Gift For Santa (Karen Version) - Gift For Santa (Karen Version) นิยาย Gift For Santa (Karen Version) : Dek-D.com - Writer

    Gift For Santa (Karen Version)

    โดย renka

    เรื่องราว Gift for santa เวอร์ชั่นมุมมองของคาเรน ครับ

    ผู้เข้าชมรวม

    101

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    101

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  27 ส.ค. 48 / 22:01 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      Gift For Santa (Karen Version)

      ฉันเชื่อเสมอว่าทุกคนแม้จะเกิดมาไม่เท่ากันแต่ทุกคนนั้นล้วนมีสิทธิ์ที่จะได้รับความสุขที่เท่าเทียมกัน
                    หลังจากที่คาเรนกลับมาจากบ้านของอีพ เธอเฝ้าทบทวนแผนการที่จะแอบออกมาข้างนอกตอนกลางคืนโดยไม่ให้พ่อกับแม่รู้ เธอหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านก่อนที่จะทบทวนแผนการของตัวเองเบาๆ
      \"นัดเจอกันตอนเที่ยงคืน แอบออกมาทางประตูหลัง เปิดหน้าต่างในห้องทิ้งไว้........\"เธอนั่งไล่สิ่งที่ต้องทำอยู่พักใหญ่ก่อนจะแน่ใจว่าเธอจำมันได้ขึ้นใจดีแล้วก่อนจะก้าวเข้าไปในบ้าน

                    บ้านของคาเรนเป็นบ้านชั้นเดียวที่มีขนาดใหญ่พอสมควรถ้าเทียบกับบ้านของคนอื่นๆในหมู่บ้าน นั้นก็เพราะตอนที่สร้างบ้านนี้นั้นคุณพ่อของเธออยากจะให้มีห้องหนังสือที่ไว้ใช้อ่านและเก็บหนังสือต่างๆที่มีจึงได้เพิ่มส่วนของห้องหนังสือขนาดใหญ่เข้าไปในตอนสร้างบ้านผลของมันก็คือห้องหนังสือขนาดใหญ่ที่มีขนาดเท่ากับห้องนอนเธอสองห้องมารวมกันเลยทีเดียว คาเรนก้าวเข้ามาในบ้าน ภายในบ้านดูเงียบผิดไปจากปรกติแม้แสงสว่างจากแสงไฟจะสว่างไสวแต่เธอรู้สึกแปลกๆยังไงไม่รู้ คุณพ่อกับคุณแม่ไปไหนกันนะ เธอสงสัยทันทีที่เดินผ่านห้องโถงใหญ่ที่พ่อกับแม่ของเธอมักจะนั่งอยู่ด้วยกันเสมอๆ เตาไฟในเตาผิงยังคงลุกโชนแสดงว่าทั้งสองคนคงจะอยู่ในบ้านแต่ทั้งสองคนไปไหนละ

                    ขณะที่เดินผ่านห้องโถงไปนั้นเธอก็พลันได้ยินเสียงหัวเราะ พูดคุยกันอย่างสนุกสนานแว่วมาตามทางเดินมันมาจากทางห้องหนังสือของบ้านนะเอง (เอ๊ะ มาจากทางห้องหนังสือนี่มีใครมากันนะ)เธอสงสัยก่อนจะเดินไปทางด้านนั้น เธอมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องหนังสือ เสียงพูดคุยยังคงดังลอดมาเธอจำได้ว่าเสียงนั้นคือเสียงของพ่อเธอเอง และดูเหมือนแม่ของเธอเองก็จะอยู่ข้างในด้วยซิ มาทำอะไรกันที่นี่นะ เธอคิด ก่อนจะค่อยๆเปิดประตูเข้าไปอย่างช้าๆเพื่อแอบมองดูข้างในว่าผู้มาเยือนที่พ่อกับแม่ของเธอคุยอยู่นั้นคือใครกัน

