสิก้าคิด ประสบการณ์ของเธอทำให้รู้ว่ารอยที่เห็นไม่ได้เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุธรรมดาแต่เกิดจากบางอย่างที่มีความร้อนสูง

      หลังจากทนอุดอู้เป็นปลากระป๋องอยู่นานกว่าครึ่งชั่วโมง ตำรวจสาวก็ตระหนักได้แล้วว่าตอนนี้เธอกำลังจะไปทำงานสาย แต่ยังดีที่ไหน ๆ เธอก็จะไม่ได้ทำงานที่กรมอีกต่อไปแล้วสายบ้างซักวันคงไม่เป็นไร ดังนั้นทันทีที่รถไฟเทียบชานชลาสิ่งแรกที่สาวลูกครึ่งทำคือเดินไปร้านอาหารเมื่อหาอะไรกิน เวลานั้นเองใครคนหนึ่งก็วิ่งชนกับเธออย่างแรงกับเซถลาอย่างไม่ทันตั้งตัวแต่ด้วยประสาทที่ฉับไวทำให้เจสสิจ้ารีบหาที่ค้ำกาย แต่แล้วกระเป๋าที่คล้องแขนก็หลุดหายไปพร้อมกับชายร่างใหญ่ที่วิ่งผ่านไปอีกครั้ง

      “โอ้ Shit!!!”หญิงสาวสบถอย่างเดือดดาลมากกว่าตกใจ สองเท้ารีบวิ่งตามไปทันที “เฮ้ย! หยุดนะโว้ย!”หญิงสาวตะโกนแบบไม่อายใครพร้อมกับวิ่งตามไปอย่างไม่ลดละแม้จะถูกเบียดจากกลุ่มคนที่ทยอยออกจากสถานีก็ตาม หากแต่สิ่งที่หญิงสาวกลัวว่าจะหายไม่ใช่กระเป๋าเงินที่มีเงินสดอยู่ไม่กี่ดอลล่าหรือตราตำรวจ แต่เป็นรายละเอียดของคดีที่นั่งหลังขดหลังแข็งทำทั้งคืนต่างหาก!!

      เสียงโหวกเหวกโวยวายทำให้นายทหารหญิงปลดประจำการขมวดคิ้วหันไปมองยังต้นเสียงก็พบว่าเป็นหญิงสาวที่ชนกับเธอตอนอยู่บนรถไฟเมื่อครู่ ร่างของหญิงสาวแปลกหน้าวิ่งหลบหลีกสิ่งกีดขวางตามชายคนหนึ่งซึ่งวิ่งพร้อมกับกำกระเป๋าใบใหญ่ไว้แน่น และยังวิ่งมาทางเดียวกับเธอเสียงด้วย

      ผั้ว! โครม!

      แอนนาเบ็ตแม้ดูเย็นชาแต่ไม่ใช่คนไร้น้ำใจ เมื่อโจรวิ่งราววิ่งมาถึงระยะเธอก็งอแขนแล้วฟาดออกไปเต็มเหนี่ยวส่งผลให้โจรดวงกุดหงายหลังกลางอากาศลงไปนอนวัดพื้นทันทีจนข้าวของที่อยู่ในกระเป๋าตกกระจัดกระจายส่งผลให้ตราประจำตัวของตำรวจและเอกสารราชการเรี่ยราดเต็มพื้น

      ตำรวจโดนโจรวิ่งราว หึแอนนาเบ็ตนึกขำในใจ มองดูหญิงสาวที่น่าจะเป็นลูกครึ่งเอเชียวิ่งเข้ามาล้วงมือไปด้านหลังเสื้อโค้ดก็ได้กุญแจมือออกมาสับเข้าที่แขนทั้งสองของมันอย่างรวดเร็ว

      “เป็นไงล่ะแก เล่นกับใครไม่เล่นมาเล่นกับฉัน ถ้าแกทำคดีฉันเสียหายแกไม่ได้ออกมาจากคุกแน่”เจสสิก้าขู่สำทับแล้วจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาตำรวจในกรมเมื่อให้ส่งรถมารับโจรใจกล้าแต่ดวงซวยจากนั้นจึงหันไปหาผู้ที่ช่วยเธอจัดการกับโจรรายนี้

      “ทางตำรวจต้องขอขอบคุณคุณมากนะคะที่ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการทำงาน”เธอกล่าวขอบคุณก่อนจะเข้าเรื่อง “แต่ยังไงเสียก็ขอเชิญคุณไปที่ออฟฟิตของฉันได้ไหมค่ะ เพราะเราอาจต้องการสอบถามเพิ่มเติม”

      แอนนาเบ็ตพยักหน้าเพราะอย่างไรเสียเธอก็ต้องเดินทางไปที่นั่นอยู่แล้วนับว่าเป็นการประหยัดเงินได้มากโขทีเดียว

      “ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนะค่ะ ดิฉันชื่อเจสสิจ้า จัง เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนพิเศษของกรมตำรวจนิวยอร์ก”เจสสิจ้าแนะนำตัวกับหญิงสาวที่ท่าทางดูไม่เป็นมิตรขณะที่รถตำรวจเคลื่อนตัวออกจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน คำแนะนำตัวของเจสสิจ้าทำให้แอนนาเบ็ตขมวดคิ้ว ระรึกถึงคำแนะนำของนักสืบที่เธอจ้างไว้เมื่อหลายปีก่อนให้ทำงานกับเธอ

      ตอนนี้คดีที่คุณตามอยู่อยู่ในความดูแลของตำรวจที่ชื่อเจสสิจ้า เธอเป็นลูกครึ่งเกาหลี-สหรัฐ นอกจากนี้ยังเคยอยู่หน่วยสวาทมาก่อน แว่ว ๆ ว่ากำลังจะได้ไปทำงานให้กับรัฐบาลกลาง ที่รู้คือเธอเป็นคนอัธยาศัยดี บางทีคุณอาจจะได้รู้รายละเอียดอะไรที่เราไม่รู้แต่พวกตำรวจรู้ก็ได้

      “คุณคือเจสสิจ้า ตำรวจที่ดูแลคดีฆาตกรต่อเนื่องคนนั้นเหรอ?”แอนนาเบ็ตเอ่ยขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ

      สาวผมทองขมวดคิ้วโดยอัตโนมัติ “คดีอะไร”

      “คดีฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าคนทั้งครอบครัวซึ่งกำลังเกิดขึ้นในเมืองนี้ไง ฉันแอนนาเบ็ต สมิธ ฉันอยากช่วยคุณสืบคดีนี้”หญิงสาวบอกความต้องการของตนไปในทันทีทันใด

      “คุณรู้ได้ยังไง”สีหน้าของเจสสิจ้าแฝงแววสงสัยและไม่ไว้ใจในทันที และเพื่อให้น่าเชื่อถือกว่านี้แอนนาเบ็ตจึงล้วงเข้าไปหยิบเอกสารบางอย่างมาให้ดู

      “ฉันเป็นทหาร เป็นเพื่อนกับจ่าเบนเนอร์ที่ถูกฆ่าไปจึงอยากช่วยคุณปิดคดีนี้เพื่อให้เพื่อนฉันไปสู่สุขติ”หญิงสาวพูดสีหน้าเรียบเฉย ลูกครึ่งสาวมองดูบัตรประจำตัวทหารนอกราชการที่บอกยศร้อยตรีและสังกัดก่อนจะมีข้อสงสัย เนื่องจากตามประวัติแล้วเบนเนอร์อยู่พลร่ม แต่หญิงสาวคนนี้มาจากเรนเจอร์เรียกว่าห่างไกลกันสุดกู่และดูเหมือนว่าแอนนาเบ็ตจะรู้จึงพูดต่อ

      “พวกเราเจอกันที่อิรัก เบนช่วยฉันไว้คราหนึ่งเราเลยเป็นเพื่อนกัน”ใช่ ที่อีรักเธอเคยอยู่ค่ายทหารค่ายเดียวกับพลร่มหน่วยนี้ และชื่อของเบนเนอร์ก็ดังมาเข้าหูพวกเธอบ่อย ๆ ถึงความกล้าบ้าบิ่น ไม่น่าเชื่อว่าทหารที่ผ่านสงครามมาแล้วอย่างเบนเนอร์จะมาตายอย่างนี้และไม่น่าเชื่ออีกว่าเหยื่อของฆาตกรรายนี้จะเป็นคนที่เธอรู้จักอีกแล้ว!!

      “ถึงจะยังงั้นก็เถอะ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจเถอะค่ะ”เจสสิก้าพูดอย่างเป็นการเป็นงานพร้อมกับสายตาที่มองราวกับพยายามจะทะลุให้ถึงจิตใจของอีกฝ่าย

      “ถ้าอย่างนั้นฉันขอแค่ข้อมูล”แอนนาเบ็ตต่อรองแต่อีกฝ่ายส่ายหน้า

      “อันนี้ก็เกรงว่าจะไม่ได้เหมือนกัน เพราะข้อมูลหลายอย่างยังไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดเผยแก่สารณชน”สาวผมทองปฏิเสธอย่างสุภาพ

      “ฉันอยากช่วยจริง ๆ”น้ำเสียงของแอนนาเบ็ตกระด้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “ถ้าอย่างนั้นฉันขอไปนั่งดื่มกาแฟที่ห้องคุณได้ไหม”

      “เอาสิ อย่างไรเสียฉันก็ต้องขอบคุณคุณที่ทำให้ฉันไม่ต้องหมดตัว”เจสสิก้าพูดพร้อมกับหัวเราะก่อนที่รถจะหยุดลงเมื่อมาถึงสำนักงานของ NYPD เจสสิก้าเดินนำแอนนาเบ็ตเข้าสู่อาคารของกรมตำรวจอย่างคล่องแคล่วขณะที่สายตาของสาวผมดำก็กวาดมองไปรอบ ๆ ตัวตึกราวกับกำลังจดจำทุก ๆ อย่าง

      “ความจริงแล้วฉันไม่ต้องเป็นพยานเรื่องโจรกระชากกระเป๋าก็ได้ใช่ไหม”แอนนาเบ็ตเอ่ยถามขึ้นเมื่อเจสสิจ้ากำลังจะหมุนลูกบิดประตูไปสู่ห้องสอบสวนซึ่งมีโจรโชคร้ายถูกจับไว้คอยท่า คำพูดนี้ทำให้หญิงสาวหยุดมือทำหน้าครุ่นคิด

      “อืม...นั่นสินะคะ เอาเป็นว่าเราไปที่ห้องฉันเลยก็แล้วกัน”เจสสิก้าพูดก่อนจะหันไปมองตำรวจที่เดินตามมา

      “จ่าช่วยบอกเดฟให้จัดการเจ้านั่นแทนฉันทีนะ พอดีมีเรื่องด่วนนะเกี่ยวกับคดี”

      “ครับหมวด”จ่าวัยกลางคนพยักหน้าแล้วจึงหันหลังเดินไปเรียกเดฟ นายตำรวจหนุ่มไฟแรงรุ่นเดียวกับเธอ เจสสิก้าเองก็นำแอนนาเบ็ตเข้าสู่ห้องของตนที่เอกสารหลายอย่างวางเต็มไปหมด

      “อย่าว่าเลยนะคะ พอดีฉันจะออกจากงานนี้แล้วก็เลยต้องเคลียร์ของกันหน่อย”เธอหัวเราะพร้อมกับพูดแก้ตัว

      “คุณจะลาออกจากงานหรือ แล้วจะไปทำงานอะไร”แอนนาเบ็ตถามแม้จะพอรู้อยู่บ้าง

      “ทำงานกับรัฐบาลกลางค่ะ เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้กับคนสำคัญของรัฐบาลเช่น ท่านทูตหรือท่านรัฐมนตรี แต่ไม่รวมประธานาธิบดีนะเพราะทางนั้นก็มีหน่วยลับดูแลอยู่แล้ว อ้อ เดี๋ยวฉันของตัวออกไปสั่งกาแฟแป๊บหนึ่ง คุณเอาอะไรล่ะ?”

