เปรตท้ายสวน - เปรตท้ายสวน นิยาย เปรตท้ายสวน : Dek-D.com - Writer

    เปรตท้ายสวน

    สมัยก่อนครอบครัวยากจนมาก ต้องย้ายที่อยู่อาศัยบ่อยๆเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน..ในที่สุดก็ต้องย้ายมาเช่าบ้าน อยู่ในสวนแห่งหนึ่ง มันเป็น สวนกล้วย สวนมะพร้าวซึ่งมองไปแล้วเหมือนป่ารกๆทึบๆมาอยู่ในสองเดือนเริ่มคุ้นเคยกับสถานที่ ฉันและพี่น้องก็หาที่วิ่งเล่นก

    ผู้เข้าชมรวม

    201

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    201

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  6 เม.ย. 49 / 13:00 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      สมัยก่อนครอบครัวยากจนมาก ต้องย้ายที่อยู่อาศัยบ่อยๆเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน..ในที่สุดก็ต้องย้ายมาเช่าบ้าน อยู่ในสวนแห่งหนึ่ง มันเป็น สวนกล้วย  สวนมะพร้าวซึ่งมองไปแล้วเหมือนป่ารกๆทึบๆมาอยู่ในสองเดือนเริ่มคุ้นเคยกับสถานที่  ฉันและพี่น้องก็หาที่วิ่งเล่นกันตามประสาเด็ก

                     ทุกเช้าฉันจะต้องเดินไปโรงเรียนเพ่อประหยัดค่ารถไหเป็นค่าอาหารกลางวัน  กว่าจะถึง

      โรงเรียนก็เลยเวลาเคารพธงชาติไปแล้ว  เวลาเลิกเรียนฉันก็จะเดินกลับบ้านเช่นกัน  แต่ฉันกับพี่ชายจะแวะเข้าไปเก็บชมพู่ในสวนมากินเพื่อประทังความหิวก่อนจะถึงบ้านเป็นประจำ ส่วนพ่อฉันไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะช่วยทำงาน..วัน ๆ ดีแต่กินเหล้าเมายา  ด่าตีลูกเมีย  เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นสม่ำเสมอ  สร้างความกดดันให้กับพวกผมและแม่เป็นอย่างมาก….บางวันก็ถึงขนาดไม่มีกับข้าว  พี่ชายบอกฉันว่า เอาอย่างงี้ดีกว่า  เราไปตกปลาที่ท้ายสวนหลังบ้าน  ถ้าได้ปลาก็เอามาทำกับข้าวกิน  ถ้าได้มากก็เอาไปขายที่ร้านค้า  จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระของแม่ลงได้บ้าง

                     ฉันเห็นด้วยกับความคิดของพี่จึงเริ่มลงมือทันทีโดยฉันเป็นคนไปหาตัดไม้มาทำคันเบ็ด  ส่วนพี่ชายเดินออกไปซื้อตัวเบ็ดที่ตลาด วันรุ่งขึ้นหลังจากเลิกเรียนกลับมาทำงานที่บ้านเรียบร้อยแล้ว  ฉันกับพี่ชายก็ออกไปตกปลาที่ท้ายสวนตาที่คุยไว้..ไปถึงท้ายสวน  ฉันและพี่ชายเลือกหาทำเลจนได้เป็นที่พอใจจึงเริ่มลงมือตกปลามีใส้เดือนเป็นเหยื่ออย่างดี

