{D18}my side... (Y) v.dino - {D18}my side... (Y) v.dino นิยาย {D18}my side... (Y) v.dino : Dek-D.com - Writer

    {D18}my side... (Y) v.dino

    ผู้เข้าชมรวม

    553

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    553

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    12
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  13 ก.ย. 56 / 20:08 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    เรื่องนี้จะเป็นอีกฝั่งของ my side... นะคะ 
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      My side <Dino’ side>

      “บอสครับ”

      ผมหันไปหน้าหล่อเหลาที่ตอนนี้กำลังคลอไปด้วยหยาดน้ำตาไปหาโรมาริโอ้ที่ยืนทำหน้าเหนื่อยหน่ายใจอยู่ที่หน้าประตูห้องนอนของผม พลางใช้แขนเสื้อซับน้ำตาที่ไหลออกมาบนแก้ม “มาแล้วเหรอ โรมาริโอ้”

      “ครับ เอ่อ บอสมีอะไรเหรอครับ”

      “ฉันตัดสินใจแล้ว”ผมบอกอย่างมาดมั่น

      “หะ เอ่อ ตัดสินใจอะไรครับบอส” โรมาริโอ้ทำท่าตกใจปนแปลกใจ ก่อนจะถามอย่างไม่แน่ใจนัก(ว่าจะรู้คำตอบดีรึเปล่า)

      “ฉันจะขอเคียวยะแต่งงาน พรุ่งนี้เลย”

      “ครับ เฮ้ยยยยย”

       

      ชื่อของผมคือ ดีโน่ คาวัลโรเน่ บอสรุ่นที่สิบแห่งคาวัลโรเน่แฟมิลี่ ตระกูลมาเฟียเก่าแก่แห่งอิตาลี ปัจจุบันหลังจากติดซีรี่ส์เกาหลีมาพักใหญ่ ก็ใช้เวลาว่างจากการเคลียงานของแฟมิลี่และไปหาเคียวยะมานั่งจ้องคู่พระนางที่ดำเนินไปตามบทบาทในจอสี่เหลี่ยม

      และในซีรี่ส์เรื่องล่าสุดที่ผมเพิ่งดูจบไปทำให้ผมได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างอย่างแน่วแน่

      มันเป็นเรื่องของพระเอกกับนางเอกที่หลงรักกันมานานแต่ไม่ได้บอกอีกฝ่ายและจากกันไปไกล จนกระทั่งทั้งสองได้กลับมาพบกันอีกครั้งพระเอกได้ตัดสินใจที่จะบอกความรู้สึกให้นางเอกฟัง แต่นางเอกก็มาด่วนจากไปก่อนเพราะอุบัติเหตุ ทิ้งให้พระเอกจมอยู่กับความเศร้าและความรู้สึกเสียดายที่ตอนมีโอกาสตั้งมากแต่ไม่ได้พูดคำนั้นกับนางเอก

      นั่นล่ะที่ทำให้ผมคิดได้ ชีวิตคนเราไม่แน่ไม่นอน ดังนั้นหากอยากจะทำอะไรก็รีบทำซะก่อนที่มันจะสายเกินไป ดังนั้น ผมอยากอยู่กับเคียวยะ แลพจะขอเคียวยะแต่งงานวันพรุ่งเลย

      “โรมาริโอ้ ส่งคนไปจัดการห้องกรรมการคุมกฎซะ ฉันจะพาเคียวยะออกไปห่างๆที่นั่นในตอนที่พวกนายจัดการเอง” ผมออกคำสั่งพลางวางแผนการเซอร์ไพซ์ขอแต่งงานเคียวยะในใจ ต้องเป็นที่ๆเคียวยะชอบที่สุด ดาดฟ้าคงไม่ได้ ห้องกรรมการคุมกฎนี่ล่ะเหมาะดีแล้ว ส่วนเรื่องอื่นก็... จริงสิ

      “โรมาริโอ้ เตรียมเอาเครื่องบินออกกัน ฉันจะไปเลือกแหวนให้เคียวยะเดี๋ยวนี้เลย”