      “ฉันขอใส่น้ำตาลสามช้อนก็แล้วกันค่ะ”แอนนาเบ็ตบอก ปกติเป็นคนชอบกินหวานเพราะมันทำให้เธออารมณ์ดีขึ้น เมื่อได้ยินเจสสิก้าก็เดินหายไป และเวลาที่แอนนาเบ็ตรอคอยก็มาถึงเธอเดินไปยังโต๊ะทำงานที่รกรุงรังแล้วค่อย ๆ พลิกดูเพื่อหาข้อมูลที่ต้องการ แต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากแฟ้มคดีเก่า ๆ ที่ถูกปิดไปแล้วทั้งหมด แสดงให้เห็นว่าเจ้าของคดีเหล่านี้ฝีมือดีใช่ย่อย จนกระทั่งเหลือบมองกระเป๋าสะพายในใหญ่ที่วางอยู่บนเก้าอี้ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อเช้าหนึ่งในของที่หล่นออกมามีซองเอกสารอยู่ด้วยแต่ขณะที่มือกำลังจับกระเป๋านั้นเองหูของเธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาจึงต้องถอยฉากกลับไปอย่างเซ็ง ๆ ไม่นานหญิงสาวผมทองก็กลับมาพร้อมกาแฟสองแก้วแล้งจึงพาหญิงสาวไปนั่งตรงโต๊ะข้างหน้าต่างกระจกซึ่งทำให้มองเห็นสวนเล็ก ๆ หลังอาคาร

      “คุณเป็นเพื่อนกับเบนเนอร์จริง ๆ หรือคะ”ขณะที่แก้วกาแฟกำลังจะแตะริมฝีปากเสียงของเจสสิก้าก็ดังขึ้นทำให้แอนนาเบ็ตชะงักก่อนจะตอบ

      “ใช่ ตอนที่เราถูกส่งไปอิรัก เบนอยู่พลร่มเราเจอกันที่ค่ายเคยออกลาดตะเวรด้วยกันหลายครั้งจนรู้จักกัน”

      “แล้วรู้จักนี่คือสนิทกันมากหรือคะ?”

      “ก็ไม่สนิทนักหรอกค่ะ แต่ว่าตอนที่แบล็คฮอร์คของฉันตกที่ทะเลทรายกลางวงของพวกศัตรู เบนเนอร์กับพวกตีฝ่าเข้าไปช่วยชีวิตพวกฉันไว้ จึงถือว่าเป็นบุญคุณค่ะ”อดีตหน่วยเรนเจอร์โกหกอย่างชำนาญ ความจริงแล้ววันนั้นเธอเองก็เป็นหนึ่งในทีมที่ถูกส่งเข้าไปช่วยนักบินและทหารที่อยู่ในวงล้อมเหมือนกันจึงพอจะมั่วไปได้

      “แล้วปกติเบนเป็นคนยังไงคะ เขาเคยมีเรื่องกับคนในกองทัพหรือเปล่า?”เจสสิก้าถามต่อ แอนนาเบ็ตวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะก่อนเงยหน้าพูด

      “คุณกำลังจะสอบปากคำฉันเหรอคะ”

      “ไม่ใช่หรอกค่ะ แต่ถ้าคุณอยากจะช่วยเหลือฉันจริง ๆ ก็ควรจะบอกสิ่งที่รู้เกี่ยวกับเบนมามันจะช่วยได้มากเลยทีเดียว”

      เมื่อไม่มีทางเลือกนักแอนนาเบ็ตจึงตัดสินใจเล่าเรื่องของเบนเนอร์ซึ่งเธอเคยพูดคุยด้วยหลายครั้งและได้ยินวีรกรรมของอีกฝ่ายมากมาย ตำรวจสาวก็จดรายละเอียดลงบนสมุดปกแข็งของตัวเองพร้อมกับถามบ้างเป็นครั้งคราว ซึ่งหากข้อไหนแอนนาเบ็ตไม่รู้เธอก็จะนิ่งเงียบและส่ายหน้าเนื่องจากรู้ดีว่าไม่ควรโกหกต่อหน้าตำรวจสืบสวนที่ว่ากันว่าเก่งของเมืองนี้!

      เวลาผ่านไปจนกระทั่งยามเที่ยงเจสสิก้าจึงได้ข้อมูลที่น่าพอใจแม้ว่าจะรู้สึกแปร่ง ๆ ไปบ้างแต่ว่าส่วนใหญ่ที่หญิงสาวตรงหน้าเธอเล่าเรื่องในค่ายของเบนเนอร์ก็ดูไม่ติดขัดและเชื่อถือได้ทำให้เธอสามารถตัดประเด็นการเสียชีวิตของครอบครัวนี้ออกไปได้หลายอย่าง

      “เจส หัวหน้าเรียก อ้าวโทษทีไม่รู้ว่ามีแขก”เดฟ นายตำรวจร่างสูงเปิดประตูเข้ามาพูดก่อนจะกล่าวขอโทษเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีแขก

      “ไม่เป็นหรอกค่ะ ฉันกำลังจะกลับพอดีเลย”แอนนาเบ็ตพูดพร้อมกับลุกขึ้นหลังจากรู้ตัวแล้วว่าอย่างไรเสียข้อมูลที่ต้องการคงไม่หลุดออกมาจากปากของตำรวจสาวคนนี้แน่นั่นทำให้เธอต้องหาทางอื่น

      “จะกลับแล้วเหรอคะ”เจสสิก้าถามขึ้น มองดูสีหน้าและแววตาเฉยฉาของอีกฝ่าย

      “ค่ะ รบกวนคุณนานแล้ว เชิญทำงานต่อเถอะค่ะ”

      “ถ้าอย่างนั้นเดฟ นายไปส่งหมวดแอนนาเบ็ตทีซิ ฉันจะพบหัวหน้า”

      เดฟพยักหน้าไล่สายตามองหญิงสาแปลกหน้าซึ่งถูกเรียกว่าหมวด นั่นหมายถึงว่าถ้าไม่เป็นตำรวจก็ต้องทหาร แต่เมื่อเห็นผิวที่หยาบกร้านและเป็นสีน้ำตาลไหม้เขาก็สรุปได้เลยว่าหญิงสาวคนนี้เป็นทหาร เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็หมดข้อสงสัยเดินไปส่งแอนนาเบ็ตขึ้นแท็กซี่จนกระทั่งลับสายตาไป

      ตอนเย็นวันนั้นเองที่สำนักข่าวรายงานข่างคดีฆาตกรรมสยองขวัญในเมืองนิวยอร์ก ตำรวจผู้รับทำคดีคือเจสสิก้า จัง มือปราบคนดังของ NYPD ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกอุ่นใจขึ้นเพราะว่าไม่เคยมีคดีไหนที่ตำรวจหญิงคนนี้ปิดไม่ได้ ขณะเดียวกันเจ้าตัวก็กำลังนั่งวิเคราะห์ข้ามูลที่ได้มาจากแอนนาเบ็ตเมื่อเช้า นาฬิกาที่ผนังบอกเวลาสี่ทุ่ม เวลานี้ทั้งกรมตำรวจเหลือเพียงแค่คนที่มีหน้าที่อยู่เวร สายตรวจและตำรวจงานค้างอย่างเธอเท่านั้น

      กระดาษที่เคยว่างเปล่าถูกเขียนด้วยตัวหนังสือยึกยือแต่เป็นระเบียบมากมาย หน้าจอ LCD โชว์ใบหน้าและประวัติของอาชญากรมากมายที่ถูกหมายหัวแต่กระนั้นหลักฐานที่มีก็ยังไม่มากพอที่จะเชื่อมโยงไปหาใครได้

      “ให้ตายสิ เพราะอะไรนะทหารมือดีอย่างเบนเนอร์ถึงได้โดนจัดการง่าย ๆ”หญิงสาวบ่นขึ้นกลบความเงียบ จากประวัติและคำบอกเล่าของแอนนาเบ็ต เบนเนอร์ก็ถือว่าเป็นทหารที่ดีมากคนหนึ่งทั้งวินัยและฝีมือการต่อสู้

      “ยังไม่กลับอีกเหรอเจส”เดฟ นายตำรวจร่วมรุ่นเปิดประตูเข้ามาเอ่ยถาม เขาอยู่ชุดครึ่งท่อน พกปืนไว้ที่เอวขวา มองเห็นตราตำรวจที่เหน็บตรงเข็มขัดด้านซ้ายชัดเจน ในมือมีแก้วใบเล็ก ๆ ที่ส่งกลิ่นกาแฟหอมโชยออกมา

      “อืม มีเวลาอีกไม่ถึงเดือน ฉันต้องรีบปิดคดีก่อนจะไป DC แล้วนายล่ะ ยังไม่กลับอีกเหรอ”

      “ก็กำลังจะกลับละ พอดีมองเห็นไฟห้องเธอเปิดอยู่ก็เลยไปชงกาแฟมาให้เผื่อเธออยากได้”

      “ใช่ อยากได้สุด ๆ ไปเลย เมื่อเช้าก็นอนไม่เต็มอิ่มเฮ้อ หน้าโทรมแน่เลย”หญิงสาวถอนหายใจยาว เดฟวางกาแฟไว้บนโต๊ะ น้อมกายลงมามองดูแผ่นกระดาษที่ถือในมือของเจสสิก้าจนหัวแทบจะชนกัน

      “ทำอะไรของนายนะ”สาวลูกครึ่งพูดพร้อมกับดันศีรษะของอีกฝ่ายออกไป เดฟยิ้มก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

      “อีกแค่สามอาทิตย์เธอก็ย้ายไปที่ DC แล้วสินะ”

      “ใช่ อีกสามอาทิตย์นายก็จะกลายเป็นเบอร์หนึ่งของที่นี่แทนฉัน”

      “ฮะ ๆ”ฝ่ายชายหัวเราะ “ฉันไม่อยากเป็นเบอร์หนึ่งของที่นี่หรอกนะ”

      “อ้าว แล้วนายอยากเป็นอะไรล่ะ”

      “ขอเป็นเบอร์หนึ่งในใจเธอได้ไหม”คำพูดของเดฟทำเอาดวงตาของสาวหน้าสวยเบิกโพลง ปากกาหลุดไปกลิ้งอยู่บนพื้น

      “พูดอะไรของนายนะ ฉันไม่ขำด้วยนะ”

      “ฮะ ๆ ๆ ล้อเล่นน่า เธอก็คิดจริงจังไปได้ แต่ถ้าขาดเธอไปที่นี่คงขาดสีสันไปเยอะเลย”เดฟพูดพร้อมกับหัวเราะก่อนจะดึงแผ่นกระดาษในมือของหญิงสาวไปดู