                     เรานั่งตกปลากันจนเพลิน  พี่ชายบอกฉันว่าวันนี้เรากลับก่อนดีกว่า  เดี๋ยววันหลังค่อยมาตกใหม่      ฉันและพี่ชายกลับบ้านด้วยความภูมิใจ  เพราะตกปลาได้มากพอสมควร  กลับถึงบ้านพี่ชายจัดแจงเอาปลาที่ตกได้มาทำกับข้าว  แล้วสั่งให้ฉันไปหุงข้าวได้เลย  เดี๋ยวแม่กลับมาจากโรงงานจะได้กินข้าวกัน  (ลืมบอกไปว่าแม่ฉันทำงานอยู่โรงงานพลาสติก)         ไม่นานแม่ฉันก้อกลับมา  ซึ่งฉันและพี่ชายก็จัดสำรับอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว  ลงมือกินข้าวหลังจากที่หิวมาทั้งวัน  ขณะกินข้าวแม่ถามว่า  ไปเอาปลาจากไหนมาทำกับข้าว          ผมไปตกมาจากท้ายสวน  ปลามันชุมมากเลยแม่             พี่ชายฉันตอบมื้อนั้นเรากินข้าวกันอย่างอิ่มหนำสำราญ  พี่ชายกับฉันจึงมานั่งคุยและปรึกษาแม่ว่า

                     ที่ท้ายสวนหลังบ้านเรามีปลาชุมมากและแม่  ผมคิดว่าตอนเย็นหลังจากเลิกเรียนแล้วจะไปวางเบ็ด  ตอนเช้าก่อนไปโรงเรียนค่อยไปเก็บถ้าวันไหนไม่ได้ไปโรงเรียนก็จะไปเก็บตอนกลางคืนด้วย  เผื่อได้ปลาเยอะจะได้ไปขายที่ตลาดดีมั้ยแม่               แม่นั่งนิ่งเงียบสักพักตามใจ  แต่แม่ไม่อยากให้ทำหรอก  มันบาปนะลูก

                     เราทำเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงทองให้อยู่รอด  ไม่ได้ทำเพื่อความสนุกนี่แม่  ไม่บาปหรอก      ฉันเห็นด้วยกับคำพูดของพี่ชาย  ซึ่งแม่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร  เพียงแต่บอกว่า   แม่ให้ทำ  แต่ถ้าวันไหนเรามีกับข้าวกินสบายแล้วก็อย่าไปตก  อย่าไปทำเขา  เลิกซะ

                     ประมาณ 2-3 วัน  ฉันกับพี่ชายจัดการหาอุปกรณ์วางเบ็ดที่ท้ายสวน ตกลงกันอีกครั้งว่าพรุ่งนี้เช้าก่อนไปโรงเรียนจะมาเก็บเบ็ดที่วางไว้

                     คืนนั้นฉันกับพี่ชายนอนไม่ค่อยหลับเพราะตื่นเต้นกับการวางเบ็ด  พอใกล้เช้าเรารีบออกไปเก็บเบ็ด  พี่ชายฉันดีใจมากเพราะทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดหวัง  เราได้ปลามากพอสมควร  นำไปขายที่ตลาดได้เงินมาให้แม่  ฉันคิดว่าต่อไปเราคงลำบากน้อยลง

                     เวลาผ่านไปหลายเดือน  พี่ชายกับฉันยังทำการวางเบ็ดล่อปลาเหมือนเดิม  แต่ครั้งนี้รู้สึกแปลก ๆ ผิดปกติ..ปลาที่เคยเห็นว่าเยอะชุกชุมกลับเงียบสนิท  ไม่ได้ยินแม้เสียงกระโดด  ไม่มีปลาไหว้ไปมาสักตัว  มันไม่เหมือนเคยเป็นเช่นวันก่อน    แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร  วางเบ็ดตกปลาเสร็จจึงกลับบ้านเช้าขึ้นพี่ชายปลุกฉันให้ลุกไปช่วยเก็บเบ็ด  แต่เมื่อมาถึงก็ต้องตกใจอย่างที่สุด  เพราะเบ็ดทุกคันที่วางปลาวันนี้ไม่มีปลาติดสักตัวเดียว  พี่ชายมีสีหน้า งง ๆ

