เปรตท้ายสวน
สมัยก่อนครอบครัวยากจนมาก ต้องย้ายที่อยู่อาศัยบ่อยๆเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน..ในที่สุดก็ต้องย้ายมาเช่าบ้าน อยู่ในสวนแห่งหนึ่ง มันเป็น สวนกล้วย สวนมะพร้าวซึ่งมองไปแล้วเหมือนป่ารกๆทึบๆมาอยู่ในสองเดือนเริ่มคุ้นเคยกับสถานที่ ฉันและพี่น้องก็หาที่วิ่งเล่นก
ผู้เข้าชมรวม
201
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
สมัยก่อนครอบครัวยากจนมาก ต้องย้ายที่อยู่อาศัยบ่อยๆเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน..ในที่สุดก็ต้องย้ายมาเช่าบ้าน อยู่ในสวนแห่งหนึ่ง มันเป็น สวนกล้วย สวนมะพร้าวซึ่งมองไปแล้วเหมือนป่ารกๆทึบๆมาอยู่ในสองเดือนเริ่มคุ้นเคยกับสถานที่ ฉันและพี่น้องก็หาที่วิ่งเล่นกันตามประสาเด็ก
ทุกเช้าฉันจะต้องเดินไปโรงเรียนเพ่อประหยัดค่ารถไหเป็นค่าอาหารกลางวัน กว่าจะถึง
โรงเรียนก็เลยเวลาเคารพธงชาติไปแล้ว เวลาเลิกเรียนฉันก็จะเดินกลับบ้านเช่นกัน แต่ฉันกับพี่ชายจะแวะเข้าไปเก็บชมพู่ในสวนมากินเพื่อประทังความหิวก่อนจะถึงบ้านเป็นประจำ ส่วนพ่อฉันไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะช่วยทำงาน..วัน ๆ ดีแต่กินเหล้าเมายา ด่าตีลูกเมีย เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นสม่ำเสมอ สร้างความกดดันให้กับพวกผมและแม่เป็นอย่างมาก
.บางวันก็ถึงขนาดไม่มีกับข้าว พี่ชายบอกฉันว่า “เอาอย่างงี้ดีกว่า เราไปตกปลาที่ท้ายสวนหลังบ้าน ถ้าได้ปลาก็เอามาทำกับข้าวกิน ถ้าได้มากก็เอาไปขายที่ร้านค้า จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระของแม่ลงได้บ้าง”
ฉันเห็นด้วยกับความคิดของพี่จึงเริ่มลงมือทันทีโดยฉันเป็นคนไปหาตัดไม้มาทำคันเบ็ด ส่วนพี่ชายเดินออกไปซื้อตัวเบ็ดที่ตลาด วันรุ่งขึ้นหลังจากเลิกเรียนกลับมาทำงานที่บ้านเรียบร้อยแล้ว ฉันกับพี่ชายก็ออกไปตกปลาที่ท้ายสวนตาที่คุยไว้..ไปถึงท้ายสวน ฉันและพี่ชายเลือกหาทำเลจนได้เป็นที่พอใจจึงเริ่มลงมือตกปลามีใส้เดือนเป็นเหยื่ออย่างดี
เรานั่งตกปลากันจนเพลิน พี่ชายบอกฉันว่าวันนี้เรากลับก่อนดีกว่า เดี๋ยววันหลังค่อยมาตกใหม่ ฉันและพี่ชายกลับบ้านด้วยความภูมิใจ เพราะตกปลาได้มากพอสมควร กลับถึงบ้านพี่ชายจัดแจงเอาปลาที่ตกได้มาทำกับข้าว แล้วสั่งให้ฉันไปหุงข้าวได้เลย เดี๋ยวแม่กลับมาจากโรงงานจะได้กินข้าวกัน (ลืมบอกไปว่าแม่ฉันทำงานอยู่โรงงานพลาสติก) ไม่นานแม่ฉันก้อกลับมา ซึ่งฉันและพี่ชายก็จัดสำรับอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว ลงมือกินข้าวหลังจากที่หิวมาทั้งวัน ขณะกินข้าวแม่ถามว่า “ไปเอาปลาจากไหนมาทำกับข้าว” “ผมไปตกมาจากท้ายสวน ปลามันชุมมากเลยแม่” พี่ชายฉันตอบ
