คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #25 : หมดหวังหมดหนทางรักษา
ตอนที่ 25
ภาพบางอย่างปรากฏขึ้นในสมองของเจ้าชายหิมะ
แม้ว่าภาพนั้นจะเลือนราง มองไม่ชัดถึงรายละเอียด แต่ก็มองคร่าว ๆ ได้ว่าเป็นมนุษย์ที่มีมากกว่าหนึ่งคน
และคนเหล่านั้นกำลังดิ่งตรงมาที่นี่อย่างรวดเร็ว
เขารู้สึกแปลกใจตัวเองที่มองเห็นภาพเหล่านั้นผุดขึ้นมาในหัวได้ เพราะปกติจะได้ยินเพียงเสียงการเคลื่อนไหวได้เท่านั้น
เจ้าหญิงเฟรนลี่นั่งมองเจ้าชายแห่งเรียวนั่งเงียบไม่ยอมตอบคำถามนั้น ว่าเขามาดูแลปกป้องเธอทำไม?
‘ไม่อยากตอบ! ก็ไม่ต้องตอบ! ไม่เห็นจะอยากรู้เลย!’ เธอบ่นประชดหนุ่มข้างตัวอยู่ในใจ
แต่เมื่อเห็นเจ้าชายผมเทาเงียบไป ในใจกลับรู้สึกผิด
เธอไม่น่าถามคำถามไร้สาระอย่างนั้นออกไปเลย ทำไมต้องเรียกร้อง
ทำไมต้องอยากได้คำตอบอะไรจากบุรุษผู้นี้
“แรร์เน็ส...แล้ว...พวกซีนิธเป็นยังไงบ้าง ปลอดภัยดีรึเปล่า” เจ้าหญิงเฟรนลี่นึกถึงหมอหนุ่มขึ้นมา จึงถามคนข้างตัวด้วยกระแสจิต
เพราะเกรงว่าเวลานี้ เขาอาจไม่อยากให้ส่งเสียงใด ๆ มันน่าจะเป็นคำถามที่มีสาระขึ้นมาบ้าง เขาน่าจะตอบน่า....
“ซีนิธ แดนเทียน์ปลอดภัยดี แต่มีคนบาดเจ็บหลายคน” เจ้าชายแรร์เน็สตัดสินใจตอบด้วยกระแสจิตเช่นกันโดยไม่ได้หันมามอง สายตายังจดจ้องมองลอดใบไม้ออกไปเพื่ออดูความเคลื่อนไหว
“เรากลับไปช่วยพวกเขากันนะ” เจ้าหญิงชักชวน
“ตอนนี้เจ้าพูดภาษาเรียน่าได้คล่องมาก แสดงว่า ซีนิธคงสอนดี” เจ้าชายรู้สึกแปลกใจ ก่อนหน้านี้เธอยังพูดกระท่อนกระแท่นเสียงแปร่ง
ๆ อยู่เลย ทำไมตอนนี้ถึงพูดได้อย่างชัดเจน
รวดเร็วขนาดนี้
เจ้าหญิงเฟรนลี่นิ่งคิดไปชั่วขณะ นั่นสิ! ทำไมถึงได้พูดคล่องขนาดนี้ ซีนิธสอนภาษาเรียน่าให้ไม่กี่ประโยคเอง
และเป็นประโยคง่าย ๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่ทว่าตอนนี้เธอกลับพูดได้คล่องแคล่ว นึกจะพูดอะไร ก็สามารถพูดออกมาได้ทันที
ได้ดั่งใจนึกเลยทีเดียว ราวกับว่าตัวหนังสือเหล่านั้นเรียงอยู่ในสมองอย่างอัตโนมัติเลย ตั้งแต่เธอปวดหัวครั้งก่อนจนสลบไป พอตื่นขึ้นมาก็สามารถพูดภาษาเรียน่าได้ป๋อเลย มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ ภาษาโบราณที่ใช้กับดาบนั่นมันออกมาจากหัวของเธอได้ยังไงกัน เธอจะต้องค้นหาคำตอบนี้ให้ได้
เจ้าหญิงชะเง้อคอมองผ่านพุ่มไม้หนาตรงหน้าตัวเองออกไป
แต่ก็มองแทบไม่เห็นอะไรเลย มองเห็นได้ค่อนข้างลำบาก จึงโน้มตัวเข้าไปใกล้เจ้าชายผมเทา
พุ่มไม้ตรงหน้าเจ้าชายนั้นสามารถมองเห็นได้ง่ายกว่า
พลางเอื้อมมือไปลดกิ่งไม้ที่ขวางการมองเห็นลง
แต่เริ่มรู้สึกหงุดหงิดว่าต้องมานั่งหลบอะไรกันเนี่ย!
