[WFcontest] (Unlucky) Beast School - [WFcontest] (Unlucky) Beast School นิยาย [WFcontest] (Unlucky) Beast School : Dek-D.com - Writer

    [WFcontest] (Unlucky) Beast School

    ฮ่าฮ่าฮ่า! ฉันหาแหล่งทดสอบความกล้าที่ใหม่ได้แล้ว คริฟ! ไอ้ญาติตัวแสบนายมานั่งฟังฉันพูด เดี๋ยวนี้! ทำไมฉันต้องฟังเธอด้วยเล่า เพราะฉันคือเจวาลีน บล็อกเกอร์สุดสวยผู้อุทิศตนให้สถานที่ทดสอบความกล้านะสิ!

    ผู้เข้าชมรวม

    179

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    179

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  แฟนตาซี
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  31 ม.ค. 58 / 00:31 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

    เรื่องสั้นประปวด WFcontest หรือ World Fantasy Contest

    หัวข้อที่สาม :: โรงเรียนฝึกสอนสัตว์วิเศษในตำนาน

    หวังว่าทุกคนคงไม่กลัว...เจวาลีนหรอกน่ะ?
    (//คนเขียนทำหน้าแอ๊บแบ๊ว)
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

                      มันเป็นหนึ่งในสุดยอดสถานที่ทดสอบความกล้า!

                      ใช่ ภายในเมืองหลังๆ ออกแนวชายป่าหลังเขา ความเจริญมีอย่างประหยัดแค่ห้างๆ เดียวก็แทบทำให้ผู้คนที่นี่โอ้อวดได้ทั้งชาติ (โชคร้ายที่เมืองมีห้างใหญ่อยู่ 3 แห่ง พวกชาวเมืองเลยขี้โม้ขึ้นเป็นสามเท่า!)

                      อย่างไรก็ตาม ด้วยความเป็นกึ่งเมืองกึ่งหลังเขา รับรองว่าที่นี่ไม่มีที่เที่ยวน่าหดหู่แบบร้านขายของ ผับหรือฮอลล์หรอก ที่นี่มีแหล่งทดสอบความกล้าชั้นเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นสุสาน สถานที่เต็มไปด้วยป้ายหิน ไม้กางเขนและควันธูป (ก่อนเข้ามากรุณาสวมผ้าปิดปาก เพราะนอกจากผีแล้ว น่ากลัวว่าควันธูปที่นี่อาจทำร้ายปอดคุณจนเสียหายยับเยินได้) หรือตึกร้าง สถานที่ซึ่งสร้างไม่เคยเสร็จไม่ว่าจะขึ้นอยู่ตรงมุมไหนของโลกมาพร้อมกับความวังเวงสไตส์หนังผีที่ทุกคนต้องสัมผัสให้ได้สักครั้งในชีวิต

                      แต่เมืองเรามีเด็ดสาระตี่กว่านั้น

                      เมืองของเรามี โรงเรียน !!

                     

                      “

                      “กลับล่ะ”

                      “เดี๋ยวก่อน!” ฉันรีบลากเจ้าลูกพี่ลูกน้องตัวแสบที่เพิ่งเคยมาชนบทครั้งแรกทั้งที่อายุปาเข้าไป 18 แล้ว คริฟเหลียวตามองมือของฉันซึ่งรั้งชายเสื้อของเขาไว้ ไฟฉายที่ถือไว้สร้างบรรยากาศเมื่อครู่กลิ้งตกลงไปบนพื้น ลำแสงส่องเข้าหน้าของคริฟเต็มๆ ฉันเลยเห็นเครื่องหมายกากบาทอันเบ้อเริ่มกำลังเต้นตุ๊บๆ บนหน้าผากของเขา

                      “เจวาลีน ปล่อย”

                      “ไม่!” เรื่องอะไรจะปล่อย นานๆ ทีจะมีเหยื่อ เอ๊ย! ญาติมาค้างที่บ้าน มิหนำซ้ำยังอายุน้อยกว่าเหมาะแก่การล้างสมองแล้วพาไปเที่ยว “ฟังฉันพูดให้จบก่อนนะ น้า~” คริฟมีปฏิกิริยากับเสียงออดอ้อนน่ารักของฉัน คิ้วของเขากระตุก ดวงตาหรี่เล็ก ริมฝีปากตกเล่นเอาหน้าหล่อเหลาประหนึ่งเทพปั้นเสียของหมด

                      “ฉันไม่ฟังเรื่องไร้สาระจากญาติไร้สาระที่อายุมากกว่าหรอก” เขาว่า เห็นชัดว่าไม่ต้องการฟังต่อ ดังนั้นฉันจึงงัดแผนสองออกมาใช้ เรียกว่าแผน สาวน้อยบอบบางผู้ถูกทำร้าย ไงล่ะ!

                      ฉันล้มตัวลงไปนั่งกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง เอามือกายหน้าผากแล้วบีบน้ำตา “ไม่เป็นไร ถ้านายไม่ต้องการฟังก็ไม่เป็นหรอก” ผ้าเช็ดหน้าสีข่าวขุ่น ลายดอกทิวลิปสีชมพูถูกฉันกัดทึ้ง “ยังไงซะ พวกเราก็เป็นแค่ญาติห่างของห่างยิ่งกว่าห่างประหนึ่งระยะทางจากโลกไปดาวอังคาร นายไม่ต้องสนใจฟังฉันเล่าเกี่ยวกับสุดยอดสถานที่ทดสอบความกล้าของเมือง ของประเทศ ไม่สิ ของโลกแห่งนี้ก็ได้ ฮืออออ~ ฮือออ~

                      “อ๊ากกก!” คริฟขยี้หัว “ก็ได้ๆ เธอชนะ ยัยญาติปัญญาอ่อน เล่ามา!

                      น้ำตามลายหายไปเร็วยิ่งกว่าไอศรีมละลายตอนเข้าเตาไมโครเวฟ เจวาลีน ชาคอฟสต้าร์กลับมาแล้ว ฟื้นคืนชีพจากผีดิบระดับสามย้อนกลับมาเป็นผีดิบระดับหนึ่งซึ่งใกล้เคียงกับสิ่งมีชีวิตที่สุด ช่างเรื่องถุงดำใต้ตาที่ต่อให้เอาที่ขูดเนยมาขูดทั้งชาติก็ยังไม่หมดเถอะ

                      “ที่นี่มีโรงเรียน!” ฉันเริ่มเล่าต่อ

                      ตำนานสถานที่ทดสอบความกล้าที่โด่งเด่นขนาดกลายเป็นทอกค์ ออฟ เดอะ ทาวน์ในโลกออนไลน์มาแล้วแห่งนี้ ชื่อว่า โรงเรียนบีสสคูล (Beast School) เล่าขานกันมาตั้งแต่สมัยแม่ยังสาวและพ่อยังไม่ลงพุง สถานศึกษาแห่งนี้มักเต็มไปด้วยบรรยากาศแปลกประหลาด ตั้งแต่รั้วประตูที่ทำจากเหล็กดัดสีดำ มีสัญลักษณ์ค้างคาวบนจันทร์เสี้ยวประดับตรงยอด ส้วนบนรั้วคือตัวอักษรเรียงเป็นชื่อโรงเรียนสีทองที่ไม่เคยสกปรก บริเวณรั้วปลูกดอกกุหลาบแดงสดซึ่งบานตลอดทั้งปีอย่างเป็นปริศนา อาคารสถานที่เห็นแล้วชวนนึกถึงปราสาทท่านเค้าท์ แดร็กคิวล่า มันเป็นตึกยุโรปทรงโบราณสีเทาดำ หน้าตาบานสูงสวยงามราวกับของจากยุควิกตอเรียและประตูไม้โอ๊ทเนื้อดีสีน้ำตาลเข้มที่ไม่เคยเปิด

                      เดิมที ชาวเมืองคิดว่ามันเป็นแค่โรงเรียนร้าง ทว่าเมื่อตกเย็นบางทีพวกเขาเห็นเด็กนักเรียนสวมชุดยูนิฟอร์มอย่างหรูเดินผ่านประตูรั้วเหล็กดัดที่เปิดอ้ารับที่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น! บางครั้งเมื่อตกกลางคืนจะมีเสียงหวนโหยจากพวกสัตว์ป่าดังระงม เป็นเสียงคำรามบ้าง เสียงต่อสู้บ้าง บางทีภายในห้องที่ไม่ควรจะมีใครอยู่กลับมีแสงไฟเล็ดลอดออกมา มิหนำซ้ำยังมีเงาดำบางอย่างกำลังทำท่าเขียนกระดานอยู่ ทว่าในตอนกลางคืนบางครั้งชาวเมืองบางคนมีเหตุต้องไปทำธุระแถวนั้นก็มองเห็นเงาสัตว์ขนาดใหญ่สีดำหลายตัวกำลังวิ่งอยู่ในสนามหรือไม่ก็เห็นเงาเด็กนักเรียนเดินไปมาในตึก

       พวกเขาเล่าลือว่าสมัยโบราณเมืองแห่งนี้เป็นเมืองต้องสาป มีเหล่าอสูรกายแฝงตัวอยู่กับมนุษย์ เพื่อให้ทั้งสองเผ่าพันธุ์อยู่อย่างสงบ บรรพบุรุษจึงยกที่ดินแทบเนินเขาซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งโรงเรียนให้แก่พวกเขาทั้งหมดและสาบานว่าจะไม่เข้าไปรุกล้ำอาณาเขตของกันและกัน

                      “” เด็กหนุ่มนั่งนิ่ง หน้าตาแข็งโป๊กราวกับหิน ระ หรือว่าเขากำลังสนใจจนนั่งแข็งทื่อไปเลย!?

                      “เป็นไงล่า~!” ฉันว่า “น่าสนใจใช่ม้า~ เพราะฉะนั้นคืนนี้พวกเราไป

                      “ขอผ่าน” เจ้าญาติไม่รักดีกระเด้งตัวลุกขึ้นยืนแล้วถอยห่างอย่างกับฉันเป็นตัวน่ารังเกียจ คิ้วสีน้ำตาลเข้มทว่าทรงเสน่ห์สุดๆ (ไม่ได้พูดเอง มีคนเขาเล่ามา) ผูกกันจนกลายเป็นริบบิ้นวันคริสต์มาสแล้ว

                      “ฟังยังไงก็เรื่องไร้สาระไม่ใช่รึไง ไอ้ที่ทดสอบความกล้าบ้าบอของเธอน่ะ เจวาลีน!

                      “เรียกว่าพี่ลีนสิ ฉันแก่กว่านายนะ!” คราวนี้เป็นฉันบ้างที่ลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับคริฟ หน๊อยแน่ะ หมอนี่สูงเกินไปแล้ว มันน่าโมโหนัก พอยืนเทียบกันฉันดูเหมือนเด็กมัธยมต้นไปเลย “อีกอย่างมันไม่ใช่เรื่องไร้สาระสักหน่อย ออกจะน่ากลัวแล้วก็น่าดึงดูดขนาดนี้ นายไม่สนใจบ้างรึไง!

                      “ที่จริงฉันก็เคยอ่านไอ้เรื่องโรงเรียนขวัญประสาทของเธอในอินเทอร์เน็ตมาบ้างแล้ว บอกตามตรง มีแต่เรื่องเพ้อเจ้อทั้งนั้น!” อีกฝ่ายพูดเชิงดูถูก ฉันเลยสวนกลับไป “แล้วเรื่องเงากับเสียงร้องโหยหวนประหลาดนั่นล่ะ จะอธิบายยังไง”

                      เขาพ่นลมหายใจ “ตรงนั้นมันเป็นเนินเขาแถมเมืองนี้ก็อยู่กลางป่าด้วย อาจจะเป็นเสียงสัตว์จากป่าก็ได้ ส่วนเงาดำก็อาจจะเป็นสิ่งของหรือผ้าม่าน อีกอย่างมันมีทฤษฎีว่าเวลาคนเรารู้สึกกลัวเรามักจะมองทุกอย่างมากกว่าความเป็นจริง อย่างเช่น เห็นเป็นเงารูปคนหรือเห็นสิ่งของขนาดใหญ่ขึ้น” สมกับจากเมืองกรุง ภาคทฤษฎีของเขาสอบผ่านพอๆ กับหน้าตา คริฟยืนกอดอก ยกยิ้มมุมปากอย่างผู้มีชัย

                      “ดังนั้นฉันถึงกล้าพูดเต็มปากว่าเรื่องสถานที่ทดสอบความกล้าของเธอมันเพ้อเจ้อสิ้นดี”

                      ปัง! ฉันกระถีบเท้า ดีที่พ่อแม่เดินทางไปต่างเมือง ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่รอให้เราเถียงกันน้ำลายกระเซ็นจนถึงตอนนี้หรอก ดูยังไงเจ้าญาติอวดดีก็คงไม่ยอมไปที่โรงเรียนกับฉันคืนนี้แน่ๆ เฮอะ! อุตส่าห์เห็นว่าเป็นครั้งแรกที่เพิ่งมาบ้านนอกขนาดนี้ เราก็อยากจะพาไปเที่ยวที่สนุกๆ สักหน่อย

                      แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้

                      “เฮ้ย! เธอจะทำอะไรน่ะ!?

                      ฉันหันกลับไป กระชับหางม้าของตัวเองในแน่น “ในเมื่อนายไม่ไป ฉันไปคนเดียวก็ได้!

                      “ยัยญาติปัญญาอ่อน!” แอบสะใจตอนเห็นคริฟร้องลั่น ตาเหลือกเมื่อเห็นฉันกระโดดลงไปทางหน้าต่างพร้อมกระบอกไฟฉาย พอหลังถึงพื้นฉันเพียงแค่เสยะยิ้มส่งในเขาที่ชะโงกหน้าออกทางหน้าต่างด้วยสีหน้าแตกตื่น เขาทำท่าจะอ้าปากต่อว่า แต่เรื่องอะไรฉันต้องอยู่รอฟังล่ะ รีบชิ่งดีกว่า

       

                      ระยะทางจากบ้านฉันไปถึงเนินเขา จะเรียกว่าใกล้ก็ไม่ใช่ จะเรียกว่าไกลก็เรียกได้ไม่เต็มปาก ทว่าคงเดินไปพร้อมแบกกระเป๋าเป้ที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์สำหรับกิจกรรมทำสอบความกล้าไม่ได้ โชคดีที่พ่อลืมล็อคจักรยาน ดังนั้นฉันเลยเข็นมันออกมาจากโรงเก็บแล้วปั่นไปตามทาง ป่านนี้ฉันจินตนาการถึงภาพคริฟกำลังกระทืบเท้าโมโหแต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรก่อนหลังระหว่างโทรไปฟ้องพ่อแม่กับเต้นแรงเต้นกาหน้าหน้าต่างต่อไป

                      ถึงโทรไปฟ้องพ่อแม่ฉันก็ไม่กลัวหรอก เด็กสาวอายุ 22 ที่มีถุงใต้ตาสีดำอย่างฉันต่อให้หายไปจากบ้านสามวันสามคืน ทางครอบครัวก็คงไม่กลัวว่าจะมีใครมาทำอะไรมิดีมิร้ายกับฉันหรอก กลายเป็นฉันเสียอีกที่น่าจะไปทำมิดีมิร้ายลูกชาวบ้านมากกว่า

                      สองเท้าเร่งปั่นขึ้นเนิน ส่วนนี้เป็นส่วนที่ยากที่สุดเพราะทางค่อนข้างคดเคี้ยว ทว่าโชคดีที่มีไฟตลอดเส้นทาง ต้องขอบคุณความเจริญที่มาพร้อมห้างสรรพสินค้าซึ่งทำให้พวกเราไม่ต้องอุดอู้อยู่กับความเป็นธรรมชาติจนเกินไป ฉันเริ่อมเห็นรั้วโรงเรียนแล้ว มันเป็นอย่างที่ข่าวลือว่าอาคารโบราณ รั้วเหล็กดัด ดอกกุหลาบแดงและบรรยากาศชวนขนหัวลุก

                      อย่างนี้สิ สวรรค์! ได้ยินมาว่าเมื่อไม่กี่เดือนก่อนมีเด็กวัยรุ่นจากในเมืองพยายามบุกเข้าไปทดสอบความกล้า สุดท้ายพวกเขากลับวิ่งหนีกระเจิดกระเจิ่งออกมาแล้วขับรถกลับบ้านโดยไม่พูดไม่จากับใครอีกเลย

                      ถึงไม่มองกระจก ฉันก็รู้ว่าตอนนี้ในดวงตาสีน้ำตาลแดงของฉันต้องมีดวงดาวระยิบระยับนับแสนล้านดวงแน่ๆ

                      ฉันมาถึงแล้ว ที่นี่คือโรงเรียนบีสสคูล หนึ่งในหกสถานที่ทดสอบความกล้าที่น่าตื่นเต้นที่สุดในเมือง!!

