ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วุ่นจริง ศึกชิงเจ้าชายปีศาจ

    ลำดับตอนที่ #2 : ยูเกลกับลอเรล ตอนที่ 1.

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 166
      0
      14 ต.ค. 57

    ************************************************
     
     
     
        ถ้าคุณกำลังมองหาชายหาดริมทะเลดีๆซักแห่งสำหรับทุกคนในครอบครัวในวันหยุดพักผ่อนสุดสัปดาห์ ที่ดีๆที่จะไม่มีคนนับร้อยยืนขวางระหว่างคุณกับบาร์ขายเครื่องดื่ม ที่ดีๆที่จะไม่มีขยะพลาสติกสีสันแสบตาลอยไปลอยมา เมื่อคุณกำลังแหวกว่ายในน้ำทะเลขุ่นๆ ที่ดีๆที่มีทรายขาวสะอาดไร้ซึ่งเศษแก้ว ขวดเบียร์แตกๆหรืออะไรก็ตามที่พร้อมจะฝังตัวเองเข้ากับเท้าอันเปล่าเปลือยของคุณ และที่ดีๆที่มีวิวทิวทัศน์อันงดงามแล้วละก็
     
     
     
          ไม่ต้องติดอยู่บนถนนเป็นชั่วโมงๆ
     
     
     
          ไม่ต้องเสียเงินค่าเครื่องบิน
     
     
     
        ไม่ต้องคร่ำครวญที่ตัวเองเกิดช้าไปจนพลาดโอกาสที่จะได้พบกับชายหาดธรรมชาติแสนตระการตา
     
     
     
          แค่คุณย้ายก้นของคุณออกจากโซฟา กระโดดขึ้นรถไฟสายตะวันออกเที่ยวต่อไปและหากิจกรรมอะไรทำเพลินๆซักสองสามชั่วโมง
     
     
     
          แล้วคุณจะพบว่าคุณได้ยืนอยู่บนหาดทรายสวรรค์
     
     
     
        ...ไม่ใช่อุบัติเหตุรถไฟตกรางนะคะ...
     
     
     
          แต่นั่นเพราะคุณกำลังยืนที่สถานีเบลสซา สรวงสวรรค์แห่งหาดทรายสีขาวสะอาดและน้ำทะเลสีมรกต เมืองชายทะเลที่เต็มไปด้วยบ้านเรือนสไตล์เก่าที่ถูกอนุรักษ์ไว้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของคนที่นี่
     
     
     
          แล้วคุณจะต้องหลงรักเมืองชายทะเลแห่งนี้ ที่ๆสายลมหอบเอากลิ่นเกลือจากทะเลมาโอบล้อมร่างกาย แสงแดดจะเปลี่ยนให้คุณกลายเป็นสาวผิวแทนสุดเซ็กซี่ และน้ำทะเลที่ใสปิ๊งซะจนมองเห็นสัดส่วนของสาวๆในชุดบิกินี่ที่ห่างออกไปห้าเมตรได้อย่างสบายๆ
     
     
     
          แต่มันยังไม่หมดแค่นั้น สำหรับใครก็ตามที่หัวใจเรียกร้องหาเรื่องใสตัว...เอ๊ย...เรื่องลึกลับอยู่ตลอดเวลา ยินดีต้อนรับสู่สถานที่แห่งปริศนาลึกลับ ที่มีฉากเป็นเกลียวคลื่นหินผา และท้องฟ้า ลองลากสายตาจากหาดทรายที่นุ่มราวกับแป้งไปทางขวาอีกนิด คุณจะพบกับประภาคารร้างสีขาวบนหน้าผาซึ่งอยู่ห่างจากชายหาดไปเพียงสองร้อยเมตร
     
     
     
        ทีนี้ลองอดใจรอจนถึงเวลาเย็น สำหรับใครที่แวะมาเยี่ยมเยียนที่นี่ในช่วงฤดูหนาวก็โชคดีหน่อยที่ไม่ต้องรอนานมากนัก เพราะพระอาทิตย์จะตกเร็วขึ้นเกือบหนึ่งชั่วโมงเลยค่ะ และจุดเริ่มต้นของปริศนานี้ก็อยู่ที่ดวงตะวันที่กำลังจะหัวทิ่มลงจูบกับทะเลนั่นเอง
     
     
     