      \"พี่เอเรียสคะ!!\"ทันทีที่ประตูเปิด คาเรนก็วิ่งเข้ามาโผกอดเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงกลางห้องอย่างแรงทำเอาเขาล้มลงก้นกระแทกกับพื้นเสียงดัง โครม เลยทีเดียว
      \"กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ปีนี้คาเรนนึกว่าจะไม่ได้เจอพี่เอเรียสแล้วซะอีก คาเรนนะคิดถึงพี่มากเลยนะคะ แล้วก็คาเรนนะมีเรื่องอยากจะเล่าให้พี่เอเรียสฟังเยอะแยะเลยละค่ะ\"เธอถามด้วยเสียงอันดังด้วยความดีใจ ก่อนที่เสียงกระแอมดังของชายวัยกลางคนรูปร่างท้วมในมือขวาถือไปร์สีดำอันหนึ่งไว้จะเรียกให้เธอรู้สึกตัวว่า ในห้องนี้ไม่ได้มีแค่พวกเธอสองคนเท่านั้น

      \"เอ้าๆคาเรนแทนที่จะทักทายพ่อกับแม่ก่อน ทำไมถึงสนใจแต่พี่เขาอย่างนั้นละ\"เขากล่าวด้วยน้ำเสียงน้อยใจแต่หากใบหน้ายังคงยิ้มอย่างเอ็นดูในลูกสาว

      \"คุณคะ อย่าไปล้อลูกเล่นยังงั้นซิคะ คาเรนเองก็แค่คิดถึงเอเรียสมากเหมือนๆกับพวกเรานะแหละค่ะ\"หญิงสาวผมสีน้ำตาลยาวที่ยืนอยู่ข้างๆกล่าวด้วยรอยยิ้ม แม้ใบหน้าจะมีร่องรอยของอายุที่มากขึ้นแต่เส้นผมสีน้ำตาลนั้นก็ยังคงเงางามเหมือนเมื่อเช่นครั้งอดีต เธอรู้สึกภูมิใจเสมอเวลาที่มีคนชมเธอว่าเหมือนกับแม่เพราะแม่คือความภาคภูมิใจของเธอนั้นเอง

      \"แต่ว่านะจ๊ะ จะนั่งทับพี่ไปถึงเมื่อไหร่กันจ๊ะ\"เธอยิ้มอย่างอารมณ์ดีบอกลูกสาวที่ยังคงนั่งทับเด็กหนุ่มอยู่

      \"อ๊ะ ข-ขอโทษค่ะ\"คาเรนรีบลุกขึ้นทันทีด้วยใบหน้าอายๆ

      \"เอาละ งั้นก็คุยกับพี่ไปก่อนนะจ๊ะ\"เธอกล่าวก่อนจะหันมาชวนสามีของเธอออกไปด้วยกัน

      \"วันนี้แม่ให้เป็นกรณีพิเศษนะจ๊ะคาเรน แต่อย่านอนดึกนักละ\"เธอแอบขยิบตาให้กับลูกสาวก่อนที่จะออกจากห้องไป ทิ้งให้เด็กๆสองคนอยู่กันตามลำพัง
      เอเรียสเอามือมาวางที่หัวของคาเรนอย่างแผ่วเบา

      \"โตขึ้นตั้งเยอะเลยนะคาเรน\"เขากล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ดวงตาสีฟ้าเป็นประกายเหมือนท้องฟ้ายามอากาศแจ่มใส ผมสีน้ำตาลยาวปะบ่ามัดรวบไว้ด้วยเชือก เสื้อผ้าเรียบๆง่ายๆไม่เปลี่ยนไปจากสมัยที่ยังเคยอยู่บ้านด้วยกันเลยแม้แต่น้อย อ่อนโยนใจดีคนที่เธอรักที่สุดอีกคนในโลก

      \"คิดถึงจังเลยค่ะ พี่\"เธอกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาพลางเข้ามากอดเอเรียสเหมือนกับเด็กน้อยที่ได้กอดตุ๊กตาตัวโปรดอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนาน

      \"พี่เอเรียสจะอยู่ที่นี่นานมั้ยคะ\"คาเรนหันมาถามขณะนั่งอยู่บนตักของเอเรียส สองขาขยับไปมาอย่างอารมณ์ดี