นั่งหลบมาตั้งนานแล้ว
“ว่าไง เราไปช่วยซีนิธกันนะ!” เจ้าหญิงส่งกระแสจิตถามต่อไม่เลิก
เพราะยังไม่ได้คำตอบจากเจ้าชายเลย
“แล้วเจ้ากำลังจะเดินทางไปที่ไหนเหรอ” จำได้ว่ายังไม่เคยถามความเป็นมาเกี่ยวกับหนุ่มผมเทาเลย
วันนี้ต้องสัมภาษณ์เขาเป็นค่าเวลาซักหน่อย
“บ้านของเจ้าอยู่ที่ไหนล่ะ?” เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมตอบ จึงทำหน้ายุ่ง
“นี่เรานั่งหลบอะไรกันเหรอ! ไม่เห็นมีใครมาเลย รอตั้งนานแล้ว
ว่าแต่ใครจะมาจับตัวข้าเหรอ
ทำไม?ต้องมาจับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างข้าด้วยล่ะ เจ้าบอกข้าทีเถอะ”
เจ้าหญิงเริ่มเบื่อที่ต้องมานั่งหลบกลัวอะไรก็ไม่รู้ เกิดความสงสัยทำไมถึงมีใครอยากมาจับตัวเธอนัก
เจ้าชายแห่งเรียวรู้สึกเสียสมาธิ
ที่หญิงสาวข้างตัวเอาแต่ถามโน่นถามนี่ไม่หยุด
จึงต้องหันมาปรามให้หยุดถามได้แล้ว แต่ทว่า...พอหันมากลับชนกับใบหน้าสวยที่ยื่นเข้ามาใกล้ จะถอยกลับก็ไม่ทันเสียแล้ว ใบหน้าของเจ้าหญิงนั้นชนกับแก้มของเจ้าชายปิศาจอย่างจัง! ต่างฝ่ายต่างตกใจไม่แพ้กัน ต่างคนต่างนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
เหมือนทุกสรรพสิ่งจะหยุดเคลื่อนไหวชั่วคราว
บุรุษผมเทานิ่งงันไปชั่วขณะ
แทบจะหยุดหายใจ ทำอะไรไม่ถูก สมองยังงุนงงไปหมด
รีบหันใบหน้ากลับอย่างเร็วที่สุด
ความรู้สึกอุ่น ๆ นั้นยังติดอยู่ที่แก้มอยู่เลย
เจ้าหญิงแห่งเบเนดิครีบหันหน้ากลับทันที ถอยตัวเองให้ห่างจากเจ้าชายหิมะ ดวงตากลมสีเขียวมรกตเบิกกว้างด้วยความตกใจ
ใบหน้าสวยนั้นร้อนผ่าวไปหมดด้วยความอายสุดขีด ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นโครมครามอยู่ข้างใน สองมือรีบยกปิดหน้าตัวเองอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี อยากจะร้องกรี๊ดออกมาให้สุดเสียงจริง ๆ เลย
โกรธตัวเองนัก
ทำไมถึงได้ซุ่มซ่ามไม่ระวังให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ เธอจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเนี่ย...!!!
เจ้าหญิงเฟรนลี่รู้สึกอายจนไม่อาจสู้หน้าเจ้าชายได้รีบผลุนผลันลุกออกจากที่ซ่อนหลังพุ่มไม้นั้น
“เฟรนลี่!”