          สำหรับคนที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือหรือว่าหักซิมทิ้งไปแล้วด้วยเหตุผลกลใดก็ตามอาจจะแวะไปที่ร้านขายของชำเล็กๆเก่าแก่ริมชายหาดซักหน่อย ที่นั่นมีโทรศัพท์ให้บริการเผื่อว่าใครอยากจะโทรกลับไปที่บ้านว่าวันนี้งานที่ค่อนข้างยุ่งอาจต้องค้างที่บริษัทไม่ต้องรอเปิดบ้านรับ แต่พนันกันได้เลยว่าคุณคุยไม่จบหรอก เพราะเมื่อดวงอาทิตย์สัมผัสกับเส้นขอบฟ้า คุณจะสัมผัสได้ว่าสายลมที่ความทรงจำสมัยเรียนม.ต้นบอกว่ามันคือลมทะเลจะหยุดพัดและบรรยากาศก็จะวังเวง เย็นยะเยือกขึ้นมาในทันใด
     
     
     
          อ่า...ไม่ต้องหาเรื่องไปเข้าห้องน้ำหรอกนะคะ เพราะว่าคุณคงจะขยับไปไหนไม่ได้ โน่นค่ะ มันมาแล้ว
     
     
     
          บทเพลงของนางเงือก
     
     
     
          เสียงกระซิบที่ลอยแหวกอากาศมาดังวนเวียนอยู่ข้างๆ ถ้อยคำแปลกหูและท่วงทำนองอันไพเราะราวกับมนต์สะกดที่หยุดทุกชีวิตให้สดับฟัง
     
     
     
          หากฟังดีๆก็จะพบว่ามันดังมาจากหอประภาคารสีขาวนั่นเอง
     
     
     
          แต่ขอบอกไว้ก่อน ประภาคารนั่นถูกปิดตายไปหลายปีแล้วนะคะ ต่อให้เดินวนกี่ร้อยรอบคุณก็จะไม่มีทางหาประตูทางเข้าเจอ เพราะมันไม่มีอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
     
     
     
        นั่นล่ะเรื่องลึกลับของเมืองนี้ ทุกยามเย็น บทเพลงลึกลับนี้จะดังแว่วมาขับกล่อมให้ผู้คนหยุดเคลื่อนไหว หยุดการงานและภาระหน้าที่ต่างๆในมือ หันมาชื่นชมกับบทเพลงที่สอดประสานกับวิวทิวทัศน์ยามพระอาทิตย์ตกดิน จนราวกับว่าเวลาของเมืองได้หยุดลง ณ ในตอนนั้น เพื่อให้ทุกคนได้ดื่มด่ำไปกับสวรรค์บนดินที่ธรรมชาติประทานมาให้
     
     
     
          คงเพราะเหตุนี้ที่ทำให้เบลสซาเป็นทั้งบ้านเกิด แหล่งพักผ่อน และสถานที่สร้างแรงบันดาลใจแก่เหล่าศิลปินมีชื่อหลายต่อหลายท่าน ไม่ว่าจะเป็นภาพอินดิอีฟนิ่ง ของแมนดาริน เดอแองเบรีย เพลงซัมแวร์อินเดอะซี ของ จอร์จีน บลูส์ หรือจะเป็นไวท์เวฟวิสเปอร์ส ผลงานแรกของมาเรีย มิลเลอร์ศิลปินอัจฉริยะที่เกิดและเติบโตที่นี่ ซึ่งตอนที่เธอแต่งเพลงๆนี้ มาเรียมีอายุเพียงแค่สิบสองปีเท่านั้นเองค่ะ
     
     
     
        บางทีการได้มาพักผ่อนที่เบลสซาอาจจะปลุกเอาจินตนาการสร้างสรรค์บางอย่างในตัวของคุณขึ้นมาก็ได้นะคะ
     
     
     
          แต่สำหรับใครที่รู้สึกหิวจนไม่มีเวลาจะมาเรียงร้อยจินตนาการสร้างผลงานอะไรออกมาได้ ก็คงต้องข้ามไปยังเรื่องใหญ่เรื่องต่อไปอย่างอาหารการกินกันก่อน
     
     
     