มื้อนั้นเรากินข้าวกันอย่างอิ่มหนำสำราญ พี่ชายกับฉันจึงมานั่งคุยและปรึกษาแม่ว่า
“ที่ท้ายสวนหลังบ้านเรามีปลาชุมมากและแม่ ผมคิดว่าตอนเย็นหลังจากเลิกเรียนแล้วจะไปวางเบ็ด ตอนเช้าก่อนไปโรงเรียนค่อยไปเก็บถ้าวันไหนไม่ได้ไปโรงเรียนก็จะไปเก็บตอนกลางคืนด้วย เผื่อได้ปลาเยอะจะได้ไปขายที่ตลาดดีมั้ยแม่” แม่นั่งนิ่งเงียบสักพัก “ตามใจ แต่แม่ไม่อยากให้ทำหรอก มันบาปนะลูก”
“เราทำเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงทองให้อยู่รอด ไม่ได้ทำเพื่อความสนุกนี่แม่ ไม่บาปหรอก “ ฉันเห็นด้วยกับคำพูดของพี่ชาย ซึ่งแม่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร เพียงแต่บอกว่า “แม่ให้ทำ แต่ถ้าวันไหนเรามีกับข้าวกินสบายแล้วก็อย่าไปตก อย่าไปทำเขา เลิกซะ”
ประมาณ 2-3 วัน ฉันกับพี่ชายจัดการหาอุปกรณ์วางเบ็ดที่ท้ายสวน ตกลงกันอีกครั้งว่าพรุ่งนี้เช้าก่อนไปโรงเรียนจะมาเก็บเบ็ดที่วางไว้
คืนนั้นฉันกับพี่ชายนอนไม่ค่อยหลับเพราะตื่นเต้นกับการวางเบ็ด พอใกล้เช้าเรารีบออกไปเก็บเบ็ด พี่ชายฉันดีใจมากเพราะทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดหวัง เราได้ปลามากพอสมควร นำไปขายที่ตลาดได้เงินมาให้แม่ ฉันคิดว่าต่อไปเราคงลำบากน้อยลง
เวลาผ่านไปหลายเดือน พี่ชายกับฉันยังทำการวางเบ็ดล่อปลาเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้รู้สึกแปลก ๆ ผิดปกติ..ปลาที่เคยเห็นว่าเยอะชุกชุมกลับเงียบสนิท ไม่ได้ยินแม้เสียงกระโดด ไม่มีปลาไหว้ไปมาสักตัว มันไม่เหมือนเคยเป็นเช่นวันก่อน ๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร วางเบ็ดตกปลาเสร็จจึงกลับบ้านเช้าขึ้นพี่ชายปลุกฉันให้ลุกไปช่วยเก็บเบ็ด แต่เมื่อมาถึงก็ต้องตกใจอย่างที่สุด เพราะเบ็ดทุกคันที่วางปลาวันนี้ไม่มีปลาติดสักตัวเดียว พี่ชายมีสีหน้า งง ๆ
“แปลกจริง ทำไมวันนี้ไม่มีปลาติดเบ็ด สงสัยจังเลย”
เช้าวันนั้น พี่ชายและฉันไปโรงเรียนกันด้วยความสงสัยตลอดเวลา กลับถึงบ้านนั่งคุยกันสักพัก แล้วชวนไปวางเบ็ดเหมือนเดิม
บรรยากาศที่ท้ายสวนวันนี้ดูเงียบสงัดเหมือนเมื่อวานไม่มีผิดกับมาจากวางเบ็ดมาถึงบ้านพี่ชายปรึกษาฉันว่า “เอาอย่างนี้มั้ย เดี๋ยวคืนนี้ตอนดึก ๆ เราไปดูเบ็ดที่วางไว้กัน เพื่อจะได้รู้ว่าทำไมถึงไม่มีปลาติดเบ็ดเลยสักตัว “