                      เบื้องหน้าเป็นรั้วเหล็กดัดสีดำ ตรงยอดเป็นรูปค้างคาวและพระจันทร์เสี้ยว ตัวอักษรชื่อโรงเรียนที่ไม่เคยสกปรก ตัวเหล็กยังดูสวยงามเหมือนได้รับการดูแลอย่างดีสม่ำเสมอแม้ว่าจะมีเศษเถาวัลย์เลื้อยไปตามซี่เหล็ก แต่มันก็น่าตื่นเต้นดีนิ!

                      ฉันโยนกระเป๋าเป้ลงพื้น สิ่งแรกที่หยิบออกมาคือไฟฉายแบบพกพาสามารถเอาใส่กระเป๋าเสื้อได้ ที่จริงถ้าอยากให้คลาสสิคฉันคราวพกกระบอกไฟฉาย แต่อันนี้สะดวกกว่าอีกอย่างฉันสวมเสื้อเชิ้ตเป็นประจำ ดังนั้นไฟฉายแบบนี้แหละ เหมาะสมที่สุด ถัดมาเป็นโทรศัพท์มือถือ ฉันกดเบอร์ตำรวจค้างไว้เผื่อเหตุฉุกเฉินก่อนจะเก็บใส่กระเป๋ากางเกง นอกจากนี้ก็ตรวจเช็คอุปกรณ์ทั่วไป อย่างเช่น สเปรย์พริกไทย, ที่ช็อตไฟฟ้า, ช็อคโกแล็ตบาร์และน้ำขวดเล็ก, เครื่องรางนำโชคเสริมด้วยออปชั่นปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย, กล้องถ่ายรูปพร้อมแบ็ตสำรองและอุปกรณ์เพิ่มเติมอย่างกระดูกสำหรับสุนัข ลูกบอลยางมีเสียงและนกหวีดสุนัข ได้ยินมาว่าเงาดำในสนามรูปร่างเหมือนสุนัข บางทีเจ้าพวกนี้อาจจะได้ผล

                      ขั้นแรกต้องจัดการกับประตูให้ได้เสียก่อน ฉันเตรียมเชือกติดตะขอสำหรับปีนไว้แล้ว ดังนั้นก่อนอื่นต้อง

                      “เอ๊ะ?”

                      ประตูเปิด? เมื่อกี้ไม่เห็นเปิดเลย รึว่า

                      ฉันหันขวับซ้าย ขวาในมือเตรียมที่ช็อตไฟฟ้าไว้ ตามข่าวลือชาวเมืองเล่าว่าเห็นเด็กในชุดยูนิฟอร์มโรงเรียนเดินผ่านประตูซึ่งเปิดปิดเองอย่างไร้สาเหตุ แต่จนแล้วจนรอดฉันกลับไม่พบใคร ไม่มีนักเรียนคนนั้น มีแต่ฉันที่ยังยืนจังงันอยู่หน้ากระตูรั้วเหล็กอ้ากว้าง

                      อะไรสักอย่างอยากให้ฉันเข้าไปเหรอ? เพราะประตูรั้วเปิดคาอยู่ตรงนั้นและตึกอาคารเรียนก็เย้ายวนใจเหลือเกิน

                      คงดูเป็นเรื่องไม่ดีที่เด็กสาวจะเดินเข้าไปเพียงลำพัง แต่ช่างเรื่องนั้นไปเถอะ ฉันคือ เจวาลีน ชาคอฟสต้าร์ นักสำรวจสถานที่ทดสอบความกล้าชื่อดังบนเว็บไซด์ เอาปลาย่างตัวโตมาเสนอต่อหน้าแมวหิวโซเสียขนาดนี้ มีหรือมันจะไม่ตะครุบ ฉันเดินเข้าไปอย่างตื่นเต้น ถึงเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อรั้วปิดจะดึงความสนใจจนต้องเหลียวหลังกลับไปมองก็ยังไม่สามารถกลายความตื่นเต้นที่อยู่ในใจได้แม้แต่น้อย

                      ประตูเปิดปิดเองอัตโนมัติจริงๆ ด้วย!

                      ดวงตาฉันลุกวาว ทว่าสิ่งที่น่าสนใจจริงๆ กลับเป็นตัวตึกอาคารโบราณตรงนั้นต่างหาก

                      เมื่อเข้ามาข้างในฉันพบว่าข้างในกว้างกว่าที่คิดจนเผลอนึกว่าแท้จริงแล้วมันคือคฤหาสน์พักร้อนสำหรับพวกเศรษฐีมีเงิน เลยรั้วเหล็กดัดถัดมาเป็นสนามกว้าง มีทางเดินลาดยาวไปถึงตัวอาคาร ตรงกลางทางเดินเป็นน้ำพุขนาดมหึมา แม้จะไม่มีรูปปั้นประกอบ ทว่าความเรียบง่ายด้วยลวดลายดอกไม้ ลูกไม้ของมันกลับฉายแสงเสียจนหลบตาไม่ได้ นอกจากทางเดินยาวแล้วยังมีทางแยกตัดผ่าโดยมีน้ำพุเป็นจุดศูนย์กลาง ฉันไม่รู้ว่าทางแยกซ้ายขวาจะนำไปสู่ที่ใดเพราะโรงเรียนบีสสคูลเป็นที่ลึกลับมาก ขนาดไปค้นในหอจดหมายเหตุของเมืองก็ยังไม่เจอแผนผัง มีแต่สนธิสัญญาและเอกสารเกี่ยวกับตำนานของสัตว์อสูรซึ่งเคยอาศัยในบริเวณนี้

                      เครื่องข้างในเริ่มร้อนเมื่อฉันก้าวเดินเข้าไป บรรยากาศวังเวง มีหมอกเล็กน้อยพอสร้างความระทึกขวัญ รอบด้านเงียบสงบ มีเสียงนกกลางคืนร้องเป็นระยะจากที่ไกลๆ กลิ่นหญ้าอ่อนตัดกับกลิ่นดอกกุหลาบ ยิ่งวันนี้เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงก็ยิ่งทวีความอยากรู้อยากเห็นอยากลองเข้าไปใหญ่

                      สมน้ำหน้าเจ้าญาติตัวแสบที่ไม่มาด้วยกัน พลาดของดีเลยเห็นไหม ฉันเดินไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน มีลมพัดเอื่อยๆ เสริมความวังเวง ฉันสังเกตเห็นแท่งหรือท่อนไม้บางอย่างบริเวณมุมรั้วอีกด้าน ขนาบซ้ายและขวาเมื่อหยุดสังเกตก็พบว่าพวกมันคือท่อนไม้หรือไม่ก็พวกหุ่นไล่กา ต่อให้เป็นคนอื่นมาเห็นก็คงอดสงสัยไม่ได้ ท่อนไม้และหุ่นพวกนั้นล้วนมีร่องรอยความเสียหาย แต่เพราะอยู่ไกลเกินไปฉันจึงไม่สามารถระบุว่ามันเกิดจากอะไร

                      แชะ แชะ

                      กล้องถ่ายรูปถูกหยิบขึ้นมาบันทึกภาพไว้เป็นหลักฐานแล้วก็ใช้สำหรับประกอบบทความในบล็อกด้วย

                      พอหยิบกล้องขึ้นมา เสียงแชะๆ ก็ดังไม่หยุด ปกติเวลาไปสถานที่ทดสอบความกล้าฉันมักจะถ่ายรูปไว้ไม่ต่ำกว่า 500 รูปเผื่อเลือกภาพที่ดีที่สุด ถ่ายไปได้สักพักจนฉันพอใจถึงหยุดและปรี่ไปเดินพิจารณาตัวอาคารแบบโบราณ ไม่สิ ใหญ่โตหรูหราขนาดนี้จะเรียกว่าปราสาทเลยก็ยังได้

                      ตัวตึกเป็นอาคารสีเทาดำ อาจจะเพราะสิ่งแวดล้อมด้วยมันถึงดูทะมึนเป็นสองเท่า ตัวตึกแข็งแรงและคงทนส่วนหน้าต่างกรอบสีทองหม่นทำให้ดูขลังและสวยงามในทีเดียวกัน พอเข้ามาใกล้ฉันถึงสังเกตเห็นว่าผ้าม่านทุกพื้นเป็นสีม่วงก่ำ ดูหนากว่าที่จิตนาการไว้ทีแรก ดังนั้นทฤษฎีเงาดำเกิดจากผ้าม่านของคริฟเป็นอันตกไป ดูเผินๆ ดีไม่ดีผ้าม่านอาจจะทำจากผ้ากำมะหยีซะด้วยซ้ำ

                      ฉันหยุด จ้องลูกบิดสีทองวาวคู่นั้นไม่วางตา ตามหลักว่าการทดสอบความกล้าในสถานที่ต้องสาปหรือสถานที่รกร้าง ประตูจะถูกล็อคไว้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ปกติฉันต้องหารูหรือหน้าต่างแตกเพื่อมุดเข้าไปข้างใน ทว่าโรงเรียนแห่งนี้กลับแปลกกว่าทุกที่ที่เคยไปมา นอกจากมันจะไม่โทรมแล้วยังดูได้รับการดูแลอย่างดีอีกแล้ว

                      เพราะฉะนั้น

                      เอี๊ยด

                      ประตูบานใหญ่เปิดออกอย่างง่ายดาย แม้จะเนื้อไม้จะหนักไปสักหน่อยสำหรับฉันแต่มันไม่ใช่อุปสรรคสำคัญนัก ฉันเข้ามาข้างในตัวตึกด้วยความงุนงง คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าประตูไม่ได้ล็อคไว้ เมื่อเข้ามาข้างในห้องแรกเป็นโถงโล่งๆ มีทางแยกซ้าย ขวาและตรงหน้าเป็นบันไดขนาดใหญ่ ฉันถ่ายรูปไม่หยุด ที่นี้ไม่เหมือนโรงเรียนซะทีเดียวแต่เหมือนคฤหาสน์หรูมากกว่า

                      พอถ่ายรูปเสร็จ ฉันหยิบเศษกระดาษที่ลิสรายการสิ่งที่ต้องสำรวจไว้

                      พูดถึงโรงเรียน สิ่งแรกที่ควรสำรวจก็คือห้องนักเรียน แต่มันอยู่ไหนกันล่ะ

                      ลำแสงจากไฟฉายส่องตามจังหวะการหมุนตัวของฉันไปรอบทิศ มีทางซ้าย ทางขวาและข้างหน้า ฉันควรไปที่ไหนก่อนดีล่ะ

                      ตึง!

                      “เฮ้ย!” ฉับพลันมีเสียงดังมาจากทางด้านซ้ายคล้ายเสียงของหนักหล่น ฉันตะครุบปากไม่รักดีที่เผลออุทานออกไปเสียงดัง แสงจากไฟฉายส่องสว่างเห็นทางเดินทอดยาว บ้างทีฉันควรจะเลี้ยวซ้ายก่อนอย่างที่ประเทศหนึ่งในเอเชียกล่าวว่าขวาร้าย ซ้ายดีใช่ไหม

                      ฉันไม่ใช่คนช่างคิด แต่เชื่อตามสัญชาตญาติ ดังนั้นฉันรีบเลือกทางซ้าย

                      มีห้องหลายห้องระหว่างทาง มีตั้งแต่ห้องพักครู, ห้องเก็บอุปกรณ์วิทยาศาสตร์, ห้องดนตรี, ห้องทฤษฎี, ห้องพยาบาล จนกระทั่งมาถึงห้องสุดท้าย Lab 2 เสียงน่าจะมาจากห้องนี้ ด้วยความเคยชินฉันรีบคว้าประตูหมายจะเปิด ทว่ามันกลับ

                      “ล็อค?” เพิ่งมาล็อคอะไรกันตอนนี้

                      โครม! ตุบ! ตุบ! โอ๊ย!

                      ฉันเนื้อเต้นทีเดียว เสียงอะไรนะ! เหมือนมีคนกระโดดออกไป แถมยังมีเสียง โอ๊ย! ด้วย ใครหรือว่าอะไร อยากรู้จัง อยากรู้ อยากรู้ อยากรู้!!

                      ตึงๆๆๆ โครม!

                      ด้วยความอยากรู้จนเกินเหตุ ฉันเผลอแสดงกิริยาที่ชอบทำตอนทีเผลอออกมาซะแล้ว

                      ฉันพังประตู

                      อันที่จริงแค่พยายามเปิดหลายรอบจนกระทั่งสลักประตูมันหลุดออกไปก็เท่านั้นเอง ช่างมันเถอะ ยังไงที่นี่ก็เป็นตึกร้าง (หรือเปล่านะ ฮิๆ) คงไม่มีบิลเรียกเก็บค่าเสียหายมาสอดในตู้ไปรษณีย์ตอนเช้าวันรุ่งขึ้นหรอก

                      ภายในห้อง Lab2 โดยรวมก็คือห้องทดลองวิทยาศาสตร์ธรรมดาสามัญอย่างที่สามารถพบเห็นได้ตามโรงเรียนมัธยมทั่วไป มีโต๊ะ เก้าอี้ อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์สองสามอย่างวางเป็นระเบียบอยู่มุมหลังห้อง ที่เด็ดกว่าคือมีโครงกระดูกมนุษย์สุนัข แมว นกแล้วก็งูอยู่ด้วย ทำไมโมเดลพวกสัตว์มันใหญ่จังเลยล่ะ

                      ฉันว่าฉันก็รู้จักสัตว์ประเภทนี้ดี มันเป็นสิ่งมีชีวิตสามัญซึ่งปะปนอยู่ในเมือง โดยเฉพาะเมืองที่ตั้งอยู่กลางป่าเขาเช่นนี้ ทว่าโครงกระดูกพวกนี้กลับแปลกตาไป ฉันอธิบายไม่ถูกว่าเพราะอะไร เนื่องจากฉันทำอาชีพเป็นนักเขียนบล็อกอิสระไม่ใช่นักชีววิทยา ดังนั้นนอกจากถ่ายรูปเก็บเป็นหลักฐานแล้วฉันคงไม่สามารถให้รายละเอียดอะไรได้มากไปกว่านั้น

                      “สุนัขตัวนี้ตัวใหญ่จังเลย?” ฉันถ่ายภาพโครงกระดูกสุนัข มันใหญ่จนนึกถึงสุนัขพันธุ์เซ้นเบอร์นาด แต่มองด้วยสายตาของคนไร้ความรู้ด้านชีววิทยาอย่างฉัน ฉันว่ามันเหมือนหมาป่าน่ะ เอาเถอะ โครงสร้างทางกระดูกของสุนัขอาจจะคล้ายกันก็ได้

                      คราวนี้ก็ถึงไฮไลต์ หน้าต่างที่เปิดออก!