     
          ที่เบลสซามีร้านอาหารแบบต้นตำรับฝีมือชาวบ้านที่นี่ให้เลือกอยู่พอสมควร แต่ถ้าใครยังรู้สึกติดอดติดใจกับเสน่ห์ของเพลงจากนางเงือกแล้วล่ะก็ ขอเชิญที่ร้านนางเงือกได้เลยค่ะ ร้านนี้ตั้งอยู่ริมผาห่างจากประภาคารขาวไปแค่ ห้าสิบเมตรกว่าๆ เผื่อว่าจะมีใครอยากจะใช้เวลาหลังเพลิดเพลินไปกับอาหารทะเลสดๆหลากรสด้วยการไปสำรวจหอประภาคารลึกลับประจำเมือง แต่กับใครที่ต้องการจะไขความลับของบทเพลงอย่างจริงๆจังๆแล้วล่ะก็ไม่ต้องเดินไปไกลนักหรอกค่ะ แค่ลองแวะเวียนไปทางประตูหลังของร้าน ที่นั่นคุณจะได้เข้าใกล้กับบทเพลงปริศนานั่นมากที่สุดแล้ว
     
     
     
          "ขอโทษนะคะ แต่ห้องน้ำอยู่ทางด้านนู้นค่ะ" เสียงหวานใสเจื้อยแจ้วและใบหน้ายิ้มแย้มของบริกรสาวร่างเล็กอาจจะมาขัดขวางก้าวแรกสู่การไขปริศนาของเมืองและอาจจะทำให้นักผจญภัยหนุ่มๆเขวจนเปลี่ยนเป้าหมายไปเลยก็ได้ แต่ไม่ต้องหงุดหงิดค่ะ เพราะว่านั่นแหล่ะ คุณมาถูกทางแล้ว สาวน้อยหน้าแฉล้มคนนี้นั่นแหล่ะที่เป็นก้าวแรกของปริศนานี้
     
     
     
        หล่อนชื่อยูเกลค่ะ
     
     
     
    สำหรับใครที่ไม่ได้เตรียมตัวเครียมใจมาว่าก้าวแรกของคุณจะเป็นสาวน้อยน่ารักวัยสิบเจ็ดแล้วละก็ คุณคงจะต้องพบเจอกับเรื่องประหลาดใจอีกเยอะแยะเลย การเดินทางหมื่นลี้เริ่มต้นด้วยก้าวแรก และก้าวแรกที่มีใบหน้าขาวรับกับผมสีดำยาวสลวย รูปร่างบอบบางกับนิสัย...เอ่อ...เอาเป็นว่าเป็นเด็กสาววัยรุ่นน่ารักๆแบบนี้คงจะพาคุณไปสู่การเดินทางที่น่าประหลาดใจมากกว่านี้แน่ๆเลยค่ะ
     
     
     
        ทีนี้ก็ลุกไปเข้าห้องน้ำ หาอะไรในครัวมากินหรือจะลุกขึ้นมาขยับแข้งขยับขาเต้นฮุลาฮุบซักนิดก็ไม่เลวสำหรับการวอร์มอัพก่อนจะมาต่อกันกับก้าวต่อไปของปริศนานี้กันนะคะ
     
     
     
        มือผอมบางกระแทกประตูปิดปังอย่างแรง เมื่อเห็นว่าร่างของอาคันตุกะแปลกหน้าเดินหายลับไปแล้ว เศษผงบนวงกบประตูร่วงลงมาที่พื้นตามแรงกระแทก ทำเอาเด็กสาวขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด ทำไมถึงไม่มีใครยอมซ่อมประตูเฮงซวยนี่ซะที ทั้งกลอนที่หลุดติดมือใครบางคนไปตั้งแต่เดือนที่แล้ว ทั้งวงกบผุๆนี่ด้วย เธอคว้าไม้กวาดและที่โกยผงที่วางอยู่หลังประตูและเริ่มจัดการกับเศษไม้ ยูเกลรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีสิ่งสกปรกปรากฏอยู่ในครัวของร้าน ใครซักคนจะถูกหักเงินเดือนพร้อมกับถูกเทศนาชุดใหญ่ และเวรทำความสะอาดของวันนี้ก็คือใครคนหนึ่งที่ทำให้เธอต้องมายืนเฝ้าที่นี่ด้วย
     
     
     
        นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มจ้องมองพื้นห้องสลับกับนาฬิกาข้อมืออย่างกระวนกระวาย 
     
     
     