      “ถ้ามีอะไรอยากให้ช่วยก็บอกนะ ถือเป็นการร่วมงานกันครั้งสุดท้ายของเรา”เขาพูด

      “พูดอย่างกะจะไปตายอย่างนั้นแหละ ฉันไปทำงานใหม่นะ ไม่ใช่ไปรบนายนี่ก็ ไม่คุยละไปล้างหน้าล้างตาดีกว่า”เจสสิจ้าพูดพร้อมกับลุกขึ้นเดินลิ่ว ๆ ไปที่ประตู เดฟเห็นเช่นนั้นก็ร้องเรียกชื่อก่อนจะเดินตามออกไป

      รถปิ๊กอัพสี่ประตูสีดำไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนจอดซุ่มอยู่ที่ข้างทางห่างจากกลมตำรวจนิวยอร์กไปไม่เกินห้าสิบเมตร กล้องส่องทางไกลถูกลดลงจากใบหน้าเผยให้เห็นหญิงสาวใบหน้าแต่งแต้มด้วยกระเล็กน้อย ดวงตาเผยแววยินดี

      “กว่าจะออกจากห้องได้ เฮ่อ”แอนนาเบ็ตถอนหายใจ เธอมาจอดรถรออยู่ตรงนี้นานกว่าสองชั่วโมงแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าตำรวจสาวเจ้าของคดีจะลุกไปไหนเลยจนกระทั่งตอนนี้ แอนนาเบ็ตเปิดประตูรถออกมาแล้วเคลื่อนกายเข้าไปชิดรั้วของกรมตำรวจอย่างรวดเร็วเมื่อมองเห็นว่าไม่มีใครแล้วเธอก็จัดการโหนตัวเข้าไปด้านในแล้วกลิ้งไปหลบหลังพุ่มไม้มองลอดออกไปก็เห็นตำรวจสองสามนายยืนคุยกันที่ลานจอดรถ การเล็ดลอดเข้าสู่กรมตำรวจนิวยอร์กอาจไม่ง่ายแต่ก็ไม่อยากไปกว่าเธอซึ่งถูกฝึกมาให้สามารถแฝงตัวและเล็ดลอดเข้าสู่ฐานของศัตรูได้อย่างแยบยล อาจจะต่างกันก็ตรงที่ตอนนี้เธอไม่มีสิทธิที่จะฆ่าใคร

      แอนนาเบ็ตมองดูหม้อแปลงไฟฟ้าที่อยู่ด้านนอกครู่หนึ่งก่อนจะดึงเอาบางอย่างออกมาจากกระเป๋า มันคือระเบิด EMP แบบพกพาซึ่งจะทำให้ระบบอิเล็กโทรนิกส์ทุกอย่างในระยะหวังผลหยุดทำงาน เธอขว้างไปยังยังเสาไฟฟ้าทันที

      ตูม!!

      เสียงระเบิดดังสนั่นพร้อม ๆ กับที่หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิดจนเกิดประกายไฟ นาทีนั้นเองบริเวณโดยรอบก็ไร้ซึ่งแสงไฟ ความวุ่นวายบังเกิดขึ้นทันที หญิงสาวไม่รอช้าอาศัยช่วงที่ทุกคนมุ่งความสนใจไปที่หม้อแปลงวิ่งไปยังสวนด้านหลังซึ่งติดกับห้องทำงานของเจสสิก้าอย่างรวดเร็วจนกระทั่งตอนนี้มีเพียงกระจกใสเท่านั้นที่ขวางเธอไว้ แอนนาเบ็ตใช้ที่ตัดกระจกขนาดเล็กตัดออกเป็นรูกว้างไม่ถึงครึ่งนิ้วแล้วใช้ลวดเกี่ยวปลดล็อกของกระจกแล้วจึงเลื่อนออก เธอค่อย ๆ ก้าวข้ามหน้าต่างไปก่อนจะหยุดที่หน้าโต๊ะทำงานที่รกรุงรังใช้ไฟฉายท่อนเล็กกวาดไปทั่วเพื่อหาสิ่งที่ต้องการ

      ก่อนหน้านั้นไม่นานนัก

      เปรี้ยง!!

      เสียงระเบิดจากด้านนอกและแสงไฟจากหลอดตะเกียบดับลงอย่างพร้อมเพียงกันทำให้เจสสิก้าที่กำลังล้างหน้าอยู่ขมวดคิ้ว รีบเช็ดมือแล้ววิ่งออกจากห้องน้ำมองเห็นเงาคุ้นตาชายหนุ่มยืนอย่างกระวนกระวายมือข้างหนึ่งกำวิทยุสื่อสารไว้

      “เกิดอะไรขึ้น”เธอถาม

      “ไม่รู้ มีเสียงระเบิดแล้วไฟก็ดับฉันพยายามวิทยุหาพวกข้างนอกแต่ว่าดูเหมือนจะเสีย”เดฟบอกพร้อมกับกดวิทยุให้ดู ไม่มีแม้แต่เสียงแทรกของคลื่น หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วก็ต้องขมวดคิ้วอีกครั้งเมื่อพบว่าหน้าจอดับสนิทหนำซ้ำยังได้กลิ่นเหม็นไหม้โชยออกมา

      “โทรศัพท์ก็เสีย?”สาวลูกครึ่งพูดอย่างไม่เข้าใจ เดฟจึงเอาโทรศัพท์ของตนออกมาบ้าง สิ่งที่เจอก็ไม่ต่างกับเจสสิก้าเจอ

      “ซักไม่ดีแล้วสิ เจส ฉันจะออกไปดูข้างนอกเธออยู่ข้างในนี้นะ”เดฟพูดพร้อมกับวิ่งออกไป หญิงสาวกรอกตาไปมาก่อนจะวิ่งกลับไปที่ห้องเพื่อเอาอาวุธเนื่องจากรู้ถึงสิ่งแปลก ๆ

      แอนนาเบ็ตที่กำลังหยิบเอกสารที่ต้องการใส่กระเป๋าต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งใกล้เข้ามา หญิงสาวสบถออกมาหลายคำก่อนจะรีบวิ่งไปที่หน้าต่าง แต่เวลานั้นเองซองเอกสารก็ล่วงลงด้านล่างเพราะความเร่งรีบ เธอรีบเก็บมันใส่กระเป๋าแบบลวก ๆ จนไม่ทันสังเกตว่าระหว่างนั้นกระดาษแผ่นหนึ่งก็หยุดออกมาจากกระเป๋า แอนนาเบ็ตปิดหน้าต่างกระจกทันเวลาพอดีเมื่อเสียงประตูถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับเจ้าของห้อง หญิงสาวค่อย ๆ อาศัยความมืดเป็นเครื่องกำบังหลบออกไปจากที่นั้นอย่างรวดเร็วและขึ้นรถที่จอดไว้ไกลพอจนไม่ได้รับผลจากแรงระเบิด

      ทันทีที่ห้าวเข้ามาในห้องสิ่งแรกที่นายตำรวจหญิงรู้สึกก็คือความรู้สึกแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นในสัญชาตญาณ สายตาจึงเหลือบมองปืนที่ฟาดไว้กับเก้าอี้แล้วจึงก้าวยาว ๆ เข้าไปพร้อมกับเก็บมาถือไว้ในมือส่องไปทั่วทั้งห้องแต่กลับไม่พบสิ่งผิดปกติ เวลานั้นเองประตูก็ถูกเปิดออกหญิงสาวหันปืนไปด้วยความตกใจแต่ก็พบว่าเป็นคนรู้จักจึงลดปืนลง

      “เกิดอะไรขึ้น?”เจสสิจ้าถามอย่างสงสัย เหน็บปืนไว้ที่ข้างเอว

      “หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด ทำให้ไฟฟ้าลัดวงจร”

      “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่มือถือของเราสองคนพังพร้อมกัน?”

      “ไม่ใช่แค่เราหรอก อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคทุกอย่างรอบ ๆ พังหมด พรุ่งนี้คงต้องให้กองพิสูจน์หลักฐานลงพื้นที่ อาจเป็นการก่อความไม่สงบ วันนี้เธอน่าจะกลับบ้านก่อนนะ”เดฟเอ่ยแนะนำในตอนท้าย เจสสิจ้าเห็นด้วยเนื่องจากถึงอยู่ต่อก็คงไม่มีอะไรคืบหน้าเพราะไฟฟ้าของตึกดับเกือบทั้งหมด

      “แล้วเครื่องปั่นไฟล่ะ?”

      “พังเหมือนกัน”ชายหนุ่มตอบ น้ำเสียงบ่งบอกว่ากำลังเหนื่อยใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น หญิงสาวจึงหันไปเก็บเอกสารโดยอาศัยแสงจากภายนอกเป็นตัวช่วย แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อบางอย่างหายไป

      “มีอะไรเหรอเจส”เดฟเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าฝ่ายหญิงก้ม ๆ เงย ๆ ไปรอบ ๆ โต๊ะ

      “เปล่า ๆ แค่หากระเป๋าเงินนะ ไม่รู้หล่นหายตรงไหน นายจะไปทำอะไรก็ทำเถอะเดี๋ยวฉันจะกลับแล้ว”หญิงสาวพูดพร้อมกับสะมือเป็นเชิงไล่ อีกฝ่ายเพียงยิ้ม

      “โอเค ฝันดีนะเจส ผมไปล่ะ”เดฟพูดทิ้งท้าย ก่อนจะเดินจากไป

      “หายไปได้ยังไงเนี่ย!”ทันทีที่รู้ว่าเพื่อนร่วมงานจากไปแล้วแน่นอนเจสสิจ้าก็ทิ้งตัวลงบ่นโต๊ะพูดอย่างหงุดหงิดเมื่อแฟ้มคดีที่อุตส่าห์นั่งทำทั้งคืนหายไปอย่างไร้ร่องรอย เห็นได้ชัดว่าความรู้สึกประหลาดของเธอตอนไฟดับเป็นความจริง นี่มันหายนะชัด ๆ ทั้งแสงที่มีก็ไม่พอจะหาตรงไหนเธอจึงได้แต่คว้ากระเป๋ากลับบ้านอย่างหงุดหงิดระคนสงสัยว่าเหตุใดแฟ้มคดีที่วางอยู่บนโต๊ะถึงได้หายไปเช่นนี้

      NYPD

      เวลา 09:12 นาทีตามเวลาท้องถิ่น

      “สวัสดีครับหมวด”เสียงนายตำรวจหน้าป้อมยามเอ่ยทักอย่างเป็นกันเองเมื่อเจสสิก้าก้าวผ่านแผงกั้น แต่หญิงสาวที่มักมีรอยยิ้มกลับเดินผ่านไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย รองเท้าส้นสูงกระแทกพื้นเสียงดัง วันนี้เธออยู่ในชุดสูทสีดำและกระโปรงสั้นเหนือเข่าสีเดียวกันอวดสัดส่วนสวยได้รูปที่สาว ๆ หลายคนปารถนา

      วันนี้เจสสิก้าถูกปลุกด้วยเสียงโทรศัพท์ของคอนโดหลังจากที่มือถือพังไปโดยไม่ทราบสาเหตุ แจ้งว่าเกิดคดีคล้ายกับที่เธอรับผิดชอบขึ้นเมื่อเมื่อคืน แต่ว่าเพิ่งจะมีคนไปเจอศพตอนเช้านี่เอง

      “มาร์กขอรายละเอียดเหยื่อรายล่าสุดหน่อย”หญิงสาวเดินไปหาตำรวจนายหนึ่งที่โต๊ะทำงานส่วนกลาง มาร์กชายหนุ่มร่างสูงราวกับนายแบบส่งยิ้มจริงใจมาให้ก่อนจะยื่นเอกสารให้