      \"หลังวันคริสมาสต์พี่ก็คงจะต้องกลับแล้วละ\"เอเรียสตอบกลับ

      \"เอ๊~~ทำไมเร็วจังเลยละ\"เธอทำหน้าเบ้เพราะเธอนึกว่าพี่จะอยู่กับเธอนานกว่านี้ซะอีก

      \"อย่าทำหน้ายังงั้นซิ น้องสาวที่แสนร่าเริงของพี่หายไปไหนแล้วละ ช่วงเวลาไม่กี่วันนี้พี่อยากจะเห็นแต่รอยยิ้มของคาเรนมากกว่านะ\"เอเรียสกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ

      \"เข้าใจแล้วค่ะ\"คาเรนที่ตอนแรกรู้สึกเสียใจที่รู้ว่าเอเรียสไม่อาจอยู่กับเธอได้นานๆตอบกลับด้วยน้ำเสียงร่าเริงเพราะเธอคิดได้แล้วว่าในโลกนี้ยังมีคนอื่นที่อาจจะไม่มีโอกาสได้พบคนที่เขารักเหมือนกับเธออยู่อีกหลายพันหลายหมื่นคนก็เป็นได้และเธอเองก็ไม่อยากจะกวนใจพี่เอเรียสด้วยการเอาแต่ใจตัวเองอีกด้วย

      \"ยังงั้นแหละ รอยยิ้มนี่แหละที่พี่อยากเห็นที่สุด\"เอเรียสยิ้มกว้างอย่างดีใจพลางกอดน้องสาวที่เขารัก

      \"เอาละแล้วน้องสาวคนนี้มีเรื่องอะไรจะเล่าให้พี่ชายคนนี้ฟังเหมือนทุกครั้งอีกหรือเปล่า\"เอเรียสถามเพราะทุกครั้งที่เขากลับมาบ้านคาเรนมักจะเล่าเรื่องในหมู่บ้านช่วงที่เขาไม่อยู่ให้ฟังเสมอๆ

      \"มีซิคะพี่เอเรียส คาเรนมีเรื่องอยากเล่าให้พี่เอเรียสฟังเยอะแยะเลยละ\"เธอตอบกลับด้วยความกระตือรือล้น
                        
                       ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่หลังจากที่เอเรียสออกไปจากหมู่บ้านจนกระทั่งถึงวันนี้อย่างละเอียดไม่ตกหล่นแม้แต่เหตุการณ์เล็กๆน้อยๆอย่างการที่ วินส์แอบเข้าไปแอบชิมเค้กที่บ้านของคริสต์แต่กลับต้องได้ชิมฝีมือเค้กที่หัดทำครั้งแรกของคริสต์แทนจนต้องปวดท้องเพราะอาหารเป็นพิษไปเกือบ 1 อาทิตย์เลยทีเดียวทำเอาหมอนี่ขยาดเค้กบ้านของคริสต์ไปพักใหญ่เลยทีเดียวแม้คริสต์จะเฝ้าบอกว่าฝีมือการทำเค้กของตนดีขึ้นมากแล้วและเค้กที่เอามาฝากไม่ใช่เค้กฝีมือตัวเองก็ตามแต่หลังจากเธอเล่าเรื่องของวันนี้ที่เธอไปงานวันคล้ายวันเกิดของอีพอยู่ๆเธอก็หยุดเล่าและนิ่งเงียบไปชั่วครู่เธอกำลังลังเลว่าจะพูดเรื่องที่เธอรู้สึกไม่ค่อยดีเกี่ยวกับอีพดีไหม ความรู้สึกที่สะสมมาเนิ่นนานที่อยากจะพูดให้ใครซักคนฟัง คนที่สามารถรับฟังและเข้าใจเธอดีที่สุด เธออยากจะคุยเรื่องนี้กับพี่แต่อีกใจนึงก็บอกว่าอย่าไปกวนใจพี่เขาจะดีกว่าและระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น