      ทุกอย่างอยู่ในแผนหมดแล้ว เหลือแค่พาเคียวยะไปที่อื่นก่อนเท่านั้น

       

      ร้อน

      ผมใช้มือข้างหนึ่งปาดเหงื่อออกจากหน้าผากที่มีเส้นผมสีทองอร่ามคลุมอยู่ของผม มืออีกข้างฉวยโอกาสโอบคนข้างๆเข้ามาใกล้ๆตัว ถึงจะทำให้มันร้อนกว่าเดิมก็ตาม

      “ไงเคียวยะ ชอบที่นี่มั้ย”

      เบื้องหน้าคนผมกับคนตัวเล็กข้างๆคือ พีระมิด

      ใช่ไม่ผิด มันคือพีระมิดสักที่ในอียิปต์ เมื่อวานหลักจากเลือกแหวนเสร็จเรียบร้อยผมก็บุกไปลากเคียวยะถึงที่เพื่อจะให้พวกโรมาริโอ้ไปจัดการกับห้องรังรองที่ถูกยึดเป็นห้องประธานกรรมการคุมกฏแห่งนามิโมริให้กลายเป็นสถาณที่โรแมนติกสำหรับการขอแต่งงานของผม

      “ก็ดี” ประธารกรรมการคุมกฎตอบด้วยน้ำเสียงที่มีความเบื่อหน่ายเจืออยู่

      เคียวยะเบื่องั้นเหรอ นั่นสิ ความจริงผมก็เบื่อเหมือนกัน ผมไม่ได้สนใจพวกสถาปัตยกรรมสักหน่อยนี่ ผมสนคนข้างๆตอนนี้มากกว่า ตอนที่พาออกมาแค่คิดว่าจะพาออกมาให้ไกลจากห้องรังรองนั่นที่สุดเลยพามาถึงอียิปต์แท้ๆ ไม่น่าเล้ย

      ~ชั้นจะขย้ำแกให้ตาย ผัวะ ปั้ก ฟลุบ ผัวะ~

      เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ที่ผมบรรจงตั้งเป็นประโยคเด็ดของคนข้างๆดังขึ้น ผมหยิบโทรศัพท์ออกมากดรับท่ามกลางสายตาแปลกๆของเด็กหนุ่มข้างๆ

      (ดีโน่ ลูกน้องแกกำลังทำลายห้องรังรองของนามิโมริอยู่ล่ะ นายทะเลาะอะไรกับฮิบาริงั้นเหรอ) เสียงแบบเด็กเล็กๆของรีบอร์นดังผ่านมาทางโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงเนิบๆ แต่เนื้อหานี่มันไม่ได้ชวนให้เนิบตามเลย

      “ห๊า” ผมตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ ผมสั่งให้ไปจัดการห้องไม่ใช่เหรอ หรือว่าพวกนั้นจะเข้าใจความหมายคำว่าจัดการของผมผิด แย่ล่ะสิ เคียวยะรักห้องนั้นมากนะ ถ้ารู้เรื่องเข้าจบไม่สวยแหงๆ ต้องรีบกลับไปจัดการแล้ว

      “โรมาริโอ้ กลับด่วนนน”

      ผมรีบพุ่งขึ้นรถที่มีโรมาริโอ้ประจำที่คนขับให้อยู่แล้ว ทันทีที่ประตูปิด รถก็ทะยานออกไปด้วยความเร็วที่ยังไงก็ไม่ทันใจผมอยู่ดี

      หวังว่าห้องนั้นจะยังไม่เป็นอะไรนะ

       

      “เอาไงดีครับบอส”

      โรมาริโอ้ร้องถามผมที่กำลังยืนมองสภาพห้องที่เคยเป็นห้องรับรองและห้องประธานกรรมการคุมกฎแห่งโรงเรียนนามิโมริที่เหมือนเพิ่งผ่านสมรภูมิมาหมาดๆเหมือนวิณญาณจะหลุดออกจากร่าง

      พื้นที่ในห้องแทบไม่เหลือเค้าเดิมเลยแม้แต่น้อย เละเทะไปหมด ไม่ใช้แค่นั้น ข้าวของส่วนใหญ่ก็เสียหายจนไม่เหลือสภาพเดิม ใครก็ได้ช่วยบอกผมทีสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น