ฉันพยักหน้ารับ เที่ยงคืนกว่า พี่ชายมาปลุกฉันว่าไปกันได้แล้ว เดินออกมาได้นิดหน่อย “พี่มิ่ง ทำไมวันนี้มันมืดจัง” “ไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวเราหาทาง มะพร้าวมาทำคบไฟส่องดูเบ็ดกัน พี่ชายเดินนำหน้าพร้อมคบไฟที่ทำขึ้นอย่างง่ายๆ ด้วยทางมะพร้าวยาวประมาณเมตรกว่าๆ ส่วนฉันเดินตามไปติดๆ มุ่งหน้าไปยังที่วางเบ็ด แต่ยังไม่ทันถึงฉันและพี่ชายก็เห็นเงาของใครคนหนึ่งที่ท้ายสวน อีกฝั่ง เมื่อเห็นดังนั้นพี่ชายดับไฟทันที แล้วหันมาบอกกับฉันว่า “สงสัย จะเป็นขโมย เราตามไปดูกันดีกว่า” ยังไม่ทันตอบพี่ชายก็รีบเดิน ฉันวิ่งตามติดจนมาถึงก็ไม่เห็นอะไร เราจึงเดินกลับมาตรงที่วางเบ็ด
แล้วสายตาของเราทั้งสองก้อเหลือบไปเห็นเงาดำตะคุ่ม ๆ อีก มันอยู่ตรงที่วางเบ็ดที่ฉันตะโกนขึ้น
“นั้นใคร มาทำอะไรตรงนั้น”
เงียบไม่มีเสียงตอบใด ๆ พี่ชายฉันจุดคบไฟอีกครั้งเพื่อต้องการดูหน้า มันให้ชัดเจน เมื่อแสงไฟส่องสว่าง ฉันกับพี่ชายถึงกับตะลึงตาค้าง ปากคอสั่น ภาพที่เห็นอยู่ข้างหน้าเป็นร่างของชายแก่ร่างผอมเหี่ยวแห้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยย่น ดวงตาแดงก่ำ ปากเล็กเหลายาวเหมือนรูเข็ม
ขณะที่เราจ้องมองด้วยความตกตะลึง ร่างงของชายแก่คนนั้นก็เริ่มยืดตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเลยต้นมะพร้าว ชายแก่คนนั้นก็เริ่มยืดตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนเลยต้นมะพร้าว ชายแก่จ้องเขม็ง มองมายังพี่ชายฉันพร้อมกับยื่นมือขนาดเท่าใบลานลงมาหมายจะบีบคอ ไม่ทันที่มืออันน่าเกลียดจะตรงมาถึง ฉันและพี่ชายก็รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีอยู่ตัดสินใจทิ้งคบไฟวิ่งหนีทันที ส่วนฉันวิ่งไม่ค่อยทันพี่ชายเท่าไหร่ เพราะมัวแต่หันกลับไปมองว่ามันตามมาหรือเปล่า
เป็นอย่างที่ฉันคิด ชายร่างโย่งนั้นเดินตามมาติด ๆ ฉันกับพี่ชายเร่งความเร็วที่ขาขึ้นอย่างไม่คิดชีวิต วิ่งไปหลายปากก็ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ “ช่วยด้วย ช่วยด้วยผีหลอก”
ไม่กี่อึดใจพี่ชายและฉันมาถึงบ้าน กระโดดขึ้นบ้านโดยไม่ต้องใช้บันได เข้าห้องคลุมโปงนอนตัวสั่น แม่ฉันได้ยินเสียงโครมครามจึงตื่นขึ้นมาถามว่า “ทำอะไรกัน เสียงดังโครมคราม”
ไม่ทันที่จะตอบ พวกก็ได้ยินเสียร้อง กริ๊ด กริ๊ด ปี๊บ ปี๊บ ดังขึ้นอย่างกังวาน เราสามคนแม่ลูกตัดสินใจเดินออกไปดูที่หน้าบ้านเพื่อให้รู้ว่าเป็นเสียงของ อะไร
พอเปิดประตูบ้านออกไปผมตกตะลึงตาค้างอีกครั้ง เมื่อภาพของคนแก่คนแก่คนนั้นยืนจ้องหน้ามายังพวกเราพร้องส่งเสียงกร้อง กริ๊ด
เห็นดังนั้น พวกเราสามแม่ลูกรีบปิดประตูทันที วิ่งเข้าบ้านกระโดดคว้าผ้าเอามาคลุมโปรงนอนฟังเสียงร้องของมันจนเช้า มีเสียงระฆังดังมาจากวัดที่อยู่ห่างจากบ้านไม่มาก เสียงหวีด ร้อง กรี๊ด ..กริ๊ด เงียบหายไป