      \"ถ้ามีเรื่องอยากจะปรึกษาพี่ก็ไม่ต้องเกรงใจหรอกนะ\"คาเรนหันขวับมามองเอเรียสทางด้านหลังด้วยดวงตาที่รู้สึกทึ่งเล็กน้อย พี่ชายของเธอยังคงมองเธอด้วยรอยยิ้มเฉกเช่นทุกครั้ง เธอมั่นใจว่าเป็นช่วงเวลาไม่ถึง 10 วินาทีแน่ๆที่เธอนิ่งเงียบไปซะเฉยๆแต่ทำไมพี่เอเรียสถึงได้รู้เรื่องที่เธอคิดได้นะ แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่ชายเธอมักจะเดาความคิดของเธอออกแต่เธอก็รู้สึกดีใจเสมอที่พี่ของเธอมักจะรู้ว่าเธอต้องการอะไรแม้ไม่ต้องบอกเลย

      \"อืม....พี่เอเรียสคะ\"เธอเริ่มต้นพูดพลางคิดว่าจะเริ่มยังไงดี เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆและผ่อนออกมาช้าๆก่อนจะเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงดูจริงจังว่า
      \"พี่เอเรียสคิดว่าภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มร่าเริงของคนเรานั้นเป็นการแสดงเพื่อปกปิดความทุกข์ข้างในกันมั่งหรือเปล่าคะ\"

      \"อะไรทำให้คาเรนคิดยังงั้นละ\"เอเรียสถาม ตั้งแต่สมัยก่อนแล้วที่เขามักจะถูกน้องสาวคนนี้ตั้งคำถามต่างๆนาๆเวลาเธอเจอสิ่งที่เธอสนใจและเธอไม่รู้ การเฝ้าตอบคำถามมากมายที่น้องสาวคนนี้มักจะถามอยู่เรื่อยๆนั้นทำให้เขาเองก็รู้สึกสนุกเสมอเพราะเธอมักจะตั้งคำถามแปลกๆอย่าง ทำไมเมฆถึงลอยอยู่บนฟ้า ทำยังไงเราถึงจะขึ้นไปนั่งบนเมฆได้หรือไม่ก็ทำไมหิมะถึงมีสีขาวทำไมถึงไม่มีหิมะสีอื่นๆมั่ง ซึ่งทำให้เขารู้สึกสนุกมากทีเดียวที่จะสรรหาคำตอบมาบอกนางฟ้าตัวน้อยๆคนนี้แม้นิทานบางเรื่องจะดูเกินจริงไปซะหน่อยก็เถอะ เอเรียสลอบยิ้ม

      \"อืม...อีพน่ะค่ะ คาเรนคิดนะคะว่าเธอมีความสุขจริงๆงั้นเหรอ\"เธอหยุดพูดไปชั่วครู่พลางแกว่งไกวขาทั้งสองข้างไปมาเบาๆ

      \"ถูกทอดทิ้งจากคนที่ได้ชื่อว่าพ่อแม่ ดวงตาทั้งสองข้างที่ไม่อาจมองเห็นแสงสว่าง ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของคนที่เธอรักและคนที่รักเธอ สถานที่เพียงแห่งเดียวของเธอก็คือดินแดนแห่งความมืดชั่วนิรันดร์ แต่ว่าเธอก็ยังคงยิ้ม คาเรนไม่เข้าใจค่ะ ทำไมอีพถึงยังยิ้ม ทำไมถึงยังร่าเริงเหมือนกับเป็นเรื่องปรกติ คาเรนไม่เข้าใจเลยค่ะ\"เธอส่งเสียงดังและหันมามองเอเรียสด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยอยู่เต็มอก ดวงตาสีเขียวมรกตคู่นั้นตอนนี้คลอไปด้วยน้ำตาที่กำลังจะรินไหล

      \"คาเรนนะ ถ-ถ้าต้องอยู่อย่างนั้นนะ คาเรนทนไม่ได้หรอกค่ะ\"หยาดน้ำตาหยาดหยดมาตามใบหน้า