                      ฉันชะโงกหน้าออกนอกหน้าต่างเพียงบานเดียวที่เปิดออก มันน่าจะเชื่อมต่อกับถนนสักเส้นที่ฉันเห็นตรงสวนด้านหน้า ท่าทางด้านหลังก็เป็นสนามกว้างอีกเช่นกัน มีเรือนกระจกอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อได้ลงพื้นที่จริงๆ ฉันพบว่าโรงเรียนแห่งนี้ใหญ่พอตัวทีเดียว

                      ด้านนอกหน้าต่างเป็นหญ้า ปกติถ้ามีคนกระโดดออกไปน่าจะทิ้งรอยเท้าบนหญ้าไว้ไม่มากก็น้อย ฟังจากเสียงอีกฝ่ายคงรีบร้อนออกไป ทว่าฉันกลับไม่พบอะไรเลย มันค่อนข้างแปลก เหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ต้นหญ้าไม่น่าจะฟื้นตัวเร็วขนาดนั้น

                      ถึงเพิ่งมีเรื่องน่าตื่นเต้นเกิดขึ้น แต่ฉันไม่มีแผนจะกระโจนออกไปข้างนอก เมื่อครู่ประตูห้อง Lab2 ล็อค ไม่มีหลักประกันใดบอกว่าหากฉันออกไปข้างนอก แล้วประตูด้านหน้าที่เคยเข้ามาก็ไม่ล็อค ฉันใช้แผนเดิม สำรวจในตัวอาคาร

                      เนื่องจากบานประตูพังไปแล้ว ฉันจึงไม่ได้ปิดประตูเพียงแค่เอาอดีตบานประตูมาพิงไว้

                      “แค่นี้น่าจะโอเคแล้ว” ฉันดูให้แน่ใจว่ามันจะไม่ไถลลงไปกองกับพื้น ฉันจึงเดินออกมา

                      ห้องต่อไปที่ฉันอยากจะไปคือห้องพยาบาล หนึ่งในสถานที่ที่น่าขนลุกที่สุดในโรงเรียนโดยเฉพาะในบีสสคูลคงไม่มีห้องพยาบาลธรรมดาแน่

                      ครืน! บานประตูเลื่อนออกและฉันต้องพบกับความผิดหวัง

                      มันเป็นห้องพยาบาลธรรมดามากจนน่าใจหาย เอาเถอะ หลังปล่อยลมหายใจหมดปอด ฉันก็หยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายอีกครั้ง ถ่ายทั้งเตียงนอน โต๊ะเจ้าหน้าที่ห้องพยาบาลจนกระทั่งไปหยุดตรงตู้ยา ฉันถ่ายไปได้สองสามแชะก็ต้องหยุดถ่ายเพราะเจอสิ่งน่าสนใจ

                      “ยาแก้เห็บสุนัข?” ทำไมถึงมียาแก้เห็บอยู่ในห้องพยาบาลได้ล่ะ

                      ฉันสุ่มหยิบขวดยาออกมาทีละขวดสองขวาพบว่าร้อยละเก้าสิบจากตู้ยาเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์ทั้งหมด!

                      ไฟในตัวเริ่มร้อนอีกครั้ง น่าสนใจๆๆๆ ฉันควบคุมอารมณ์ตื่นเต้นของตัวเองไม่อยู่แล้ว นี่เป็นการค้นพบหลักฐานสนับสนุนเงาสุนัขสีดำที่สนามหญ้า ใช่แล้ว แถมยังสอดคล้องกับบันทึกตำนานในหอจดหมายเหตุด้วย

                      โรงเรียนแห่งนี้สร้างขึ้นมาเพื่อสัตว์อสูร

                      กรี๊ด! น่าสนใจ น่าสนใจ อยากเจอตัวๆ สักตัวแล้ว! ฉันเขย่าขวดยาไปมาแล้วฮัมเพลงอย่างมีความสุข หลังจากชีวิตการเป็นบล็อกเกอร์อิสระเขียนเรื่องเกี่ยวกับสถานที่ทดสอบความกล้ามาไม่น้อยกว่า 20 แห่ง ชีวิตฉันก็เริ่มจืดชืดเหมือนก๋วยเตี๋ยวไม่ใส่เครื่องปรุง ใครจะไปรู้ว่าหลังจากเดินทางไปเมืองนั้นเมืองนี้เสียเงินไปหลายพัน ฉันกลับพลาดสถานที่ที่เด็ดที่สุดแห่งนี้ไปได้

                      ต้องขอบคุณพ่อจริงๆ ที่เล่าตำนานเมืองให้ฟัง! ขอบคุณนะคะ พ่อ หนูรักพ่อที่สุดเลย

                      กริ๊งงงงง~~~!

                      “เฮ้ย! เฮ้ย! ว้าย!!” ฉันทำขวดยาตกพื้น เศษยากระจัดกระจายไปทั่ว โชคดีที่ขวดทำจากพลาสติกแข็งไม่อย่างนั้นคงแตกไปแล้ว

                      เสียงกริ๊งโรงเรียนจะว่าน่ากลัวก็ใช่ น่าสนใจก็นับว่าไม่ผิด ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องเล่าไหนบอกว่าได้ยินเสียงกริ๊งปริศนาดังมาจากตึก ฉันเป็นคนแรก! ฉันเป็นคนแรกล่ะ!

                      คริฟนายต้องเสียใจไปตลอดชีวิตแน่ที่ไม่มากับฉัน

                      ช่างเรื่องยาไปก่อน สิ่งที่น่าสนใจสุดๆ อยู่ชั้นบน ถ้าหากชั้นล่างเป็นห้องเรียนพิเศษและห้องทั่วไป ชั้นเรียนก็น่าจะอยู่ด้านบน ฉันเบรกเอี๊ยดยิ่งกว่ารถชิ่งในหนังตอนมาถึงข้างหน้าและไม่รอช้าที่จะกระโจนขึ้นไปข้างบน ในมือกดกล้องถ่ายภาพรัวๆ

                      ฉันจะได้เห็นสัตว์อสูรแล้ว! ฉันจะกลายเป็นบล็อกเกอร์ที่เก่งกาจที่สุด! การค้นพบของฉันจะได้รับการตีพิมพ์ ฉันจะได้ไปออกรายการโทรทัศน์และรายการวิทยุ จะมีคนมากมายต้องการสัมภาษณ์ฉันแล้วหลังจากนั้นฉันจะกลายเป็นคนดังชั่วข้ามคืน ฉัน…!!

                      “

                      “

                      ฉันเกลียดนาย

                      “คริฟ!!” ไอ้ญาติตัวแสบ นายมาทำอะไรตรงนี้ ฉันไม่มีแรงจะตะคอกใส่หรอก แรงวิ่งเหมือนหมาบ้าเมื่อครู่กินพลังฉันไปเกินครึ่ง เราริอุตส่าห์วิ่งมาชั้นบนเพื่อจะสัตว์อสูร ดันมาเจอเจ้าญาติตัวดียืนหน้าทะมึนทึงแทน

                      “ยัยญาติปัญญาอ่อน!” นั่นเป็นสิ่งแรกที่คนปกติเขาทักเวลาเจอคนหนีออกจากบ้านเหรอ

                      “ฉันเป็นพี่นายนะ ตั้ง 4 ปีแน่ะ!!

                      “คนแก่อายุ 22 ที่หนีออกจากบ้านมาสถานที่อันตรายแบบนี้ เขาเรียกว่าปัญญาอ่อน ไม่บรรลุนิติภาวะเฟ้ย!

                      “ฉันไม่แก่สักหน่อย!

                      แค่เกิดก่อนแก 4 ปีเท่านั้นเอง! เรียกว่าอยู่ในวัยสายน้อยแรกแย้มต่างหาก ถึงถุงใต้ตาจะดำไปหน่อยแต่ฉันคือสาวน้อยบอบบางผู้ต้องทำมาหากินเลี้ยงชีพโดยการเขียนบทความลงบล็อกนะเฟ้ย!

                      นอกจากเสื้อแจ็ตเก็ตทีมกีฬาที่โรงเรียนของเขา และรองเท้าผ้าใบ นอกจากนั้นเสื้อผ้าล้วนเหมือนเดิม พนันได้เลยว่าเจ้าตัวแสบรีบปรี่ออกจากบ้านมาที่บีสสคูลหลังฉันออกไปได้ไม่นาน

                      เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง แต่คว้าข้อมือฉันบีบแน่นจนเจ็บแล้วกดเสียงต่ำข่มขู่ฉัน

                      “กลับบ้านได้แล้ว”

                      แววตาเขาแข็งกร้าว แต่ขอโทษที “ฉันไม่ไปไหนง่ายๆ จนกว่าจะได้ข้อมูลที่ต้องการหรอก!

                      เรื่องอะไรจะปล่อยสถานที่ทดสอบความกล้าที่น่าสนใจที่สุดในรอบยี่สิบสองปีไปล่ะ ฉันสะบัดข้อมือ ถ้าเขาไม่ยอมปล่อยดีๆ ฉันกะว่าจะกัดมือเขาแล้ว โชคดีเป็นของคริฟ เจ้าญาติตัวแสบหวังขัดความเจริญด้านการงานของฉันยอมปล่อยโดยดี แต่เขาเบี่ยงตัวยืนบังประตูไม่ยอมให้ฉันหนีแทน

                      คริฟกอดอก หน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนเพิ่งกินรังแตน

                      “ที่นี่มันอันตรายไม่เห็นรึไง รีบกลับบ้านกันได้แล้ว เจวาลีน”

                      “ไม่!!” ฉันแทบกรีดร้องออกมา “ไม่จนกว่าฉันจะเจอสัตว์อสูรในตำนาน ที่นี่มีหลักฐานหลายอย่างบ่งบอกว่าตำนานเป็นเรื่องจริง ปลาชั้นดีเกรดเอขนาดนี้เรื่องอะไรแมวจะปล่อยไป”

                      “อย่าเปรียบตัวเองเป็นแมวเลย สงสารเผ่าพันธุ์พวกมันหน่อย” คริฟหรี่ตา “พวกมันคงไม่อยากมีเพื่อนร่วมสายพันธุ์ที่มีขอบตาดำเหมือนแพนด้าหรอก”

                      นายมายุ่งอะไรกับขอบตาฉันไม่ทราบ ฉันกัดฟันข่มอารมณ์ไว้ ใช่สิ ฉันมันหน้าตาน่ากลัว เพราะชอบนอนดึกมาตั้งแต่เด็ก เจ้าถุงใต้ตาเลยฝังรากลึก ติดแน่นไม่ยอมจางลงสักที วิธีเดียวที่จะพิชิตพวกมันได้อาจจะเป็นการถลกหนังทิ้ง แต่ฉันไม่ใช่คนชอบออกงานสังคมซะหน่อย ทำไมฉันต้องห่วงรูปลักษณ์หน้าตาของตัวเองด้วยเล่า

                      พ่อ แม่ยังไม่เคยว่าฉันเรื่องขอบตาดำเลยนะ!!

                      “แมวที่ขอบตาดำก็มี แต่ช่างเรื่องนั้นไปก่อน นายมาที่นี่ทำไมไม่ทราบ!?

                      “ก็มาตามหาญาติตัวแสบไม่ยอมโต ดิ้นจะมาโรงเรียนบีสสคง สคูลให้ได้นะสิ” ถึงไม่บอกฉันก็รู้ ถามไปงั้นแหละ!

                      พวกเราสองคนยืนประจันหน้ากัน ฉันว่าคริฟก็คงรู้คำตอบดีว่าฉันไม่มีทางยอมก้าวออกจากโรงเรียนนี้แม้แต่เก้าเดียวจนกว่าจะได้ข้อมูลตามที่ต้องการหรือจนกว่าจะเช้าแล้วหาอะไรไม่พบเลย ถ้าเป็นอย่างหลังฉันคงผิดหวังว่า แต่ที่นี่ไม่ใช่! มันต้องมีอะไรสักอย่างและต่อให้ต้องใช้กำลังฉันก็จะอยู่ ต่อให้วันนี้คริฟสามารถอุ้มฉันกลับบ้านได้ พรุ่งนี้ฉันก็จะมาใหม่

                      หลังเงียบกันอยู่นาน คริฟเป็นฝ่ายเริ่มพูด แม้ว่าเขาจะกระซิบเสียงต่ำ

                      “เธอนี่มันรนหาที่จริงๆ”

                      ฉันอยากจะเถียงกลับ แต่ทำไม่ได้ ไม่สิ ยังไม่ทันทำเสียมากกว่า ร่างกายทั้งร่างพลันแข็งทื่อ มีอะไรบางอย่างอยู่ข้างหลังฉันและคริฟกำลังจ้องมันราวจะกินเลือดกินเนื้อ

                      ลมหายใจหนักๆ อยู่ไม่ไกล อันที่จริงมันแทบจะประชิดหลังฉันอยู่แล้ว มีกลิ่นลอยตามมา ฉันจำได้ทันทีว่าเป็นกลิ่นสุนัข ทว่ามันมีกลิ่นอย่างอื่นด้วย เป็นกลิ่นที่ทำให้สบายใจและลำบากใจในคราวเดียวกัน

                      คริฟเอื้อมมือไปด้านหลัง ดังนั้นฉันจึงไม่เห็นว่าเขาหยิบอะไรขึ้นมา ความจริงจังของเขาบอกให้ฉันรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่สถานการณ์ล้อเล่น กล้องในมือสั่นเป็นจังหวะเพราะฉันกำลังตื่นเต้นเร้าใจสุดขีด!

                      นี่ฉันต้องห้ามตัวเองไม่ให้ยิ้มอยู่นะ! เจ๋งสุดยอดมีอะไรสักอย่างอยู่ข้างหลังฉันซะด้วย อะไรน่ะ ปีศาจหมาป่า กริฟฟิน ยูนิคอร์นหรือว่ามังกร!? ฉันอยากเห็นมังกร หวังว่าข้างหลังจะเป็นมังกร แต่เอ๊ะ ฉันได้กลิ่นสุนัขนี่นาหรือว่าปีศาจสุนัข ฉันเคยได้ยินตำนานจากทางยุโรปเหนือเกี่ยวกับปีศาจสุนัขผู้กลืนดวงจันทร์ ชื่ออะไรเฟนๆ เนี่ยแหละ น่าตื่นเต้นชะมัด!