        แล้วเด็กสาวก็มองเห็นแสงสว่างลอดผ่านร่องแคบๆระหว่างพื้นไม้แต่ละแผ่น มันกำลังเคลื่อนที่จากบริเวณใกล้ๆกับประตูหลังตรงไปยังอีกฝากหนึ่งของห้องก่อนจะหายลับไป ยูเกลถอนหายใจโล่งอกเมื่อเสียงฝีเท้าดังมาเข้าหู เด็กสาวโยนที่โกยผงไว้ตามเดิม เธอเดินตรงมาที่กลางห้อง เสียงฝีเท้านั่นดังชัดขึ้นเรื่อยๆสลับกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดของบันได ยูเกลเหลือบมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองอีกครั้งก่อนจะตวัดตาคู่สวยขึ้นจ้องมองที่ลูกบิดทองเหลืองตรงหน้า
     
     
     
        มันหมุนและเปิดออก
     
     
     
        ในเวลาเดียวกับที่เธอฟาดไม้กวาดในมือใส่ทันที
     
     
     
        "โอ๊ย" ร่างผอมสูงของคนที่เกือบจะถูกฟาดด้วยไม้กวาดกระโดดหลบได้ทันเวลา ทว่ากลับผิดจังหวะไปหน่อย เมื่อรองเท้าบู๊ตหนังเงาวับเกิดเหยียบพลาด ผลที่ตามมาจึงออกจะไม่น่าดูซะเลย
     
     
     
        เสียงตึงดังสนั่นเมื่อร่างสูงร้อยเจ็ดสิบสองเซนติเมตรหงายลงไปก้นจ้ำเบ้า
     
     
     
        ริมฝีปากสีชมพูอ่อนของยูเกลกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้ายให้เห็นชั่วครู่ก่อนที่เด็กสาวจะกลบเกลื่อนมันด้วยสีหน้าหงุดหงิด
     
     
     
        "ทำไมมาช้าอย่างงี้" เธอค้อนตาเขียวปัดก่อนจะทนไม่ได้หมุนตัวหันหลังเพื่อแอบยิ้ม "เกิดใครเข้ามาเห็นจะทำยังไง" เธอยกมือขึ้นกอดอก "ช้าหนึ่งนาที คุณจีนหักตั้งหนึ่งดอลลาห์" ยูเกลหลับตาลงกลืนน้ำลายและหันกลับมาจ้องด้วยแววตาที่แทบจะทำให้ผนังพรุนได้เลยทีเดียว
     
     
       
        ทว่าคนถูกบ่นกลับอมยิ้มและลุกขึ้นปัดเสื้อผ้า ริมฝีปากสวยเอ่ยตอบโต้อย่างไม่สะทกสะท้าน
     
     
     
        "ไม่น่าเชื่อว่าในที่สุดคุณหนูอย่างเธอก็เริ่มจะงกเงินเป็น" นัยน์ตาสีเทาเป็นประกายเหมือนจะหยอกล้อ ซึ่งนั่นทำให้อารมณ์ของคนฟังชักจะเดือดปุดๆ ยูเกลขมวดคิ้วและเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงโกรธๆ
     
     
     
        "แล้วหมาตัวไหนล่ะที่ไปเป่าหูน้าจอร์จให้ยึดบัตรเครดิตฉันไปกันล่ะ" ยูเกลหรี่ตาลง น้าจอร์จหรือชื่อเต็มๆคือ จอร์จีน บลูส์ เป็นผู้ปกครองของเธอนับตั้งแต่แม่ของเธอเสียไป แต่เผอิญว่าพ่อเพื่อนนักดนตรีของแม่คนนี้มักจะมีงานคอนเสิร์ตในหลายๆที่ ดังนั้นชีวิตส่วนใหญ่นับแต่จำความได้ของเด็กสาวก็คือการถูกหอบหิ้วไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำหรือไม่ก็ถูกทิ้งอยู่ในบ้านสุดหรูของเขาในไมอามี่พร้อมกับบัตรเครดิตที่มีวงเงินสูงซะจนน่ากลัว
     
     
     
        เดี๋ยวก่อน บางคนอาจมีข้อสงสัยว่าแล้วนี่เรามานั่งฟื้นฝอยหาตะเข็บกับครอบครัวของยูเกลกันทำไม อย่าพึ่งใจร้อนกันนะคะ เพราะว่าประวัติของเธอเองก็มีส่วนสำคัญกับปริศนานี้เช่นกัน แต่สำหรับใครที่อยากจะสวมวิญญาณนักสืบสุดชีวิตแล้ว ลองมาค้นหาจุดแปลกๆในเนื้อเรื่องที่พึ่งอ่านกันไปเมื่อครู่นี้ดูไหมคะ มีใครสังเกตอะไรคุ้นหูคุ้นตาบ้างรึเปล่า เพราะเรื่องเมื่อครู่นี้มีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่"ที่ไหนซักแห่ง"ค่ะ
     