      \"คาเรนนะต้องทนไม่ได้แน่ๆ แค่คาเรนคิดว่าคนที่คาเรนรักที่สุดหายตัวไปซะเฉยๆทิ้งให้คาเรนต้องอยู่เพียงลำพังคนเดียวแล้ว แค่นั้น....คาเรนก็....\"เธอกระโดดลงมายืนบนพื้นและหันมามองเอเรียสที่นั่งอยู่ น้ำตายังคงไหลออกมามิได้ขาด แก้มสีขาวผ่องแดงระเรื่อเพราะการร้องไห้  

      \"อีพนะ ตอนนี้มีความสุขแล้วจริงๆเหรอคะพี่เอเรียส คาเรนพยายามมคิดนะคะว่าคาเรนคงจะคิดมากไปเองคนเดียวแต่ยิ่งนานวันเข้าความสงสัยนี้มันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นทุกทีๆ  ถ้าจริงๆแล้วอีพไม่ได้มีความสุขเลยละคะ จริงๆแล้วเธออาจกำลังเป็นทุกข์ก็ได้ ทุกข์ที่ไม่อาจรู้ว่าใครเป็นพ่อแม่ เศร้าใจเพราะไม่อาจมองเห็น น้อยใจที่ไม่อาจทำอะไรบางอย่างที่พวกคาเรนทำได้อย่างง่ายดาย ถ-ถ้าเป็นยังงั้นจริงๆคาเรนจะทำยังไงดีคะ\"เธอสะอึกสะอื้นถามเอเรียสด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
      เอเรียสลุกขึ้นยืนก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าคาเรน สองมือจับที่ไหล่ที่กำลังสั่นอยู่อย่างแผ่วเบาและจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาสีเขียวมรกตน้อยๆของเธอ

      \"คาเรนคงจะจำรอยยิ้มของอีฟได้ใช่ไหม\"เธอพยักหน้าช้าๆ

      \"คาเรนคิดว่านั้นเป็นรอยยิ้มที่เสแสร้งขึ้นมางั้นหรือ\"เอเรียสเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน คาเรนนิ่งคิดก่อนจะก้มหน้าลงและส่ายหัวไปมาเธอไม่เคยคิดเลยสักครั้งที่รอยยิ้มร่าเริงของอีฟนั้นเสแสร้งหรือแกล้งทำ รอยยิ้มนั้นจริงใจและดูอบอุ่นเสมอ

      \"ความสุขของคนเรานั้นไม่ได้หมายถึงทุกคนต้องมีทุกอย่างเหมือนกันหรอกนะคาเรน\"เอเรียสใช้มือทั้งสองข้างปาดน้ำตาของคาเรนออกพร้อมกับพูดไปด้วย

      \"ความสุขเป็นของขวัญล้ำค่าจากพระเจ้าที่มนุษย์ทุกคนสามารถที่จะไขว่คว้ามาไว้กับตัวได้แต่นอกจากความสุขแล้วพระองค์ก็ยังประทานความทุกข์มาให้ด้วยเช่นกัน ชีวิตถึงต้องมีทั้งความสุขและความทุกข์ปนเปกันไปยังไงละคาเรน เพียงแต่ว่าคนเรานั้นจะไขว่คว้าหาสิ่งไหนมากกว่ากันตังหาก คนที่มัวจมปลักอยู่กับความโศกเศร้า ปิดกั้นตัวเองจากผู้อื่นเพียงแค่กลัวที่จะลิ้มรสความขมขื่นที่อาจจะเกิดขึ้นอีกครั้ง คนๆนั้นสุดท้ายแล้วก็ไม่อาจจะไขว่คว้าความสุขได้อีกเลยนะรู้มั้ยคาเรน\"เอเรียสยิ้มพร้อมกับชูนิ้วชี้มาข้างหน้าคาเรนที่ตอนนี้หยุดร้องไห้แล้วเพียงแต่ยังคงสะอึกสะอื้นอยู่