เจ้าชายปิศาจรีบลุกตามออกไปทันที
พร้อมกับคว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้
“ข้า...ข้า...” เจ้าชายแรร์เน็สพูดอึก
ๆ อัก ๆ แล้วตัดสินใจพูดต่อให้จบประโยคนั้น
“ขอโทษด้วยนะ ข้า...ไม่นึกว่า...เจ้า...จะ...” เจ้าชายรู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของเจ้าหญิงว่ารู้สึกเช่นไรจึงยอมรับผิดเสียเอง
เมื่อเจ้าหญิงได้ยินดังนั้น จึงหันหน้ามามองอย่างงุนงง เพราะรู้สึกว่า
มันเป็นความผิดของเธอเองมากกว่า
“ตะ..ต่อ... ไป...เจ้า...ต้องระวังหน่อ..ย...นะ” เจ้าหญิงอ้อมแอ้มตอบแก้เก้อไปอย่างไม่เต็มเสียง ใบหน้านั้นยังชาไม่หาย
ฝ่ามือที่จับข้อมือเจ้าหญิงเฟรนลี่ดึงเจ้าของมือนั้นให้หลบไปอยู่ข้างหลังเจ้าชาย พร้อมกับหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับชายชุดดำที่พุ่งเข้ามาประชิดตัวทางด้านหลัง อีกมือหนึ่งจับข้อมือศัตรูบิด
ดาบในมือนั้นจึงทิ้งตัวลงกระทบพื้นดิน
พลังเย็นวิ่งจากฝ่ามือเจ้าชายหิมะไปยังข้อมือของฝ่ายตรงข้าม
เกิดผลึกน้ำแข็งจับตัวลามไปตามฝ่ามือของชายคนนั้นจนถึงข้อศอก
“โอ๊ย! ข้าเอง!” คนชุดดำเจ็บจนร้องเสียงหลง
เมื่อถูกบิดแขนจนแทบหัก
“เมแลนด์!” ชายคนนั้นรีบดึงผ้าคลุมหน้าออกทันที ผลึกน้ำแข็งนั้นทำให้แขนข้างนั้นเย็นจนชาปวดจนไม่สามารถขยับได้ชั่วขณะ
“เจ้าเองเหรอ!” เจ้าชายผมเทาขยับแขนฝ่ายตรงข้ามแรง ๆ ก่อนจึงปล่อยมือ ผลึกน้ำแข็งตามท่อนแขนของอดีตนายทหารเรียวจึงสลายไป
คนชุดดำอีกสองคนจึงดึงผ้าคลุมหน้าออกเช่นกัน
“บีวาร์!
เจ้ากลับมาแล้วเหรอ” เจ้าหญิงเฟรนลี่มองเห็นใบหน้าของคนชุดดำอีกคน สองเท้ารีบก้าวเท้าออกไปหาบุรุษผมทองด้วยความดีใจ
พร้อมกับจับมือเขาบีบไว้แน่น
“เฟรนลี่!! เป็นอะไรรึเปล่า?” องครักษ์หนุ่มคลายความร้อนใจเมื่อเห็นเจ้าหญิงตรงหน้าปลอดภัยดีทุกประการ
“ทำไมถึงใส่ชุดแบบนี้” เธอมององครักษ์คู่กายในชุดดำดูแปลกตา
“เราต้องทำตัวเป็นพวกเดียวกับโจร
จะได้ไม่ถูกสงสัยยังไงล่ะ” บีวาร์ตอบ พลางมองเลยจากหญิงสาวตรงหน้าไปมองเจ้าชายแรร์เน็สที่ยืนอยู่ไม่ไกล
ดวงตาสีสนิมเหล็กมองหญิงสาวรีบวิ่งไปหาบุรุษผมทอง จ้องมองด้วยความสงสัยถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่มีต่อกัน เขาเหลือบมองเห็นคนชุดดำอีกคน
ผมสีเขียวนั้นทำให้จำได้ว่าเธอคือคนที่ขโมยต้นเมิสร์ไปไม่ผิดแน่
==============
หลังจากที่ซีนิธจัดการพาร่างบิดา
มหาโจรริกเกอร์และเจ้าหญิงมายนาลี่กลับมายังค่ายกบฏริกเกอร์เพื่อทำการรักษาต่ออย่างเร็วที่สุด
และทำตามคำขอร้องของจอมโจรริกเกอร์เรื่องการดูแลทรัพย์สินเงินทองที่ปล้นมาได้ หมอหนุ่มจึงแบ่งทรัพย์สินส่วนหนึ่งให้บรรดาเหล่าทหารโจรไปทำทุนเพื่อให้พวกเขาได้ทำอาชีพสุจริต
