{D18} My side... (Y) - {D18} My side... (Y) นิยาย {D18} My side... (Y) : Dek-D.com - Writer

    {D18} My side... (Y)

    อ่ะแฮ่มๆ ในที่สุดก็จบแล้วว

    ผู้เข้าชมรวม

    1,291

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    1.29K

    ความคิดเห็น


    10

    คนติดตาม


    8
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  7 ต.ค. 54 / 15:04 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ชื่อของผมคือฮิบาริ เคียวยะ แต่สำหรับพวกคุณผมให้เรียกแค่ฮิบาริที่เป็นนามสกุลเท่านั้น ผมไม่ได้สนิทกับพวกคุณขนาดยอมให้เรียกชื่อได้ และผมก็ไม่ชอบให้ใครมาเรียกชื่อผมด้วย เพราะฉนั้นจึงมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เรียกผมด้วยชื่อ

      ตอนนี้ผมกำลังเดินอยู่ เดินมาไม่ใช่ระยะทางน้อยๆเลยด้วย ค่าตัวในฟิคนี่ผมก็ไม่ได้สักนิดแต่ผมก็ยังต้องมาเดินตากแดดเปรี้ยงๆนี่ เพราะหนึ่งในน้อยคนที่เรียกผมด้วยชื่อนั่นแท้ๆ เรื่องมันเกิดเมื่อประมาณสิบห้านาทีที่แล้ว

      มันเริ่มมากจากประโยคที่ว่า...

      เคียวยะ ไปเที่ยวกัน...

       

      ไง เคียวยะ ชอบที่นี่มั้ยล่ะ

      คนข้างๆถามผมพร้อมกับมือที่เลื้อยมาอยู่ตรงไหล่ของผมแล้ว ตอนนี้เรากำลังอยู่ที่หน้าพีระมิดที่ไหนสักแห่งในอียิปต์ เพราะบอสของคาบัคโรเน่นึกอยากจะพาผมไปเดตขึ้นมาเฉยๆ แล้วยังบุกไปลากตัวผมถึงที่โรงเรียนเพื่อพามาดูพีระมิดนี่

      ก็ดี

      ผมตอบอย่างไม่ยี่หระ ผมไม่ค่อยสนใจพวกสถาปัตย์หรือประวัติศาสตร์สักเท่าไหร่ แต่ไหนๆเขาก็พาผมมาแล้วถ้าบอกว่าไม่ชอบนี่คงเสียใจน่าดู

      ~ชั้นจะขย้ำแกให้ตาย ผัวะ ปั้ก ฟลุบ ผัวะ~

      เสียงหนึ่งดังขึ้น ตอนแรกผมก็มองหาต้นตอของเสียงอยู่เพราะผมรู้สึกว่ามันคุ้น แต่พอหันไปมองคนข้างๆก็เห็นดีโน่กำลังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ นี่เจ้านี่เอาเสียงผมไปตั้งเป็นเสียงเรียกเขาเหรอ แถมยังมีเสียงฟาดผัวะผะของทอนฟาอีก

      ห๊า!’

      เพิ่งรับสายไปได้ยังไม่ถึงนาที ดีโน่ก็ตะโกนออกมาดังลั่น

      โรมาริโอ้ กลับด่วนนนนนนน~’

      หมอนั่นวิ่งพรวดขึ้นรถที่จอดอยู่ในทันที แล้วรถก็ออกอย่างรวดเร็วในทันทีอีกเช่นกัน รถไปแล้วทิ้งไว้แค่ฝุ่นที่ตลบอบอวลกับผมที่ยืนประมวลผลในสมองอยู่

      เฮ้ย ไม่มีรถ เท่ากับว่าผมโดนทิ้งน่ะสิ

       

      และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ผมต้องมาเดินกลางแดดที่แรงจนเหมือนจะเผาผมให้มอดอยู่ตรงนี้ บนพื้นก็มีแต่ทราย ทราย แล้วก็ทราย ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหมอนั่นมีเรื่องอะไรต้องรีบขนาดนั้น แต่ที่ผมแน่ใจคือถ้าเจอมันผมจะจัดทอนฟาให้ชุดใหญ่ไปเลย