                     แปลกจริง  ทำไมวันนี้ไม่มีปลาติดเบ็ด  สงสัยจังเลย

                     เช้าวันนั้น  พี่ชายและฉันไปโรงเรียนกันด้วยความสงสัยตลอดเวลา  กลับถึงบ้านนั่งคุยกันสักพัก  แล้วชวนไปวางเบ็ดเหมือนเดิมบรรยากาศที่ท้ายสวนวันนี้ดูเงียบสงัดเหมือนเมื่อวานไม่มีผิดกับมาจากวางเบ็ดมาถึงบ้านพี่ชายปรึกษาฉันว่า                 เอาอย่างนี้มั้ย  เดี๋ยวคืนนี้ตอนดึก ๆ เราไปดูเบ็ดที่วางไว้กัน  เพื่อจะได้รู้ว่าทำไมถึงไม่มีปลาติดเบ็ดเลยสักตัว

                     ฉันพยักหน้ารับ  เที่ยงคืนกว่า  พี่ชายมาปลุกฉันว่าไปกันได้แล้ว  เดินออกมาได้นิดหน่อย  พี่มิ่ง  ทำไมวันนี้มันมืดจัง          ไม่ต้องกลัวนะ  เดี๋ยวเราหาทาง มะพร้าวมาทำคบไฟส่องดูเบ็ดกัน พี่ชายเดินนำหน้าพร้อมคบไฟที่ทำขึ้นอย่างง่ายๆ   ด้วยทางมะพร้าวยาวประมาณเมตรกว่าๆ  ส่วนฉันเดินตามไปติดๆ  มุ่งหน้าไปยังที่วางเบ็ด  แต่ยังไม่ทันถึงฉันและพี่ชายก็เห็นเงาของใครคนหนึ่งที่ท้ายสวน อีกฝั่ง      เมื่อเห็นดังนั้นพี่ชายดับไฟทันที  แล้วหันมาบอกกับฉันว่า    สงสัย  จะเป็นขโมย  เราตามไปดูกันดีกว่า ยังไม่ทันตอบพี่ชายก็รีบเดิน  ฉันวิ่งตามติดจนมาถึงก็ไม่เห็นอะไร  เราจึงเดินกลับมาตรงที่วางเบ็ดแล้วสายตาของเราทั้งสองก้อเหลือบไปเห็นเงาดำตะคุ่ม ๆ อีก  มันอยู่ตรงที่วางเบ็ดที่ฉันตะโกนขึ้น

                     นั้นใคร  มาทำอะไรตรงนั้น

                     เงียบไม่มีเสียงตอบใด ๆ  พี่ชายฉันจุดคบไฟอีกครั้งเพื่อต้องการดูหน้า  มันให้ชัดเจน  เมื่อแสงไฟส่องสว่าง  ฉันกับพี่ชายถึงกับตะลึงตาค้าง  ปากคอสั่น  ภาพที่เห็นอยู่ข้างหน้าเป็นร่างของชายแก่ร่างผอมเหี่ยวแห้ง  ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยย่น  ดวงตาแดงก่ำ  ปากเล็กเหลายาวเหมือนรูเข็ม

                     ขณะที่เราจ้องมองด้วยความตกตะลึง  ร่างงของชายแก่คนนั้นก็เริ่มยืดตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ  จนเลยต้นมะพร้าว  ชายแก่คนนั้นก็เริ่มยืดตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนเลยต้นมะพร้าว  ชายแก่จ้องเขม็ง  มองมายังพี่ชายฉันพร้อมกับยื่นมือขนาดเท่าใบลานลงมาหมายจะบีบคอ  ไม่ทันที่มืออันน่าเกลียดจะตรงมาถึง  ฉันและพี่ชายก็รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีอยู่ตัดสินใจทิ้งคบไฟวิ่งหนีทันที  ส่วนฉันวิ่งไม่ค่อยทันพี่ชายเท่าไหร่  เพราะมัวแต่หันกลับไปมองว่ามันตามมาหรือเปล่า