                      ฉันหันไปถ่ายรูปไม่ได้จริงๆ เหรอ? ปีศาจพวกนี้ขอมือได้ไหมน่ะ แล้วทำไมพวกมันถึงอาศัยอยู่ในโรงเรียนหรือว่าเป็นยามเฝ้าโรงเรียน กรี๊ด! น่าสนใจๆๆๆ

                      “เก็บอาการหน่อยก็ดีนะ” คริฟพูดท่าทางใจเย็นสุดๆ แน่ล่ะ ตอนนี้ฉันนึกภาพตัวเองกำลังเปล่งรัศมีสาวน้อยสีชมพูมีดอกไม้ลอยไปมาออกเลย ก็นะ สิ่งเดียวที่ฉันสนใจและทำให้ตื่นเต้นได้ขนาดนี้ก็คือเรื่องลี้ลับเท่านั้น แถมตอนนี้พวกเราตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย อยู่ในตึกร้างซึ่งเต็มไปด้วยหมอกและความมืดท่ามกลางแสงจันทร์จากพระจันทร์เต็มดวง มีสายลมเอื่อยๆ และความวังเวงเป็นมิตรสหาย มิหนำซ้ำนอกจากสถานการณ์อันตรายแล้วยังตึงเครียดสุดๆ โอกาสจะตกอยู่ในกลางเหตุการณ์แบบนี้ทั้งชีวิตจะมีสักกี่ครั้งกัน ตื่นเต้นๆๆ

                      “ฉันแค่” แม้~มันน่าตื่นเต้นดีออก ฉันยืนบิดไปบิดมาคล้ายตัวการ์ตูนสาวน้อยเวลาเขินตอนพระเอกมาสารภาพรัก มีเสียงไอแค่กๆ ดังมาจากข้างหลัง ถึงจะเสียมารยาทแต่น่าสนใจอย่างนี้

                      “เค้าขอถ่ายรูปตัวหน่อยน้า!!

                      “ยัยบ้า!!

                      คริฟ้องเสียงหลง พอๆ กับบางสิ่งซึ่งอยู่ด้านหลังฉัน ภาพสาวน้อยน่ารักขอบตาดำอย่างหมีแพนด้า หมุนตัวทำรอบสวยงามประหนึ่งนักกีฬายิมนาสติก ถึงชุดที่ใส่จะเป็นเสื้อเชิ้ตลายสก็อตกับกางเกงยีนต์ไร้ซึ่งความน่ารักใดใด แต่รองเท้าผ้าใบฉันเป็นสีชมพูนะ แถมยังรัดผมด้วยยางรัดผมสีรุ้งด้วยเพราะฉะนั้นตอนนี้ฉันคือสาวน้อยน่ารักที่กำลังจะได้เก็บภาพสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดเป็นครั้งแรก

                      อ่ะ เผลอน้ำลายไหลจนได้

       

                      แชะๆๆๆๆ เสียงกดชัตเตอร์รัวจนตอนให้อยากอ้าปากตะโกนด่าก็ด่าไม่ทัน ฉันคือบล็อกเกอร์สาวผู้ทำมาหากินกับการเขียนและการถ่ายภาพ สกิลในการกดชัตเตอร์จึงอยู่เหนือรับคนธรรมดาทั่วไป

                      แสงเฟลชสว่างวาบเหมือนมหากรรมพลุนานาชาติ ฉันกดถ่ายไม่ยั้งแม้ว่าจะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังถ่ายอะไรอยู่ก็ตาม ส่วนญาติผู้น้องยืนอึ้ง เขาชะงักอยู่ท่าเดิมไม่ได้หยิบวัตถุปริศนาซึ่งเจ้าตัวซ่อนไว้ด้านหลังออกมา แต่ฉันไม่สนใจเขาหรอก สิ่งที่น่าสนใจสุดๆ อยู่ต่อหน้าฉันแล้ว อ้า~ มีความสุขจัง~

                      “พอๆ พอสักที หยุด!!” เสียงคนร้องโหยหวนหยุดพร้อมกับแสงชัตเตอร์ของฉัน พอหยุดถ่ายภาพฉันถึงเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งก้มจ่ำหม่ำอยู่บนพื้น มือปัดป่ายยกขึ้นบังดวงตาจากแสงเฟรลชพิฆาตเมื่อครู่

                      ถ้าเป็นในการ์ตูน ป่านนี้ฉันคงมีเครื่องหมายสงสัยลอยเต็มไปไปหมดแล้ว เสียดายที่ไม่ใช่ ฉันจึงแสดงสีหน้างุนงงแทนเป็นเครื่องสื่ออารมณ์แทน

                      “อ้าว~ ใครล่ะเนี่ย?”

                      เพล้ง! เสียงกระจกแตก เอ๊ะ เอ๊ะ เอ๊ะ? ฉันลอยขึ้นไปในอากาศ เห็นหน้าญาติสุดหล่อตัวแสบยืนเกร๊งทำอะไรถูก เขาร้องตะโกนเสียงดัง “เจวาลีน!!

                      เจลาวีน เจลาวีน ฉันได้ยินเขาตะโกนอีกหลายครั้งขณะที่ตัวฉันห่างออกไปจากตึกเรื่อยๆ กว่าจะรู้สึกตัวว่าฉันเพิ่งโดนสัตว์อสูรบางอย่างลักพาตัวมา เราก็ออกมาไกลมากแล้ว มันวิ่งควบไม่หยุดราวกับม้าแม้ว่าจะเป็นสุนัขป่าสีดำขลิบ ชนหยาบเล็กน้อยชวนให้นึกว่ามันต้องไม่ชอบอาบน้ำแน่ๆ เสื้อเชิ้ตฉันอยู่ในปาก กระเป๋าเป้หายไปแล้ว สงสัยคงตกอยู่ในห้องเรียนตอนฉันโดนลักพาตัวออกมานั่นแหละ

                      เอ่อ ตอนนี้ฉันควรทำยังไงดี ตื่นเต้นละมัด! ว้าว ประสบการณ์แปลกใหม่ทำให้ขนลุกทีเดียว ถ้าขอเขาถ่ายรูปจะได้ไหม ฉันอยากได้รูปถ่ายคู่กับสุนัขป่าตัวนี้จัง

                      พลั่ก!

                      ตัวฉันกลิ้งขลุกๆ ไปบนพื้นไม้ “โอ๊ย” หัวฉันทิ่มลงพื้นพอดี ผมยุ่งไปหมดแล้วแต่ช่างเถอะเดี๋ยวค่อยรวบใหม่ เอาเป็นว่าตอนนี้อยู่ไหนแล้ว ฉันพยุงตัวขึ้นมาเห็นสุนัขป่าสีดำที่ใหญ่กว่าปกติสองเท่าได้ มันตัวใหญ่เท่าพ่อฉันเลย (แต่ไม่มีพุง) พ่อฉันสูงประมาณ 170 ซม. ได้ กะจะสายตาถ้ามันยืดตัวขึ้นน่าจะสูงประมาณนั้นหรือมากกว่าบวกลบอีกสิบเซนติเมตร

                      เมื่อลุกขึ้นนั่ง ต้องทำท่าเหมือนกลัวใช่ไหม แบบในหนัง โอเค ฉันจะเก็บอาการเนื้อเต้นไว้ก่อนแล้วใช้แผน สาวน้อยน่ารักผู้หวาดกลัวภัยอันตราย หวังว่ามันจะได้ผลเพราะฉันอยากถ่ายรูปมันก่อนที่มันจะกินฉัน เอาเถอะ ยังไงคริฟก็อยู่ที่นี่แล้วฉันก็มีไม้ตายเก็บอยู่ในกระเป๋ากางเกง

                      อสูรหมาป่าตัวนี้พาฉันมาที่ไหนก็ไม่รู้ น่าจะเป็นตึกอีกตึกหลังโรงเรียน ลักษณะคล้ายห้องประชุม จะว่าไปก็เคยบรรพบุรุษของเรายกที่ดินแทบเนินเขาทั้งหมดให้กับสัตว์อสูร บางทีอาจจะหมายถึงทั้งป่าด้านหลังเลยก็ได้ แปลว่ายังมีอะไรให้ออกสำรวจอีกเยอะ ว้าว กว้างชะมัด ตื่นเต้นๆๆๆ

                      หมาป่าสีดำ มีนัยน์ตาสีเหลืองสุกสกาว มันคำรามฮึก ก่อนจะเอ่ยปากพูด! (สาบานได้ว่าฉันกำลังใช้หน้าตาหวาดกลัว ได้ยิ้มนะ ไม่ได้ยิ้ม!)

                      “เธอเข้ามาทำอะไรที่นี่กันแน่ ยัยนักล่า!

                      นักล่า? นักล่าไหน? ฉันสับสน ก่อนจะสังเกตเห็นว่าภายในห้องประชุมไม่ได้มีเพียงเราสองคนแต่มีคนอื่นอยู่ด้วย ทุกคนล้วนใส่ยูนิฟอร์มโรงเรียน เป็นเครื่องแบบใส่สูท ผูกเนคไทอย่างโรงเรียนผู้ดี ตราประจำสถาบันก็ไฮโซโก๋เก๋เป็นรูปค้างคาวกับพระจันทร์เสี้ยวและตัวอักษร B.S. ซึ่งน่าจะย่อมาจากบีสสคูล

                      มีประมาณ 5-6 คนไม่รวมสุนัขป่าข้างหน้า บางคนเด็กมาก น่าจะอายุไม่เกิน 6-7 ขวบ แต่อย่างชายร่างสูงท่าทางใจดีแต่แฝงไปด้วยไอประหลาดที่ทั้งหนักและกดดันคนนั้นน่าจะอายุเท่าๆ กับฉัน

                      เขากันเด็กคนอื่นไปด้านหลัง แล้วเอ่ยน้ำเสียงสุภาพ “สวัสดีครับ”

                      “อืม สวัสดี” ฉันตอบกลับสั้นๆ

      จะเรียกว่าผิดหวังหรือถูกใจดีล่ะ อย่างน้อยข่าวลือเรื่องนักเรียนในชุดยูนิฟอร์มน่าจะถูกต้อง แต่พวกเขาล้วนเป็นมนุษย์ นอกจากหมาป่าด้านหลัง พนันได้ว่าตอนนี้ฉันคงทำหน้าไม่สบอารมณ์นัก พวกเด็กๆ ถึงสะดุ้งตกใจ ฉันรู้ดีว่าหน้าตาตัวเองตอนผิดหวังน่ากลัวขนาดไหน เป็นความผิดของเจ้าถุงใต้ตา

      “หากไม่เป็นการรบกวน ผมไม่อยากเสียเวลาจนเกินไป ผมอยากเชิญคุณและคู่หูของคุณออกไปจากโรงเรียนครับ”

      คู่หู ภาพชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาและอวดดี ผมปัดทรงแฟชั่นสีน้ำตาลทองกำลังยักยิ้มเชิงดูถูกของคริฟฉายวาบเข้ามาในสมอง หมอนั่นเนี่ยนะ คู่หูของฉัน ไอ้เด็กตัวแสบที่ไม่ยอมเรียกฉันว่าพี่ทั้งที่แก่กว่า 4 ปีแถมยังเรียกฉันว่าญาติปัญญาอ่อน เมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งบอกว่าฉันยังไม่บรรลุนิติภาวะคนนั้นอ่ะนะ!

      ฉันโบกมือเซ็งๆ “หมอนั่นไม่ใช่คู่หูฉันหรอก เป็นเจ้าญาติตัวแสบที่ตามก้นฉันมาถึงที่นี่เท่านั่นแหละ”

      เขาคลี่ยิ้มกว้างขึ้น ผมหน้าม้าสีเงินยวงแปลกประหลาดด้านขวาปรกลงมาบังหน้าของเขาก่อนจะเสยขึ้นไปใหม่

      “ถึงยังไงผมก็ขอเชิญคุณออกไปจากที่นี่ครับ”

      ใจร้าย! นึกว่ารอยยิ้มธุรกิจพรรค์นั้นใช้กับฉันได้เหรอ ฉันคือมนุษย์ผู้ตัดทางโลก(แห่งความจริง) ไปแล้ว แม้แต่ความหล่อของคริฟยังใช้กับฉันไม่ได้ผล นับประสาอะไรกับรอยยิ้มแสนสวยของนายกัน

      แชะ แต่ถ่ายเก็บไว้คงไม่เสียหาย

      ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบเมื่อฉันลั่นชัตเตอร์ถ่ายภาพเขา เหมือนรอยยิ้มจะคลี่กว้างกว่าเดิมแล้ว พวกเด็กๆ ด้านหลังพากันสงสัยว่าสิ่งที่อยู่ในมือของฉันคืออะไร เมื่อเห็นว่าเป็นกล้องถ่ายรูป พวกเขาตาเป็นประกาย

      น่ารักจัง! น่ารักสุดๆ! ขอถ่ายเก็บไว้หน่อยนะ

      แชะๆๆๆ

      “พอได้แล้ว!” เสียงคำรามน่ารำคราญดังประท้วง ภาพไม่คาดฝันของฉันเป็นจริง ฉันเห็นร่างหมาป่าสีดำเลือนหายไปกลายเป็นชายหนุ่มในชุดยูนิฟอร์มที่นั่งในห้องเรียนเมื่อกี้

      “หมากลายร่าง!

      “อย่าเรียกว่าหมา!!” เขาทำท่าโมโห ถึงจะกลายเป็นมนุษย์ ทว่าดวงตาสีเหลืองสวยของเขายังคงอยู่ คนๆ นี้น่าจะอายุเท่ากับคริฟ สวมชุดยูนิฟอร์มไม่เรียบร้อย เสื้อออกนอกกางเกง เนคไทก็รูดลงมา ผูกแบบบิดๆ เบี้ยวๆ ด้วย หูของเขามีรูอยู่หลายรูจนฉันนับถือความอดทนในการเจาะของเขาเลย

      อีกฝ่ายพอถูกจ้องมากๆ ก็ทำเสียงฮึกฮักไม่พอใจ “มองอะไร ไม่เคยเห็นคนหล่อรึไง!

      “ไม่เคยเห็นหมาแปลงร่างเป็นคนน่ะ”

      “ยัยนี่!!

      ชายหนุ่มที่น่าจะโตที่สุดแทรกเข้ามาตรงกลาง “อย่าครับ เราจะไม่ทำร้ายมนุษย์จำได้ไหม?”

      ระหว่างสองคนนั้น ฉันชอบพวกเด็กๆ มากกว่า พวกเขาน่ารัก สายตาไร้เดียงสาเล่นเอาใจสาวน้อยอย่างฉันเต้นไม่เป็นระส่ำระส่าย ดูมือเล็กๆ กับปากสีชมพูบางพวกนั้นสิ ไม่สงสัยเลยว่าทำไมใครๆ ก็ชอบเด็ก น่ารัก~ อยากเอากลับบ้าน~ แฮ่กๆ

      “อย่าจ้องพวกน้องๆ นะเฟ้ย ยัยนักล่า!” หมาป่าสีดำ เอ่อเรียกเหมือนเดิมนั่นแหละ หมาป่าสีดำกางแขนออกกำบังไม่ให้ฉันส่งสายตาแปลกๆ ไปหาพวกเด็กตัวเล็ก “ฉันไม่ยอมให้เธอพรากพวกน้องๆ ไปหรอก ยัยปีศาจ!