เลิกเป็นโจรอีกต่อไป และที่เหลือเขาตั้งใจจะนำไปช่วยเหลือชาวบ้าน พร้อมกับแจกยาถอนพิษให้กับโจรทุกคนได้เป็นอิสระ
หมอหนุ่มมองคนเจ็บทั้งหมดนอนนิ่งหลับสนิทด้วยฤทธิ์ยาเหมือนคนเพียงนอนหลับไม่ได้บาดเจ็บใด
ๆ แต่ทว่าเมื่อจับชีพจรกลับอ่อนลงอยู่ทุกขณะ บาดแผลต่าง ๆ ไม่ดีขึ้นเลย
สร้างความทุกข์ใจให้กับเขาอย่างมาก
แม้จะพยายามหาสมุนไพรที่ดีที่สุดมาทา
มาพอก มากินก็แล้ว มิอาจทำให้บาดแผลเหล่านั้นดีขึ้นได้เลย เขาพยายามคิดหาวิธีรักษาบุคคลทั้งสาม วิธีแล้ววิธีเล่าอาการก็ยังไม่ทุเลาแต่อย่างใด
ก่อนตะวันขึ้นบุตรชายหัวหน้าโจรใหญ่ออกตามหาต้นเมิสร์ตามไหล่เขา
และหน้าผา
แต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะพบเลย
ตอนค่ำกลับมาปรุงยาค้นหาวิธีรักษาต่อ
แทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาตลอดสองวันที่ผ่านมา
แดนเทียน์ถอนหายใจเบา ๆ อย่างอ่อนใจ
วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่ยาบรรเทาอาการจะหมดฤทธิ์ลง
หมอหนุ่มแห่งค่ายริกเกอร์กลับมาด้วยสีหน้าหมดอะไรตายอยาก เขาเดินตรงไปตรวจอาการคนเจ็บทั้งสามคนอย่างรอปาฏิหาริย์ แต่ไม่มีปาฏิหาริย์ใด ๆ เกิดขึ้นเลย
วันนี้อาการของแต่ละคนทรุดหนักลงอย่างเห็นได้ชัด
สองขาอันอ่อนแรงพาร่างนั้นไปนั่งซึมอยู่ต่อหน้าหลุมศพของมารดา เขารู้สึกมืดมนอนธการกับการค้นหาวิธีรักษาและหมดหวังกับการค้นหาต้นเมิสซ์ที่ยังไม่มีหนทางจะหาพบ
จากหมอหนุ่มขี้เล่น
ยิ้มง่าย ช่างหยอกล้อและกวนประสาท เปลี่ยนเป็นคนละคน เงียบขรึม ไม่พูดไม่จา เศร้าซึมจนแดนเทียน์รู้สึกเป็นห่วง และหนักใจ เป็นสองวันที่ต้องทนอยู่อย่างอึดอัด
ต้องทนความเฉยชาของบุตรชายหัวหน้าโจรใหญ่
เธอไม่กล้าปริปากพูดอะไร รู้ตัวเองดีว่าเขายังโกรธเธออยู่
วันนี้เห็นเขานั่งเงียบอยู่ต่อหน้าหลุมศพของมารดานานแล้ว ราวกับรู้สึกผิดที่เป็นสาเหตุให้พ่อต้องบาดเจ็บปางตายเช่นนี้ แต่เหมือนยิ่งปล่อยไว้ อาการของเขากลับยิ่งแย่ลงกว่าเดิม เหมือนคนที่กำลังวกวนอยู่ในความคิดแบบเดิม
ๆ ของตัวเอง วนแต่เรื่องเก่า
อยู่แต่กับอดีต อยู่แต่กับความคิดที่คอยทำให้ตัวเองเสียใจ วันนี้เธอตัดสินใจที่จะพูดกับเขา แม้จะรู้แก่ใจดีว่า มันคงไม่มีความหมายอะไรสำหรับหมอหนุ่มเลย
“ซีนิธ…เจ้าจะทำยังไงต่อไป” แดนเทียน์รวบรวมความกล้าถามออกไป แม้จะรู้คำตอบนั้นดีอยู่แล้ว
บุตรชายของหัวหน้าโจรฝ่ายขวานั่งเงียบไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น
สายตาเหม่อมองอยู่เพียงแท่นหินสลักชื่อของมารดาของตนเท่านั้น
“ซีนิธ…”
เธอถอนหายใจออกเบา ๆ
หมอหนุ่มแห่งค่ายโจรยังคงไม่มีคำพูดใดเหมือนเดิม
ใบหน้านั้นหม่นหมอง และอมทุกข์ตลอดเวลา