      “ฮ้ายยยย~ น้องชาย”

      เสียงแหลมเฟี้ยวชนิดที่แทงหูให้ทะลุได้ดังขึ้นข้างหลัง แถมผมยังรู้สึกว่าเสียงนั่นจะเรียกผมซะด้วยสิ เอ่อ... หันกลับไปดีมั้ย ฟังจากเสียงแล้ว ผมกลัวเจอภาพบาดสายตาน่ะ

      “น้องชายผมดำนั่นแหละ หันมามองพี่สาวคนนี้หน่อยเร้ววว~

      โอ้ ชัดเลย

      และแล้วผมก็ค่อยๆหันกลับไปมองเจ้าของเสียงนั่น ผมถึงกับช็อคเหมือนวิญญาณหลุดลอนออกไปเลยทีเดียว

      สิ่งที่ชีวิตที่เรียกตัวตัวเองว่าพี่สาวนั่งอยู่บนหลังอูฐตัวหนึ่งที่ทำท่าเหมือนจะล้มตายอยู่ตรงนั้นด้วยน้ำหนักของคนที่นั่งอยู่บนหลัง พี่สาวคนนั้นเธอเป็นคนที่ เอ่อ มีเอกลักษณ์มากกก(จริงๆนะ) ใบหน้ารูปไข่(แตก)ของเธอก็เป็นเหลี่ยมเป็นสันอย่างพวกนักกล้าม ริมฝีปากบาง(กว่าเหมือนสารานุกรมฉบับเต็มนิดนึง)ทาลิปสติกสีแดงสดจนผมนึกว่าเธอไปกินเลือดใครมา แถมยังแต่งหน้าหนาจัดเหมือนหลุดออกมาจากโรงงิ้ว ชุดของเธอก็... โอ้ กระโปรงลายลูกไม้สีชมพูนั่น เธอยัดตัวลงไปยังไงกัน ยังไม่รวมรองเท้าส้นสูงสีแดงสดที่ตัดกับผิวสี เอ่อ เข้มนั่นอีก แว้ก ผมกำลังเจอสัตว์ประหลาดอะไรอยู่เนี่ย

      แผละ

      ตอนนี้เจ้าอูฐนั่นลงไปนอนแผ่หลากับพื้นแล้ว นั่นทำให้พี่ เอ่อ สาว ลงมากองกับพื้นไปด้วย แต่แล้วเธอก็ลุกขึ้นยืนอย่างมีมาด แต่เหมือนการยืนด้วยรองเท้าส้นสูงบนพื้นทราบจะเป็นปัญหามาก เธอพยายามเดินอยู่สักพักก็ถอดรองเท้าเขวี้ยงทิ้ง ดูจากแรงที่เธอใช้ตอนนี้มันคงจะไปถึงญี่ปุ่นบ้านเกิดผมแล้วล่ะ

      เธอเดินเท้าเปล่าบนทรายเหมือนจะไม่รู้สึกร้อนเลยสักนิด ปากเธอก็ยิ้มหวานและย่างกายเข้ามาหาผม ทันทีที่เธอเข้ามาอยู่ในระยะสามเมตร เรี่ยวแรงผมที่ไม่รู้มาจากไหนก็พาผมวิ่งออกห่างแบบไม่คิดชีวิต

      ตอนนี้ผมเริ่มรู้ความจริงแล้วล่ะ

      เธอไม่ใช่ผู้หญิงด้วยซ้ำ!

      คุณไม่ต้องสงสัยหรอกว่าผมรู้ได้ไง ดูได้จากหนวดที่ขึ้นหร่อมแหร่มบนหน้าเธอ ไม่สิ เขาผมก็รู้แล้ว พระเจ้า ผมอยากวิ่งแล้วสิ แต่ขาผมมันดันไม่ขยับซะนี่