      เดี๋ยวเถอะ เจอกันไม่ถึงหนึ่งวันดีทำไมเรียกฉันว่าปีศาจซะแล้วล่ะ ปีศาจของจริงนะอยู่นู้น ป่านนี้ยังยืนตัวแข็งให้กามันเกาะอยู่เลยล่ะมั้ง แต่แล้วฉันก็ทำหน้าแบบ

      “เมื่อกี้พวกนายบอกว่าไม่ทำร้ายมนุษย์” แจ็คพ็อตแตก! ฉันอยากร้องตะโกนแล้วเต้นฮูล่า ฮูล่ารอบเมือง ตอนนี้แม้แต่หุบยิ้มยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ อ้า ฉันอยากกระชากผมอย่างบ้าคลั่งแล้วด้วย พวกเขาทั้งคู่หันมองฉันช้าๆ พอเห็นฉันเต็มตาก็ทำหน้าสะพรึงกลัว ไม่เอาน้า~ หนุ่มๆ ฉันก็แค่สาวน้อยน่ารักที่บังเอิญนอนดึกบ่อยจนมีถุงดำใต้ตาเฉยๆ ไม่ได้ยิ้มโรคจิตด้วย เอ๊ะ หรือว่ายิ้มอยู่ ช่างมันเถอะ

      อันที่จริงแค่ความหล่อ สีผมและการกลายร่างเมื่อครู่ก็มากพอทำให้โรงเรียนแห่งนี้กลายเป็นข่าวใหญ่หน้าหนึ่งแล้ว แค่คิดก็ตัวแทบลอย แต่ก่อนจะลอยขึ้นไปสูงกว่านี้ คนผมสีเงินก็ฉุดฉันลงจากความฝันลงมา

      “แต่ไม่มีกฎห้ามขังมนุษย์ไว้ที่นี้”

      “เซธ! จะบ้าเหรอ!?” หมาป่าหนุ่มโวยวาย อารมณ์เสียแทบควันออกหู เขาไม่พอใจต่อสถานการณ์ดังกล่าวชัดเจนจนฉันแอบรู้สึกแย่นิดๆ เขาเถียงต่อ “ฉันไม่มีทางอนุญาตให้ยัยตัวเหม็นนี้อยู่ที่โรงเรียนเราเด็ดขาด อย่างน้อยก็ห้ามไม่ให้ใกล้พวกน้องๆ เด็ดขาด ถ้าทำร้ายไม่ได้ก็กินซะ”

      “เฟริน!” ดวงตาก็เซธสว่างวาวช่วงครู่ สีเหลืองอำพันต่างจากของเฟริน เพราะมันขุ่นมัวราวกับลูกแก้วว่างเปล่า ตาฉันกลับเห็นความน่ากลัวแฝงอยู่ในดวงตา คงต้องขอบคุณเซ้นต์ดีเยี่ยมหลังแวะเยี่ยมเยือนสถานที่ทดสอบความกล้าหลายแห่ง

      “อย่าทะเลาะกัน” พวกเด็กๆ คงเริ่มกลัว ฉันหันไปปลอบพวกเขาด้วยรอยยิ้มที่คิดว่าปกติที่สุด “เนอะ?”

      “แง!!!!

      อย่าร้องๆ ทำไมเขาถึงร้องไห้ล่ะ ฉันออกจะใจดีน่ะอย่างน้อยก็กับสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ พอเด็กหญิงปล่อยโฮลั่น ท่าทีของเซธและเฟรินก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาปรี่เข้ามาคว้าตัวพวกเด็กอายุน้อยไปไว้อีกมุมห้องด้วยความเร็วแสง โอเค ฉันอาจจะเว่อร์ไปสักนิดแต่มันเร็วจริงๆ มากกว่ามนุษย์ปกติจะสามารถทำได้

      เมื่อแผ่นหลังของชายหนุ่มทั้งสองถอยออกมา เด็กหญิงที่ร้องไห้โฮพลันกลายร่างเป็นมังกรตัวเล็กๆ พร้อมกับเด็กผู้ชายอีกสองคน มังกร! มังกรล่ะ! มังกรตัวเป็นๆ เลยด้วย!! กรี๊ดดดด~!

      ตามตำนานท้องถิ่น กล่าวกันว่าอัศวินสมัยโบราณนอกจากจะปกป้องเมืองจากศัตรูและแอบหลับเวลาเข้าเวรยามบนกำแพงเมือง พวกเขายังปราบมังกรด้วย ไม่ว่าจะในเรื่องเล่าไหน มังกรล้วนเป็นสัตว์อสูรชั้นสูง พ่นไฟและสง่างาม แม้ว่าพวกเขากำลังอยู่ในวัยน่ารักน่าชังยิ่งกวาลูกสนัขแต่สูงส่งซะยิ่งกว่าลูกเสือลูกสิงห์ ฉันอยากคว้าพวกเขามากอดเต็มรักก่อนที่พวกเขาจะพ่นไฟใส่ฉัน

      ดูเหมือนชายหนุ่มอีกสองคนไม่คิดเช่นนั้นและแน่นอนสาวน้อยตรงนั้นด้วย เธอดูโตกว่าพวกเด็กๆ อย่างน้อยก็น่าจะอายุราว 12 ปีได้ ผมสีทองสวยและน่าจะสวยที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็น แม้แต่ภาพนางแบบนิตยสารที่ถูกรีทัชสิบรอบก็ยังสู้ความสลวยของเธอไม่ได้สักครึ่งนึง ทว่าฉันกลับมองไม่เห็นตาของเธอ ไม่ใช่ว่าเธอตาเล็กมากจนมองไม่เห็นหรอกนะ เธอใช้ผ้าพันแผลปิดตาไว้ต่างหาก

      สาวน้อยมองรอยด้านอย่างงุนงง ฉันคิดว่าเธอคงมองไม่เห็น แต่ตอนฉันยิ้มหวานให้พวกเขา เธอก็เป็นคนหนึ่งที่สะดุ้งตัวโยน เขาเบ้ปากจะร้องไห้แปลว่าเธอเห็นฉัน แต่ทางไหนล่ะ ไม่ต้องรอนานฉันก็ได้คำตอบและบางทีนั่นอาจเป็นคำตอบที่ว่าทำไมผมของเธอจึงสวยนัก

      เพราะมันไม่ใช่ผมแต่เป็นงู

      อ้า~~! ฉันอยากร้องดังๆ ผมของเธอเป็นงู พวกมันค่อยๆ ชะโงกหน้าขึ้นมา ท่าทางตื่นกลัวตื่นตกใจไม่แพ้เจ้าของเส้นผม ผมสีทองทั้งหมดกลายเป็นงู งู! รู้ไหมฉันนึกถึงอะไร เมดูซ่าไง เธอเป็นอสูรกายจากประเทศกรีกโบราณ กล่าวกันว่าเพอร์ซีอุสสังหารหล่อนด้วยการฟันคอ

      ตอนนี้เรามีมังกรน้อยสามตัว เมดูซ่าหนึ่งแล้วก็หมาป่าดำอีกหนึ่ง

      สมกับที่เป็นสถานที่ทดสอบความกล้าในตำนานที่ต้องมาเยือนให้ได้สักครั้งหนึ่งจริงๆ โรงเรียนบีสสคูล ฉันรักนาย ตอนนี้ฉันตายตาหลับแล้ว ไม่สิ ขอเขียนลงบล็อกก่อนแล้วเคยตายล่ะกัน

      “เห็นไหม เธออันตราย แค่ยิ้มก็น่าตาโรคจิตแล้ว!

      “สงบสติอารมณ์หน่อย เธออาจไม่ได้ตั้งใจ” ถึงปากจะบอกไม่ตั้งใจ แต่ลิ้นสองแฉกนี่แล่บมาแต่ไกลเลยนะ

      “ไม่ตั้งใจอะไร ยัยตัวเหม็นนี่พานักล่ามาถึงที่โรงเรียน! แล้วตอนนี้จะให้พวกเราทำยังไง อาจารย์กริฟก็ยังไม่กลับมา

      เพล้ง!! เพล้ง! ตึง!!

      ไม่ว่าอาจารย์กริฟจะเป็นใคร ฉันว่าเขากลับมาโรงเรียนแล้วล่ะ ร่างแรกที่กระโจนเข้ามา ทำลายกระจกที่มีมูลค่าเหยียบหมื่นคือคริฟ ส่วนที่ตามมาติดๆ คือหนึ่งสัตว์อสูรที่ฉันชอบที่สุดตัวหนึ่ง กริฟฟิน ยังไงล่ะ!

      สิงโตเหยี่ยวคำรามข่มขู่ พนันได้เลยว่านั่นต้องเป็นอาจารย์ที่เฟรินพูดถึงแน่ๆ เจ้าญาติตัวแสบคำรามตอบ สภาพเหมือนหมาที่เพิ่งปัดกับนกมา (ซึ่งที่จริงก็น่าจะเป็นอย่างนั้น) มิน่าล่ะ เขาถึงไม่ตามฉันมา ปล่อยให้ฉันนั่งงงอยู่กับพวกนักเรียนตั้งนาน ติดธุระนี่เอง

      แชะๆๆ

      “ยัยญาติปัญญาอ่อน เอาจริงเหรอเนี่ย!!?

      ใช่ฉันเอาจริง แล้วนิ้วก็รัวต่อไปท่ามกลางสายตานับสิบคู่ที่ทั้งเหลือบทั้งมองฉันอย่างนับถือ แน่ล่ะ มันไม่ใช่นับถือในทางที่ดีนัก ขณะที่อาจารย์กริฟโรมรันกับคริฟ เฟรินก็กระโจนเข้ามา เจ้าลูกหมาตัวน้อยเลยเจอแสงแฟลชพิฆาตเต็มสองตา

      “อ๊าก! ตาฉัน!!” เขากลับร่างเป็นสุนัขสีดำตัวใหญ่อีกครั้ง แยกเขี้ยวข่มขู่ แล้วยังไงล่ะ ดีแค่ไหนที่ฉันยังมีมารยาทมากพอจะไม่บอกว่าปากของเขาเหม็นมาก ยิ่งช่วงเขาคำรามฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมใครหลายคนเวลาเจอปีศาจสุนัขถึงได้วิ่งหนี ใครอยากจะไปอยู่ดมกลิ่นไม่ชวนพิศวาสแบบนี้กันบ้างนอกจากคนที่เซลล์จมูกตายแล้ว

      แชะ

      ฉันถ่ายรูปอีกรอบ ยังไงซะ ฟันของเขาก็เรียงตัวสวย ถี่ยิบเหมือนปิรันย่าทว่าซี่ใหญ่กว่า ตามขนาดตัว เฟรินหุบปาก หากเขายังเป็นมนุษย์ หน้าของเขาต้องแดงก่ำไปจนแยกไม่ออกระหว่างความกลัวและความอาย

      ฉันอาจจะเป็นคนแรกที่ไม่กลัวเสียงคำรามของเขาก็ได้ ติดจะหนวกหูด้วยซ้ำ

      “กริฟฟิน!” เสียงทุ้มต่ำแกมโกรธของคริฟตะโกนก้อง เขาใช้อาวุธคล้ายตะบองเหล็กของพวกตำรวจ นี่อาจจะเป็นสิ่งที่เขาซ่อนไว้ด้านหลังตอนนั้นก็ได้ มือเขาตวัดฟาดใส่หน้านกกริฟฟินเปรี้ยง!

      “อาจารย์กริฟ!

      “ไอ้คริฟ!” ฉันแทบจะปารองเท้าใส่ เจ้าญาติตัวแสบเหลือบมองฉันพลางส่ายหน้า “เธอน่ะรีบหนีไปเลย!

      “หนีทำไมเล่า!” บอกแล้วไงว่าจะมาเก็บข้อมูล เนี่ยแหละข้อมูลชั้นดี นอกจากไม่ฟัง ฉันยีงพยศโดยการถ่ายรูปไม่หยุด นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันถ่ายมากกว่า 500 รูป เสียดายที่ยังไม่ได้เก็บภาพในตัวตึกมากกว่านี้ แต่ถ้าเทียบกับภาพสัตว์อสูรตัวเป็นๆ ก็คุ้มค่าชัตเตอร์อยู่เหมือนกัน

      กริฟฟินยักษ์ลุกขึ้นมาอีกครั้ง มันกระพือปีกครั้งเดียวคริฟก็แทบตัวปลิวไปไกล ญาติตัวแสบมีดีกว่าที่คิด เขาปล่อยตัวลอยไปตามแรงลมก่อนจะลงพื้นอย่างสวยงามราวกับคำนวณไว้ก่อนหน้าแล้ว ดวงตาอันเฉียบคมหรี่ลง ส่งเสียงร้องสูงปรี๊ด นอกจากพวกเด็กๆ แล้วเราต่างอุดหูกันแทบไม่ทัน เฟรินมีอาการมากกว่าคนอื่น เจ้าถึงกับกลับร่างเป็นมนุษย์เพื่อปิดหูโดยเฉพาะ น่าสงสารจัง

      คริฟสะบัดครั้งเดียวแท่งโลหะก็ยืดออกมากลายเป็นกระบองยาว

      “ยังไม่หนีไปอีก ยัยโง่!

      ฉันหมดอารมณ์จะเถียง ได้แต่ส่ายหัวล้อเลียนไปมา ทีแรกมันก็สนุกดีหรอก แต่ถ้าให้มานั่งฟังเสียงร้องทำลายแก้วหู ดูญาติสุดหล่อแลกหมัดกับกริฟฟินตัวใหญ่โดยที่ตัวเองเป็นแค่หนึ่งในตัวประกอบ ฉันขอผ่านดีกว่า

      คนอย่างเจวาลีน ชาคอฟสต้าร์ มีแต่เป็นดาวเด่น ไม่มีทางเป็นตัวประกอบเฉพาะเรื่องลี้ลับและดันเจี้ยนทดสอบความกล้า ฉันไม่เป็นสองรองใคร ดังนั้น

      โป๊ก!! ร้องเท้าผ้าใบสีชมพูวาดเส้นโค้งพาลาโบล่าอย่างงดงามลงกลางหัวคริฟพอดีเป๊ะ ทุกอย่างหยุดชะงักเหมือนเวลาเราดูหนังในคอมฯ แล้วพลันโฆษณาก็เด้งขึ้นมาแทน

      ฮึ ฉันส่งเสียงในลำคออย่างสะใจ ที่จริงตั้งแต่ก่อนออกจากบ้าน ฉันก็อยากจะเอารองเท้าปาหัวคริฟตั้งนานแล้ว คงตั้งแต่เขาเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกระเป๋าเดินทางใบโตกับสีหน้าเอือมระอา

      อาจารย์กริฟมองพวกเราสลับไปมาอย่างงุนงง

      “พวกคุณไม่ใช่พวกเดียวกัน?” เป็นคำถามที่โง่มากสำหรับคนเป็นอาจารย์ ฉันอยากด่านะ แต่พอเขากลายร่างเป็นสุภาพบุรุษวัยกลางคนรูปงาม ฉันยอมกลืนคำด่าลงคอก็ได้ เห็นแก่หน้าตาเทพบุตรของเขาและถุงใต้ตาที่เรามีเหมือนๆ กัน เอ๊ะ หรือว่าเราจะเป็นเนื้อคู่?