     
     
        ต่อก ติ๊ก ต่อก สำหรับคนที่ยังนึกไม่ออก ลองย้อนกลับไปอ่านช่วงแนะนำเมืองดูซักหน่อยไหมคะ อ้าว...ขี้เกียจแล้วเหรอ งั้นก็มาเฉลยกันเลยดีกว่าค่ะ
     
     
     
        จุดแปลกๆคุ้นหูคุ้นตานั่นก็คือ ชื่อของผู้ปกครองของน้องหนูยูเกลยังไงละคะ จอร์จีน บลูส์เป็นชื่อของศิลปินชื่อดังที่ชอบจะหาเวลาว่างมาพักผ่อนที่เบลสซาบ่อยๆ  
     
     
     
        อ้าว แล้วคุณแม่ของยูเกลเธอไปรู้จักกับศิลปินระดับนั้นได้ยังไง? เหตุผลง่ายๆก็คือคุณแม่ของยูเกลเกิดและเติบโตที่นี่นั่นเองค่ะ
     
     
     
        ปรบมือดังๆให้กับใครก็ตามที่พอจะเดาได้ว่าคุณแม่ของยูเกลที่ถูกเอ่ยชื่อไปแล้วครั้งหนึ่งในเรื่องนี้เป็นใคร
     
     
     
        เธอก็คือมาเรีย มิลเลอร์ค่ะ เธอเป็นนักดนตรี นักร้อง และนักแสดงชื่อดังที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงและมีผลงานมากมาย แต่ก็อย่างที่ยูเกลบอกไปแล้ว คุณแม่ของเธอเสียไปแล้วนับตั้งแต่ตอนที่เธอเกิด
     
     
     
        และสำหรับพ่อ...คิดว่าเราคงต้องเก็บมันไว้เป็นปริศนาอีกอย่างของเรื่องนี้ เพราะแม้แต่เพื่อนสนิทของมาเรียอย่างจอร์จีนเองก็ยังไม่รู้ และท่าทางหนูยูเกลเองก็ไม่คิดที่จะอยากรู้ด้วย ยังไงซะเราเก็บเรื่องนี้ไว้ให้เป็นเรื่องของพวกผู้ใหญ่และรอจนกว่าปริศนานั้นจะพร้อมที่จะเฉลยคำตอบของมันออกมาเองแล้วกันนะคะ
     
     
     
        แต่ว่าที่แน่ๆก็คือยูเกลน่ะเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของศิลปินที่เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะซึ่งลาโลกนี้ไปแล้ว ความเป็นจริงข้อนี้ทำให้ความคาดหวังและแรงกดดันจำนวนไม่น้อยกดทับลงมาใส่ทั้งหนูน้อยกำพร้าแม่และนักดนตรีหนุ่มที่เนื้อก็ไม่ได้กินหนังก็ไม่ได้รองนั่งแถมยังต้องเอากระดูกตัวน้อยหนักสองพันห้าร้อยกรัมมาแขวนคอ
     
     
     
        ด้วยความหวังที่ว่ายูเกลน่าจะได้รับพรสวรรค์อะไรมาจากคุณแม่ของเธอบ้าง จอร์จีนจึงส่งเธอเข้าเรียนในโรงเรียนหญิงล้วนที่มีชื่อในด้านดนตรี ...ที่ซึ่งยูเกลจบม.ต้นออกมาด้วยคะแนนที่ถ้าหากมันติดลบได้ มันก็คงจะติดลบไปแล้ว
     
     
       
        "ดิฉันขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ มิลเลอร์ไม่ได้รับสืบทอดพรสวรรค์อะไรมาจากมารดาของเธอเลยแม้แต่อย่างเดียว"
     
     
     
        นั่นเป็นคำพูดของครูประจำชั้นของยูเกลที่เอ่ยกับจอร์จในวันพบผู้ปกครองค่ะ
     
     
     
        แน่ล่ะว่าสาวน้อยของเราโกรธอย่างกับอะไรดี...อืม...เอาเป็นว่าโกรธอย่างกับอะไรซักอย่างที่ทำให้ยูเกลในวัยสิบสี่ปีก้มหน้าลงพูดพึมพำด้วยเสียงกระซิบที่ได้ยินกันชัดเจนทั้งห้อง
     