                     เป็นอย่างที่ฉันคิด  ชายร่างโย่งนั้นเดินตามมาติด ๆ  ฉันกับพี่ชายเร่งความเร็วที่ขาขึ้นอย่างไม่คิดชีวิต  วิ่งไปหลายปากก็ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือช่วยด้วย  ช่วยด้วยผีหลอก

      ไม่กี่อึดใจพี่ชายและฉันมาถึงบ้าน  กระโดดขึ้นบ้านโดยไม่ต้องใช้บันได  เข้าห้องคลุมโปงนอนตัวสั่น  แม่ฉันได้ยินเสียงโครมครามจึงตื่นขึ้นมาถามว่า       ทำอะไรกัน  เสียงดังโครมคราม

                     ไม่ทันที่จะตอบ  พวกก็ได้ยินเสียร้อง  กริ๊ด กริ๊ด  ปี๊บ ปี๊บ  ดังขึ้นอย่างกังวาน       เราสามคนแม่ลูกตัดสินใจเดินออกไปดูที่หน้าบ้านเพื่อให้รู้ว่าเป็นเสียงของ อะไรพอเปิดประตูบ้านออกไปผมตกตะลึงตาค้างอีกครั้ง  เมื่อภาพของคนแก่คนแก่คนนั้นยืนจ้องหน้ามายังพวกเราพร้องส่งเสียงกร้อง  กริ๊ด

                     เห็นดังนั้น  พวกเราสามแม่ลูกรีบปิดประตูทันที  วิ่งเข้าบ้านกระโดดคว้าผ้าเอามาคลุมโปรงนอนฟังเสียงร้องของมันจนเช้า  มีเสียงระฆังดังมาจากวัดที่อยู่ห่างจากบ้านไม่มาก  เสียงหวีด  ร้อง กรี๊ด  ..กริ๊ด เงียบหายไป

                     แม่พาฉันและพี่ชายไปที่วัด  เล่าเรื่องเมื่อคืนให้หลวงพ่อฟัง  หลวงพ่อฟังจนก็บอกว่าสิ่งที่พวกโยมเห็นกันเมื่อคืนมันเป็นเปรต  มันมาขอส่วนบุญเท่านั้น  ไม่ได้มาทำร้ายโยมไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปตามที่หลวงพ่อบอกซะนะ  มันจะได้ไม่มาอีก         หลังจากทำบุญตักบาตรตามที่หลวงพ่อบอก  ไอ้เปรตตัวนั้นก็ไม่มา ปรากฏตัวอีกเลย  ส่วนฉันกับพี่ชายยังคงวางเบ็ดตกปลาเหมือนเช่นเคย

                     ทุกเช้าฉันจะต้องเดินไปโรงเรียนเพ่อประหยัดค่ารถไหเป็นค่าอาหารกลางวัน  กว่าจะถึง

      โรงเรียนก็เลยเวลาเคารพธงชาติไปแล้ว  เวลาเลิกเรียนฉันก็จะเดินกลับบ้านเช่นกัน  แต่ฉันกับพี่ชายจะแวะเข้าไปเก็บชมพู่ในสวนมากินเพื่อประทังความหิวก่อนจะถึงบ้านเป็นประจำ ส่วนพ่อฉันไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะช่วยทำงาน..วัน ๆ ดีแต่กินเหล้าเมายา  ด่าตีลูกเมีย  เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นสม่ำเสมอ  สร้างความกดดันให้กับพวกผมและแม่เป็นอย่างมาก….บางวันก็ถึงขนาดไม่มีกับข้าว  พี่ชายบอกฉันว่า เอาอย่างงี้ดีกว่า  เราไปตกปลาที่ท้ายสวนหลังบ้าน  ถ้าได้ปลาก็เอามาทำกับข้าวกิน  ถ้าได้มากก็เอาไปขายที่ร้านค้า  จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระของแม่ลงได้บ้าง