“ซีนิธ…ไปเดินเล่นที่ริมแม่น้ำกัน เผื่อเจ้าจะได้รู้สึกดีขึ้นบ้าง” พลางคว้าแขนชายหนุ่มให้ลุกขึ้น แต่ทว่าร่างนั้นกลับไม่ได้ลุกขึ้นตาม ยังคงนั่งเฉยเป็นรูปปั้นไม่ตอบเธอ และไม่สนใจคำพูดของเธอแม้แต่น้อย
“เจ้ายังโกรธข้า…อยู่…ใช่มั้ย…”
ยังคงไม่มีคำตอบใด ๆ จากบุตรชายหัวหน้าโจรใหญ่
“ซีนิธ…ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ ข้าไม่ได้อยากฆ่าใครทั้งนั้น ข้าไม่รู้ตัวจริง ๆ ว่าทำไปได้ยังไง ไม่รู้จริง ๆ เจ้าต้องเชื่อข้านะ ข้า…ไม่ได้ตั้งใจ”
เธอยังคงพูดอยู่คนเดียว
โดยที่อีกฝ่ายไม่แสดงอาการยินดียินร้ายแต่อย่างใด น้ำตาเริ่มซึมออกมาคลอดวงตาคู่นั้นไว้ สาวน้อยพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ หายใจเข้าลึก ๆ
“เจ้าทานอะไรหน่อยเถอะ เดี๋ยวจะไม่มีแรง แล้วจะไม่สบายไปนะ” แล้วเลื่อนจานอาหารมาวางตรงหน้าชายหนุ่ม เขาไม่ยอมทานอะไรเลยมาครึ่งค่อนวันแล้ว ที่ผ่านมาก็ทานอะไรได้น้อยเหลือเกิน ใบหน้านั้นตอบลงอย่างเห็นได้ชัด
แววตาเศร้าซึมเหมือนมีน้ำตาคลอไว้ตลอดเวลา
ร่างกายดูซูบผอมลงไปอย่างมาก
“ทานข้าวไม่ลง
งั้น…ทานผลไม้ก็แล้วกันนะ” แล้วเลื่อนจานผลไม้ที่ปอกเรียบร้อยแล้วมาวางตรงหน้าชายหนุ่ม
แต่เขากลับไม่ยอมแตะอะไรเข้าปากทั้งนั้น
“ซีนิธ…อย่าเป็นแบบนี้ได้มั้ย…” น้ำตาร่วงผล็อยละแก้มอย่างเหน็ดเหนื่อยหัวใจเหลือเกิน น้ำตาที่พยายามจะกลั้นไว้ ห้ามไม่อยู่อีกแล้ว
“ข้า…ขอร้อง…” น้ำเสียงนั้นสั่นเทาสะอึกสะอื้น
“จะต้องให้ข้าทำยังไง! เจ้าบอกข้าสิ!” สองมือจับแขนบุตรชายหัวหน้าโจรเขย่าแรง ๆ
ซีนิธยังคงไม่มีคำตอบให้เธอแม้แต่คำเดียว
แดนเทียน์นั่งร้องไห้จนอ่อนล้า…เธอยกมือป้ายน้ำตาข้างแก้ม เธอจะไม่ยอมแพ้แค่นี้หรอก แล้วนั่งนิ่งพยายามคิดหาหนทางที่จะต้องช่วยเขาออกจากสภาพนี้ให้ได้
“ได้!! เมื่อเจ้าอยากเป็นอย่างนี้
อยากนั่งอยู่อย่างนี้ ข้าจะนั่งเป็นเพื่อนเจ้า” หลังจากนั้นแดนเทียน์ไม่พูดอะไรกับซีนิธอีกเลย ไม่ยอมกินอะไรเหมือนเขา และคงกินอะไรไม่ลงเช่นกันที่เห็นหมอหนุ่มเป็นเช่นนี้ เมื่อตะวันลับหายไปจากเหลี่ยมเขา ดวงจันทร์นวลตาโผล่พ้นยอดไม้ขึ้นมาแทนที่ ทำให้ยามค่ำคืนเดือนหงายสว่างไสว
เธอยังคงนั่งเป็นเพื่อนเขาอยู่อย่างนั้น
ซีนิธรู้สึกตัวหลังจากผล็อยหลับไปอย่างอ่อนเพลีย
เขาหันมามองแดนเทียน์นั่งหลับพิงไหล่ของเขาอยู่ สองมือเล็กกอดอก ห่อไหล่เหมือนกำลังหนีความหนาวเย็น พอเขาขยับตัว เธอก็รู้สึกตัวทันที รีบขยับตัวขึ้นนั่งตัวตรง สีหน้านั้นอิดโรยไม่น้อย
“เจ้ามานั่งทรมานตัวเองอยู่ทำไม” เสียงเรียบ ๆ ของหมอหนุ่มเอ่ยถามเป็นประโยคแรก
“ไม่เลย…ข้าไม่ได้นั่งทรมานตัวเองนะ ข้าแค่อยากนั่งเป็นเพื่อนเจ้า”
“ไม่จำเป็น!