      “ตามนี้แหละ ตอนนี้มีตำรวจกันเป็นเขตห้ามเข้าแล้ว กองพิสูจน์กำลังทำงาน คุณสามารถเอารถตำรวจไปได้”

      “ขอบใจ ยังไงมื้อเที่ยงนี้ฉันจะเลี่ยงข้าวนายละกัน”เจสสิก้ายิ้มเล็กน้อยอ่านเอกสารในมือแล้วเดินไปเบิกกุณแจรถของตำรวจที่ประชาสัมพันธ์ก่อนจะขับรถตำรวจไปยังที่หมาย

      แผงกั้นลายเหลืองดำถูกยกขึ้นเมื่อหญิงสาวแสดงตัวว่าเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ เหยื่อรายสุดท้ายเป็นนักข่าวสารคดีสงคราม ตัวเองและภรรยาถูกสังหารและลากศพมาไว้ที่ประตูหน้าบ้าน รุ่งเช้าแม่บ้านมาทำงานตามปกติก็พบศพแล้วแจ้งเจ้าหน้าที่ นี่คือรายละเอียดที่ปรากฏในกระดาษที่มาร์กให้มา

      “ทำไมช่วงนี้ถึงได้มีแต่เรื่องวุ่น ๆ นะ”สาวลูกครึ่งบ่นกับตัวเองขณะเดินตามตำรวจเข้าไปในบ้าน มองเห็นศพสองศพนอนเคียงคู่กัน ทั้งสองใส่ชุดนอน ดวงตาเบิกโพลงและที่ปากมีเศษผ้ายัดอยู่ก่อนที่เธอจะกวาดสายตาไปรอบ ๆ ก่อนจะสะดุดเข้ากับภาพใบหนึ่งที่อยู่ในตู้โชว์ เป็นรูปหมู่ของทหารในเครื่องแบบแต่ที่เธอสนใจคือในเหล่าทหารนั้นมีคนหนึ่งที่เธอคุ้นหน้าจึงได้เดินเข้าไปดูก็พบว่าใช่จริง ๆ ด้วย

      “แอนนาเบ็ต สมิธ ดูเหมือนว่าสองคนที่ตายจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอนะ บังเอิญหรือตั้งใจกันแน่”

      เจสสิจ้าเดินขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านก็พบกับตำรวจสองสามนายที่กำลังเก็บหลังฐาน หญิงสาวเดินไปที่หน้าต่างเลิกผ้าม่านขึ้นก่อนที่สายตาจะกระทบกับใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ห่างจากแผงกั้นไม่มากนัก

      แอนนาเบ็ต สมิธ...

      เที่ยงวันนั้นเองหลังจากที่กลับจากการเลี้ยงอาหารกลางวันมาร์กตามสัญญาเจสสิก้าก็พบบางอย่างที่น่าสนใจในห้องของตนซึ่งตกอยู่ใต้โต๊ะ หากแต่เมื่อคืนเธอไม่ได้สังเกตเห็นและก็แน่ใจว่าเธอไม่ใช่เจ้าของของมันแน่นอน

      บิลจ่ายค่าเช่าห้องล่วงหน้าหนึ่งเดือนของหญิงสาวที่ชื่อ แอนนาเบ็ต สมิธ ดูเหมือนว่าสองวันมานี้ชื่อนี้จะวนเวียนอยู่รอบตัวเธอมากเสียจริง ๆ และด้วยเหตุนี้เองรถตำรวจของ NYPD จึงได้มาจอดที่โรงแรมภายซึ่งมีชื่อใบบิล
      “ขอโทษนะคะ ฉันมาพบเพื่อนที่ชื่อแอนนาเบ็ตห้อง 206 ไม่ทราบว่าอยู่ชั้นไหนคะ?”เจสสิจ้าเอ่ยถามพนักงานที่โต๊ะประชาสัมพันธ์อย่างเป็นกันเอง

      “คุณแอนนาเบ็ต สมิธห้อง 206 ชั้นสามค่ะ”พนักงานสาวตอบกลับมา เจสสิจ้าเอ่ยขอบคุณก่อนจะเดินไปที่ลิฟแต่ระหว่างทางนั้นต้องผ่านเครื่องตรวจโลหะเสียก่อนนับว่าโรงแรมนี้หรูพอควร และเพราะเครื่องตรวจโลหะนั้นเองที่ทำให้หญิงสาวต้องแสดงตัว

      “ฉันเป็นตำรวจค่ะ มาหาเพื่อน”เธอเผยให้เห็นตราตำรวจและปืนพกในกระเป๋าถือ พนักงานรักษาความปลอดภัยพยักหน้าจากนั้นจึงพูดขึ้น

      “ถ้าอย่างนั้นทางเราขอยึดอาวุธของคุณก่อนได้ไหมครับ หากเสร็จธุระเมื่อไรให้ไปรับคืนที่ห้อง รปภ.”

      “แต่ว่าปืนนี่ของหลวงนะ ถ้าหายไปพวกคุณรับผิดชอบได้ไหม เอาน่าฉันเจสสิจ้า จัง พวกคุณน่าจะรู้จักนะ”

      “อ้อ เจสสิก้า ใช่คุณจริง ๆ เหรอครับ!”พนักงานพูดอย่างตื่นเต้น “ยอดตำรวจคนนั้นนะเหรอ”เขาหมายถึงศึกดวลปืนของตำรวจและแก๊งค้ายาซึ่งตอนนั้นเธออยู่หน่วยสวาทและโชว์พาวด้วยการตัดชนวนระเบิดแรงสูงซึ่งใกล้จะระเบิดได้สำเร็จ

      “ใช่แล้วล่ะ นั่นละฉันเอง”เจสสิก้ายอมรับและคิดว่าบางทีชื่อเสียงก็มีประโยชน์อยู่บ้าง ยามเมื่อพนักงานปล่อยให้เธอผ่านไปขึ้นลิฟอย่างง่าย ๆ

      แอนนาเบ็ตกำลังนั่งวิเคราะห์รายละเอียดของคดีที่ได้มาเมื่อคืนตอนที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น ในตอนแรกเธอนึกว่าเป็นแม่บ้านจึงเดินไปเปิดประตูอย่างเสียมิได้ แต่เมื่อเห็นเจ้าของผมสีทองแล้วเธอก็ปทบยากจะปิดประตูใส่หน้าหน้าถ้าอีกฝ่ายไม่ดันตัวเข้ามาเสียก่อน

      “คุณรู้ที่พักฉันได้ไง”แอนนาเบ็ตถามอย่างไม่พอใจเมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาราวกับที่นี่เป็นบ้านของตัวเอง สายตาก็มองไปยังประตูห้องนอนที่เปิดทิ้งไว้ก่อนจะเดินไปปิดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็นสิ่งที่ไม่อยากให้เห็น

      “แล้วใครกันล่ะที่ทำนี่ตกไว้เมื่อคืน”เจสสิก้าสะบัดบิลค่าใช้จ่ายในมือไปมา มีรอยยิ้มประดับใบหน้าหากแต่คนมองหน้าเสีย

      “คุณไปได้มาจากไหน”

      “ฝีมือเธอใช่ไหมเรื่องเมื่อคืนนั่น ฉันมาขอแฟ้มคดีคืนแล้วจะไม่เอาเรื่อง”เจสสิก้าเข้าเรื่องอย่างรวดเร็ว

      “ฉันไม่เข้าใจ คุณพูดเรื่องอะไร?”แอนนาเบ็ตตีหน้าตายเอ่ยเสียงเรียบอย่างจับความรู้สึกไม่ได้

      “แน่ใจเหรอ”เจสสิก้างัดเอาความสามารถในการอ่านท่าทางจากที่ได้เรียนมาใช้ทันทีแต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็จะใช้วิธีเดียวกันแต่คนละหน่วย ของเธอคือตำรวจแต่อีกฝ่ายทหาร

      “ใช่ แต่อย่าคิดว่าจะค้นห้องฉันเพราะคุณไม่มีหมายค้น”

      เชอะ ทำเป็นหัวหมอนะยัยนี่เจสสิก้าคิดในใจก่อนจะกวาดสายตาไปรอบห้อง มองเห็นประตูห้องนอนที่ปิดสนิท
      “ถ้าอย่างนั้นฉันขอกาแฟซักแก้วก็แล้วกันนะ”พูดจบเธอก็ทิ้งตัวลงบนโซฟาหน้าทีวีเพื่อสงบสติอารมณ์พร้อมกับวางแผนบางอย่างไว้ในใจ

      เอาสิ เธอทำได้ฉันก็ทำได้สาวลูกครึ่งเอเชียคิดขณะที่ยิ้มออกมาอย่างไม่น่าไว้วางใจ

      New York City

      เวลา 20:15 นาทีตามเวลาท้องถิ่น

      “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าตอนนี้คุณแอนนาเบ็ตห้อง 206 อยู่ไหมคะ?”ภายในรถเก๋งติดฟิมหนาทึม เจสสิก้ากำลังกรอกเสียงบนไปบนโทรศัพท์เครื่องใหม่ที่ซื้อมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ

      “ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครคะ”เสียงหวานของพนักงานโทรศัพท์ถามกลับมา

      “เจสสิก้าค่ะ บอกว่าดิฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอเรื่องงาน”เจสสิก้าตอบกลับไป หากงานนี้ไม่สำเร็จเธอคงต้องใช้แผนสอง

      “รอซักครู่นะคะ กำลังสอบถามให้ค่ะ”

      เสียงเงียบไปหลายนาทีก่อนที่เสียงของโอปอเรเตอร์สาวจะดังขึ้นอีกครั้ง “ตอนนี้คุณแอนนาเบ็ตไม่อยู่ในห้องค่ะ พนักงานรักษาความปลอดภัยบอกว่าเธออกไปข้างนอกแล้วยังไม่กลับมา จะฝากข้อความไว้ไหมคะ”

      เยี่ยม!’หญิงสาวคิดก่อนจะพูด “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นอะไรค่ะ ขอบคุณค่ะ”เธอวางสายไปทันที ก้าวลงจากรถและเดินตรงไปยังโรงแรมเป้าหมาย เดินไปหาพนักงานที่หน้าตาคุ้นที่สุด

      “ขอโทษค่ะ จำฉันได้ไหมเมื่อตอนเช้า”

      ชายคนนั้นมองเจสสิก้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้ม “คุณเจสิก้าใช่ไหมครับ มาหาเพื่อนเหรอครับ”

      “ใช่ค่ะ พอดีลืมของไว้ที่ห้อง”

      “งั้นเชิญเลยครับ”ชายคนนั้นพูดพร้อมกับพาเธอเดินไปส่งที่ลิฟ พร้อมกับยิ้มส่งก่อนที่ประตูลิฟจะเลื่อนปิด หญิงสาวหยิบเอาแผ่นการ์ดออกมาจากกระเป๋าซึ่งเอาไว้ใช้เปิดประตูที่อาศัยคีย์การ์ดโดยเฉพาะ ซึ่งมันจะสุ่มรหัสเปิดประตูออกมาเมื่อเสียบลงบนเครื่องอ่าน เวลานี้ทางเดินของโรงแรมไม่มีใครเลย เธอเดินมาหยุดที่หน้าประตูห้องเดิมเมื่อเช้าเสียบคีย์การ์ดลงไปแล้วรอเวลา

      แกร๊ก!