      ไม่หรอก ฉันไม่เชื่อเรื่องพวกนั้น อี๊~~ เขิน~

      “ต่อให้เป็นก็ไม่อยากเป็นนักหรอก” อยากพูดอะไรที่เป็นจูนิเบียวแบบนี้มานานมากแล้ว ฮ่าๆ

      ฉันไม่ลืมยักคิ้วเล่นตาให้ทั้งอาจารย์กริฟและคริฟ บ้าจริง ทำไมชื่อพวกเขาต้องคล้ายกันด้วย มันทำให้ยากเวลาออกเสียงเรียกรู้ไหม คริฟนายไปเปลี่ยนชื่อเลยไปหรือไม่ก็ใช้ชื่อกลางก็ได้ ถ้านายมี

      บางทีพวกเราคงอึ้งกันเพลินไปหน่อย เฟรินที่ดูหงุดหงิดอยู่แล้วกลับหงุดหงิดมากยิ่งขึ้นไปอีก

      “อาจารย์ เธอนำนักล่ามา!” พวกขี้ฟ้อง เขาเหมือนคริฟไม่มีผิด ฉันพ่นลมแรงๆ

      กริฟมองฉัน เขาไม่ไว้ใจไม่ว่าจะเพราะคริฟตามฉันมาหรือเพราะหน้าตาของฉัน ฉันแค่ยักไหล่ตอบ “ฉันมาคนเดียวตอนแรก แต่เจ้าญาติตัวแสบร้องไห้ขี้มูกโปงจะตามมาให้ได้ ถามหน่อย ฉันผิดตรงไหน?”

      “ฉันไม่ได้ขี้มูกโปง ยัยญาติปัญญาอ่อน!

      “ทำไมนายต้องย้ำนักย้ำหนาว่าเราเป็นญาติกันด้วยเนี่ย”

      คริฟ นายมันเด็กติดพี่ นายอาจจะไม่รู้ตัว แต่พนันด้วยประสบการณ์การอ่านนิยายในอินเทอร์เน็ตตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาว่านายต้องเป็นซิสค่อนแน่ๆ

      “เลิกมองฉันแบบนั้นด้วย แล้วมาจับกลุ่มคุยกันดีกว่าว่านักล่า โรงเรียนบีสสคูลคืออะไรกันแน่” ฉันจริงจังนะ แม้ว่าจะหน้าไม่ให้ก็ตาม ฉันพยายามจ้องตาให้กริฟจ้องลูกตาฉันไม่ใช่ถุงใต้ตา เฟรินอ้าปากค้าง เซธหุบปากแต่ดวงตาบอกว่าเขามีอาการแบบเดียวกับเฟริน

      เซปเป็นคนก้าวออกมา เขาดูเจ้าเล่ศ์ขึ้นจนฉันไม่มั่นใจว่าควรไว้ใจเขาไหม

      แชะๆ

      แบบนี้ต้องเก็บเอาไว้

      “เฮ้ย กล้องฉัน!” ไม่! ฉันเป็นโอตาคุเรื่องลึกลับและสถานที่ทดสอบความกล้า กล้องถ่ายรูปคือหนึ่งในอากาศเลี้ยงชีพฉัน เอาคืนมา ฉันกระโดดไปทั่วหวังจะแย่งมันคืน แต่เซธชูมือสูงจนฉันเอือมไม่ถึง

      ทำไมธรรมชาติต้องสร้างให้ผู้หญิงเตี้ยกว่าผู้ชายด้วยน่ะ

      “บีสสคูลคือโรงเรียนแห่งสุดท้ายสำหรับสัตว์อสูร มันคือสถานที่แห่งเดียวที่เราจะได้ฝึกและเรียนเพื่อออกไปใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย”

      “หมายถึงโรงเรียนฝึกสัตว์อสูรนะเหรอ?”

      “อย่างน้อยก็มากพอให้พวกเรารู้วิธีเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์” เซธกดเสียงต่ำอีกครั้ง ฉันว่าเขาลองครั้งที่ล้านแล้วนะ ฉันควรกลัวใช่ไหม ขอโทษที่อารมณ์ด้านนี้ของฉันค่อนข้างตายด้านน่ะ

      เซธคงสังเกตเห็น เขาถามฉันด้วยสีหน้าทึ่ง “คุณดูไม่กลัว”

      “หลังจากไปตะลอนไปตามสุสานสิบครั้ง โรงพยาบาลร้างสองครั้ง โรงหนังร้างอีกหนึ่งครั้งแล้วก็สวนสนุกร้างอีกหนึ่งครั้ง ฉันว่าต่อให้พี่ออกมาฉันก็ไม่กลัว แต่ครั้งนี้

                      แชะ ดวงตาสีขุ่นฉายแววขัดข้องใจ

      เขารู้ใช่ไหมว่ามือถือสมัยนี้ถ่ายรูปได้ หรือว่าไม่รู้ แน่ใจนะว่าโรงเรียนแห่งนี้สามารถสอนเด็กให้ออกไปสู่โลกภายนอกได้จริงๆ

      “ปกติ พวกนายเรียนอะไรกันบ้างเนี่ย?”

      คริฟส่งเสียงขัดก่อนเซธจะตอบ “พวกมันคือสัตว์อสูร เจวาลีน! ไม่ได้เรียนอะไรนอกจากวิธีล่าเหยื่อกับวิธีฆ่ามนุษย์” เฟรินขู่คำรามตอบ “เราเรียนวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์หน้าโง่ต่างหาก!

      นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นด้วยกับเขา สมัยเรียนฉันไม่เคยชอบวิชาพวกนั้นสักครั้ง ว่าแต่ทำไมนายต้องตะโกนมันออกมาเหมือนจะร้องไห้ด้วยล่ะ อย่าบอกนะว่านายสอบตกเป็นประจำ

      “ที่มันโง่เพราะนายสอบตกเป็นประจำต่างหาก”

      “อาจารย์กริฟ!

      ว้าวๆๆๆ สัตว์อสูรเรียนวิชาวิทยาศาสตร์กบัคณิตศาสตร์แถมยังสอบตำเหมือนฉันด้วย ถึงจะดูเป็นเรื่องแปลกแต่มันไม่ประหลาดสำหรับศตวรรษที่ 21 เท่าไร ดูท่าสัตว์อสูรก็จำเป็นต้องเรียนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์สำหรับหางานทำเหมือนกัน

      “ถ้ามันง่ายขนาดนั้นก็ดี” เสียงฮึกฮักต่อมาก็ยังเป็นของเฟริน “เพราะดันมีกรมศาสนาค่อยส่งนักล่ามาตามล่าพวกเราเป็นประจำ!” กล่าวจบเขากระโดดหมุนตัวกลายร่างเป็นหมาป่าอีกครั้ง อาจารย์กริฟที่เงียบๆ ตื่นตัว ฉันเห็นเล็บของเขางอกยาวขึ้น เซธส่งเสียงฟอดๆ อยู่ด้านหลัง พวกเด็กๆ ตื่นกลัว ทุกคนมีปฏิกิริยากับตะบองวิเศษของนายคริฟหมดเลย ฉันชอบโดนเมินแต่ไม่ใช่ในสถานการณ์เร้าใจแบบนี้ แถมไม่มีกล้องในมือด้วย นี่มันน่าเบื่อ ฉันยืนถอนหายใจอยู่กลางวง

      “อสูรควรหมดไป!

      “ต่อให้นายฆ่าพวกเราได้ คิดว่าลูกหลานอีกนับร้อยที่เหลืออยู่จะปล่อยนายไปง่ายๆ รึ!

      “หา!!?” ฉันตะโกน ดวงตาลุกแววกลายเป็นภาพจำลองการเกิดซุปเปอร์โนวาในอวกาศ เมื่อกี้นายว่าไงนะ มีอีกเป็นร้อย! เป็นร้อย! ความรู้สึกตอนรับรางวัลโนเบลยังไม่ถึงครึ่งตอนนี้เลย พวกเขากำลังบอกฉันว่าสัตว์อสูรมาอีกเป็นร้อย ฉันยอมเปลี่ยนอาชีพจากนักล่าที่ทดสอบความกล้าเป็นนักอนุรักษ์สัตว์อสูรเลย เพราะสถานที่พวกนั้นมันเริ่มน่าเบื่อแล้วและฉันก็ขี้เกียจไปสู้กับผี รบกับมังกร กริฟฟิน เมดูซ่า ปีศาจสุนัขและปีศาจงูน่าจะมันกว่าเยอะ

      อ่ะ หวังว่าน้ำลายฉันไม่ไหลนะ สภาพคงดูไม่ได้เข้าไปใหญ่

      กันไว้ดีกว่าแก้ ฉันเช็คปากแรงๆ โอเค ต่อให้น้ำลายไหลก็คงไม่มีแล้ว ตอนนี้ฉันคงกำลังเปล่งออร่าสาวน้อยที่เต็มไปด้วยกลีบกุหลาบแน่ๆ ไม่ไหวแล้ว ใจเต้นอ่ะ! เรื่องลี้ลับเต็มไปหมดเลย ฮ่าๆ

      เฟรินเป็นคนแรกที่ทนไม่ไว้ “ขอร้องล่ะ ขอเวลาจริงจังให้พวกเราหน่อยเถอะ ยัยตัวเหม็น”

      “ใช่!” คริฟเสริม ฉันจ้องเขาเชิงตำหนิว่า นายนะหุบปากไปเลย

      สายตาอีกหลายคู่ค่อนข้างสับสน พวกเขากำลังจะสู้กันอย่างจริงจังแบบลืมฉัน อย่าลืมสิฉันคือคนแรกที่เข้ามาในโรงเรียนน่ะ ว่าแต่ ฉันมองนักเรียนทุกคนที่อยู่ในห้องรวมถึงคริฟ “พวกเขาอยู่ที่นี้ตั้งแต่แรกรึเปล่า แล้วใครคือคนที่อยู่ในห้อง Lab2 ล่ะ”

      Lab2?” เซธสงสัย “พวกเราอยู่ที่นี้ตั้งแต่ต้น ไม่มีใครเหลืออยู่ในโรงเรียนหรอกครับ”

      “แต่ตอนมาฉันได้ยินเสียงที่ห้องนั้นแถมยังมีคนเปิดหน้าต่างกระโจนหนีออกไปด้วย”

      “อย่ามาไร้สาระน้า!” หมาป่าดำตะคอก พอเป็นร่างสุนัข เฟรินพ่องตัวโตขึ้น น่ากลั๊ว~น่ากลัว~

      “มีคนอยู่ที่ห้องนั้นจริงๆ ไม่อย่างนั้นฉันจะพังประตูเข้าไปทำไมเล่า!?” ฉันเถียงเสร็จก็ตะครุบปากตัวเอง พลาดแล้ว ยัยเจวาลีน เธอพลาด! ดันหลุดปากไปบอกเรื่องเสียเงินซะได้ คนอื่นมีปฏิกิริยาเล็กน้อย แต่กริฟมีมากที่สุด

      “คุณพังประตูห้อง Lab2 เข้าไป?” ใช่ ฉันอยากตอบเพราะเสียงนุ่มๆ ทุ้มๆ ของเขาจัง แต่ขอโทษนะ ตอนนี้ฉันขวัญหนีดีฟ่อหมดแล้ว อย่าให้ฉันต้องกล่าวถึงความผิดพลาดเป็นครั้งที่สองเลยนะ ขอร้อง

      พวกเราตกอยู่ในความเงียบอีกแล้ว เหล่าสัตว์อสูรหันไปมองคริฟแต่เขาส่ายหน้าปฏิเสธ

      “ฉันเข้ามาทางด้านหลังแถมพอเข้ามาได้ก็บุกไปที่ห้องเรียนเลย”

      ฉับพลัน พวกเขาก็หันมาที่ฉัน ฉันสะดุ้ง ยกมือขึ้นทั้งสองข้างเหมือนโดนตำรวจจับ

      “ฉันเปล่า! ฉันเข้ามาทางประตูหน้า สาบานได้!” อ๊า~~~~! อย่ามองฉันแบบนั้น แต่ละคนนี้ตาลุกวาวแทบจะกลายเป็นสีเรืองแสงไปเลย คริฟไม่ค่อยมีอาการมากเท่าสัตว์อสูร เฟรินอ้าปากค้าง ถ้าเขาเป็นคนสภาพอาจจะไม่น่าเกลียดเท่านี้ แต่เพราะเขาเป็นสุนัข เขี้ยวยาวถี่ยิบเหมือนปลาปิรันย่า พอแสดงอาการตกตะลึง อ้าปากค้างกินลม เขาดูน่าเกลียดมากทีเดียว แถมกลิ่นปากยังโชยออกมาด้วย โรงเรียนนี่ไม่สอนให้เด็กแปรงฟันรึไง!

      เซธเป็นอสูรตัวแรกที่ได้สติ เขาขยับเข้ามาใกล้ สำรวจฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าโดยมองข้ามถุงใต้ตาไป ฉันรักเขา! ฉันรักเขาแล้ว เขาไม่สนใจดวงตาดำคล้ำของฉัน

      ปีศาจงูแล่บลิ้นฟอดๆ เป็นระยะ ฉันเข้าใจว่านั่นน่าจะเป็นวิธีที่ช่วยในการมองเห็น ฉันไม่เชื่อว่าดวงตาของเขาจะสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์

      “คุณเป็นมนุษย์” เป็นครั้งแรกที่ในน้ำเสียงของเซธแฝงไปด้วยความมั่นใจ

      “ใช่ อายุ 22 ปี ทำงานเป็นบล็อกเกอร์อิสระ เขียนคอมลัมน์เกี่ยวกับสถานที่ทดสอบความกล้า”

      “ถ้าอย่างนั้นทำไมประตูเปิดให้คุณ”

      อ้าว ถามอย่างนี้แล้วฉันจะไปรู้คำตอบได้ยังไง ทั้งเขาและฉันคงสับสนพอๆ กัน ทีแรกฉันนึกว่าพวกเขาเปิดประตูให้ฉันด้วยซ้ำ ประตูหน้าก็ไม่ได้ล็อค เชิญชวนกันสุดๆ

      คริฟนิ่งกว่าคนอื่นแม้ว่าเขาจะแปลกใจไม่น้อยก็ตาม “เธอเข้าทางประตูหน้าได้ยังไง ยัยญาติปัญญาอ่อน ที่นี่เป็นพื้นที่ของสัตว์อสูร มนุษย์ไม่สามารถเข้ามาได้”

      “แล้วทีนายล่ะ”

      เขาชูตะบองขึ้น “ก็ใช้ไอ้นี่บุกเข้ามาไง เพราะใครบ้างคนทิ้งจักรยานคุณลุงไว้ข้างหน้าตึก ฉันเลยนึกว่ายัยญาติตัวยุ่งโดนคาบไปทำอาหารเย็นซะแล้ว พอเห็นสุขภาพดี มีแรงโวยวายเสียขนาดนี้ รู้งี้ไม่ตามมาให้เสียเวลาดูซีรี่ย์หรอก”

      สงครามประสาทเริ่มขึ้นอีกครั้ง ฉันเกลียดไอ้ญาติห่างโครตๆ คนนี้จากใจจริงเลยล หน้าตาหล่อเหลาของเขาไม่ช่วยให้ปากดีขึ้น ดีไม่ดีเฟรินอาจจะสุภาพกว่าด้วยซ้ำ ระหว่างที่เราทะเลาะกันเหมือนเด็กๆ กริฟเข้าไปคุยอะไรบ้างอย่างกับเฟริน หมาป่าดำเดินเข้ามาขว้างตรงกลาง ไล่ดมฉันอย่างเสียมารยาท

      ถึงฉันจะเป็นผู้หญิงที่หน้าตาน่ากลัวยิ่งกว่าผีเพราะถุงใต้ตาดำ แต่ฉันก็เป็นผู้หญิงนะเฟ้ย ไอ้หมาบ้า!