ข้าไม่ต้องการเพื่อน” หมอหนุ่มแห่งค่ายริกเกอร์ตอบเสียงห้วน
“ไม่เป็นไร
แม้เจ้าไม่ต้องการ
แต่ข้าก็เต็มใจจะนั่งเป็นเพื่อนเจ้า”
“ตามใจ”
จบประโยคนั้นเขาไม่พูดอะไรกับเธออีกเลย
เขาอยากรู้นัก!
เธอจะทำได้นานแค่ไหน
หลังจากนั้นหมอหนุ่มไม่ได้ยินเสียงของคนที่นั่งอยู่ข้างกายอีกเลย
บรรยากาศรอบตัวมืดมิดดึกสงัด และอากาศเย็นขึ้นทุกขณะ สาวน้อยยังคงนั่งอยู่อย่างนั้น ไม่กินข้าวกินน้ำเป็นเพื่อนเขา เหมือนที่ได้ลั่นวาจาไว้ ไม่บ่น ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว แม้จะอ่อนเพลียมาก เพราะที่ผ่านมาก็กินไม่ได้นอนไม่หลับเช่นกัน แต่ยังไม่ละความตั้งใจเดิม หากต้องตายไปตอนนี้ เธอก็ไม่เสียดาย ชีวิตเธอไม่มีค่า ไม่มีความหมายสำหรับใครอีกแล้ว… ชีวิตจากนี้คงต้องอยู่ตัวคนเดียว โดดเดี่ยว ไร้พ่อแม่ญาติพี่น้อง เธอไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไม เพื่ออะไร โลกมันโหดร้ายสำหรับเธอเหลือเกิน ทำร้ายเธอมาตลอดชีวิต ไม่รู้เธอเกิดมาด้วยความผิดข้อไหน จึงต้องทนกับโชคชะตาแบบนี้
จากหมอหนุ่มที่นั่งนิ่งเงียบไม่สนใจใคร
เอาแต่อยู่กับความคิดวกวนของตัวเองเท่านั้น แต่เมื่อมีคนมานั่งข้าง ๆ ทำอาการอย่างเดียวกันกับเขา ความคิดกลับเปลี่ยนแปลง เริ่มหันมาสนใจคนที่นั่งอยู่ข้างตนเอง คอยสังเกต เขามองเห็นเด็กสาวนั่งนิ่งเงียบงัน เงียบจนผิดปกติ สีหน้าหมองเศร้าจนเขารู้สึกได้ ในแววตาเหมือนมีหยาดน้ำตาคลออยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญเธอไม่สนใจเขาอีกเลย เหมือนกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเองเช่นกัน ซีนิธกลายเป็นฝ่ายที่คอยแอบมองเธอ
ชายหนุ่มไม่เข้าใจเธอเลย
ทำไมถึงต้องเลียนแบบการกระทำของเขาจนเหมือนมากขนาดนี้
บุตรชายหัวหน้าโจรใหญ่รู้สึกตัวขึ้นตอนดึกของคืนเดือนหงาย
อากาศเริ่มเย็นลงอีก
จนเขาเองก็หนาวจนเกือบทนไม่ไหว หันไปมองสาวน้อยที่อยู่ข้างกาย ร่างเล็กบอบบางนั้นคู้ตัวงอหมอบฟุ้บอยู่กับพื้นดิน
“แดนเทียน์”
เขาเรียกเธอ
แต่ไม่มีเสียงตอบ…
“แดนเทียน์…”
เขาเรียกเธอเป็นครั้งที่สอง แต่ทว่า มีเพียงความเงียบเป็นคำตอบจากความสงัดของยามราตรีกาล
“แดนเทียน์…!!”