      สิ่งมีชีวิตประหลาดที่ระบุเพศไม่ได้นั่นก้าวขามาหาผมเรื่อยๆอย่างไม่รีบร้อนอะไร บนใบหน้านั่นประดับไปด้วยรอยยิ้มที่ผมคิดว่าเจ้าตัวคงเรียกว่า หวานแต่ผมว่ามันดู สยองที่สุดในสามโลกเลยล่ะ ผมชอบยิ้มแบบเซ่อๆมึนๆของเจ้าม้าพยศนั่นมากกว่าเยอะ เอ่อ ผมหมายถึงมันดูไร้พิษภัยดีต่างหาก อย่าเข้าใจผิด

      “หลงทางอยู่ใช่มั้ยล่า พี่สาวนำทางให้เอามั้ยฮ้า~

      เสียงนั่นชวนสยองจริง เหงื่อเย็นเริ่มผุดขึ้นมาบนหน้าผมแล้ว ใครก็ได้ช่วยผมด้วย

      “พี่สาวน่ะรู้จักทางแถวนี้ดีเลยนะฮ้า~

      ไม่ ผมไม่เอาโว้ยยยย

      “ยื่นมือมาหาพี่สาวสิ”

      ร่างนั้นเดินมาถึงตัวผมแล้วตอนนี้ห่างจากผมแค่2เมตร แถมยังยื่นมือมาให้ผมจับอีก ผมจะทำไงดีล่ะ ยอมให้สิ่งมีชีวิตประหลาดนี่นำทาง ซึ่งไม่รู้ว่าไว้ใจได้รึเปล่า(ผมจะโดนกินมั้ย) กับเดินไปเอง ซึ่งไม่รู้ว่ามันไกลขนาดไหน แถมยังไม่รู้ทิศทาง

      ผมคิดหนักแล้วล่ะ

      เพราะเห็นผมไม่ตัดสินใจสักทีร่างล่ำบึ้กนั่นเลยถือวิสาสะเอื้อมมาจับที่ต้นแขนผม

      “คิดมากจัง ไปกับพี่สาวก็จบแล้ว~

      ผมไม่คิดอะไรต่อแล้ว ปกติผมไม่ทำร้ายผู้หญิงแต่มันไม่ใช่ผู้หญิงนี่ แถมกล้ามบึ้กๆนั่นอีก ท่าทางผมคงได้ซ้อมมือก่อนไปซัดเจ้าม้าพยศซะแล้ว

       

      แหง็กๆ

      ผมปัดมือที่เปื้อนฝุ่นทรายออก ข้างหลังผมคือร่างของสัตว์ประหลาดที่หัวทิ่มพื้นขาชี้ฟ้า มันไม่ใช่ภาพที่น่าดูมากนัก ผมไม่บรรยายต่อแล้วกัน

      แปะ แปะ

      เสียงหยดน้ำร่วงใส่มือผม

      ซ่า

      เสียงฝนกระหน่ำลงมา ผมก้มหน้าหลบสายฝนนั่น แถวนี้ไม่มีที่ให้หลบซะด้วยสิ เฮ้ออ ทั้งตากแดด ทั้งตากฝน ผมว่ากลับไปผมคงได้ไข้ขึ้นแหงๆ เพราะเจ้าม้านั่นคนเดียว

      ฟรึบ

      ผมชะงักไปเมื่ออยู่ๆฝนที่ตกใส่ตัวผมกลับหยุดลงไป ในขณะที่รอบด้านยังตกปกติ เมื่อหันไปหาสาเหตุผมก็เจอกับ...

      “ขอโทษนะ เคียวยะ”

      ชายหนุ่มผมสีทองอร่ามตาสีอำพันที่กำลังกางร่มให้กับผม และเป็นคนเดียวกับที่ทิ้งให้ผมไว้ที่นี่

      ดีโน่ คาบัคโรเน่

      “โกรธชั้นรึเปล่า ขอโทษด้วยจริงๆ” หน้าตาหมอนี่สำนึกผิดมากนะเนี่ย

      ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าถ้าเจอร่างนี้ผมจะพุ่งไปซ้อมให้หนำใจสักหน่อยแต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกโล่งใจขึ้นมาราวกับได้เจอแสงสว่างในความมืดมิดที่มองไม่เห็นหนทาง

      ฟรึบ

      ผมถลาเข้ากอดร่างนั้นไว้แน่น ดีโน่สะดุ้งอย่างแปลกใจ(ผมเองก็ยังตกใจกับการ) แต่ก็กอดผมตอบอย่างต้องการจะปลอบโยน

      “ถ้าคราวหน้าทิ้งชั้นไว้อีก ชั้นขย้ำแกแน่”

      “ฮะฮะ ชั้นไม่กล้าแล้วล่ะ ก็ชั้นไม่อยากเห็นนายทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อย่างนั้นนี่”

      “...”