      โป๊ก!! ฉันเขกหัวสั่งสอนไปทีหนึ่ง

      “ไม่เคยเรียนมารยาทสังคมรึไง มาดมกลิ่นผู้หญิงแบบเนี่ย!?

      แทนที่ปีศาจสุนัขจะเถียงกลับ เขาเพียงแค่มองด้วยความงุนงง “ฮืม? ทำไม่ได้เหรอ?”

      ฉันชะงัก ตั้งแต่เรื่องกล้องถ่ายรูปแล้ว แม้แต่มารยาทพื้นฐานก็ยังไม่รู้จัก สรุปแล้วพวกนายเรียนแค่วิทยาศาสตรกับคณิตศสตร์จริงๆ ใช่ไหม “อย่างน้อยต้องขออนุญาตก่อน ไม่อย่างนั้นนายโดนตบคว่ำแน่”

      “ถ้าอย่างนั้นขออนุญาตดมหน่อย” เอ๊ะ ตัวหมานี่! คริฟตบหน้าผากตัวเอง สงสัยคงรับไม่ได้เหมือนกัน ส่วนฉันปล่อยเลยตามเลย ในเมื่อเขาของอนุญาตแล้ว ฉันก็ควรจะปล่อยให้เขาดมมากเท่าที่ต้องการ (นั่นเพราะอยู่ในร่างสุนัขน่ะ ถ้าอยู่ในร่างมนุษย์ฉันตบหัวคว่ำแน่!) หมาป่าอสูรสะบัดหัวหลายที

      “เหม็น”

      มือ! มือ! อย่าห้าม ฉันจะฆ่าแก ฉันจะฆ่าแก! ถึงในความเป็นจริงจะไม่มีอะไรฉุดรั้งมือและฉันก็ไม่แม้แต่จะยกมันขึ้นเตรียมตบหัวสุนัขมารยาททราม เพราะสิ่งที่เขาพูดถัดมาน่าสนใจมาก

      “กลิ่นทะเล”

      หา? ฉันอ้าปากบ้าง คือฉันเกิดในเมืองกลางป่าเขานะ ตลอดชีวิตเคยไปเที่ยวทะเลแค่สองครั้ง แถมครั้งหนึ่งก็หมกตัวอยู่แต่ในห้อง ถ้าแม่ไม่ลากออกไปเดินตอนเย็น ฉันอาจยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้ำทะเลเค็ม ส่วนครั้งที่สองฉันไปทดสอบความกล้ากับจดหมายเชิญชวนฉบับหนึ่ง มันมีทริปเที่ยวทะเลด้วยแหละ แต่ฉันไม่ได้เข้าร่วมพอเข้าทดสอบความกล้าเสร็จก็กลับห้องเขียนบล็อก วันรุ่งขึ้นก็เดินทางกลับ

      ฉันใช้ชีวิตไม่คุ้มเลยนี่นา!!

      “กลิ่นน้ำเค็มกับสาหร่ายแล้วก็โขดหินริมฝั่ง” ปกติจมูกปีศาจสุนัขมันดีขนาดนั้นเลยเรอะ ฉันไม่ตอบอะไรเพราะดูเหมือนอาจารย์กริฟเพิ่งได้คำตอบไขข้อสงสัย

      “หรือว่าเธอจะ

       

      เพล้ง! ตึง! ตึง!! ตึง!!!

      “อาคารเรียน!” พวกเด็กๆ ร้อง เห็นไหมฉันบอกแล้วว่ามีใครหรืออะไรอยู่ในห้อง Lab2 ถ้าไม่ใช่พวกเขาและคริฟก็ต้องเป็นคนอื่นที่เราไม่รู้จัก บะ บ้าจริง นี่ฉันกำลังตกอยู่ในนิยายสืบสวนแฟนตาซีใช่ไหม ตื่นเต้นจังเลย! ตื่นเต้นๆๆๆ

      “เฮ้ย! ยัยญาติปัญญาอ่อน!” ไปล่ะ ลาก่อนคริฟ ฉันสาวเท้าวิ่งไปที่อาคารเรียน เมื่อออกมาพบว่าตัวเองจินตนาการเรื่องระยะทางไปเอง ที่จริงตัวตึกที่ฉันโดนลัพาตัวไปกับตัวอาคารเรียนไม่ไกลกันมากขนาดนั้น เพราะตึกห้องประชุมอยู่ด้านหลังเรือนกระจก ถึงจะเหนื่อยนิดหน่อยก็นับว่าคุ้มค่าที่วิ่งไป

      ฉันวิ่งจนมาถึงหน้าต่างบานเดิม มันยังเปิดอยู่ ตอนแรกฉันว่าฉันจะมุดเข้าไป ถ้าไม่มีตัวอะไรมุดออกมาก่อน

      “สุดยอด!!” นั่นมันคิเมร่า คิเมร่าใช่ไหม! อ๊ากกก! อยากถ่ายรูป ฉันรัวนิ้วกดชัตเตอร์ในมือถือ ปกติภาพที่ถ่ายจากกล้องจะให้อารมณ์มากกว่า ทว่าสถานการณ์แบบนี้จะอันไหนก็ใช้งานได้ทั้งนั้น

      มันคาบบางอย่างออกมาด้วย กระเป๋าเป้ของฉันกับ

      “กริ่งโรงเรียน?”

      อย่าบอกนะว่าเสียงกริ๊งที่ฉันได้ยินในตัวตึกมาจากตัวนี่ สัตว์อสูรตัวนี้ไม่เหมือนที่ฉันเจอในห้องประชุม มันดุร้ายอย่างเห็นได้ชัด ในปากคาบกระเป๋าเป้และกริ่งสีแดงน้ำลายไหลเหยิ้มจนฉันไม่อยากได้กระเป๋าคืน หน้าตาน่าเกลียดแหกเขี้ยว ร่างกายของมันเป็นสิงโตดูกำยำแข็งแรง ส่วนหางที่เป็นงูข่มขู่เสียงดุร้าย

      คำถามแรกที่ผุดในใจคือ ทำไมถึงกริ่งโรงเรียน มันน่าสงสัยมากกว่าเรื่องกระเป๋าเป้ แต่ฉันคิดไม่ตกว่าทำไม อะไรที่ทำให้สัตว์อสูรอย่างคิเมร่าเสี่ยงเข้าไปขโมยกริ่งออกมา

      “ไลเอล!

      “อาจารย์กริฟ” พวกเขาตามหลังฉันมาทัน พวกเด็กๆ คงไม่ได้มาด้วย แต่คริฟกลับปรากฏตัวพร้อมพวกนั้นทั้งที่เขาเพิ่งลั่นวาจาว่าสัตว์อสูรสมควรถูกปราบแท้ๆ แต่ดันวิ่งมาพร้อมกัน เชื่อเขาเลย

      อาจารย์กริฟกลายร่างเป็นกริฟฟินอีกครั้ง แถมคราวนี้เขายังปกป้องฉันอีกแล้ว ปีกสีขาวสะอาดก้างกว้างประหนึ่งโล่กำบังทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัยแล้วก็คันไม้คันมือ อ๊ากกก~ สวรรค์ชัดๆ ฉันอยากอยู่ที่นี่ค่อยถ่ายรูปพวกเขาตลอดไป เฟรินเดินเข้ามาตบหัวฉันหนึ่งที คริฟทำท่าไม่พอใจเพราะเขาเพิ่งง้างมือขึ้นเมื่อกี้ พอเจ้าปีศาจหมาป่าตัดหน้าไปก่อน ญาติตัวดีเลยได้แต่ส่งเสียงจิ๊ไม่พอใจ

      “อยากตายรึไง ยัยตัวเหม็น” เขาพูดพลางดันฉันไปด้านหลัง

      คิเมร่าตัวเดียวทำให้พวกเขาเป็นเสียขนาดนี้ ฉันอยากรู้ว่าทำไมจึงพลั้งปากถาม

      “พวกเขาจะตื่นตกใจอะไรกับคิเมร่าตัวเดียวนักหนา”

      “เธออย่าคิดว่าสัตว์อสูรทุกตัวเป็นมิตรสิ!” เฟรินตวาดกลับ “ไลเอลไม่ใช่เด็กในโรงเรียน เขาเติบโตในป่าดังนั้นจึงมีสัญชาตญาณสัตว์อสูรเต็มเปี่ยม” หมาป่าปีศาจส่งเสียงจิ๊ปากอีกครั้ง

      “เพราะเป็นดวงพระจันทร์เต็มดวงด้วย ไลเอลก็เลย

      ขอเดาว่าไม่พลังเพิ่มก็กลายร่าง ทำนองเดียวกับมนุษย์หมาป่า แต่ฉันไม่กลัวหรอกเพราะฉันไม่น่ากินเลยแม้แต่น้อย เปรียบเทียบเหมือนฉันกินไก่ระหว่างไก่ตัวโต สุขภาพดีแต่พันธุ์ประหลาดไปน้อยกับไก่ผอมโซ ท่าทางไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาเป็นปี พนันว่าส่วนใหญ่ต้องเลือกไก่ตัวหน้าแน่ๆ และคิเมร่าไลเอลก็เช่นกัน

      เขาตัวโตก็จริง แต่เมื่อเทียบกับเฟรินแล้วไม่โตมากเท่าไร ยิ่งยืนคู่กับกริฟฟินก็ยิ่งเล็กเข้าไปอีก

      “หมอนี่อายุเท่าไรอ่ะ?”

      “ถามทำไมเนี่ย!?

      “ตอบมาเถอะน้า~

      นัยน์ตาสีเหลืองใสสะท้อนเงาของฉัน แย่จัง ฉันดูเหมือนซอมบี้เลย ขอบตาดำเกินไปแล้ว เฮ้อออ

      คิ้วสีเข้มขมวดเข้าด้วยกัน เฟรินพูดอย่างไม่เต็มใจตอบ “ประมาณ 13 ปีได้” ฉันเลิกคิ้วสูง ไม่นับว่าเด็กแต่ก็ไม่ใช่ผู้ใหญ่ซะทีเดียว อาจารย์กริฟส่งเสียงร้องแหลมเป็นช่วงๆ น่าจะหมายถึงการตักเตือนอะไรสักอย่างแบบที่พวกนกชอบทำกัน แต่ไลเอลสะบัดหัวไปมาจนสายกระเป๋าเป้ฉันขาดไปเส้น ส่วนกริ่งโรงเรียนส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งๆ ไพเราะเชียว

      ดวงตาฉันหรี่เล็กแบบที่คริฟบอกว่าพอทำแล้วเหมือนตัวร้ายไม่ก็หมีแพนด้าแสยะยิ้มแต่ช่างเขาเถอะ เซธกลายร่างเป็นงูสีเงินตัวใหญ่เกือบเท่าตัวอาคาร พยายามรัดตัวไลเอลไว้ คิเมร่าน้อยทั้งดิ้นทั้งกัด ไลเอลเกือบหลุดออกมาได้หลายครั้งแต่ก็โดนเซธเหวี่ยงตัวทุ้มกลับไปนอนบนพื้นเท่ากับจำนวนครั้งที่เขาพยายาม กริฟยังส่งเสียงไม่หยุดและไม่มีท่าทีจะก้าวออกจากจุดยืนของตัวเอง

      ไม่ช้า ไลเอลเริ่มคำรามอย่างบ้าคลั่งเมื่อกริ่งโรงเรียนกลิ้งออกจากปากเขา เขาพยายามตะปบกลับแต่ก็เหมือนเดิมโดนงูรัด วัตถุทรงกลมสีแดงกลิ้งมาแทบตัวฉัน หน้าเฟรินเปลี่ยนเป็นขยะแขยงเมื่อฉันหยิบมันขึ้นมา

      “อี๊~” นายไม่ต้องมาอี๊เลย คริฟ! ฉันหันไปดุทางสายตา กริ่งโรงเรียนมีอะไรดี ตอนนี้คิเมร่าตัวน้อยจ้องมาที่มันตาเป็นมันวาวขณะเดียวกันก็จ้องเหมือนอยากจะเข้ามาตะครุบฉันด้วย ฉันโยนกริ่งขึ้นลงไปมา เมื่อกี้ไลเอลมองตามรึเปล่า เอา ซ้ายหน่อย ขวาบ้าง

      เขามองตามจริงๆ ด้วย!

      “เธอเล่นบ้าอะไรอีกเนี่ย

      “เฟริน ไปเอากระเป๋าฉันมา” นิ้วชี้เรียวชี้ไปตรงกระเป๋าเป้ซึ่งหล่นปุ๊กอยู่ไม่ไกลจากวงต่อสู้ หมาป่าดำมองตาเหลือก “เธอจะบ้ารึไง ทำไมฉันต้อง…!!

      “เฟริน ไปเอามา ข้างในมีกระดูกสุนัขรสไก่ด้วย ถ้านายทำสำเร็จฉันจะยกให้”

      ฟิ้ว~~ เจ้าลูกหมาตัวน้อย ร่างสุนัขสีดำวิ่งฉกกระเป๋าเป้กลับมารวดเร็วจนเห็นเป็นเพียงเงาทะมึน บ้างทีเขานี่แหละ ที่มาของเงาสัตว์ปริศนาในสนาม ญาติผู้น้องที่ไม่ยอมออกไปแจมเหล่าปีศาจทั้งที่ขยับเข้ามาใกล้

      “เธอทำได้ยังไงน่ะ?”

      หมอนี่สอบตกวิชาชีวิตใช่ไหมดนี่ย “เฟรินเป็นปีศาจสุนัข แล้วสุนัข” ฉันโยนกระดูกรสไก่ออกจากประเป๋าเป้เปื้อนน้ำลาย เฟรินแขวนหางส่ายตูดไปมา เมื่อเขาเห็นกระดูกลอยขึ้นก็กระโจนตะครุบเหมือนปลาติดเบ็ดไม่มีผิด

      ก็ชอบกระดูก” หลักการง่ายๆ ต่อให้พวกเขาเป็นสัตว์อสูรก็เถอะ สุนัขย่อมชอบกระดูก พอๆ กับงูไม่ชอบความวุ่นวายและนกชอบส่งเสียงร้องเวลามีภัย ดังนั้นไลเอลที่สนอกสนใจกริ่งโรงเรียนสาเหตุน่าจะมีแค่อย่างเดียว

       

      สัตว์ตระกูลแมวยังไงล่ะ!!