      ล็อกของประตูถูกปลดออกอย่างรวดเร็ว หญิงสาวค่อย ๆ ก้าวเข้าพร้อมกับกวาดสายตาฝ่าความมืดรอบตัว จนกระทั่งเมื่อเดินจนใกล้ถึงประตูห้องนอนของแอนนาเบ็ตแล้วนั้นเองบางอย่างก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง

      “อย่าขยับ”เสียงเรียบดังขึ้นพร้อมกับบางอย่างที่จ่ออยู่ตรงแผ่นหลัง เจสสิก้าหยุดในทันที แต่แล้วเธอก็หมุนตัวกลับอย่างรวดเร็วพร้อมกับปัดอาวุธของอีกฝ่ายออกไปและดึงปืนออกมา เป็นเวลาเดียวกับที่แอนนาเบ็ตดึงปืนกลับมาทำให้ทั้งสองยืนเล็งปืนใส่กันในระยะประชิด

      “ให้ตายสิ...”ความเงียบคงจะอยู่นานกว่านี้ถ้าเจสสิก้าไม่เอ่ยคำนี้ออกมา “แค่เธอยอมคืนแฟ้นคดีให้ฉันเรื่องมันก็จะจบ ๆ ไปแล้วแท้ ๆ”

      อีกฝ่ายขมวดคิ้ว “คุณพูดเรื่องอะไร”

      เจสสิก้าลดปืนลง กางแขน “เอาล่ะฉันยอมแพ้ เธออยากจะช่วยฉันทำคดีนี้ใช่ไหม เอาล่ะตามใจ”อีกฝ่ายแปลกใจกับท่าทีของเธอแต่ก็ลดปืนลง

      “ถ้าคุณไม่เรื่องมากฉันก็คงไม่ทำอย่างนี้”

      “ทำอย่างไหน อย่างที่เธอทำให้หม้อแปลงระเบิด ขโมยของในกรมตำรวจนะเหรอ”เจสสิก้าแย้ง

      “แล้วไง ยังไงคุณก็ไม่มีหลักฐานพอจะจับฉัน”แอนนาเบ็ตตอบแบบไม่ใส่ใจ

      “เหอะ พวกนั้นคงฝึกอย่างนั้นสินะ ไปมาไร้ร่อยรอยแต่พลาดที่ทำของตก หึ”สาวลูกครึ่งพูดพร้อมกับหัวเราะก่อนจะพูดต่อ

      “จริงสิ เมื่อเช้าลืมถามเลย เธอรู้จักกับนักข่าวสงคราม จอห์น คาเตอร์ด้วยเหรอ”


      แอนนาเบ็ตเก็บปืนไว้ที่ด้านหลังก่อนจะเอ่ยถาม “จอห์น คาเตอร์เหมือนจะคุ้น ๆ อยู่นะ”

      “เขาตายเมื่อคืนนี้กับแฟนในบ้านเอง ฉันเจอรูปหมู่ระหว่างเขากับทหารแล้วก็มีเธอเป็นหนึ่งในนั้น”เจสสิก้าไม่จำเป็นต้องอธิบายต่อเพราะรู้ดีว่าหญิงสาวตรงหน้าเองก็พอจะรู้อยู่แล้ว

      แอนนาเบ็ตหลับตาลงอย่างครุ่นคิดก่อนจะพูดขึ้น “เขาทำงานให้นิตยาสาร War in World ไหม?”เธอถามเนื่องจากสองปีก่อนเคยมีนิตยสารเข้าไปทำสารคดีวิถีชีวิตของทหารสหรัฐในค่ายทหารที่เธอยู่

      ยังไม่ทันที่เจสสิก้าจะได้พูดอะไรอีกเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น หญิงสาวกดรับโทรศัพท์ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วจึงขึ้นอย่างดีใจ

      “เยี่ยมมากมาร์ก ฉันจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้!”เธอพูดอย่างดีใจ

      “มีอะไรเหรอ”แอนนาเบ็ตเอ่ยถามเมื่อเจสสิก้าเก็บโทรศัพท์ไว้

      “เอาแฟ้มคดีออกมาก่อน ฉันต้องการมัน”นายตำรวจหญิงต่อรอง

      “ก็ได้”หลังจากอิดออดอยู่ครู่หนึ่งแอนนาเบ็ตก็ต้องตอบตกลงเดินปึงปังไปยังห้องนอนหิ้วเอกสารกองใหญ่ออกมา

      “ฉันเจอมันที่หน้าห้องใครก็ไม่รู้ส่งมาให้”เธอพูดหน้าตายขณะวางแฟ้มลงบนโต๊ะ “ทีนี้บอกได้รึยังว่าเกิดอะไรขึ้น”

      “หัวหน้าฉันโทรมาบอกว่ามีความคืบหน้าเกี่ยวกับคดี สำคัญมากด้วย”ในเมื่อได้รับแฟ้มคืนเจสสิก้าก็ทำตามสัญญา เธอพลิกดูข้อมูลในแฟ้มก็พบว่ามีหลายอย่างที่ถูกจดลงไปและมีรายมือต่างจากเธอ

      “ความคืบหน้า?”

      “ใช่ มีกล้องวงจรปิดสี่ตัวในบ้านเหยื่อรายสุดท้าย กล้องตัวหนึ่งบันทึกใบหน้าของฆาตกรได้อย่างชัดเจน ฉันกำลังจะเข้าไปดูเธอจะไปไหม”

      “แน่นอน”แอนนาเบ็ตตกลงทันที ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องแล้วกลับมาอีกทีในชุดทะมัดทะแมง

       

      New York City

      NYPD

      เวลา 21:12 นาที ตามเวลาท้องถิ่น

      “คนร้ายสูงประมาณห้าฟุตหกนิ้วครับ ตอนลงมือมันใส่ฮู้ดไว้แต่ช่วงหนึ่งมันเผลอมองกล้องเราเลยได้เห็นหน้ามัน”เจ้าหน้าที่ประจำกองพิสูจน์หลักฐานบรรยายลักษณะของผู้ต้องสงสัยให้สองสาวฟังขณะที่มือกำลังกดคำสั่งในจอคอมพิวเตอร์ และมันก็แสดงให้เห็นถึงคนร้ายที่ลงมือสังหารเหยื่อสองร้ายสุดท้ายอย่างโหดเหี้ยม

      “เทียบประวัติดูรึยัง?”เจสสิก้าเอ่ยถาม มือกอดอกดวงตาครุ่นคิด

      “ครับ ตรงกับชายที่ชื่อ ฟอร์ด โบแมน ผมกำลังรอฟังความคิดของผู้หมวดในฐานะเจ้าของคดี”

      “ส่งรูปนี้ไปให้ทุกที่ สายตรวจ ตำรวจท้องที่ สนามบิน และติดต่อไปหาตำรวจรัฐอื่นด้วย เราต้องไม่ปล่อยให้มันหลบออกจากนิวยอร์กได้ อ้อ ขอประวัติของฟอร์ด โบแมนด้วย”

      “ครับหมวด”ตำรวจหนุ่มรับคำ “วันพรุ่งนี้มันจะวางอยู่บนโต๊ะคุณ”สายตาของนายตำรวจเฉมองไปยังแอนนาเบ็ตราวกับต้องการรู้ว่าหญิงสาวคนนี้เป็นใครถึงได้เดินเข้ามาในนี้ได้และดูเหมือนว่าเจสสิก้าจะรู้ เธอยิ้มแล้วพูด

      “นี่ร้อยตรีแอนนาเบ็ต สมิธ ฉันขอให้เธอมาช่วยงานเรานิดหน่อยเพราะเรื่องราวส่วนตัวของเหยื่อรายก่อนที่เป็นทหารเราไม่รู้เลยและได้ผู้หมวดช่วยเอาไว้”เธออธิบายพร้อมกับขอตัวเดินออกจากห้องพร้อมกับแอนนาเบ็ต

      เช้าวันต่อมานอกจากเจสสิก้าจะได้รับเอกสารรายละเอียดของฟอร์ด โบแมนแล้วเธอยังได้ของแถมเป็นอารมณ์ที่ต้องขุ่นมัวทั้ง ๆ วันนี้ออกจะเรียกได้ว่านิวยอร์กบรรยากาศดีที่สุดในรอบปีเลยทีเดียว

      ชายหนุ่มในชุดสูทสากลสีดำราวกับถอดแบบมาจากตัวละครในภาพยนตร์ฮอลลิวูดนั่งอ่านแฟ้มประวัติของฟอร์ด โบแมนคือสิ่งแรกที่เธอเห็นหลังจากเปิดประตูห้องทำงาน

      “ขอโทษค่ะ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใคร”หญิงสาวพูดเสียงขุ่นเมื่ออยู่ดี ๆ ก็มีชายแปลกหน้าในชุดสูทอยู่ในห้องทำงานของตนและน่าแปลกกว่านั้นที่ยามรักษาการณ์ยอมปล่อยให้ผ่านเข้ามานั่นแสดงถึงบางอย่างที่แอบแฝงอยู่

      ชายชุดดำลุกขึ้นล้วงเข้าไปในเสื้อแล้วหยิบบางอย่างออกมา “สวัสดีครับผมจอห์น เซฟเพิร์ต เป็นเจ้าหน้าจากเอฟบีไอคุณคือเจสสิก้า จังตำรวจที่รับผิดชอบคดี K-113 ใช่หมายครับ” K-113 คือชื่อรหัสของคดีที่เธอทำอยู่ หญิงสาวพยักหน้า

      “ค่ะฉันเอง ไม่ทราบว่าคุณมีธุระอะไรกับฉันค่ะ”เจสสิก้าปั้นหน้านิ่งขณะเดินไปยังเก้าอี้ของตน และยังถือวิสาสะดึงแฟ้มในมือของจอห์นติดไปด้วย

      “ผมได้รับคำสั่งให้มารับหน้าที่ต่อจากคดีนี้ครับ เนื่องจากเรารู้ว่าคุณมีเวลาจำกัดในการทำคดีใช่ไหมครับเจ้าหน้าที่เจสสิก้า”

      “รับหน้าที่? คุณคงไม่คิดว่าตัวเองจะเดินเข้ามาที่นี่แล้วออกคำสั่งบอกว่าให้ฉันโยนเรื่องนี้ให้คุณทำใช่ไหม”

      “ความจริงแล้วใช่”

      เจสสิก้าลุกขึ้น มือทั้งสองค้ำอยู่บนโต๊ะพูดเสียงต่ำ “เท่าที่ฉันและคนอื่น ๆ รู้พวกคุณแต่มาให้ความช่วยเหลือและถ้าเป็นอย่างนั้นจริงสิ่งแรกที่ฉันจะขอคืออย่ามายุ่งกับห้องนี้!