                     ฉันเห็นด้วยกับความคิดของพี่จึงเริ่มลงมือทันทีโดยฉันเป็นคนไปหาตัดไม้มาทำคันเบ็ด  ส่วนพี่ชายเดินออกไปซื้อตัวเบ็ดที่ตลาด วันรุ่งขึ้นหลังจากเลิกเรียนกลับมาทำงานที่บ้านเรียบร้อยแล้ว  ฉันกับพี่ชายก็ออกไปตกปลาที่ท้ายสวนตาที่คุยไว้..ไปถึงท้ายสวน  ฉันและพี่ชายเลือกหาทำเลจนได้เป็นที่พอใจจึงเริ่มลงมือตกปลามีใส้เดือนเป็นเหยื่ออย่างดี

                     เรานั่งตกปลากันจนเพลิน  พี่ชายบอกฉันว่าวันนี้เรากลับก่อนดีกว่า  เดี๋ยววันหลังค่อยมาตกใหม่      ฉันและพี่ชายกลับบ้านด้วยความภูมิใจ  เพราะตกปลาได้มากพอสมควร  กลับถึงบ้านพี่ชายจัดแจงเอาปลาที่ตกได้มาทำกับข้าว  แล้วสั่งให้ฉันไปหุงข้าวได้เลย  เดี๋ยวแม่กลับมาจากโรงงานจะได้กินข้าวกัน  (ลืมบอกไปว่าแม่ฉันทำงานอยู่โรงงานพลาสติก)         ไม่นานแม่ฉันก้อกลับมา  ซึ่งฉันและพี่ชายก็จัดสำรับอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว  ลงมือกินข้าวหลังจากที่หิวมาทั้งวัน  ขณะกินข้าวแม่ถามว่า  ไปเอาปลาจากไหนมาทำกับข้าว          ผมไปตกมาจากท้ายสวน  ปลามันชุมมากเลยแม่             พี่ชายฉันตอบมื้อนั้นเรากินข้าวกันอย่างอิ่มหนำสำราญ  พี่ชายกับฉันจึงมานั่งคุยและปรึกษาแม่ว่า

                     ที่ท้ายสวนหลังบ้านเรามีปลาชุมมากและแม่  ผมคิดว่าตอนเย็นหลังจากเลิกเรียนแล้วจะไปวางเบ็ด  ตอนเช้าก่อนไปโรงเรียนค่อยไปเก็บถ้าวันไหนไม่ได้ไปโรงเรียนก็จะไปเก็บตอนกลางคืนด้วย  เผื่อได้ปลาเยอะจะได้ไปขายที่ตลาดดีมั้ยแม่               แม่นั่งนิ่งเงียบสักพักตามใจ  แต่แม่ไม่อยากให้ทำหรอก  มันบาปนะลูก

                     เราทำเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงทองให้อยู่รอด  ไม่ได้ทำเพื่อความสนุกนี่แม่  ไม่บาปหรอก      ฉันเห็นด้วยกับคำพูดของพี่ชาย  ซึ่งแม่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร  เพียงแต่บอกว่า   แม่ให้ทำ  แต่ถ้าวันไหนเรามีกับข้าวกินสบายแล้วก็อย่าไปตก  อย่าไปทำเขา  เลิกซะ

                     ประมาณ 2-3 วัน  ฉันกับพี่ชายจัดการหาอุปกรณ์วางเบ็ดที่ท้ายสวน ตกลงกันอีกครั้งว่าพรุ่งนี้เช้าก่อนไปโรงเรียนจะมาเก็บเบ็ดที่วางไว้

                     คืนนั้นฉันกับพี่ชายนอนไม่ค่อยหลับเพราะตื่นเต้นกับการวางเบ็ด  พอใกล้เช้าเรารีบออกไปเก็บเบ็ด  พี่ชายฉันดีใจมากเพราะทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดหวัง  เราได้ปลามากพอสมควร  นำไปขายที่ตลาดได้เงินมาให้แม่  ฉันคิดว่าต่อไปเราคงลำบากน้อยลง