      \"ไม่ว่าคนเราจะเก่งแค่ไหน สีหน้าและรอยยิ้มก็จะบอกถึงสิ่งที่คนๆนั้นซ่อนอยู่ข้างในได้เสมอ หากคนเรามีเรื่องอะไรที่เป็นความลับและไม่อยากให้เรารู้บางครั้งสายตาก็จะไม่พยายามจ้องมาที่ดวงตาของเราแต่จะพยายามเลี่ยงไปที่อื่น หากฝืนยิ้มรอยยิ้มนั้นก็จะไม่เป็นธรรมชาติและพี่ก็จำได้ว่าน้องสาวของพี่คนนี้เป็นคนช่างสังเกตมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว\"เอเรียสที่เห็นท่าทางคาเรนที่ดูเหมือนจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองพูดก็รู้ได้ทันทีเลยว่า คาเรนนั้นไม่ได้สังเกตตัวเองเลยว่าตัวเองนั้นมีความช่างสังเกตมากกว่าคนปรกติหลายเท่านัก

      เอเรียสยื่นมือไปข้างหน้าคาเรนทันใดนั้นดอกไม้สองดอกที่มีลักษณะเหมือนกันแทบทุกอย่างก็เข้ามาอยู่ในมือของเขา
      \"เก่งจังเลยค่ะพี่เอเรียส\"คาเรนกล่าวด้วยความตื่นเต้นทั้งๆที่เมื่อตะกี้เธอพึ่งจะร้องไห้มาหมาดๆ เอเรียสยิ้มน้อยๆที่มุมปากก่อนจะชูดอกไม้ทั้งสองดอกในมือทั้งสองข้างขึ้นและยื่นไปตรงหน้าของคาเรน

      \"เอาละ รู้ไหมว่าดอกไม้สองดอกนี้ดอกไหนคือ Blue Of  Wish\"ดอกไม้ในมือทั้งสองของของเอเรียสเป็นดอกไม้ที่ยังไม่บานทั้งคู่และมีสีขาวดุจหิมะ คาเรนเอียงคอพลางใช้ความคิดก่อนจะชี้ไปที่ดอกไม้ในมือขวาของเอเรียส เอเรียสยิ้มอย่างพอใจก่อนจะถามว่าทำไมถึงรู้ได้

      \"ก็ Blue of wish ที่คาเรนจำได้นะที่โคนดอกจะเป็นสีฟ้านี่นา แถมลวดลายบนกลีบดอกก็ไม่เหมือนกันด้วย\"จริงๆแล้วดอกไม้ทั้งสองดอกแทบจะไม่แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้คาเรนจะบอกว่าโคนดอกของ Blue of wish จะมีสีฟ้าแต่มันก็เป็นเพียงสีฟ้าอ่อนๆที่กลืนไปกับสีขาวของกลีบดอก หากไม่สังเกตให้ดีก็จะเห็นเพียงแค่สีขาวเท่านั้นและจุดสำคัญอีกแห่งก็คือลวดลายบนกลีบดอก กลีบดอกของ Blue of wish ทุกดอกจะมีลักษณะเฉพาะคือลวดลายบนกลีบดอกจะเป็นเส้นโค้งตามแนวขอบของกลีบดอกแต่ละดอกและมีจำนวนเส้นที่เท่ากันทุกกลีบคือ 12 เส้น ถ้าไม่ใช่คนที่ช่างสังเกตจริงๆก็จะไม่มีทางรู้ถึงความแตกต่างเพียงเล็กน้อยนี้ได้อย่างแน่นอน(ดอกไม้อีกดอกเองก็มีลวดลายเหมือนกับ Blue of wish เพียงแต่มีจำนวนเส้นน้อยกว่าเท่านั้น)

      \"เก่งมาก\"เอเรียสลูบหัวคาเรนด้วยความภูมิใจ

      \"งั้นคำถามสุดท้าย บอกพี่มาหน่อยรอยยิ้มของอีฟที่คาเรนเห็นอยู่ทุกวันนั้นมีความแตกต่างกันซักครั้งไหม\"คาเรนก้มหน้าลงพลางใช้ความคิด [รอยยิ้มของอีฟที่เราเคยเห็นมาตลอดนะเหรอ] เธอเงยหน้าขึ้นมองเอเรียสและก่อนที่จะพูดอะไรพี่ชายของเธอก็พูดขึ้นมาก่อนว่า