      “ผมรู้ว่าเพราะอะไร แต่มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าพวกคุณมัวแต่รักษาหน้าโดยการไม่ให้ความร่วมมือกับทางหน่วยสืบสวนกลาง พวกคุณจะปล่อยให้พลเรือนตายเรื่อย ๆ ขณะที่คุณนั่งอยู่ที่นี่โดยไม่ทำอะไรเลยรึ”

      เป็นครั้งแรกที่เจสสิก้าคิดว่าชายคนนี้น่าคบ เพราะอย่างน้อยก็เป็นห่วงประชาชนหรือไม่ก็แค่ยกมาอ้าง นั่นทำให้เธออ่อนลง

      “เอาล่ะ แล้วคุณต้องการอะไรบ้างนอกจากเด้งฉันออกจากคดีนี้”

      “ทุกอย่างที่คุณมีเกี่ยวกับคดีนี้ รายละเอียดทุกอย่าง”

      “ก็ได้ฉันถือว่าคุณยังไม่ล้ำเส้น แต่เอาเถอะตามหลักการแล้วฉันจะต้องไปที่ทำเนียบขาวในอีกสองอาทิตย์ ฉะนั้นฉันจึงอยากปิดคดีนี้ภายในหนึ่งอาทิตย์ และถ้าฉันทำไม่สำเร็จหวังว่าคุณจะทำได้นะเซฟเพิร์ด”

      จอห์น เซฟเพิร์ดยิ้ม “ลำพังแค่ผมคงไม่ได้ แต่ถ้ารวมทีมงานผมก็คงไม่ยาก”

      “ตกลงเราจะร่วมกับทำคดีนี้ ฉันคิดว่าเราคงจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้”เจสสิก้าหยิบรูปผู้ต้องสงสัยออกมา “คุณมีอำนาจมากกว่าฉัน ฉันอยากให้กระจายรูปนี้ให้ทีมของคุณ ใช้ทุกอย่าง ดาวเทียม กล้องวงจรปิดหรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะทำให้เราหาตัวมันเจอ”

      จอห์นขมวดคิ้วเล็กน้อยนึกในใจว่าตอนนี้ตนกำลังกลายเป็นลูกน้องของตำรวจหญิงคนนี้หรือ? ทั้งที่ความจริงแล้วฝ่ายที่จะเป็นหัวหน้าน่าจะเป็นเขามากกว่าแต่ก่อนที่จะได้เอ่ยทักท้วงเสียงของเจสสิก้าก็ดังขึ้นอีกครั้ง

      “ฉันมีเพื่อนอีกคนหนึ่ง เธอจะช่วยฉันสืบคดีนี้คุณอย่าไปยุ่งกับเธอล่ะ”

      “ใคร?”

      “ร้อยตรีแอนนาเบ็ต สมิธ เธอเป็นนายทหารนอกราชการ”

      เซฟเพิร์ดเลิกคิ้วอย่างแปลกใจก่อนจะเอ่ยถามเสียงเครียดลงเล็กน้อย “แล้วทำไมร้อยตรีคนนั้นต้องมาช่วยช่วย เธอเป็นสารวัติทหารหรือไง”

      “เปล่า เธอเป็นเพื่อนกับเหยื่อรายหนึ่งของเรา ซึ่งเป็นทหารเหมือนกัน อย่างน้อยเธอก็ให้รายละเอียดที่เป็นประโยชน์แก่เราได้”

      เอฟบีไอหนุ่มพยักหน้า “ตกลงผมจะไม่ให้คนของผมไปยุ่งกับเธอ แต่คุณมีเวลาแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้นนะ”เขาลุกขึ้นแล้วยื่นมือขวาออกมา เจสสิก้าจึงยกมือซ้ายไปจับอย่างเสียมิได้

      “ฉันขอไม่ไปส่งนะ”หญิงสาวเอ่ยเป็นเชิงไล่หากแต่ชายหนุ่มก็ไม่แสดงท่าทีอะไรนอกจากยักไหล่

      “ผมก็ไม่ได้ขอ”เขาพูดพร้อมกับหันหลังเดินจากไปด้วยท่าทางมั่นคงผิดกับเจสสิก้าที่แทบจะทรุดลงอย่างเหนื่อยอ่อนทันทีที่ประตูปิดสนิท

      เย็นวันนั้นเองที่คอนโดของเจสสิก้า การพบกันระหว่างเธอกับเอฟบีไอนามว่าจอห์น เซฟเพิร์ดก็ถูกถ่ายทอดให้แอนนาเบ็ตได้รับฟัง โดยร้อยตรีสาวเดินทางมาหาเธอในเวลาประมาณสี่โมงเย็นซึ่งหญิงสาวเพิ่งกลับมาจากกรมตำรวจ

      “เธอส่งภาพถ่ายพวกนั้นไปให้ตำรวจและหน่วยงานอื่นแล้วใช่ไหม”แอนนาเบ็ตถามหลังจากนั่งฟังเรื่องเล่าจากปากหญิงสาวข้างกาย

      “อืม คิดว่าคงไม่เกินสองหรือสามวันนี้แหละที่เราจะได้ตัวมัน”เจสสิก้ากล่าวอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะก่อนจะถาม

      “แอนนา ถามจริง ๆ เถอะเธอเป็นเพื่อนกับเบนเนอร์จริงหรือเปล่า”

      แอนนาเบ็ตหน้าตึงเล็กน้อย “เธอไม่เชื่อฉันเหรอ”

      “บอกตามตรงว่าไม่ ท่าทีของเธอมากไปกว่าการที่เพื่อนอยากช่วยเพื่อนทั้งการลอบเข้าไปในกรมตำรวจหรือแม้กระทั่งสืบเรื่องนี้เป็นการลับ”

      “ฉันเป็นเพื่อนกับเขาจริง ๆ”

      “ปีเตอร์ นักสืบคนนั้นที่เธอจ้างให้สืบคดีนี้เป็นเพื่อนกับฉัน ฉันรู้มาว่าเธอจ้างเขาสืบเรื่องพวกนี้นานกว่าสี่ปีมาแล้ว”แน่ล่ะเจสสิก้าโกหก ด้วยจรรยาบรรณแล้วปีเตอร์ไม่สามารถบอกความลับของลูกค้าได้ แต่ในฐานะตำรวจเขาก็ต้องยอมให้ข้อมูลที่เธอต้องการ

      “ปีเตอร์ เขาบอกเธอรึ!

      “ใช่ เขาบอกแค่ว่าเธอจ้างเขาให้สืบเรื่องเกี่ยวกับคดีนี้มากว่าสี่ปี น่าแปลกนะที่พอฉันตามเรื่องคดีไปเรื่อย ๆ กลับสะดุดกับคดีเมื่อหลายปีก่อน”

      แอนนาเบ็ตชาวาบไปทั้งตัว “เธอรู้”

      “ใช่ และฉันหวังว่าเธอคงไม่ให้ความแค้นมาบดบังความผิดถูกในใจเธอหรอกนะ”

      “ฉัน...”แอนนาเบ็ตลังเลก่อนตัดสินใจ “ฉันจะปล่อยให้ตำรวจจัดการ”เธอพูดมาในที่สุด

      การคำนวณของเจสสิก้าแม้จะไม่ถูกต้องแต่ก็ใกล้เคียงเมื่ออีกสี่วันต่อมาเธอก็ได้รับข่าวสารที่น่าประทับใจ

      New York City

      NYPD

      เวลา 10:54 นาที ตามเวลาท้องถิ่น

      “ผู้หมวดครับ!”เสียงตะโกนของพลตำรวจหนุ่มหน้าตาดีดังขึ้นระหว่างที่เธอกับแอนนาเบ็ตกำลังทานอาหารเช้าพร้อมกับสรุปรายละเอียดความคืบหน้าของคดีทำให้ทั้งสองเลิกคิ้วมองไปยังผู้มาใหม่ด้วยสายตาตำหนิ

      “เอ่อ...ขอโทษครับแต่ว่าผู้กองเรียกหาหมวดนะครับ”พลตำรวจหน้าซีดลงเล็กน้อยที่เสียมารยาทกับตำรวจสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ตำรวจในที่นี้มากทีเดียว

      “มีเรื่องอะไร?”

      “คือว่าเราเจอคนร้ายแล้วครับ”

      “อะไรนะ!”แอนนาเบ็ตผุดลุกขึ้นร้องอย่างเสียบุคลิกเยือกเย็นที่พยายามรักษามา แต่เจสสิก้าราวกับเจอเรื่องพวกนี้มาจนชิน

      “ที่ไหน”

      “ผู้กองอยู่ที่ลานจอดรถใต้ดินครับ”

      “โอเค”เจสสิก้าพูดพร้อมกับคว้ากระเป๋าขึ้นก่อนจะแตะไหล่ของแอนนาเบ็ต

      “แอนนา อย่าลืมที่เธอพูดไว้ล่ะ”จากนั้นหญิงสาวทั้งสองก็เร่งเดินไปยังลานจอดรถใต้ดิน ที่นั่นเรียงรายไปด้วยรถตำรวจติดตราของ NYPD หรือกรมตำรวจนิวยอร์ก โดยไม่ไกลนักเดฟยืนนิ่งอยู่ในชุดเครื่องแบบ

      “เดฟ”เจสสิก้าร้องเรียกผู้กองหนุ่ม “มันยังไงกันแน่”

      “เจอแล้ว พวกเอฟบีไอส่งข้อมูลมา ฟอร์ด โบแมนเพิ่งจ่ายเงินขึ้นทางด่วนสายหลักที่จะพาไปนอกเมืองเมื่อสิบนาทีก่อน โดยใช้รถกระบะบิ๊กฟุตสีดำ ไม่ติดป้ายทะเบียน”

      “แล้วจะรอทำไมล่ะ รีบไปเร็ว!”เจสสิก้าพูดแล้วพุ่งตัวไปยังรถตำรวจที่จอดติดเครื่องอยู่โดยมีแอนนาเบ็ตตามเข้าไปอย่างกระชั้นชิด

      “เข้ามาสิเดฟ”เจสสิก้าร้องบอกชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านนอก อีกฝ่ายส่ายศีรษะ

      “ฉันจะไปกับฮอ”

      “ตามใจนาย”พูดจบหญิงสาวก็ตบเกียร์แล้วบังคับรถให้พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วหักโค้งออกจากประตูของกรมตำรวจโดยหวิดจะชนป้อมยามไปด้วยซ้ำ ก่อนที่จะเปิดไซเรนเสียงดังสนั่น

      “นี่จาก NYPD ใครก็ได้ที่กำลังอยู่บนทางหลวงหมายเลข 1903 พยายามสกัดรถคนร้ายเป็นรถกระบะยกสูงแบบบิ๊กฟุตสีดำไม่ติดป้ายทะเบียน”เจสสิก้ากรอกเสียงไปทางวิทยุ หางตาเหลือบมองเห็นฮอตำรวจบินผ่านไป

      “นี่จาก 207 เรากำลังอยู่บนทางด่วนและมองหาเป้าหมาย”เสียงวิทยุของตำรวจสายตรวจดังกลับมาเป็นระยะ ๆ

      “อีกไกลแค่ไหน”แอนนาเบ็ตถามเนื่องจากนิวยอร์กไม่ใช่ถิ่นของเธอจึงไม่รู้ว่าถนนที่ว่าอยู่ตรงไหน

      “ถ้าเร่งได้ซัก 200 ก็คงไม่เกินสิบนาที”เจสสิก้าพูด ก่อนจะหักหลบรถที่วิ่งบนถนนไปมาราวกับนักแข่งมืออาชีพ ขณะที่เข็มวัดความเร็วพุ่งไปที่ 180 ไมล์ต่อชั่วโมง แอนนาเบ็ตเปิดคอนโทรลหน้ารถก็พบปืนพกแบบ  9 มม. สองกระบอก

      “ท้ายรถมีปืนลูกซองขนาด 12 เกจอยู่”เจสสิก้าพูดโดยไม่ชายตามองแอนนาเบ็ต

      “จะให้ฉันออกไปเอาตอนนี้เหรอ”แอนนาเบ็ตเงยหน้าถามด้วยใบหน้าเรียบเฉยจนแทบจะดูไม่ออกว่าพูดประชด