                     เวลาผ่านไปหลายเดือน  พี่ชายกับฉันยังทำการวางเบ็ดล่อปลาเหมือนเดิม  แต่ครั้งนี้รู้สึกแปลก ๆ ผิดปกติ..ปลาที่เคยเห็นว่าเยอะชุกชุมกลับเงียบสนิท  ไม่ได้ยินแม้เสียงกระโดด  ไม่มีปลาไหว้ไปมาสักตัว  มันไม่เหมือนเคยเป็นเช่นวันก่อน    แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร  วางเบ็ดตกปลาเสร็จจึงกลับบ้านเช้าขึ้นพี่ชายปลุกฉันให้ลุกไปช่วยเก็บเบ็ด  แต่เมื่อมาถึงก็ต้องตกใจอย่างที่สุด  เพราะเบ็ดทุกคันที่วางปลาวันนี้ไม่มีปลาติดสักตัวเดียว  พี่ชายมีสีหน้า งง ๆ

                     แปลกจริง  ทำไมวันนี้ไม่มีปลาติดเบ็ด  สงสัยจังเลย

                     เช้าวันนั้น  พี่ชายและฉันไปโรงเรียนกันด้วยความสงสัยตลอดเวลา  กลับถึงบ้านนั่งคุยกันสักพัก  แล้วชวนไปวางเบ็ดเหมือนเดิมบรรยากาศที่ท้ายสวนวันนี้ดูเงียบสงัดเหมือนเมื่อวานไม่มีผิดกับมาจากวางเบ็ดมาถึงบ้านพี่ชายปรึกษาฉันว่า                 เอาอย่างนี้มั้ย  เดี๋ยวคืนนี้ตอนดึก ๆ เราไปดูเบ็ดที่วางไว้กัน  เพื่อจะได้รู้ว่าทำไมถึงไม่มีปลาติดเบ็ดเลยสักตัว

                     ฉันพยักหน้ารับ  เที่ยงคืนกว่า  พี่ชายมาปลุกฉันว่าไปกันได้แล้ว  เดินออกมาได้นิดหน่อย  พี่มิ่ง  ทำไมวันนี้มันมืดจัง          ไม่ต้องกลัวนะ  เดี๋ยวเราหาทาง มะพร้าวมาทำคบไฟส่องดูเบ็ดกัน พี่ชายเดินนำหน้าพร้อมคบไฟที่ทำขึ้นอย่างง่ายๆ   ด้วยทางมะพร้าวยาวประมาณเมตรกว่าๆ  ส่วนฉันเดินตามไปติดๆ  มุ่งหน้าไปยังที่วางเบ็ด  แต่ยังไม่ทันถึงฉันและพี่ชายก็เห็นเงาของใครคนหนึ่งที่ท้ายสวน อีกฝั่ง      เมื่อเห็นดังนั้นพี่ชายดับไฟทันที  แล้วหันมาบอกกับฉันว่า    สงสัย  จะเป็นขโมย  เราตามไปดูกันดีกว่า ยังไม่ทันตอบพี่ชายก็รีบเดิน  ฉันวิ่งตามติดจนมาถึงก็ไม่เห็นอะไร  เราจึงเดินกลับมาตรงที่วางเบ็ดแล้วสายตาของเราทั้งสองก้อเหลือบไปเห็นเงาดำตะคุ่ม ๆ อีก  มันอยู่ตรงที่วางเบ็ดที่ฉันตะโกนขึ้น