แม่พาฉันและพี่ชายไปที่วัด เล่าเรื่องเมื่อคืนให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อฟังจนก็บอกว่า “สิ่งที่พวกโยมเห็นกันเมื่อคืนมันเป็นเปรต มันมาขอส่วนบุญเท่านั้น ไม่ได้มาทำร้ายโยมไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปตามที่หลวงพ่อบอกซะนะ มันจะได้ไม่มาอีก” หลังจากทำบุญตักบาตรตามที่หลวงพ่อบอก ไอ้เปรตตัวนั้นก็ไม่มา ปรากฏตัวอีกเลย ส่วนฉันกับพี่ชายยังคงวางเบ็ดตกปลาเหมือนเช่นเคย
ทุกเช้าฉันจะต้องเดินไปโรงเรียนเพ่อประหยัดค่ารถไหเป็นค่าอาหารกลางวัน กว่าจะถึง
โรงเรียนก็เลยเวลาเคารพธงชาติไปแล้ว เวลาเลิกเรียนฉันก็จะเดินกลับบ้านเช่นกัน แต่ฉันกับพี่ชายจะแวะเข้าไปเก็บชมพู่ในสวนมากินเพื่อประทังความหิวก่อนจะถึงบ้านเป็นประจำ ส่วนพ่อฉันไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะช่วยทำงาน..วัน ๆ ดีแต่กินเหล้าเมายา ด่าตีลูกเมีย เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นสม่ำเสมอ สร้างความกดดันให้กับพวกผมและแม่เป็นอย่างมาก .บางวันก็ถึงขนาดไม่มีกับข้าว พี่ชายบอกฉันว่า “เอาอย่างงี้ดีกว่า เราไปตกปลาที่ท้ายสวนหลังบ้าน ถ้าได้ปลาก็เอามาทำกับข้าวกิน ถ้าได้มากก็เอาไปขายที่ร้านค้า จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระของแม่ลงได้บ้าง”
ฉันเห็นด้วยกับความคิดของพี่จึงเริ่มลงมือทันทีโดยฉันเป็นคนไปหาตัดไม้มาทำคันเบ็ด ส่วนพี่ชายเดินออกไปซื้อตัวเบ็ดที่ตลาด วันรุ่งขึ้นหลังจากเลิกเรียนกลับมาทำงานที่บ้านเรียบร้อยแล้ว ฉันกับพี่ชายก็ออกไปตกปลาที่ท้ายสวนตาที่คุยไว้..ไปถึงท้ายสวน ฉันและพี่ชายเลือกหาทำเลจนได้เป็นที่พอใจจึงเริ่มลงมือตกปลามีใส้เดือนเป็นเหยื่ออย่างดี
เรานั่งตกปลากันจนเพลิน พี่ชายบอกฉันว่าวันนี้เรากลับก่อนดีกว่า เดี๋ยววันหลังค่อยมาตกใหม่ ฉันและพี่ชายกลับบ้านด้วยความภูมิใจ เพราะตกปลาได้มากพอสมควร กลับถึงบ้านพี่ชายจัดแจงเอาปลาที่ตกได้มาทำกับข้าว แล้วสั่งให้ฉันไปหุงข้าวได้เลย เดี๋ยวแม่กลับมาจากโรงงานจะได้กินข้าวกัน (ลืมบอกไปว่าแม่ฉันทำงานอยู่โรงงานพลาสติก) ไม่นานแม่ฉันก้อกลับมา ซึ่งฉันและพี่ชายก็จัดสำรับอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว ลงมือกินข้าวหลังจากที่หิวมาทั้งวัน ขณะกินข้าวแม่ถามว่า “ไปเอาปลาจากไหนมาทำกับข้าว” “ผมไปตกมาจากท้ายสวน ปลามันชุมมากเลยแม่” พี่ชายฉันตอบ มื้อนั้นเรากินข้าวกันอย่างอิ่มหนำสำราญ พี่ชายกับฉันจึงมานั่งคุยและปรึกษาแม่ว่า
“ที่ท้ายสวนหลังบ้านเรามีปลาชุมมากและแม่ ผมคิดว่าตอนเย็นหลังจากเลิกเรียนแล้วจะไปวางเบ็ด ตอนเช้าก่อนไปโรงเรียนค่อยไปเก็บถ้าวันไหนไม่ได้ไปโรงเรียนก็จะไปเก็บตอนกลางคืนด้วย เผื่อได้ปลาเยอะจะได้ไปขายที่ตลาดดีมั้ยแม่” แม่นั่งนิ่งเงียบสักพัก “ตามใจ แต่แม่ไม่อยากให้ทำหรอก มันบาปนะลูก”
“เราทำเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงทองให้อยู่รอด ไม่ได้ทำเพื่อความสนุกนี่แม่ ไม่บาปหรอก “ ฉันเห็นด้วยกับคำพูดของพี่ชาย ซึ่งแม่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร เพียงแต่บอกว่า “แม่ให้ทำ แต่ถ้าวันไหนเรามีกับข้าวกินสบายแล้วก็อย่าไปตก อย่าไปทำเขา เลิกซะ”
ประมาณ 2-3 วัน ฉันกับพี่ชายจัดการหาอุปกรณ์วางเบ็ดที่ท้ายสวน ตกลงกันอีกครั้งว่าพรุ่งนี้เช้าก่อนไปโรงเรียนจะมาเก็บเบ็ดที่วางไว้
คืนนั้นฉันกับพี่ชายนอนไม่ค่อยหลับเพราะตื่นเต้นกับการวางเบ็ด พอใกล้เช้าเรารีบออกไปเก็บเบ็ด พี่ชายฉันดีใจมากเพราะทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดหวัง เราได้ปลามากพอสมควร นำไปขายที่ตลาดได้เงินมาให้แม่ ฉันคิดว่าต่อไปเราคงลำบากน้อยลง
เวลาผ่านไปหลายเดือน พี่ชายกับฉันยังทำการวางเบ็ดล่อปลาเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้รู้สึกแปลก ๆ ผิดปกติ..ปลาที่เคยเห็นว่าเยอะชุกชุมกลับเงียบสนิท ไม่ได้ยินแม้เสียงกระโดด ไม่มีปลาไหว้ไปมาสักตัว มันไม่เหมือนเคยเป็นเช่นวันก่อน ๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร วางเบ็ดตกปลาเสร็จจึงกลับบ้านเช้าขึ้นพี่ชายปลุกฉันให้ลุกไปช่วยเก็บเบ็ด แต่เมื่อมาถึงก็ต้องตกใจอย่างที่สุด เพราะเบ็ดทุกคันที่วางปลาวันนี้ไม่มีปลาติดสักตัวเดียว พี่ชายมีสีหน้า งง ๆ
“แปลกจริง ทำไมวันนี้ไม่มีปลาติดเบ็ด สงสัยจังเลย”
เช้าวันนั้น พี่ชายและฉันไปโรงเรียนกันด้วยความสงสัยตลอดเวลา กลับถึงบ้านนั่งคุยกันสักพัก แล้วชวนไปวางเบ็ดเหมือนเดิม บรรยากาศที่ท้ายสวนวันนี้ดูเงียบสงัดเหมือนเมื่อวานไม่มีผิดกับมาจากวางเบ็ดมาถึงบ้านพี่ชายปรึกษาฉันว่า “เอาอย่างนี้มั้ย เดี๋ยวคืนนี้ตอนดึก ๆ เราไปดูเบ็ดที่วางไว้กัน เพื่อจะได้รู้ว่าทำไมถึงไม่มีปลาติดเบ็ดเลยสักตัว “
ฉันพยักหน้ารับ เที่ยงคืนกว่า พี่ชายมาปลุกฉันว่าไปกันได้แล้ว เดินออกมาได้นิดหน่อย “พี่มิ่ง ทำไมวันนี้มันมืดจัง” “ไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวเราหาทาง มะพร้าวมาทำคบไฟส่องดูเบ็ดกัน พี่ชายเดินนำหน้าพร้อมคบไฟที่ทำขึ้นอย่างง่ายๆ ด้วยทางมะพร้าวยาวประมาณเมตรกว่าๆ ส่วนฉันเดินตามไปติดๆ มุ่งหน้าไปยังที่วางเบ็ด แต่ยังไม่ทันถึงฉันและพี่ชายก็เห็นเงาของใครคนหนึ่งที่ท้ายสวน อีกฝั่ง เมื่อเห็นดังนั้นพี่ชายดับไฟทันที แล้วหันมาบอกกับฉันว่า “สงสัย จะเป็นขโมย เราตามไปดูกันดีกว่า” ยังไม่ทันตอบพี่ชายก็รีบเดิน ฉันวิ่งตามติดจนมาถึงก็ไม่เห็นอะไร เราจึงเดินกลับมาตรงที่วางเบ็ด แล้วสายตาของเราทั้งสองก้อเหลือบไปเห็นเงาดำตะคุ่ม ๆ อีก มันอยู่ตรงที่วางเบ็ดที่ฉันตะโกนขึ้น