      “ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่เป็นไรแล้ว” มือนั้นลูบหัวผมแผ่วเบา

      “ว่าแต่ ทำไมตอนนั้นถึงได้รีบขนาดนั้นล่ะ” ผมถามอย่างอดสงสัยไม่ได้ มีเรื่องอะไรถึงกับลืมผมไว้เลยหรอ

      “ก็ เอ่อ... อ่า...” เจ้าม้าอ้ำอึ้ง

      “...” และนั่นทำให้ผมผละออกจากอ้อมแขนของมันแล้วจ้องหน้าอย่างคาดคั้น

      “เฮ้อออ” มันถอนหายใจ “เอาเถอะยังไงนายก็ต้องรู้อยู่ดี”

      “?”

      ดีโน่คุกเข่าลงกับพื้น มือหนาล้วงไปควานหาอะไรสักอย่างในกระเป๋าเสื้อ เมื่อเจอแล้วก็หยิบมันออกมายื่นมาให้ผม ของชิ้นนั้นคือกล่องกำมะหยี่เล็กๆสีแดง มืออีกข้างเปิดฝากล่องอย่างเบามือ ข้างในเป็นแหวนสีเงินเกลี้ยงวงหนึ่งที่ดูจากท่าทางแล้ววัตถุสีเงินนั่นคงมาจากทองคำขาว

      “ถึงบรรยากาศจะไม่เหมาะเท่าไหร่ แต่...” ดีโน่ยิ้มกว้าง “เคียวยะ แต่งงานกับชั้นนะ”  

      “...” ผมอึ้งไปเมื่อเจอกับประโยคนี้ รู้สึกถึงความร้อนที่มารวมกันอยู่บนหน้า ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายก็เต้นผิดจังหวะไป ผมมองดวงตาสีอำพันที่จ้องผมตอบอย่างคาดหวังในคำตอบ “ไม่...”

       “นั่นสินะ ฮะๆ ชั้นคงใจร้อนไปล่ะนะ” ดีโน่เก็บแหวนลง รอยยิ้มกว้างหุบลงแทบจะทันที เสียงหัวเราะฝืนกับหยดน้ำใสๆที่คลออยู่ตรงดวงตาคู่นั้นทำให้ผมชะงัก

      ผมรีบเอื้อมมือไปคว้ากล่องเอาไว้ก่อนที่ดีโน่จะเก็บมันกลับไปอยู่ในกระเป๋าเสื้อ

      “ไม่...”  

      “พอแล้วล่ะเคียวยะ ชั้นรู้แล้ว”

      “ไม่ให้แต่งกับนายแล้วจะแต่งกับใคร”

      “เอ๋? งั้นก็...” เจ้าม้าทำหน้างงได้สักพัก รอยยิ้มก็กว้างขึ้นเรื่อยๆ

      เหมือนจะได้คำตอบที่ต้องการ เพราะทันทีที่ลุกขึ้นดีโน่ก็ถลาเข้ามากอดผมแน่นทันที อุ่นจัง

      “จริงๆแล้วชั้นกะจะไปขอนายแต่งงานที่ห้องกรรมการนักเรียน เลยต้องพานายออกมาก่อน จะได้ไปตกแต่งสถานที่ได้” ดีโน่พูดทั้งที่ยังกอดผมอยู่

      ผมเริ่มเห็นข้อดีของการมาโผล่อยู่ในฟิคเรื่องนี้แล้วสิ...



      -------------------------------------------------------
      ก่อนอื่น ต้องขออภัยอย่างสูง เพราะเรื่องนี้ควรจะจบตั้งนานแล้วถ้าไม่อู้
      ส่วนที่คิดว่ายากที่สุดของเรื่องนี้คงเป็น...ชื่อเรื่อง T^T


      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×