       

      ปี๊บ~ปี๊บ~

      เอ๊ะ ทุกคนที่หันหน้ากลับมาคล้ายจะอุทานคำนี้ออกมาพร้อมกัน ฉันแสยะยิ้มแล้วบีบอีกครั้ง

      ปี๊บ~ปี๊บ~ปี๊บ~

      อะ อะ อาการออกล่ะ เจ้าคิเมร่าตัวน้อยที่มีดวงตาเปล่งประกายคู่นั้น เจ้าลูกบอลยางมีหนามทื่อๆ สีเหลืองลายจุดสีแดงถูกฉันบีบอีกหลายครั้ง เริ่มติดลมซะด้วยสิ~

      ปี๊บ~ปี๊บ~ปี๊บ~ปี๊บ~ปี๊บ~

      “แฮ่~~~!” ไลเอลร้องออดอ้อน เซธเริ่มคลายตัวออกปล่อยให้คิเมร่าวิ่งเยาะๆ มาคลอเคลียเจ้าฉันทั้งที่เขาเอาแต่จ้องมองลูกบอลสัตว์เลี้ยงในมือ แมวตัวใหญ่ แมวตัวใหญ่ แมวตัวใหญ่แหละ น่ารัก~~~ อยากเอากลับบ้าน~ แฮ่กๆ

      งั่บ! ไลเอลงับลูกบอลอย่างนอบน้อมเมื่อฉันส่งให้ เขากลายร่างเป็นเด็กผู้ชายผมยาวสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาสีแดงเพลิงที่กำลังเปล่งประกายไปด้วยความไร้เดียงสาและความน่ารัก มือสีแทนทั้งสองจับลูกบอลเล่นขณะที่ปากทั้งกัดทั้งอมอย่างสนุกสนาน เพราะหน้าตาน่ารักมากฉันถึงให้อภัยหรอกน่ะ ขืนกลายร่างเป็นคนแล้วหน้าเหมือนเฟรินหรือคริฟมาทำท่าแอ๊บแบ๊วอย่างนี้ ฉันเตะโด่งไปลงดาวอังคารแล้ว

      อาจารย์กริฟมองด้วยสีหน้าทึ่ง “คุณทำได้ยังไงกันล่ะ”

      ไลเอลตัวสั่นไล่จากเท้าขึ้นมาถึงศีรษะ เขาสะดุ้งแล้วกระโจนมาหลบหลังฉัน ฉันเลยได้โอกาสลูบหัวเขาเบาๆ อ๊ายยย~~ ผมนุ๊มนุ่ม~

      “ปกติไลเอลจะไม่ฟังใคร”

      “ไหนบอกว่าที่นี่เป็นโรงเรียนฝึกสัตว์อสูรไง” ฉันงงน่ะ พวกเขารับมือกับลูกแมวน้อยที่มีหางเป็นงูไม่ได้ แต่กลับฝึกปีศาจหมาป่ากับปีศาจงูจนเชื่อง “พวกนายสอนอะไรในโรงเรียนบ้างเนี่ย?”

      “วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษแล้วก็วิธีแปลงร่าง”

      “อ้อ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษแล้วก็วิธีแปลงร่างแค่นั้นมันพอซะทีไหน!!?” สอบตก สอบตกหมดทั้งโรงเรียนทั้งเด็กทั้งอาจารย์เลย แค่นั้นมันพอสำหรับการใช้ชีวิตในโลกโลกาภิวัฒน์ที่มีอินเทอร์เน็ตเป็นหนึ่งในปัจจัยการดำรงชีวิตได้ยังไงกัน! พวกเขาไม่สอนศิลปะด้วยซ้ำ นั่นเป็นวิชาที่ฉันได้คะแนนเยอะที่สุดเลยนะ

      “แล้ววิชาการใช้ชีวิตล่ะ” พวกศิลปะ ทำกับข้าว พละและสุขศึกษาน่ะ “พวกนายไม่สอนกันเลยรึไง” ไม่สิ พูดถึงโรงเรียนสำหรับสัตว์อสูรแล้วน่าจะสอนเรื่องมารยาทสังคมมนุษย์ วัฒนธรรมมนุษย์ กฎหมายระเบียบของสังคมมนุษย์หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้พวกเขาไม่หน้าแตกตอนสมัครงาน คงไม่มีนายจ้างคนไหนชอบเวลาเฟรินเข้าไปดมตัวหรอก

      ฉันตบหน้าผากแรงๆ คริฟขำ เขาว่า “ฉันบอกแล้วไงว่าที่นี่มีแต่สัตว์อสูรและสัตว์อสูรครวจะ

       

      “ฉันขอสมัครงานเป็นอาจารย์ที่นี่!!” กริฟสะดุ้งตอนฉันชี้ไปหาเขา บ้าเอ้ย! ขืนปล่อยเด็กพวกนี้สำเร็จการศึกษาด้วยวิชาตรรกะไร้ศิลปะจะใช้ชีวิตในสังคมได้ยังไงกัน ปกติคนเราคำนวณเลขคณิตยากๆ หรือคำนวนสูตรวิทยายศาสตร์ซับซ้อนสักกี่ครั้งกันในชีวิตถ้าไม่ได้เรียนสายนั้นโดยตรง ขืนเป็นอย่างนี้มีหวังพวกเขาได้กลายเป็นสัตว์อสูรตลอดทั้งชาติแน่ๆ

       

      “หา!!?” สามเสียงประสานพร้อมกัน มีเพียงอาจารย์หนุ่มยืนนิ่งคล้ายสมองหยุดทำงาน

      “ถึงฉันไม่ใคนเก่ง ขอบตาก็ดำ ตัดทางโลก(แห่งความจริง) แต่ฉันก็สำเร็จวิชาอินเทอร์เน็ตศาสตร์มาแล้วนะ!” หวังว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าอินเทอร์เน็ตศาสตร์มันไม่มีจริงในโลก แต่เอาเถอะ ฉันเอาความรู้ที่สั่งสมมาจากโลกออนไลน์ช่วยสอนพวกเขาได้ สอนเด็กมันจะไปยากอะไรแค่มีกระดูกรสไก่กับลูกบอลมีเสียงก็ปราบพยศเจ้าพวกนี้ได้ทั้งหมดแล้ว

      คริฟทำท่าจะเถียงแต่เขาพูดไม่ออก อย่างน้อยตอนนี้เขาก็เก็บตะบองไปแล้วคงเห็นความตั้งใจจริงจากฉันใช่ไหมล่า~

      “เธอจะโดนกรมศาสนาหมายหัวเอาน่ะ!

      “เรื่องนั้นฉันกลัวที่ไหนกันเล่า” กรมศาสนาคืออะไรยังไม่รู้เลย แล้วทำไมต้องกลัว ฉันว่าฉันมีเหตุผลนะ

      “เดี๋ยวโดนจับกินเป็นข้าวเย็นหรอก ยัยญาติปัญญาอ่อน!

      “ถ้าอย่างงั้นนายก็มาอยู่คุ้มครองฉันสิ”

      เขาทำหน้าเหมือนถูกฉันสั่งไปกระโดดหน้าผาซะอย่างนั้น บ่นนู้นบ่นนี้มาตั้งแต่อยู่บ้าน แน่ใจนะว่านายอายุ 18 ปีจริงๆ ไม่ใช่ 88 ปี อีกอย่างฉันเพิ่งเจอเรื่องน่าสนุกใหม่ล่าสุด ตื่นเต้นเร้าใจดีกว่าการไปล่าสถานที่ทดสอบความกล้าเสียอีก การเสี่ยงชีวิตสอนพวกสัตว์อสูรทุกวันเช้าเย็นคงสนุกใช่ย่อย

      “ก็ได้ครับ” เสียงนั้นไม่ใช่ของกริฟแต่เป็นเซธ ปีศาจงูคืนร่างมนุษย์ เขาจับคางใช้ความคิดชั่วครู่ก่อนเอ่ยออกมา แน่นอนว่าเฟรินต้องประท้วง ยังไงเสียเซธโต้แย้งกลับมาด้วยความจริงจัง

      “คุณบอกว่าเธอมีกลิ่นน้ำทะเลและประตูรั้วโรงเรียนยอมเปิดให้เธอ ไม่แน่บางทีเธออาจจะมีเชื้อสายของอสูรตนใดตนหนึ่งก็เป็นได้”

      “ผีปอปนะสิ!!” เฟรินแยกเขี้ยว

      กริฟเอ่ยขัดทันที ไม่ยอมให้เขาชี้นิ้วไล่ฉัน ฉันเลยยิ้มกรุ้มกริ่มยืนตัวตรงสบายๆ รับตำแหน่งอาจารย์คนใหม่

      “ในเมื่อเซธเห็นด้วยก็ไม่มีปัญหา เพราะอย่างไรเสียมิสเจลาวีนก็ควรอยู่ที่นี้เช่นกัน” ในดวงตาแหลมคมแฝงบางอย่างไว้ เขาว่ากันว่าคนพูดน้อยมักคิดเยอะ สงสัยจังว่าในสมองแสนปราดเปรื่องอันนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ผ่าน เอาเป็นว่าฉันผ่านแล้ว คริฟขยี้หัวแรงๆ อย่างหงุดหงิด

      เขาตวาดใส่ฉัน “เธอจะทำฉันซวยไปด้วย!

      “แปลว่านายจะยอมอยู่คุ้มครองฉันนะสิ”

      ฮึก!! เขาข่มเสียงไว้ ท่าทางก้าวร้าวราวกับอยากเอาตะบองวิเศษมาฟาดหัวฉันแล้วลากกลับบ้าน แต่หนึ่งเขาไม่ฟาดดหรอกเพราะฉันรู้ว่าเขาเป็นแค่เด็กติดพี่ที่ต้องการปกป้องพี่สาวสุดน่ารักคนนี้และสองหัวก็ฉันแข็งกว่าหิน ต่อให้เขาฟาดมาจริงๆ ฉันก็คงไม่เป็นอะไร สิ่งเดียวที่สามารถโจมตีฉันได้คือเหตุการณ์ไฟดับตอนยังไม่ได้เซฟงานเท่านั้น

      ฉันกอดคอเจ้าหมาสีดำที่หงุดหงิดพอๆ กับคริฟ อันที่จริงพวกเขาเหมือนกันเปี๊ยบ น่าจะเป็นเพื่อนกันได้

      “ฮิฮิ ยินดีต้อนรับอาจารย์คนใหม่หน่อยสิ”

      “ไม่!!” เขากลับร่างสุนัขแล้ววิ่งหนีหายไปเลย ปีศาจอสรพิษหัวเราะนิดๆ

      “เขาแค่เขินนะครับ อาจารย์เจวาลีน”

      หึหึหึ เหยื่ออันโอชะทั้งหลาย ฉันเก็บอาการแล้วแสดงท่าทาง สาวน้อยผู้เป็นครูสาวใจดี ต่อหน้าพวกเขาแต่รับหลังฉันกำลังน้ำลายสอเมื่อเห็นเหล่าเหยื่อกำลังตายใจทั้งหลาย สกู๊ป สกู๊ปลงบล็อกเต็มไปหมด เรื่องน่าตื่นเต้นขนาดนี้ เจวาลีน ชาคอฟสต้าร์ ไม่มีทางปล่อยมือเด็ดขาด ต้องขอบคุณหนังสือในหอจดหมายเหตุจริงๆ ที่นอกจากจะมอบชีวิตอันน่าตื่นเต้น เร้าใจและระทึกขวัญถมยังมีเงินเดือนแน่นอนให้แก่ฉัน

      ฮ่าฮ่าฮ่า!!

      แปะ อะ อะไรนะ?

      กระดาษแผ่นสีขาว มีตัวอักษรแล้วก็ตัวเลข จำนวน

      “อั๊ก!!?

      อาจารย์กริฟขยับตัวตา เขาแต่งตัวน่าภูมิฐานมิหนำซ้ำยังเปล่งประกายรัศมีอาจารย์ผู้อารีทว่าเฉลียวฉลาด เขาลืมตาขึ้นเล็กน้อย ขยับวาดรอยยิ้มที่ฉันเห็นยังต้องใจเต้น

      “ค่าพังประตู ค่าหน้าต่างแตก ค่าบุกรุกสร้างความวุ่นวาย ทางเราจะขอหักจากเงินเดือน 3 เดือนแรกของคุณก่อนนะครับ” ไม่เขาคือชายหน้าเลือด ท่องไว้ เจวาลีน เขาเป็นชายหน้าเลือด

      “ฮึ”

      “แสยะยิ้มบ้าอะไรของนาย คริฟ!

      “ก็ดูเหมือนญาติปัญญาอ่อนของฉันจะหาเรื่องเป็นอาหารเย็นสัตว์อสูรแล้วยังมีหนี้บานตะไทซะด้วย” หน๊อย! ฉันกระทืบเท้า แต่เขาไม่สนใจ หันไปจ้องตากับกริฟแทน

      “หวังว่าคุณคงไม่สร้างความเดือนร้อนกับทางเรานะครับ”

      คริฟยิ้ม แต่ดวงตาไม่ยิ้มตาม “ตราบใดที่ยัยญาติปัญญาอ่อนของผมยังไม่กลายเป็นมื้อเย็นล่ะนะ”

      แล้วก็เดินจากไปอย่างเท่ๆ เดี๋ยวสิ แล้วฉันล่ะ ทำไมโดนทิ้งอยู่คนเดียว ไลเอลเดินสี่เท้าตามฉันมาจนฉันทนไม่ได้ต้องพยุงเขาขึ้นเพราะตอนนี้ไลเอลอยู่ในร่างมนุษย์ แสดงท่าทางอย่างนี้คงไม่ดีเท่าไร ขณะกำลังสอนให้เขายืนสองขา เสียงกริฟพลันดังมาจากที่ห่างไกล

      “อ้อ ผมลืมบอกไปย่างหนึ่งนะครับ ไลเอลเป็นคิเมร่าที่อาศัยอยู่ในป่าหลังภูเขา ทางบ้านเขาไม่มีเงินมากพอจะส่งมาโรงเรียน แต่ทางเราเห็นว่ามิสเจวาลีนมีเมตตาประสงค์อยากให้ไลเอลได้ร่ำเรียนหนังสือ ดังนั้นทางเราจึงขอตัดเงินเดือนครึ่งหนึ่งทุกเดือนของคุณเป็นค่าเล่าเรียนของไลเอลนะครับ”

      ตัดเงินเดือน! ตั้งแต่ยังไม่เริ่มนี้น่ะ!?

      ฉันเข่าอ่อนทรุดอยู่กับพื้น ได้ยินเสียงคริฟเร่งให้กลับบ้านอยู่ไกลๆ ไลเอลเข้ามาประจบทั้งที่ลูกบอลยังอยู่ในปาก ผลคือน้ำลายเขาเลอะเต็มหน้าฉันเลย แต่ฉันไม่มีกะจิตกะใจจะไปสนใจหรอก สิ่งเดียวที่ฉันอยากรู้ตอนนี้คือ

      “แล้วสรุปฉันจะได้เงินเดือนเท่าไรกันแน่เนี่ย!!?

       

      เกิดเป็นโอตาคุเรื่องลี้ลับ เจวาลีน ต้องอดทน ถือเสียว่าแลกกับการได้ฝึกสอนสัตว์อสูรแบบแจ็กพ็อตแตก

      ยังไงก็ตาม บีสสคูลฉันขอสัญญาว่าต่อแต่นี้ไปพวกนายไม่มีทางได้อยู่อย่างสงบสุขหรอก เพราะ เจวาลีน ชาคอฟสต้าร์ มาแล้ว!! ฮ่าฮ่าฮ่า!!

       

      “ยัยญาติปัญญาอ่อนจะหัวเราะปัญญาอ่อนไปถึงไหน กลับบ้านได้แล้ว!!

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×