     
     
        "กอดพรสวรรค์ของตัวเองไปลงนรกซะ"
     
     
     
        หลังจากนั้นยูเกลก็ออกจากโรงเรียนสตรีนั่นและหันหลังให้กับการเล่นดนตรีอย่างไม่คิดจะชายตาแลมองมันอีกเลย
     
     
     
        ทั้งๆที่เธอก็ใช่ว่าจะเล่นดนตรีได้ไม่ดีขนาดนั้น...แต่ว่าดีสำหรับคนธรรมดามันก็มีค่าเท่ากับห่วยแตกสำหรับคนที่ใครๆก็คิดว่ามีพรสวรรค์
     
     
     
        บางทีการเรียกใครซักคนว่าเป็นเหมือนเงาของคนอื่น มันก็เป็นการทำร้ายจิตใจของผู้ถูกเรียกมากๆเลยนะคะ
     
     
     
        นั่นแหล่ะยูเกลถึงไม่ยอมบอกให้ใครรู้ว่าเธอมีสิ่งที่คนอื่นๆจะต้องเรียกมันว่าพรสวรรค์จากแม่อยู่เหมือนกัน
     
     
     
        เธอเป็นพวกหูผีจมูกมดน่ะค่ะ
     
     
     
        หรือจะเรียกให้เป็นทางการมากกว่านั้นหน่อยก็คือ เธอมีโสตประสาทที่ดีเยี่ยม สามารถแยกแยะเสียงได้มากกว่าคนอื่น รู้รึเปล่าคะว่ามีคนอยู่จำนวนไม่มากนักที่สามารถบอกได้ว่าเสียงของรถที่แล่นไปหรือว่าเสียงเห่าของหมาเป็นคีย์เสียงอะไรในการเล่นดนตรี ยูเกลนี่แหล่ะค่ะที่เป็นคนประเภทนั้น
     
     
     
        แต่คนอย่างเธอไม่ยอมบอกใครหรอก อันที่จริงยูเกลก็ไม่ใช่คนที่ชอบเล่าเรื่องของตัวเองให้ใครฟังนัก เธอไม่ยอมบอกใครเรื่องที่ถูกครูบางคนแกล้ง ไม่ยอมบอกใครเรื่องที่ถูกเรียกว่า ลูกไม่มีพ่อ และก็ไม่ได้บอกใครด้วยเลยซักคำเมื่อหอบผ้าหอบผ่อนหนีออกจากบ้านของจอร์จีนในไมอามี่
     
     
     
        แต่ทุกอย่างย่อมมีครั้งแรกถูกไหมคะ และครั้งแรกสำหรับยูเกลก็คือบนรถไฟสายตะวันออกที่มุ่งหน้าไปยังบ้านเกิดของแม่ที่เธอเคยเห็นแต่ในรูปถ่าย
     
     
     
        คนแรกและคนเดียวจนถึงเดียวนี้ที่ยูเกลเคยเปิดใจให้คือลอเรล...ใช่ค่ะคนที่ล้มก้นกระแทกพื้นไปเมื่อตะกี้นี้เองนั่นแหละ
     
     
     
        มันน่าจะเป็นการดีถ้าเราจะมาทำความรู้จักกับคนๆนี้กันซักหน่อย ไหนๆก็เป็นคนแรกที่ทำให้ยูเกลติดบ่วงได้
     
     
     
        ไม่ใช่ว่าสาวน้อยของเราจะเกิดอาการหลงเสน่ห์หน้าใสๆขาวๆหรือนัยน์ตาสีเทาแฝงประกายลึกลับนั่นหรอกนะคะ
     
     
     
        แต่ก็คงไม่แปลกถ้าจะมีใครหลงไปกับรูปร่างหน้าตาของลอเรล ผมสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายนั่นก็ดูนุ่มน่าสัมผัสจะตาย ไหนจะยังรูปร่างสมส่วนซะจนน่าอิจฉานั่นด้วย ใบหน้าขาวๆก็มักจะมีรอยยิ้มลึกลับน่าค้นหาระบายอยู่ตลอดเวลา แล้วยังไอ้คำพูดคำจาบ่งบอกความน่ารักน่าชังนั่นอีก
     
     
     
        แต่ถ้าอย่าพึ่งโดนรูปร่างหน้าตาภายนอกหลอกเอานะคะ คุณอาจจะถึงกับหัวหมุนจนลืมจุดประสงค์แต่แรกของเรื่องนี้ไปเลยก็ได้
     
     
     
        ก้าวที่สามของการเดินทางไขปริศนาแห่งบทเพลงลึกลับ เอ๋? ยังไม่ได้บอกก้าวที่สองเหรอ?
     