“นั้นใคร มาทำอะไรตรงนั้น”
เงียบไม่มีเสียงตอบใด ๆ พี่ชายฉันจุดคบไฟอีกครั้งเพื่อต้องการดูหน้า มันให้ชัดเจน เมื่อแสงไฟส่องสว่าง ฉันกับพี่ชายถึงกับตะลึงตาค้าง ปากคอสั่น ภาพที่เห็นอยู่ข้างหน้าเป็นร่างของชายแก่ร่างผอมเหี่ยวแห้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยย่น ดวงตาแดงก่ำ ปากเล็กเหลายาวเหมือนรูเข็ม
ขณะที่เราจ้องมองด้วยความตกตะลึง ร่างงของชายแก่คนนั้นก็เริ่มยืดตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเลยต้นมะพร้าว ชายแก่คนนั้นก็เริ่มยืดตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนเลยต้นมะพร้าว ชายแก่จ้องเขม็ง มองมายังพี่ชายฉันพร้อมกับยื่นมือขนาดเท่าใบลานลงมาหมายจะบีบคอ ไม่ทันที่มืออันน่าเกลียดจะตรงมาถึง ฉันและพี่ชายก็รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีอยู่ตัดสินใจทิ้งคบไฟวิ่งหนีทันที ส่วนฉันวิ่งไม่ค่อยทันพี่ชายเท่าไหร่ เพราะมัวแต่หันกลับไปมองว่ามันตามมาหรือเปล่า
เป็นอย่างที่ฉันคิด ชายร่างโย่งนั้นเดินตามมาติด ๆ ฉันกับพี่ชายเร่งความเร็วที่ขาขึ้นอย่างไม่คิดชีวิต วิ่งไปหลายปากก็ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ “ช่วยด้วย ช่วยด้วยผีหลอก”
ไม่กี่อึดใจพี่ชายและฉันมาถึงบ้าน กระโดดขึ้นบ้านโดยไม่ต้องใช้บันได เข้าห้องคลุมโปงนอนตัวสั่น แม่ฉันได้ยินเสียงโครมครามจึงตื่นขึ้นมาถามว่า “ทำอะไรกัน เสียงดังโครมคราม”
ไม่ทันที่จะตอบ พวกก็ได้ยินเสียร้อง กริ๊ด กริ๊ด ปี๊บ ปี๊บ ดังขึ้นอย่างกังวาน เราสามคนแม่ลูกตัดสินใจเดินออกไปดูที่หน้าบ้านเพื่อให้รู้ว่าเป็นเสียงของ อะไร พอเปิดประตูบ้านออกไปผมตกตะลึงตาค้างอีกครั้ง เมื่อภาพของคนแก่คนแก่คนนั้นยืนจ้องหน้ามายังพวกเราพร้องส่งเสียงกร้อง กริ๊ด
เห็นดังนั้น พวกเราสามแม่ลูกรีบปิดประตูทันที วิ่งเข้าบ้านกระโดดคว้าผ้าเอามาคลุมโปรงนอนฟังเสียงร้องของมันจนเช้า มีเสียงระฆังดังมาจากวัดที่อยู่ห่างจากบ้านไม่มาก เสียงหวีด ร้อง กรี๊ด ..กริ๊ด เงียบหายไป
แม่พาฉันและพี่ชายไปที่วัด เล่าเรื่องเมื่อคืนให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อฟังจนก็บอกว่า “สิ่งที่พวกโยมเห็นกันเมื่อคืนมันเป็นเปรต มันมาขอส่วนบุญเท่านั้น ไม่ได้มาทำร้ายโยมไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปตามที่หลวงพ่อบอกซะนะ มันจะได้ไม่มาอีก” หลังจากทำบุญตักบาตรตามที่หลวงพ่อบอก ไอ้เปรตตัวนั้นก็ไม่มา ปรากฏตัวอีกเลย ส่วนฉันกับพี่ชายยังคงวางเบ็ดตกปลาเหมือนเช่นเคย
ผลงานอื่นๆ ของ rin_potgervill ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ rin_potgervill
ความคิดเห็น