                     นั้นใคร  มาทำอะไรตรงนั้น

                     เงียบไม่มีเสียงตอบใด ๆ  พี่ชายฉันจุดคบไฟอีกครั้งเพื่อต้องการดูหน้า  มันให้ชัดเจน  เมื่อแสงไฟส่องสว่าง  ฉันกับพี่ชายถึงกับตะลึงตาค้าง  ปากคอสั่น  ภาพที่เห็นอยู่ข้างหน้าเป็นร่างของชายแก่ร่างผอมเหี่ยวแห้ง  ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยย่น  ดวงตาแดงก่ำ  ปากเล็กเหลายาวเหมือนรูเข็ม

                     ขณะที่เราจ้องมองด้วยความตกตะลึง  ร่างงของชายแก่คนนั้นก็เริ่มยืดตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ  จนเลยต้นมะพร้าว  ชายแก่คนนั้นก็เริ่มยืดตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนเลยต้นมะพร้าว  ชายแก่จ้องเขม็ง  มองมายังพี่ชายฉันพร้อมกับยื่นมือขนาดเท่าใบลานลงมาหมายจะบีบคอ  ไม่ทันที่มืออันน่าเกลียดจะตรงมาถึง  ฉันและพี่ชายก็รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีอยู่ตัดสินใจทิ้งคบไฟวิ่งหนีทันที  ส่วนฉันวิ่งไม่ค่อยทันพี่ชายเท่าไหร่  เพราะมัวแต่หันกลับไปมองว่ามันตามมาหรือเปล่า

                     เป็นอย่างที่ฉันคิด  ชายร่างโย่งนั้นเดินตามมาติด ๆ  ฉันกับพี่ชายเร่งความเร็วที่ขาขึ้นอย่างไม่คิดชีวิต  วิ่งไปหลายปากก็ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือช่วยด้วย  ช่วยด้วยผีหลอก

      ไม่กี่อึดใจพี่ชายและฉันมาถึงบ้าน  กระโดดขึ้นบ้านโดยไม่ต้องใช้บันได  เข้าห้องคลุมโปงนอนตัวสั่น  แม่ฉันได้ยินเสียงโครมครามจึงตื่นขึ้นมาถามว่า       ทำอะไรกัน  เสียงดังโครมคราม

                     ไม่ทันที่จะตอบ  พวกก็ได้ยินเสียร้อง  กริ๊ด กริ๊ด  ปี๊บ ปี๊บ  ดังขึ้นอย่างกังวาน       เราสามคนแม่ลูกตัดสินใจเดินออกไปดูที่หน้าบ้านเพื่อให้รู้ว่าเป็นเสียงของ อะไรพอเปิดประตูบ้านออกไปผมตกตะลึงตาค้างอีกครั้ง  เมื่อภาพของคนแก่คนแก่คนนั้นยืนจ้องหน้ามายังพวกเราพร้องส่งเสียงกร้อง  กริ๊ด

                     เห็นดังนั้น  พวกเราสามแม่ลูกรีบปิดประตูทันที  วิ่งเข้าบ้านกระโดดคว้าผ้าเอามาคลุมโปรงนอนฟังเสียงร้องของมันจนเช้า  มีเสียงระฆังดังมาจากวัดที่อยู่ห่างจากบ้านไม่มาก  เสียงหวีด  ร้อง กรี๊ด  ..กริ๊ด เงียบหายไป

                     แม่พาฉันและพี่ชายไปที่วัด  เล่าเรื่องเมื่อคืนให้หลวงพ่อฟัง  หลวงพ่อฟังจนก็บอกว่าสิ่งที่พวกโยมเห็นกันเมื่อคืนมันเป็นเปรต  มันมาขอส่วนบุญเท่านั้น  ไม่ได้มาทำร้ายโยมไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปตามที่หลวงพ่อบอกซะนะ  มันจะได้ไม่มาอีก         หลังจากทำบุญตักบาตรตามที่หลวงพ่อบอก  ไอ้เปรตตัวนั้นก็ไม่มา ปรากฏตัวอีกเลย  ส่วนฉันกับพี่ชายยังคงวางเบ็ดตกปลาเหมือนเช่นเคย

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×