      \"ไม่เคยเลยใช่มั้ยละ\"เธอพยักหน้าช้าๆยอมรับ ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันรอยยิ้มของอีฟนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่ครั้งเดียว รอยยิ้มที่ยิ้มออกมาจากใจจริง รอยยิ้มที่แสนอบอุ่นรอยยิ้มที่ไม่ว่าใครได้เห็นต่างก็ต้องหลงรักเธอ รอยยิ้มที่เธอชอบที่สุดและอยากจะเห็นรอยยิ้มนั้นตลอดไป

      \"อีฟนะอาจจะเคยมีช่วงเวลาเหมือนที่คาเรนพูดก็ได้แต่พี่เชื่อว่าเขาคงไม่เก็บมาใส่ใจหรอกนะ ไม่ซิพี่คิดว่าเขาคงจะไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะมาคิดหรอก\"เอเรียสหยุดพูดพร้อมกับยิ้ม

      \"ก็ในเมื่อรอบๆตัวเขามีคนที่รักเขาขนาดนี้อยู่นี่นาจริงมั้ย\"

      \"อืม!!\"คาเรนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เมื่อความไม่สบายใจในจิตใจถูกพัดพาให้สลายไป เธอจึงอยากจะอยู่คุยกับพี่ให้นานๆกว่านี้ ถ้าอยู่ๆสายตาของเธอไม่พลันเหลือบไปเห็นนาฬิกาแขวนที่อยู่ด้านตรงข้ามมันชี้บอกเวลา 5 ทุ่ม 35 นาที (ตายแล้ว ดึกขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย เราต้องไปที่บ้านอีฟด้วยซิแย่แล้วๆ ตอนนี้เอลคงมารอแล้วแน่เลย) เธอเริ่มลนลาน

      \"เออ พี่เอเรียสคะ เดี๋ยวคาเรนขอตัวไปนอนก่อนนะคะ คาเรนเริ่มง่วงแล้วละค่ะ\"เธอแกล้งหาวและบิดตัวเพื่อบอกว่าเธอเริ่มง่วงแล้วทั้งๆที่จริงๆแล้วเธอไม่รู้สึกง่วงเลยซักนิด

      \"คาเรนอย่าลืมใส่เสื้อผ้าหนาๆนะ อากาศตอนกลางคืนมันหนาวมากเลยรู้มั้ย\"เอเรียสร้องทักคาเรนที่กำลังจะก้าวออกจากประตูไป
      \"ค่ะ พี่เอเรียส\"เธอตอบกลับมาเสียงใส ก่อนที่ประตูห้องจะปิดลง

      \"พี่คะ\"เธอยื่นหน้าเข้ามาในห้อง เอเรียสที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ละสายตาจากหนังสือและเงยหน้าขึ้นมามองตามเสียงเรียก

      \"ขอบคุณนะคะ!!\"เธอพูดขอบคุณเสียงใสก่อนจะพรุบหายไปจากประตูพร้อมๆกับเสียงคลิกเบาๆของประตูที่ปิดลง

      \"ตายละ เราลืมเสื้อทิ้งไว้ที่หน้าบ้านนี่นา\"เธออุทานเพราะนึกขึ้นได้เพราะที่บ้านของเธอจะมีไม้แขวนเสื้อกันหนาวที่จะใช้ไว้ที่หน้าบ้านเวลากลับมาจากข้างนอกทุกคนก็มักจะแขวนหมวกและก็เสื้อกันหนาวไว้ตรงนั้นและเธอเองก็เผลอแขวนเสื้อกันหนาวขนสัตว์ของเธอไว้ที่นั่นเพราะความเคยชิน เธอเหลียวมองนาฬิกาที่ฝาผนังซึ่งตอนนี้บอกเวลา 5 ทุ่ม 43 นาที เมื่อเห็นดังนั้นเธอจึงรีบวิ่งออกจากห้องไปจะไปเอาเสื้อกันหนาวที่หน้าบ้านโดยที่ระ

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×