      “ถ้าทำได้ก็เอาสิ”คำพูดของเจสสิก้าทำให้คนข้างกายสบถสองสามคำแล้วเงียบไป

      “นี่จาก 230 เราพบรถต้องสงสัยแล้ว กำลังส่งสัญญาณให้หยุด”เสียงวิทยุดังขึ้นอีกครั้ง

      “รับทราบ”เจสสิก้าตอบกลับไปแต่แล้วเสียงของตำรวจเจ้าของรถหมายเลข 230 ก็ดังขึ้นอีกครั้ง”

      “มันยิงเรา มันยิงเรา มันมีปืน ขอย้ำ! มันมีปืน”

      “คุณอยู่ที่ไหน!”เจสสิก้าถามไปอย่างรวดเร็ว

      “ประมาณสองกิโลเมตรจากทางแยกเข้าถนนหมายเลข 1903 ตอนนี้มีกำลังเสริมมาสบทบแล้ว”

      “เรากำลังจะไป”

      ไม่นานนักทั้งสองก็เริ่มได้ยินเสียงปืนแทรกเข้ามาในเสียงไซเรนแล้ว ด้านบนยังมีเฮลิคอปเตอร์ซึ่งเห็นเดฟนั่งอยู่ด้านในบินวนไปมา แถมยังมีรถของเอฟบีไออีกโขยงวิ่งผ่านไป

      ทันทีที่เจสสิก้าโผล่ออกมาจากรถ ตำรวจนายหนึ่งก็วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

      “คนร้ายมีอาวุธเป็นปืนกลแบบหมุนหกลำกล้องเป็นอาวุธครับ ท่าทางจะเป็นทหารอาชีพ”

      “อดีตทหาร”เจสสิก้าแก้คำใหม่ “มีท่าทีว่าเขาจะยอมแพ้ไหม”

      “ไม่ครับ รถทั้งคันกันกระสุนปืนของเราเจาะไม่เข้า”

      “ให้ตายสิ แล้วหน่วยสวาทล่ะ แล้วพวกเอฟบีไอนั่นทำอะไรอยู่”หญิงสาวเหล่ตามองเอฟบีไอหกเจ็ดคนที่ใส่เสื้อเกราะกันกระสุนสีดำถือปืนกลเบา MP-5 ได้ในมือ

      “รถมันกันกระสุนปืนกลเบาได้ด้วยครับ”

      “ไรเฟิลล่ะ”

      “เราไม่มีครับ”

      “โธ่เว้ย! คนร้ายแค่คนเดียวยังเอาไม่อยู่เหรอไง”เจสสิก้าสบถออกมาแล้วจึงดึงปืนพก Baretta M92F ออกมาจากด้านหลัง กระชากปืนขึ้นลำก่อนจะปลดเซฟปืนแล้วเดินเข้าไปหาเอฟบีไอที่คุ้นหน้าที่สุด

      “ไงเซฟเพิร์ด พวกคุณกำลังทำบ้าอะไรอยู่เล่นยิงปืนเหรอไง”

      เซฟเพิร์ดหันมามองด้วยใบหน้าเคร่งเครียด “แล้วคุณเห็นว่าพวกเราเล่นยิงปืนกันอยู่รึไง รถของมันกันกระสุนปืนพก ปืนกลเบาได้ ต่างกับรถเราที่กับกระสุนปืนแกตลิ่งของมันไม่ได้”

      “รอให้กระสุนมันหมดสิ”เจสสิก้าพูดพร้อมกับเล็งปืนไปหารถบิ๊กฟุตสีดำแล้วเหนี่ยวไป ทว่าไม่อาจทำให้ตัวถังเป็นรอยได้แล้วแต่น้อย เวลานั้นเองแอนนาเบ็ตก็โผล่มา แบกปืนลูกซองขนาดสิบสองเกตมาด้วย

      “เธอ ฉัน อ้อมซ้ายขวาแล้วประชิดตัว”ร้อยตรีหญิงบอกแผน

      “ไม่ไหว เราคนใดคนหนึ่งจะตกเป็นเป้ากระสุนของมันนะสิ”

      “เชื่อสิ ฉันเป็นทหารเคยเจอเรื่องแบบนี้มาเยอะ”

      “มันเสี่ยงเกินไป พวกมันมีอาวุธที่เหนือกว่าเรา”จอห์นไม่เห็นด้วยเช่นกัน

      “ปืนลำกล้องหมุนแบบนี้ยิงนาน ๆ ไปก็ร้อน แถมกระสุนถ้าหมดก็ใส่ได้ไม่เร็วนัก ยิ่งพื้นที่คับแคบอย่างในรถยิ่งแล้วใหญ่”แอนนาเบ็ตอธิบายสมกับเป็นทหารอาชีพ  เปลี่ยนมาถือลูกซองไว้ด้วยมือแล้วกระซากลูกเลื่อนดังแกร๊กมองไปมองรถบิ๊กฟุตสีดำที่กระจกข้างเปิดอยู่และมีปากกระบอกปืนลำกล้องหมุนแบบแกตลิ่งโผล่ออกมา

      “รถมันจอดแบบขวางถนน ทำให้เราซึ่งตามมันมาด้านนี้ไม่สามารถเข้าประชิดได้ แต่ถ้ามีคนไปอีกด้านก็พอหวัง”

      “ไม่ มันมีปืนสองกระบอกซ้ายขวา”จอห์นท้วงตามที่ลูกน้องรายงานมา

      “ให้ตาย นี่มันบิ๊กฟุตหรือฮัมวี่กันแน่เนี่ย”เจสสิก้าครางเสียงอ่อย เวลานั้นเองเสียงปืนที่ดังสนั่นอยู่ ๆ ก็หยุดลง แอนนาเบ็ตและเจสสิก้าหันมองกันโดยไม่ตั้งใจและเวลานั้นเอง ร้อยตรีสาวก็พรุ่งพรวดออกไปพร้อมกับที่ลูกซองในมือระเบิดเสียงดังสนั่นส่งกระสุนแบบลูกปรายพุ่งเข้าประทะกับตัวถังรถกันกระสุนดังเกร้ง

      “แอนนา!”เจสสิก้าร้องขึ้นและโดยทันที ปืนพกอัตโนมัติแบบเบเร็ตต้าก็ถูกยกขึ้นเล็งยิงไปทางเดียวกันพร้อมกับเจ้าตัวกระโดดข้ามกระโปรงหน้ารถไปอย่างรวดเร็ว

      ตูม!!!!!

      ก่อนที่แอนนาเบ็ตจะเข้าถึงรถเป้าหมาย อยู่ ๆ บิ๊กฟุตสีดำก็ระเบิดขึ้นราวกับถูกยิงด้วยจรวดนำวิถี ตัวถังรถกระดอนขึ้นบนฟ้าราวกับถูกเตะพลิกคว่ำลงกลางถนนท่ามกลางสายตาตกใจขอทุกคน

      “โอ้ พระเจ้า!”แอนนาเบ็ตพูดอย่างตกใจขณะที่ใบหน้าร้อนวาบเพราะเปลวไฟ ก่อนที่แรงระเบิดจะทำให้เธอกระเด็นกลับไปหาเจสสิก้าที่วิ่งสวนมาและสติดับวูบลง

      New York City

      NYPD

      เวลา 19:17 นาที ตามเวลาท้องถิ่น

      หลังจากเสร็จงานแถลงข่าวการจับตายฆาตกรต่อเนื่องหลายศพได้สำเร็จโดยความร่วมมือของกรมตำรวจนิวยอร์กและเอฟบีไอจบลง เจสสิก้าก็พบว่าแอนนาเบ็ตนั่งรออยู่ในห้องโดยมีบาดแผลจากการถูกไฟลวกเล็กน้อยและรอยช้ำสองสามรอย นอกจากที่เธอหมดสติไปอย่างอื่นก็นับว่าโอเค

      “จบแล้วสินะ”นายทหารหญิงเอ่ยเมื่อเจสสิก้าก้าวเข้าไปในห้อง

      “จบ ใช่ฉันคิดว่าอย่างนั้น”ตำรวจสาวพูดคล้ายไม่แน่ใจ “เธอจะไปที่ไหนต่อหลังจบเรื่องนี้”

      “ฉันต้องทำงานให้กับบริษัท HEF ที่นิวยอร์กตามกำหนดการเดิม เธอล่ะ”

      “ไปวอชิงตัน คงจะอีกสามวัน”

      แอนนาเบ็ตลุกขึ้นยื่นมือไปข้างหน้าแล้วยิ้ม “ตอนนี้ฉันขอบอกว่าขอบใจทุกสิ่งและอยากบอกว่าเธอเป็นเพื่อนที่ดีมากสำหรับฉัน แม้จะไม่นานนักแต่ฉันก็รู้สึกอุ่นใจเมื่ออยู่กับเธอ”

      เจสสิก้ายิ้มกว้าง เธอดีใจที่สามารถเปิดหัวใจของหญิงสาวเย็นชาคนนี้สำเร็จ “ใช่ฉันก็ดีใจที่เธอยอมรับฉันเป็นเพื่อนของเธอ”

      “นั่นสินะ ไม่ว่าอย่างไรเราก็เป็นเพื่อนกันเสมอ”ทั้งสองจับมือกันอย่างแนบแน่นแทนคำสัญญา

      New York City

      เวลา 23:00 นาที ตามเวลาท้องถิ่น

      เสียงเคาะประตูที่หน้าห้องของเจสสิก้าทำให้หญิงสาวเจ้าของห้องลุกออกจากรายงานของคดีล่าสุดลุกไปที่ประตู เมื่อมองลอดช่องมองก็พบว่าเป็นเด็กส่งอาหารของร้านอาหารชื่อดัง

      “ขอโทษนะ แต่ฉันไม่ได้สั่ง”เจสสิก้าแง้มประตูมองกล่องพิซซ่าแล้วพูดเสียงเรียบ เงยหน้ามองดูเด็กส่งพิซซ่าที่ยื่นกล่องพิซซ่ามาให้

      “มีผู้หญิงชื่อแอนนาเบ็ตส่งมาให้คุณครับ”เสียงห้าวดังขึ้น ตำรวจสาวขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เนื่องจากเธอเพิ่งแยกกับแอนนาเบ็ตที่หน้าสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเมื่อเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ทันใดนั้นเองเธอคิดได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครหญิงสาวก็เหวี่ยงประตูปิดทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายเผยให้เห็นปืนเก็บเสียงที่ซ่อนอยู่ข้างใต้กล่องพิซซ่า

      ฟอร์ด โบแมน คนที่ควรจะนอนนิ่งเป็นศพอยู่ในโรงพยาบาลเหตุใดจึงมายืมจังก้าอยู่ตรงหน้าเธอพร้อมอาวุธเช่นนี้!!!

      ปัง!

      ประตูไม้อัดถูกฝ่าเท้าของชายร่างสูงใหญ่ถีบจนกระเด็นเข้าไปในห้องพร้อมปืนเก็บเสียงที่กวาดไปหาเป้าหมายมองเห็นตำรวจสาวอยู่ที่หางตาปืนในมือก็วาดไปพร้อมยิงทันที

      ปึง!