บุตรชายของขุนโจรใหญ่ตกใจ รีบเอื้อมมือจับแขนเธอเขย่า ร่างนั้นไม่ตอบคำถามใด ๆ เนื้อตัวของเธอเย็นเฉียบ หมดสติไร้ความรู้สึก
“แดนเทียน์!”
เขาใจไม่ดี กลัวว่าเธอจะเป็นอะไรไปจริง ๆ
ชายหนุ่มรีบประคองร่างเย็นเฉียบนั้นขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน
แล้วกอดเธอไว้เพื่อให้ร่างกายของเธออบอุ่นก่อนที่อาจจะแข็งตาย สองมือลูบหลังหญิงสาวไปมาเพื่อให้เกิดความร้อน
สักพักใหญ่คนหมดสติจึงเริ่มรู้สึกตัวขึ้นช้า…ช้า…เมื่อได้รับไออุ่นจากตัวชายหนุ่ม
“อย่า…”
เสียงนั้นแผ่วเบาขาดห้วงหายลงไปในลำคอ
“อย่า…แตะต้องตัว…ข้า…” แล้วพยายามขยับตัวเองออกจากอ้อมกอดของเขาด้วยกำลังที่เหลือน้อยนิดเต็มที
“ให้ข้า…ตายเถอะนะ…ได้โปรด…” น้ำตาไหลซึมจากปลายหางตาอย่างช้า…ช้า…ก่อนรินไหลละไปตามแก้มซีดขาวนั้น
ซีนิธกอดเธอไว้แน่นกว่าเดิม
พลางตบแผ่นหลังของเธอเบา ๆ อย่างปลอบโยน ร่างเย็นเฉียบนั้นเริ่มอุ่นขึ้นเป็นลำดับ
ชายหนุ่มไม่พูดอะไรอีก
เมื่อร่างกายของเธออุ่นขึ้นจึงแบกเธอขึ้นหลัง เพื่อพากลับบ้าน ระยะทางไม่ไกลนัก แต่ทว่าต้องเดินฝ่าลมเย็นยะเยือกตลอดเวลา บวกกับความอ่อนเพลียอย่างมากเพราะไม่มีอาหารตกลงถึงท้องเลย และขาดการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ทำให้ร่างกายของเขาแทบแย่เช่นกัน สิ่งที่ทำให้เขายืนหยัดอยู่ได้ เพราะแรงใจ ความตั้งใจที่จะต้องพาแดนเทียน์กลับไปถึงบ้านให้ได้ เคยคิดอยากให้คนอย่างเธอตายไปจริง
ๆ ด้วยแค้นใจที่พลั้งมือฆ่าบิดาอันเป็นที่รัก ฆ่าแม้แต่คนที่หมดทางสู้และกำลังใกล้ตายได้ลงคอ แต่พอถึงเวลานี้จริง ๆ เขากลับไม่อาจปล่อยเธอตายจากไปแบบนี้ได้ ที่สำคัญด้วยคำมั่นสัญญาที่รับปากมารดาของเธอไว้
ซีนิธพยายามแข็งใจจะพาแดนเทียน์กลับให้ถึงบ้าน
บ้านที่เคยมีพ่อ..แม่..แคร์เซีย… ณ วันนี้ เขาไม่มีใครอีกแล้ว…ทุกคนกำลังจะตายจากเขาไปกันหมด
รู้สึกเจ็บปวดในหัวใจเหลือเกิน เขาหลับตาลงอย่างอ่อนล้า พลางกัดฟันกรามแน่น กล้ำกลืนน้ำตาแห่งความเสียใจให้ไหลกลับเข้าไปข้างใน ขาเข้งนั้นสั่นอ่อนเปลี้ยเพลียแรงทุกย่างก้าว จนก้าวเท้าต่อไปไม่ไหว ร่างของเขาและเธอล้มฟุบลงกับพื้นดิน
ความคิดเห็น