      “คือ เหมือนพวกผมจะเข้าใจผิดไปนิดหน่อย ขอโทษด้วยครับบอส” หัวหน้ากลุ่มของพวกที่ผมส่งมาจัดการห้องพูด แล้วทั้งหมดก็ก้มหัวขอโทษผมอย่างพร้อมเพรียง

      “ช่างเถอะ พวกนายช่วยจัดการให้ที่นี่กลับสู่สภาพเดิมก่อนที่เคียวยะจะรู้ เอ๊ะ เดี๋ยวนะ เคียวยะเหรอ เคียวย้า”

      ผมลืมเคียวยะไว้ที่นั่น ให้ตายเถอะ

      “โรมาริโอ้ วาติโน่ยังอยู่ที่นั่นใช่มั้ย ให้มาดูแลเคียวยะก่อน อ้อ อย่าให้เคียวยะรู้ล่ะว่าเป็นคนที่ฉันส่งมา เตรียมเครื่องบินด้วย ฉันจะรีบกลับไปที่นั่นให้เร็วที่สุด” ผมสั่งอย่างรีบร้อน โรมาริโอ้ก็รีบต่อสายประสานงานอย่างรวดเร็ว  เขากรอกเสียงสั่งงานต่างๆผ่านโทรศัพท์เสร็จเรียบร้อยแล้วก็หันมาหาผม “จะออกรถไปที่สนามบินทันทีครับ”

      ขออย่าให้เคียวยะเป็นอะไรเลย ถูกทิ้งไว้ในที่ไม่รู้จักแบบนั้นต่อให้เป็นเคียวยะก็น่าเป็นห่วงอยู่ดี

       

      ผมรีบร้อนลงจากรถทันทีที่เห็นเคียวยะอยู่ในสายตา ฝนกำลังเทลงมาในทะเลทรายอันแห้งแล้งไร้ซึ่งสิ่งใด ที่โดดเด่นอยู่ท่ามกลางสายฝนบนผืนทรายเวิ้งว้างนี้คือร่างของเด็กหนุ่มผมสีรัตติกาลที่ในมือทั้งสองข้างมีทอนฟาคู่ใจอยู่

      เคียวยะ

      ผมเดินเข้าไปหาร่างที่ยืนหันหลังให้ผม ร่มในมือถูกกางออกให้คนตัวเล็กตรงหน้านี่เพียงคนเดียว ผมปล่อยให้หยาดฝนตกลงมากระทบตัวเองโดยไม่คิดจะปัดป้อง

      “ขอโทษนะ เคียวยะ”

      เคียวยะหันมามองผมด้วยสายตาแบบที่ผมไม่ค่อยได้เห็นจากเจ้าตัวนัก มันเป็นสายตาที่บอกถึงความโล่งใจ

      “โกรธฉันรึเปล่า ขอโทษด้วยจริงๆ” พอเห็นสายตาแบบนั้นผมก็ยิ่งรู้สึกผิดขึ้นไปอีก

      ฟรึบ

      ผมสะดุ้งเมื่ออยู่ๆเคียวยะก็โผเข้ามากอดผมเอาไว้แน่น แต่ก็กอดตอบอย่างจะปลอบโยน ถึงข้างนอกจะดูแข็งแกร่งกว่าใครแต่ความจริงคนในอ้อมแขนผมก็เป็นแค่คนปกทั่วไป มีด้านที่อ่อนไหวภายในเช่นกัน ผมรู้ดี

      “ถ้าคราวหน้ากล้าทิ้งฉันไว้อีก ฉันขย้ำแกแน่” เคียวยะพูดเสียงอู้อี้ เนื่องจากหน้ายังคงซุกอยู่ในอ้อมแขนของผม

      “ฮะฮะ ฉันไม่กล้าแล้วล่ะ ก็ฉันไม่อยากเห็นนานทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนั้นแล้วนี่”

      “...”