      เสียงปืนที่ดังไม่ต่างจากการเปิดจุกก๊อกส่งกระสุนเข้าหาเป้าหมาย แต่เจสสิก้าไวเหลือเชื่อเมื่อก่อนที่กระสุนนัดนั้นจะได้ชีวิตเธอไป หญิงสาวก็โดดผลุดเข้าไปหลบหลังโซฟา แต่ดูเหมือนจะไม่ปลอดภัยนักเมื่อระเบิดลูกเกลี้ยงหล่นลงมาอยู่ตรงหน้าเธอ ทำให้เจสสิก้าร้องสบถแล้วพุ่งเข้าไปในห้องครัว

      ตูม!!!

      เปลวไฟทะลักเข้าไปในห้องครัวราวกับลมพายุ นายตำรวจหญิงกลิ้งไปด้านในสุดคว้ามีดหั่นเนื้อออกมาจากชั้นวางแล้ววิ่งฝ่าเปลวไฟออกไปทันที มองเห็นเงาลาง ๆ ของเป้าหมายอยู่เบื้องหน้า

      “ย้าก!!!

      .........

      “เฮ้ย!”เดฟ นายตำรวจแห่ง NYPD ร้องลั่นอย่างตกใจเมื่อมองเห็นเปลวไฟพุ่งพรวดออกมาจากหน้าต่างของคอนโดที่คุ้นเคยและมาจากห้องของเพื่อนสาวคนสนิท ขวดไวน์ที่นำมาเพื่อเตรียมฉลองในการปิดคดีสำเร็จร่วงลงสู่พื้นพร้อมกับที่ร่างสูงวิ่งเข้าไปในอาคารอย่างรวดเร็ว มือขวาดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ดแล้วกดเบอร์ฉุกเฉิน 911 อย่างรวดเร็วด้วยจิตใจที่ว้าวุ่น

      ...

      เคร้ง!!

      ใบมีดของเจสสิก้าประทะกับกระบอกปืนที่ถูกยกกั้นส่งเสียงใสกังวาน หญิงสาวปล่อยมีดในมือแล้วจับข้อมือของอีกฝ่ายบิดเพื่อให้ปืนหลุดจากมือแต่ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่ใช่หมูในอวยหมัดหนัก ๆ จึงถูกปล่อยสวนออกมาโชคดีที่เธอมีประสาทสัมผัสว่องไวเมื่อเห็นก็เบี่ยงกายหลบพร้อมกับฟันศอกเข้าใส่ใบหน้าของฟอร์ด โบแมนจนชายร่างใหญ่เซไปสองสามก้าวยกมือกุมจมูก หญิงสาวเมื่อเห็นเช่นนั้นก็พุ่งเข้าไปพร้อมกับปล่อยหมัดขวาออกไปอย่างรวดเร็วแต่โบแมนตั้งหลักได้โยกตัวหลบพร้อมกับที่หมัดซ้ายของตนชกเข้าที่การ์ดซ้ายของเจสสิก้า

      “อุ๊บ!”เจสสิก้ากั้นเสียงอุทานของตนเองเมื่อรู้สึกเจ็บแปลกที่แขนซ้าย สายตาก็มองเห็นปืนของอีกฝ่ายถูกยกขึ้น

      ปึง!

      “โอ๊ย!”แม้จะหลบได้แต่กระสุนก็ยังเฉี่ยวเข้าที่หัวไหล่ของเธอจนเลือดไหลเป็นทางยาว

      “แก...เป็นใครกันแน่!”หญิงสาวพูดเพื่อพยายามถ่วงเวลา แต่อีกฝ่ายเพียงแค่หัวเราะเจสสิก้าเห็นเช่นนั้นก็กระโจนเข้าไปในห้องนอนโดยมีเสียงปืนตามมาติด ๆ พุ่งเข้าหาอาวุธคู่กายที่วางบนโต๊ะข้างเตียง

      เปรี้ยง!

      Baretta M92F แผดเสียงดังสนั่นเมื่อเจ้าของเหนี่ยวไกปืน กระสุนพุ่งฉีกวงกบประตูจนชิ้นส่วนหลุดกระจาย แม้จะไม่โดนเป้าหมายแต่ก็ทำให้โบแมนไม่กล้ารุกเข้ามาให้ห้องนอนของเธอ ทำให้เจสสิก้าปักหลังสู้อยู่ด้านในสุดของห้องประบอกปืนเล็งไปที่ประตูทางเข้าห้องนอนโดยมีตุ๊กตาเคโรโระอยู่ข้างกายด้วยสีหน้าเรียบเฉยเมื่อตั้งสติได้

      “บ้าเอ้ย!!”เจสสิก้าสบถเสียงดังยิ่งกว่าเดิมเมื่อระเบิดอีกลูกถูกโยนเข้ามา หญิงสาวดีดตัวออกจากที่ซ่อนด้วยความเร็วสูงพุ่งผ่านประตูห้องนอนพร้อมกับเสียงระเบิดดังตามหลังแล้วจึงใช้ผนังห้องในการเปลี่ยนทิศทางพุ่งเข้าหาโบแมน

      ร่างบางของตำรวจสาวพุ่งชนโบแมนเต็มแรงส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายล้มกลิ้งไปกลับพื้นโดยมีเจสสิก้าอยู่ข้างบนเธอเหวี่ยงหมัดเข้าใส่ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างรุนแรงแต่ฝ่ายตรงข้ามราวกับไม่มีความรู้สึก โบแมนใช้สองมือผลักเจสสิก้าออกพร้อมกับกระโดดลุกขึ้นแต่หญิงสาวที่เป็นฝ่ายยืนก่อนก็หมุนตัวและส่งฝ่าเท้าให้ไปประทับอยู่บนแผ่นอกของอีกฝ่ายอย่างรุนแรงจนมันเซไปหลายก้าว เวลานั้นเองเสียงร้องก็ดังขึ้น

      “เจส หลบ!!”เดฟโผล่เข้ามาพร้อมกับปืนพกในมือเมื่อหญิงสาวเพื่อนสนิทย่อกายลงเขาก็เหนี่ยวไกส่งกระสุนให้ไปฝังร่างของโบแมนอย่างรวดเร็วจนอีกฝ่ายกระเด็นไปด้านหลังก่อนจะลุกยืนขึ้นโซเซ

      “ฟอร์ด โบแมน แกถูกจับแล้ว!”เจสสิก้ากำปืนแน่นขณะพูดประโยคนี้ แต่คิ้วของเดฟขมวดอย่างงุนงงก่อนจะตกใจไม่ต่างกับเจสสิก้าในครั้งแรกเมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่าย

      “หึ ๆ ๆ”โบแมนหัวเราะในลำคอก่อนจะเปิดเสื้อเผยให้เห็นอะไรบางอย่าง “เราจะตายไปด้วยกัน”มันพูดเสียงเหี้ยมที่ทำเอาสองตำรวจตัวชาวาบเมื่อเห็นว่าภายใต้เสื้อนอกนั้นมีระเบิดแบบ C4 ติดอยู่เต็มอกและที่มือซ้ายของมันก็กำปุ่มกดระเบิดไว้แน่น

      “แกตายคนเดียวแกเถอะ!”เจสสิก้าคำรามในลำคอพุ่งเข้าไปหมุนตัวเตะอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วและก่อนที่มันจะทันกดระเบิด หญิงสาวก็หมุนตัวอีกครั้งพร้อมกับเตะแบบแรงกว่าครั้งแรกส่งผลให้อีกฝ่ายกระเด็นไปด้านหลัง

      “ไม่!”โบแมนตะโกนขึ้นเมื่อพบว่าใต้ฝ่าเท้าของตนเป็นอากาศเมื่อมันถูกเตะจนเซออกมานอกระเบียงและถูกเตะซ้ำอีกครั้งตกราวระเบียงมือจึงกดไกทันที

      “หมอบ!!”ทั้งเจสสิก้าและเดฟตะโกนพร้อมกัน ชายหนุ่มโดดพรวดเดียวถึงร่างบางพร้อมกับกดหญิงสาวไว้กับพื้น

      ตูม!!!!

      New York City

      เวลา 11:23 นาที ตามเวลาท้องถิ่น

      “รอดมาได้หวุดหวิดเลยนะ”แอนนาเบ็ตพูดขณะวางกระเช้าดอกไม้สีสดลงบนโต๊ะข้างเตียงคนไข้ของเจสสิก้าผู้บอบช้ำภายในเพราะแรงระเบิดและผิวถูกลวกเนื่องจากความร้อนสูงแต่ก็ยังดีกว่าผู้กองหนุ่มที่ถูกพันด้วยผ้าพันแผลเกือบทั้งตัวเพราะเอาตัวบังร่างของเจสสิก้าเอาไว้ทำให้เขาโดนไปเกือบจะเต็ม ๆ

      “ใครจะรู้ว่าเจ้านั้นจะใช้คนอื่นปลอมเป็นมัน ตบท้ายด้วยระเบิดรถและตัวปลอมทิ้งให้คิดว่ามันตายแล้ว ก่อนจะดอดไปเยี่ยมฉันถึงห้องพร้อม C4 อีกหลายกิโลล่ะ มิน่าตอนถีบมันถึงรู้ถึงแข็ง ๆ พิกล”เจสสิก้าร่ายยาวขณะนอนเคี้ยวขนมบนเตียงพร้อมกับเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ขนาด 40 นิ้วบนฝาซึ่งกำลังรายงานข่าวของเธอเอง

      “อืม เมื่อกี้เพิ่งไปเยี่ยมเดฟมาอย่างกับมัมมี่”แอนนาเบ็ตเอ่ยถึงเดฟแม้จะคล้ายตลกแต่ลึก ๆ ลงไปแล้วแววตาของเธอแฝงแววกังวลใจ

      “ใช่ เพราะเขาช่วยฉันไว้เลยเป็นแบบนั้น คงต้องขอบใจหลายครั้งหน่อยล่ะทีนี้”หญิงสาวพูดก่อนจะสังเกตเห็นการแต่งกายของอีกฝ่ายที่ดูดีกว่าทุกวันจึงเอ่ยถาม

      “เธอจะไปไหนเหรอ? คราวนี้แต่งตัวแปลกกว่าทุกวัน”

      “ฉันจะกลับไปบ้านของญาติบุญธรรมของฉัน ไปเยี่ยมหลุมศพพวกท่านก่อนจะเข้าทำงาน”

      “เธอจะไปเมื่อไรล่ะ แล้วจะกลับมาตอนไหน”

      “ตอนสองทุ่มนี้ล่ะ จองตั๋วไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว จะไม่ไปก็ไม่ได้เพราะโทรนัดทางนั้นไว้แล้ว”สีหน้าของแอนนาเบ็ตแสดงให้เห็นว่าออกจะหนักใจอยู่บ้าง ทำให้เจสสิก้าต้องกุมมืออีกฝ่ายไว้

      “ขอให้โชคดีนะ แต่จำไว้ว่ายังมีฉันอยู่ข้างเธอเสมอ”

      “ขอบใจนะ เจส”แอนนาเบ็ตพูดพร้อมกับยิ้มอย่างจริงใจ

      “แน่นอน”

      ทั้งสองพูดพร้อมกันก่อนที่แอนนาเบ็ตจะเดินทางไปขึ้นเครื่องบินในเวลาสองทุ่มโดยไม่รู้เลยว่าอีกไปนานเกินรอทั้งสองจะได้มาพบกันกันอีกครั้ง ในสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่านี้ยิ่งนัก
      ..................................................................
      จบไปแล้วครับ สำหรับตอนพิเศษของผม ฮ่า ๆ ยาวมาก แต่มีตอนต่อไปครับ แต่คงไม่ลงที่นี่แล้วเพราะมันจะยาวเวอร์


      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×