     
     
        อ้าว ก้าวที่สองก็พ่อกุญแจหนุ่มรูปงามนามเพราะนี่ไงคะ
     
     
     
        ยังไม่มีใครพูดเลยเหรอ ว่าลอเรลเป็นเด็กผู้ชายน่ะ!
     
     
     
        "บอกเองไม่ใช่รึไงว่าไม่อยากจะเป็นนกน้อยในกรงอีกแล้วน่ะ" ลอเรลเดินไปที่อ่างล้างจานและเริ่มล้างมือ ยูเกลมองด้านหลังของเขาด้วยสายตาหมั่นไส้นิดๆ ตานี่ล่ะความจำดีเสมอ ไม่ว่าจะเรื่องที่พูดเมื่อวันก่อน เดือนก่อน หรือว่าปีก่อนก็ยังจำได้แม่นแถมยังชอบขุดคำพูดสมัยพระเจ้าเหาพวกนั้นมาตอกย้ำกันด้วย เธอขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดเมื่อได้ยินประโยคแทงใจดำประโยคต่อมา "ดีใจมากเลยไม่ใช่เหรอตอนที่น้าเธออนุญาตให้อยู่ที่นี่น่ะ"
     
     
     
        เออ ฉันรู้สึกดีใจมากที่ได้ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเอง แต่ว่าถึงหัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่พูดออกไปหรอก
     
     
     
        ก็ในเมื่องานนี้คนที่ได้ความดีความชอบไปเต็มๆมันก็ลอเรลอยู่ดี
     
     
     
        ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีไหนถึงยอมให้น้าจอร์จอนุญาตให้เธอมาพักอยู่ที่บ้านเก่าของแม่ได้ แต่ว่าตอนนี้เธอชักจะสงสัยตะหงิดๆแล้วว่าบางทีน้าอาจจะโดนต้มว่าหากยืดบัตรเครติดกับสมุดบัญชีเงินฝากไปละก็ คุณหนูที่ถูกเลี้ยงมาบนกองเงินกองทองอย่างเธอคงเผ่นกลับบ้านแทบไม่ทัน
     
     
     
        แทบไม่ทันจะถึงสามสิบปีน่ะสิ
     
     
       
        จากวันที่เธอเก็บข้าวของออกจากบ้านมานี่ก็ปาเข้าไปสามปีแล้ว
     
     
     
        สามปีที่เธอติดหนี้ผู้ชายที่ชื่อ ลอเรล โอคอเนลไว้
     
     
     
        แต่ถึงโลกแตกเธอก็ไม่ใช้คืนหรอก!
     
     
     
        "แล้วคอนเสิร์ตรอบนี้น้าเธอเขาจะไปกี่วันล่ะ" ลอเรลชวนคุยเมื่อสังเกตว่ายูเกลเงียบไปนาน
     
     
     
        เด็กสาวยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ "เห็นบอกว่าจะทัวร์ทั่วยุโรป กว่าจะกลับก็คงอีกสี่เดือนละมั้ง" เธอเดินไปที่ประตูก่อนจะพึมพำออกมาดังๆ "ถ้าเป็นเมื่อก่อนไม่อยู่บ้าน สองเดือนเขาก็ให้ไว้ต่ำๆหลายหมื่นแล้วนะ แต่ตอนนี้ฉันมีเงินติดกระเป๋าไม่ถึงห้าร้อยด้วยซ้ำ" มือขาวๆยกขึ้นจับลูกบิดประตู
     
     
     
        "ยังไงถึงให้เธอก็ไม่เอาอยู่แล้วนี่" เสียงของลอเรลดังมาไล่หลัง "ไม่ถึงห้าร้อยกับอิสระ ไม่บอกก็รู้ว่าเธอเลือกอย่างไหน"
     
     
     
        ยูเกลกลอกตาพลันรอยยิ้มเล็กๆก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก
     
     
     
        เกลียดชะมัดพวกคนรู้ทันเนี่ย
     
    *********************
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×