      “ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่เป็นไรแล้ว” ผมลูบเส้นผมนุ่มๆนั้นเบาๆเหมือนกับคนในอ้อมแขนนี่เป็นเด็กๆ

      “ว่าแต่ทำไมตอนนั้นถึงได้รีบขนาดนั้นล่ะ” เคียวยะเงยหน้าขึ้นมาถาม

      “ก็ เอ่อ... อ่า...” ผมอ้ำอึ้ง จะห้บอกตรงๆว่าไปจัดการห้องประธานกรรมการนักเรียนที่เละเทะไม่มีชิ้นดีคงไม่ได้

      “...” พอเห็นผมอ้ำอึ้ง เคียวยะก็ผละออกจากอ้อมแขนมากจ้องผมอย่างคาดคั้นจะเอาคำตอบ

      “เฮ้อออ” ผมถอนหายใจยาว เปลี่ยนแผนกะทันหันเลยแล้วกัน “เอาเถอะ ยังไงนายก็ต้องรู้อยู่ดี”

      “?”

      ผมคุกเข่าลงกับพื้นทรายเปียกๆ มือล้วงเข้าไปความหาแหวนที่เก็บไว้อย่างดีในอกเสื้อโค้ด และหยิบกล่องกำมะหยี่เล็กๆสีแดงออกมา มืออีกข้างยื่นมาเปิดฝากล่องออกอย่างทะนุถนอม ด้านในเป็นแหวนสีเงินกลมเกลี้ยงที่ทำจากทองคำขาวที่ผมบรรจุเลือกมาอย่างดีให้เหมาะกับคนตรงหน้า

      “ถึงบรรกาศจะไม่เหมาะเท่าไหร่ แต่...” ผมเหร่ตามองไปรอบกายที่ยังคงมีหยดน้ำตกลงมาจากฟ้าไม่ขาดสาย แล้วหันกลับมามองหน้าเคียวยะอย่างจริงจัง “เคียวยะ แต่งงานกับฉันนะ”

      “...” เคียวยะมองหน้าผมนิ่ง “ไม่...”

       “นั่นสินะ ฮะๆ ฉันคงใจร้อนไปล่ะนะ” ผมรู้สึกเหมือนมือไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะประคองกล่องแหวนเล็กๆในมือได้ มุมปากก็หนักเกินกว่าจะยกเป็นรอยยิ้มได้ ผมรู้สึกรื้นๆที่ดวงตาทั้งสอง เคียวยะคงเกลียดผมแล้วสินะ ก็ผมทิ้งเขานี่นา

      ผมกำลังจะเก็บแหวนกลับไปไว้ในอกเสื้อ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เก็บ มือเรียวๆก็เอื้อมมาคว้ากล่องเอาไว้ก่อน

      “ไม่...”

      “พอแล้วล่ะเคียวยะ ฉันรู้แล้ว” ผมรู้สึกเหมือนจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ไม่เอานะ ต่อหน้าเคียวยะผมต้องเข้มแข็งสิ

      “ไม่ให้แต่งกับนายแล้วจะให้ไปแต่งกับใคร”

      “เอ๋?” ผมเงยหน้ามองเคียวยะอย่างงงๆ แล้วพอเข้าใจความหมายก็ยิ้มกว้าง “งั้นก็...”

      ผมลุกขึ้นกอดเคียวยะไว้ในอ้อมแขนแน่น เพราะเป็นแบบนี้ล่ะ ผมถึงปล่อยคนๆนี้ไปไม่ได้

      “จริงๆแล้วฉันกะจะไปขอนายแต่งงานที่ห้องกรรมการนักเรียน เลยต้องพานายออกมาก่อนจะได้ไปตกแต่งสถานที่ได้” ผมสารภาพทั้งที่ยังกอดเคียวยะไว้ แน่นอนว่าผมยังเก็บเรื่องที่ตอนนี้ห้องเละไม่เหลือเค้าเดิมเอาไว้ก่อน...

      แต่เชื่อเถอะ กว่าเคียวยะจะรู้เรื่องก็ถอนตัวจากผมไม่ได้แล้ว

      ผมเองก็ไม่คิดจะปล่อยเคียวยะไปเหมือนกัน

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×